หลี่เฉินพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้ายกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดได้อย่างไร? นางสนมของข้ามีเสน่ห์มากเช่นนี้ ข้าจะทำใจทำเช่นนั้นได้อย่างไร?”ในระหว่างที่พูด มือข้างหนึ่งของหลี่เฉินก็จับมือที่อ่อนนุ่มของจ้าวหรุ่ยขึ้นมา ดึงนางมาซบที่ร่างของตัวเอง จากนั้นมืออีกข้างก็แตะที่ส่วนล่างของด้านหลังนางอย่างคุ้นเคย โดยเล่นกับส่วนนูนที่เอิบอิ่มของนางตามต้องการลมหายใจของจ้าวหรุ่ยค่อยๆ เร็วขึ้น ถึงแม้ว่านางจะผ่านเรื่องแบบนี้มาแล้วหลายครั้ง และไม่มีส่วนใดในร่างกายของนางที่ไม่ถูกหลี่เฉินหยอกล้อ แต่เนื่องจากสัญชาตญาณของผู้หญิง ทำให้จ้าวหรุ่ยต้องการจะหลีกเลี่ยงการรุกรานที่เผด็จการเช่นนี้นางต้องการที่จะถอย แต่ดูเหมือนว่าหลี่เฉินจะมองทะลุความคิดของนางออกตั้งนานแล้ว จึงก้าวเข้ามาใกล้ ทำให้จ้าวหรุ่ยไม่เพียงแต่ล้มเหลวในการหลบหนีเท่านั้น แต่ยังถูกหลี่เฉินประชิดตัวอีกด้วยหน้าอกของจ้าวหรุ่ยแนบกับแผ่นอกของหลี่เฉิน ปลายจมูกของพวกเขาแทบจะแตะกัน และรู้สึกถึงลมหายใจของกันและกันได้อย่างชัดเจน ลมหายใจอันร้อนระอุทั้งสองสายต่างประสานกัน จนไม่สามารถแยกแยะออกได้“องค์รัชทายาท...”จ้าวหรุ่ยตื่นตระหนกตกใจจนทำอะไรไม่ถูก นางร้องออกม
จ้าวหรุ่ยถอนหายใจเบาๆ ใช้เรี่ยวแรงและจิตสำนึกที่เหลืออยู่สุดท้าย ยกแขนที่ขาวราวหิมะ กระตุกเชือกม่านเตียงเบาๆ เพื่อปล่อยให้ม่านเตียงหล่นลงมา ปิดกั้นทิวทัศน์ฤดูใบไม้ผลิบนเตียงเช้าวันรุ่งขึ้น หลี่เฉินตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่นส่วนจ้าวหรุ่ยสะลึมสะลือลืมตาตื่น และพยายามลุกขึ้นมาช่วยหลี่เฉินเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่ทันทีที่นางลุก ก็กระทบกับจุดที่เจ็บปวดขึ้นมา ทำให้นางร้องครวญครางเบาๆ และขมวดคิ้วความเจ็บปวดนี้ มากกว่าตอนที่หลี่เฉินฝืนตัดแตงในวันนั้นเสียอีกหลี่เฉินรู้สึกเต็มอิ่มมากก่อนจะทะลุมิติมา ผู้หญิงที่มีรูปร่างหน้าตาอย่างจ้าวหรุ่ย ใครบ้างจะไม่รู้สึกชื่นชอบ?แต่ตอนนี้ นางเป็นคนเคียงหมอนของตัวเอง และยังต้องลุกขึ้นมาช่วยตัวเองเปลี่ยนเสื้อผ้าทันทีที่เขาตื่น อย่างไรก็ตาม หลี่เฉินไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำขนาดนั้น เขาโบกมือแล้วพูดว่า “เจ้าพักผ่อนต่อเถอะ ไม่ต้องลุกขึ้นมา ข้าจะให้นางกำนัลเข้ามาปรนนิบัติ”หลังจากที่พูดอย่างนั้น หลี่เฉินก็เรียกนางกำนัลสองคนเข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ตัวเอง “เสื้อผ้าธรรมดา”เมื่อค้นหาเสื้อผ้าที่เหล่าคุณชายทั่วไปสวมใส่เจอ ก็จัดการช่วยแต่งตัวให้ ทันใดนั้นหลี่เฉินก็กลายเ
เด็กรับใช้คนนั้นเห็นหลี่เฉินเปิดปากขอพบท่านแม่ทัพ ก็คิดจะปฏิเสธตามจิตสำนึก แต่เมื่อเห็นชายวัยกลางคนซึ่งดูน่ากลัวที่อยู่ข้างๆ กำลังมองมาที่ตัวเองด้วยสีหน้าถมึงทึง เขาก็กลืนคำพูดที่ติดอยู่ที่ปากลงไป และเปลี่ยนคำพูด “รอสักครู่ ข้าไปจะรายงานทันที”ทันทีที่เด็กรับใช้เดินจากไป ซานเป่าก็พูดอย่างเย็นชา “เด็กรับใช้ผู้นั้น เมื่อครู่คิดจะปฏิเสธพระราชดำรัสสั่งขององค์รัชทายาท หากเขากล้าพูดคำนั้นออกมา บ่าวจะทำให้เขาเลือดสาดทันที” “เนื่องจากข้าสวมใส่เสื้อผ้าธรรมดาแล้วออกมาข้างนอกโดยไม่มีผู้ติดตาม และไม่คิดจะแสดงตัวในฐานะองค์รัชทายาท หากเจ้าต้องการจะเยินยอข้า ก็ต้องรู้จักดูสถานการณ์ และควบคุมอารมณ์ของตัวเอง”คำพูดไม่ร้อนไม่หนาวของหลี่เฉิน ทำให้สีหน้าของซานเป่าชะงัก ก่อนจะรีบโค้งคำนับแล้วพูดว่า “บ่าวเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ผ่านไปชั่วครู่หนึ่ง ก็มีเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังมาจากด้านในฟังดูแล้ว น่าจะมีคนมาไม่น้อยประตูหน้าเปิดออกเสียงดังเอี๊ยดฉากนี้ทำให้ผู้คนรอบข้างต่างหันมาชำเลืองมองในสมัยโบราณ ครอบครัวที่ร่ำรวยมักจะไม่เข้าออกทางประตูหน้า นอกเสียจากว่าจะมีแขกผู้สูงศักดิ์มาเยือน ถึงจะเปิดประตูหน้าเพื
ใบหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงทันทีซานเป่าที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็รู้สึกสบายไปทั่วทั้งตัว เขารู้สึกราวกับว่าได้จิบน้ำเย็นๆ ในฤดูร้อน รู้สึกสดชื่นจากภายในสู่ภายนอกเมื่อมองร่างหลี่เฉินอีกครั้ง เขาก็รู้สึกซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง ในสถานการณ์เช่นนี้ องค์รัชทายาทก็ยืนหยัดเพื่อตัวเองตอนนี้เอง ซูเจิ้นถิงจึงยกมือขึ้นแล้วพูดว่า “องค์รัชทายาท กระหม่อมไร้ความสามารถในการสั่งสอนลูกชาย ขอองค์รัชทายาทอย่าทรงขุ่นเคือง เจ้าลูกสุนัขนี่ไม่ได้หมายจะดูหมิ่น หมายถึงการไม่เคารพอย่างแน่นอน ผิงเป่ยเหตุใดเจ้าถึงไม่คุกเข่าลงและยอมรับความผิดพลาดของเจ้า!?”ซูผิงเป่ยกัดฟัน คุกเข่าให้หลี่เฉินแล้วพูดว่า “ซูผิงเป่ยหยาบคายต่อองค์รัชทายาท มีความผิดจริงๆ ฝ่าบาทโปรดลงโทษ”หลี่เฉินเพิกเฉยต่อซูผิงเป่ยและเหลือบมองซูเจิ้นถิง สีหน้าเฉยเมยหายไปในทันที เขายิ้มแล้วพูดว่า “แม่ทัพซูสุภาพเกินไปแล้ว อย่างไรก็ตาม มันเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ เท่านั้น ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป”ซูเจิ้นถิงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ใช่ๆ องค์รัชทายาททรงพระทัยกว้างขวาง”ทั้งสองพูดคุยและหัวเราะ ขณะเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ ซูเจิ้นถิงเชิญหลี่เฉินให้นั่งลง หลี่เฉินก็ไม่เ
หลี่เฉินยืนขึ้นหลังจากได้ยินสิ่งนี้และพูดว่า “ทุกอย่างราบรื่นก็ดีแล้ว วันนี้ข้ามีเวลาว่าง ดังนั้นไม่รบกวนคุณหนูให้กลับมา ดีเสียอีกข้าอยากไปรู้จักเหล่าปัญญาชนในเมืองหลวงสักหน่อย”ซูเจิ้นถิงไม่ได้คัดค้าน และจัดคนรับใช้นำทางหลี่เฉินไป โดยมีซานเป่าเดินตามหลังไปติดๆ ทันทีที่หลี่เฉินเดินออกไป ห้องโถงใหญ่ก็ระเบิดทันทีซูผิงเป่ยพูดด้วยความโกรธว่า “ท่านพ่อ เพราะเหตุใด!?”“ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นองค์รัชทายาท แต่อำนาจของจ้าวเสวียนจีในราชสำนักนั้นทรงพลังมาก จนแทบไม่มีใครอยู่ข้างองค์รัชทายาทเลย ตอนนี้เขามีเพียงการสนับสนุนจากองค์จักรพรรดิ หากวันหนึ่งฟ้าถล่มลงมา ก็ยังไม่ชัดเจนว่าใครจะเป็นเจ้าของบัลลังก์ ท่านพ่อสอนลูกมาโดยตลอดว่า ผลงานทางการทหารของตระกูลซูโดดเด่นเกินไป ดังนั้นต้องเก็บเนื้อเก็บตัวเข้าไว้เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา แต่ตอนนี้ท่านกลับยกน้องสาวแต่งงานกับองค์รัชทายาท นี่ไม่ใช่การเดินขึ้นเวทีไปอยู่ข้างกายองค์รัชทายาท และต่อต้านเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊อย่างชัดเจนหรือ?”คำพูดของซูผิงเป่ยนั้นพูดแทนใจสมาชิกตระกูลซูทั้งหมด ทันทีที่เขาพูด ทุกคนต่างก็เงียบและรอฟังคำตอบจากซูเจิ้นถิงซูเจิ้นถิงเหมือนจะเตรียมคำพ
หลี่เฉินเข้าไปในหอ และกำลังจะขึ้นบันได แต่ก็มีเสียงจากทางด้านหลังหยุดเขาเอาไว้เมื่อหลี่เฉินมองย้อนกลับไป ก็เห็นชายหนุ่มในชุดเสื้อสีเขียวมองมาที่เขาอย่างสงบชายหนุ่มยกมือขึ้นและพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพว่า “คุณชายมาที่นี่เพื่อเข้างานชุมนุมกวีหรือไม่”หลี่เฉินถามว่า “ถ้าใช่แล้วอย่างไร ไม่ใช่แล้วอย่างไร?”ชายหนุ่มยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าไม่ใช่ เช่นนั้นก็ง่ายมาก ที่ชั้นบนตอนนี้ จ้าวไท่ไหลลูกชายของราชเลขาจ้าวกำลังจองสถานที่อยู่ ถ้าไม่ได้เข้าร่วมงานชุมนุมกวี ก็ไม่สามารถขึ้นไปได้”“แต่ถ้าใช่ กรุณาแสดงเทียบเชิญให้ข้าดู”“แต่ถ้าไม่มีเทียบเชิญก็สามารถขึ้นไปได้ ถ้าหากผู้อาวุโสสายตรงในตระกูลของคุณชายเป็นขุนนางขั้นสี่ขึ้นไป แต่ถ้าหากเกษียณแล้ว ก็จำเป็นจะต้องเป็นขุนนางขั้นที่สามจึงจะเข้าไปได้”“หรือถ้าหากไม่มีทั้งสองอย่าง ก็ยังมีอีกวิธี นั่นก็คือบริจาคเงินห้าสิบตำลึง ท่านก็สามารถขึ้นไปฟังได้”ในระหว่างที่พูด ชายฉกรรจ์สูงใหญ่เอวหนาสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังชายหนุ่มชุดเขียว ก็จ้องไปที่หลี่เฉินด้วยสีหน้าไร้ความปรานีดูจากท่าทางแล้ว ราวกับว่าตราบใดที่หลี่เฉินไม่มีผู้อาวุโสที่เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง หรือไม่
แน่นอนว่าคำพูดเหล่านี้ ไม่ได้พูดกับชายเสื้อเขียว องครักษ์เสื้อแพรทั้งสองนายรับคำสั่ง ตีทั้งสามคนอย่างชำนาญจนสลบ แล้วลากตัวออกไป เมื่อองครักษ์เสื้อแพรทำงาน ไม่มีใครที่อยู่รอบๆ กล้าขัดขวาง พวกเขารอให้ซานเป่าจากไปก่อน แล้วค่อยถกเถียงเกี่ยวกับตัวตนของคุณชายที่เพิ่งขึ้นไปชั้นบน เขามีภูมิหลังแบบไหนกัน ถึงทำให้องครักษ์เสื้อแพรแห่งหน่วยบูรพามาปกป้องได้ เมื่อเดินขึ้นบันได หลี่เฉินยังไม่ทันเดินเข้าไป ก็ได้ยินเสียงพูดคุยหัวเราะดังมาจากชั้นบนหลังจากนั้นไม่นาน เสียงอันไพเราะของฉินก็ดังขึ้นมาหลี่เฉินไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับทฤษฎีดนตรีมากนัก แต่ก็ยังฟังออกว่าเสียงฉินนี้ไพเราะเพียงใด มันเพราะกว่านักดนตรีในวังเล่นมากเมื่อเดินตามเสียงฉินไปที่ชั้นบนสุดของหอ ซึ่งหอเถิงหวังแห่งนี้มีทั้งหมด 6 ชั้น สูงจากพื้นดินประมาน 60 เมตร ภายในหอมีการตกแต่งอันวิจิตรตระการตา ของตกแต่งทุกชิ้นจัดวางอย่างประณีต ไม่น่าแปลกใจเลยที่ต้องใช้เงินหลายแสนตำลึงราวเกล็ดหิมะเมื่อขึ้นไปถึงชั้นบนสุด จะมองเห็นแม่น้ำและมีสายลมพัดเบาๆ อีกฝั่งเป็นภูเขาทอดยาวสลับกัน อีกด้านหนึ่ง สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงามของเมืองหลวงได้ ท
ชั้นบนสุดของหอเถิงหวัง ประหนึ่งหม้อทอดเนื่องจากคำพูดของหลี่เฉินทุกคนต่างมองหลี่เฉินด้วยท่าทางราวกับเห็นผี“เจ้า เจ้าหมอนี่ คงไม่ใช่ว่าบ้าไปแล้วหรือ!?”จ้าวไท่ไหลไม่อาจสงวนท่าทีได้อีกต่อไป เขาลุกขึ้นยืนและชี้ไปที่หลี่เฉินด้วยความโมโห โกรธจนตัวสั่นท่าทางโมโหเช่นนั้น คล้ายกับว่าหลี่เฉินหยอกล้อแม่ของเขาชายหนุ่มที่ถูกหลี่เฉินทำให้อับอายในตอนแรกก็ราวกับจะคว้าโอกาสนี้ไว้ เขากระโดดขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น และตะโกนเสียงดังว่า “คุณชายจ้าว ชายที่อยู่ตรงหน้าท่านเห็นได้ชัดว่าเป็นคนบ้าที่พูดจาหยิ่งยโส! เหตุใดไม่เรียกคนมาทุบตีคนบ้าผู้นี้ให้ตายด้วยไม้ล่ะ?”“ทุบตีข้าให้ตายด้วยไม้หรือ?”ดวงตาที่ไร้อารมณ์ของหลี่เฉินคู่นั้นจ้องมองไปที่ชายหนุ่มซึ่งกระโดดขึ้นลงไม่หยุด ทำให้ชายหนุ่มตัวแข็งทื่อในทันใดเมื่อถูกหลี่เฉินจ้องมอง เขาก็รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองเป็นแค่มดในโคลนตมที่ตกเป็นเป้าหมายของสัตว์ป่าความกดดันอันท่วมท้นเข้าครอบงำเขา ใบหน้าของชายหนุ่มก็เปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีซีด ซึ่งมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าภายใต้แรงกดดันมหาศาลนี้ที่ดูราวกับว่าเขาจะตายในวินาทีต่อมา ขาของชายหนุ่มก็สั่นเทา เขาก้าวถอยหลังไปก้