จ้าวชิงหลานโกรธจัดจนทำราชสาสน์หล่น นางรู้สึกว่าแม้แต่การมองอักษรบนนั้นเพิ่มก็เป็นการดูหมิ่นตัวเอง สิ่งที่นางไม่ได้พูดคือในตอนท้ายของราชสาสน์ กษัตริย์ตงอิ๋งบอกว่าเขาเคยได้ยินมาว่าฮองเฮาแห่งต้าฉินมีรูปโฉมราวกับนางสวรรค์ คือสาวงามอันดับหนึ่งของใต้หล้า...ดูจากความหมายแล้ว ดูเหมือนว่าเขาต้องการให้นางที่เป็นฮองเฮา ถูกส่งไปที่นั่นมากกว่าองค์หญิง คำพูดสกปรกเช่นนี้ ทำให้จ้าวชิงหลานตัวสั่นด้วยความโกรธ “องค์รัชทายาท เจ้าคิดอย่างไรกับเรื่องนี้?”คำถามของจ้าวชิงหลาน ทำให้เหล่ามารดาในพระที่นั่งคังไท่ ที่มีบุตรเป็นองค์หญิงต่างพากันวิตกกังวลในทันใดในปัจจุบันประเทศอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก การต่อสู้ในเหลียวตงครั้งนี้เต็มไปด้วยอุปสรรคมากมาย นอกจากนี้ทางราชสำนักก็ไม่สามารถหาเงินได้ และท้องพระคลังก็ว่างเปล่า ไม่มีใครบอกได้แน่ชัดว่าองค์รัชทายาทจะส่งองค์หญิงออกไปเพื่อความปลอดภัยของประเทศหรือไม่ เพราะท้ายที่สุด เมื่อเทียบกับสตรีคนหนึ่ง ค่าใช้จ่ายในการสู้รบในสงครามนั้นสูงเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น จักรวรรดิต้าฉินในปัจจุบันก็ไม่สามารถที่จะสูญเสียได้จริงๆในราชวงศ์ตอนนี้ มีองค์หญิงสองคนที่อายุถึงเกณฑ
หลี่เฉินตะโกนอย่างเย็นชา ทำให้ใบหน้าของหลี่อิ๋นหู่เปลี่ยนเป็นสีแดง เมื่อเทียบกับการลงโทษแล้ว สิ่งที่สำคัญกว่าการลงโทษก็คือการทำลายภาพลักษณ์และศักดิ์ศรีของเขาในวังหลัง หลี่อิ๋นหู่ไม่รู้ว่าหลี่เฉินจงใจทำเช่นนี้หรือว่าบังเอิญกันแน่ ถ้าจะบอกว่าจงใจ แล้วเหตุใดถึงรู้ว่าตัวเองเลือกให้เสกสมรสเพื่อสันติภาพ?แต่ถ้าบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญ ก็อาจกล่าวได้ว่าปฏิกิริยาของหลี่เฉินนั้นเร็วกว่าที่เขาจินตนาการไว้มาก แต่ไม่ว่าจะเป็นเหตุใด ณ จุดนี้ หลี่อิ๋นหู่ทำได้เพียงกัดฟันและยอมรับความเป็นจริงเขาเดินออกจากพระที่นั่งคังไท่โดยไม่พูดอะไร และคุกเข่าที่หน้าประตูพระที่นั่งในระหว่างนั้น จ้าวชิงหลานก็ไม่ช่วยพูดให้เขาเลยสักคำ สิ่งนี้ทำให้ความไม่พอใจภายในใจของหลี่อิ๋นหู่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ในพระที่นั่งคังไท่ เหล่าพระสนมที่มีองค์ชายและองค์หญิง ต่างก็ประทับใจกับคำพูดของหลี่เฉินมากเหล่าองค์หญิงไม่จำเป็นต้องพูดมาก มีองค์รัชทายาทเลือดเหล็กเช่นนี้ พวกนางก็ไม่ต้องกังวลที่จะถูกส่งไปยังต่างประเทศ ในฐานะเหยื่อทางการเมืองที่จะได้รับความอัปยศอดสูอย่างไร้มนุษยธรรม ในทางกลับกัน เหล่าองค์ชายต่างก็มองพี่รอง
“ยอม”หลี่อิ๋นหู่เกร็งหน้า ก่อนจะตอบกลับเสียงแข็งทื่อ “เจ้าไม่พอใจ” หลี่เฉินจ้องมองหลี่อิ๋นหู่ และกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “กระหม่อมไม่กล้า” หลี่อิ๋นหู่ยังคงตอบต่อไป“ไม่กล้า?”หลี่เฉินหัวเราะเสียงเย็นชาและกล่าวว่า “แต่ข้าเห็นความเกลียดชังที่เจ้ามีต่อข้าในดวงตาของเจ้า มันรุนแรงมากจนยากที่จะเปลี่ยนแปลงได้” หลี่อิ๋นหู่กัดฟันพูด “ฝ่าบาทคือพระเชษฐาองค์โตของกระหม่อม ทั้งยังเป็นองค์รัชทายาทผู้สูงศักดิ์ กระหม่อมไม่มีเจตนาอื่นใดต่อฝ่าบาท” “ใช่ ไม่มีเจตนาอื่นใด ข้าเชื่อประโยคนี้”หลี่เฉินกล่าวอย่างสงบ แล้วจู่ๆ ก็เพิ่มความเร็วในการพูด “เพียงแค่อยากจะมาแทนที่ข้าก็เท่านั้นเอง นี่ไม่นับว่าเป็น ‘ไม่มีเจตนาอื่นใด’?”หลี่อิ๋นหู่กัดฟันจนกรามแข็ง “เหตุใดฝ่าบาทต้องพุ่งเป้ามาที่กระหม่อม?” หลี่เฉินเตะหลี่อิ๋นหู่กลิ้งลงไปกับพื้น จากนั้นก็ยกเท้าขึ้นมาเหยียบที่หน้าอกของหลี่อิ๋นหู่ และมองหลี่อิ๋นหู่ซึ่งนอนกองบนพื้นหิมะ ด้วยสายตาแหลมคมดุจใบมีด แล้วหลี่เฉินก็กล่าวว่า “เพราะข้ารู้สึกได้ถึงจิตสังหารที่เจ้ามีต่อข้า” “ตั้งแต่วันที่น้องชายของเจ้าเสียชีวิต ข้าก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกต
เมื่อกลับมาที่ตำหนักบูรพา หลี่เฉินก็ไปเยี่ยมวั่นเจียวเจียวก่อนเป็นอันดับแรก นางฟื้นขึ้นมาแล้ว เมื่อเห็นหลี่เฉินเดินเข้ามา นางก็พยายามลุกขึ้น “นอนลงเถอะ ไม่ต้องคารวะข้า”หลี่เฉินนั่งลงข้างเตียง และเหลือบมองอาหารที่อยู่ด้านข้าง เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เจ้าบาดเจ็บหนักก็ต้องทานอาหารให้มากขึ้น เพื่อเติมพลังงานให้กับร่างกาย แล้วเหตุใดจึงไม่กิน?”เนื่องจากการเสียเลือดมากเกินไป ริมฝีปากของวั่นเจียวเจียวจึงซีดลงเล็กน้อย ใบหน้าที่ขาวซีดของนางดูไม่คุ้นเคยกับการนอนพูดกับหลี่เฉิน นางกล่าวเสียงเบาว่า “กินไม่ลงเพคะ”“กินไม่ลงก็ต้องกิน” หลี่เฉินขมวดคิ้วพูด “ตอนนี้เจ้าได้รับบาดเจ็บ อยู่ในช่วงพักฟื้นร่างกาย หากไม่ทานข้าวแล้วจะฟื้นฟูร่างกายได้อย่างไร” “หรือเจ้าอยากให้ข้าป้อนเจ้า?”ประโยคสุดท้ายของหลี่เฉิน ทำให้วั่นเจียวเจียวที่อยากพูดอย่างอื่นก็พลันหยุดชะงักทันที ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นางไม่กล้าให้หลี่เฉินป้อนอาหารให้นางแน่ เห็นได้ชัดว่าอาหารมื้อนี้ทำให้วั่นเจียวเจียวเป็นพิเศษ ไม่เพียงแต่ใช้ส่วนผสมที่มีคุณค่าทางโภชนาการมากมายเท่านั้น แต่ยังมีอาหารยาที่หายากอีกมากมายอีกด้วยตอนท
ในพระที่นั่งสีเจิ้ง อากาศอบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิแสงไฟที่พลิ้วไหวส่งเสียงปะทุเป็นครั้งคราว แต่ไม่อาจขัดขวางหลี่เฉินกับซานเป่าที่กำลังพูดคุยอยู่ในพระที่นั่งสีเจิ้ง “จับได้กี่คน?” หลังจากหลี่เฉินนั่งลง เขาก็ถามเข้าประเด็นทันที ซานเป่ารีบตอบกลับไปว่า “ในการค้นหานี้ พวกเราพบมือสังหารทั้งหมดสามคน หนึ่งในนั้นถูกฆ่าเนื่องจากขัดขืน ส่วนอีกสองคนได้รับบาดเจ็บและถูกองครักษ์เสื้อแพรกับองครักษ์อวี่หลินล้อมจับไว้ได้” “สามคน?” หลี่เฉินขมวดคิ้วแน่น “มีสตรีศักดิ์สิทธิ์และหญิงแก่รวมด้วยหรือเปล่า?” ซานเป่าพูดด้วยความอับอายว่า “ทูลฝ่าบาท ตอนนี้ ตอนนี้ยังไม่ทราบข่าวเลยพ่ะย่ะค่ะ” ใบหน้าของหลี่เฉินพลันเย็นชา แต่ไม่ได้พูดอะไรบางครั้ง ข้อดีของความเงียบไม่ได้จำกัดอยู่ที่ความสัมพันธ์ทางอารมณ์ระหว่างชายหญิง แต่ในสนามรบของอำนาจ ความเงียบของผู้บังคับบัญชา มักจะสร้างความกดดันให้กับผู้ใต้บังคับบัญชามากยิ่งขึ้นตามที่คาด ซานเป่ารู้สึกได้ถึงความกดดันและความไม่พอใจจากฝ่าบาท จึงรีบพูดขึ้นมาทันที “ฝ่าบาท โปรดให้เวลาบ่าวเพิ่มอีกสักหน่อย ประตูทางเข้าเมืองทุกด้านและสถานที่ที่สามารถออกจากเมืองหลวงได้น
“ข้าดูจากรูปลักษณ์ภายนอก คำพูด และการกระทำของเจ้า เจ้าจะต้องเป็นชาวต้าฉินอย่างแน่นอน ไม่ใช่พวกชาวต่างชาติ”“ในเมื่อเจ้าเป็นชาวต้าฉิน เจ้ากินอาหารที่ปลูกโดยชาวต้าฉิน สวมเสื้อผ้าที่ทอโดยช่างปักของต้าฉิน และเดินไปตามถนนหลวงที่สร้างโดยช่างฝีมือของต้าฉิน นับตั้งแต่วินาทีแรกที่เจ้าเกิดมา เจ้าก็เพลิดเพลินไปกับความสะดวกสบายที่ทางราชสำนักต้าฉินและเหล่าขุนนางสร้างให้กับสังคม”“เจ้าสามารถเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ได้ ก็เพราะต้าฉินได้มอบสภาพแวดล้อมที่มั่นคงให้กับเจ้า สร้างสังคมที่ไม่ต้องขึ้นไปบนภูเขาเพื่อล่าสัตว์และดื่มเลือดทุกวัน”“ทหารต้าฉินเฝ้าอยู่ที่ชายแดน คอยหลั่งเลือดอยู่ในสนามรบ ต่อต้านศัตรูจากต่างประเทศ เพื่อปกป้องราษฎร์ดรต้าฉินที่อยู่ข้างหลังพวกเขา”“ขุนนางต้าฉิน บริหารจัดการท้องถิ่น เก็บภาษีและบรรเทาภัยพิบัติ สร้างเมืองและพัฒนาถิ่นทุรกันดาร ทำให้สังคมและประเทศเจริญรุ่งเรือง”“เชื้อพระวงศ์ต้าฉิน ใช้ทักษะการเมืองและการทหาร คอยบัญชาการเหล่าทหารนับล้านและเหล่าบัณฑิตวิชาการ ทำให้ประชาชนเช่นเจ้า มีอาหารให้กิน มีเสื้อผ้าให้สวม มีถนนหลวงให้ใช้ มีบ้านเมืองให้เจ้าได้อยู่อาศัยอย่างปลอดภัย”ฝ่าเท้
“ไปตรวจสอบประวัติของพวกมันให้ข้า”หลี่เฉินชี้ไปที่มือสังหารที่ไร้ซึ่งความกลัวใดๆ ด้วยสีหน้าอันบ้าคลั่ง และพูดอย่างเย็นชาว่า “ตรวจสอบทุกเบาะแสของพวกมัน เพื่อค้นหาทะเบียนบ้าน ภูมิลำเนา ญาติในครอบครัว ทั้งที่ตายไปแล้วและที่ยังเหลืออยู่ ตรวจสอบบรรพบุรุษของพวกมันทั้ง 18 รุ่น!”“พวกมันอยากเป็นวีรบุรุษ ได้สิ งั้นนับรวมพ่อกับแม่ไปด้วยเลยดีไหม? ในเมื่อมีลูกเป็นวีรบุรุษ เช่นนั้นพ่อแม่และตระกูลของพวกมัน ก็สมควรออกมาอาบแสงแห่งเกียรติยศนี่ด้วยกัน”“เมื่อค้นพบบรรพบุรุษทั้งสิบแปดรุ่นของพวกมันแล้ว คนที่ตายไปแล้วให้ขุดหลุมศพขึ้นมา เปิดโลงศพแล้วบดกระดูกของพวกมัน เพื่อโปรยขี้เถ้าของพวกเขา หากยังมีชีวิต ผู้ชายให้สังหารให้หมด ส่วนผู้หญิงถ้าอยู่ในวัยที่เหมาะสมก็ส่งไปยังหอคณิกาของทางการ หากมีอายุที่ไม่เหมาะสมก็ส่งไปที่ฝ่ายแรงงาน ลงทะเบียนเป็นทาส ไม่อนุญาตให้พลิกสถานะตลอดชีวิต!” หลังจากออกคำสั่ง ชายร่างอ้วนและชายร่างผอมก็มีสีหน้าซีดเซียวในทันทีอย่าว่าแต่พวกเขาเลย แม้แต่เหล่าองครักษ์เสื้อแพรที่คุ้นเคยกับความโหดร้ายก็ยังตกใจกลัว การทรมานดังกล่าวอาจกล่าวได้ว่าโหดร้ายถึงแก่นแท้ นี่ไม่ใช่แค่กรณีของค
สีหน้าของซานเป่าพลันเคร่งขรึม เขาสงสัยด้วยซ้ำว่าฝ่าบาทเคยต่อกรกับสำนักบัวขาวมาก่อนแล้วหรือไม่มิฉะนั้นจะรู้พฤติกรรมของสำนักบัวขาวได้อย่างไร? ซึ่งในความเข้าใจของซานเป่าที่มีต่อสำนักบัวขาว พวกเขาจะไม่ปล่อยให้ใครมีชีวิตอยู่จริงๆอู๋เจียงอี้ผู้น่าสงสารคงคิดไม่ถึงว่า เมื่อข่าวที่เขาถูกจับทั้งเป็นแพร่กระจายออกไป วันนั้นก็คือวันตายของแม่เขา “ฝ่าบาท บ่าวมีแผน”ซานเป่าลดเสียงลงและพูดว่า “บ่าววางแผนที่จะประกาศข่าวว่าสองคนนี้ถูกจับทั้งเป็น จากนั้นก็เลือกวันสอบสวนและสังหารต่อหน้าสาธารณชน ด้วยวิธีนี้ สำนักบัวขาวจะต้องมาช่วยคนอย่างแน่นอน พวกเขาสองคนคือเหยื่อล่อชั้นดี” หลี่เฉินเข้าใจทันทีว่าซานเป่าหมายถึงอะไร เขามองขันทีที่มีน้ำเสียอยู่เต็มท้องอย่างรังเกียจ ก่อนจะโบกมือแล้วพูดว่า “เจ้าจัดการตามที่เห็นสมควรเถอะ”แต่หลี่เฉินไม่รู้ว่ากระบวนการทั้งหมดที่เขาจัดการกับมือสังหารสองคนนั้น ถูกจับตามองด้วยดวงตาสองคู่ ในมุมบอดของห้องด้านข้างพระที่นั่งสีเจิ้ง ย่าเมิ่งโกรธจัดจนตัวสั่นไปทั้งตัว นางปรารถนาจะออกไปสับหลี่เฉินออกเป็นชิ้นๆ ด้วยความโกรธเมื่อเห็นว่าอู๋เจียงอี้ต้องการที่จะสารภาพ เ
สวีฉังชิง เป็นหนึ่งในขุนนางที่ซื่อสัตย์และใสสะอาดที่สุดในราชสำนักต้าฉินหลี่เฉินเคยเห็นกับตาตอนที่สวีฉังชิงตกอยู่ในปัญหาครั้งก่อน และหลี่เฉินได้ไปที่บ้านของเขาดังนั้น เมื่อได้ยินคำบ่นอย่างขุ่นเคืองของสวีฉังชิง หลี่เฉินก็เพียงแต่หัวเราะและปลอบโยนว่า “เขาทำหน้าที่ของเขา เจ้าจะไปถือสาอะไรกับเขา”ถ้าเปรียบเทียบกับสวีฉังชิง เหอคุนคือคนอีกขั้วหนึ่งโดยสิ้นเชิงเหอคุนเต็มไปด้วยความลื่นไหล ไหวพริบ และความโลภ ซึ่งทั้งหมดนี้ตรงข้ามกับลักษณะของสวีฉังชิงโดยสิ้นเชิง ด้วยเหตุนี้ สวีฉังชิงจึงไม่ชอบเหอคุนตั้งแต่แรกเห็นในแง่คุณสมบัติ เหอคุนอาจดูเหมือนเต็มไปด้วยข้อเสีย หลี่เฉินไม่มีทางสนใจแน่แต่สิ่งที่หลี่เฉินให้ความสำคัญคือ ความสามารถในการทำงานของเหอคุนคนอย่างเหอคุน หากไม่ได้มีพื้นเพต่ำต้อย คงจะมีอนาคตในราชสำนักที่ไกลกว่าสวีฉังชิงมากสวีฉังชิงเหมาะกับการทำงานหนักแบบไม่หวังผลตอบแทน แต่เหอคุน คือคนที่สามารถจับจุดอ่อนของปัญหา และหาทางแก้ไขให้หลี่เฉินได้อย่างชัดเจนและนี่คือสิ่งที่กลบข้อเสียส่วนใหญ่ของเหอคุนได้เมื่อเห็นว่าสวีฉังชิงยังคงแสดงความไม่พอใจ หลี่เฉินจึงกล่าวว่า “เจ้ากับเขามีบุคลิกแล
“หากองค์ชายจำพวกท่านไม่ได้ พวกท่านก็เหนื่อยเปล่า”คำพูดของเหอคุนทำให้ขุนนางทั้งสามคนพยักหน้ารับอย่างต่อเนื่อง“ใต้เท้าเหอ ตำแหน่งคนแรกที่ส่งของกำนัลก็ถูกใต้เท้าเหอแย่งไปแล้ว พวกเราจะส่งของที่ดี ก็ไม่มีปัญญาเสียด้วยซ้ำ” ขุนนางวัยกลางคนคนหนึ่งกล่าวด้วยใบหน้าขมขื่นเหอคุนส่ายหน้า “ท่านเข้าใจผิดแล้ว หากว่ากันด้วยความดีเยี่ยม อย่างไรก็ไม่มีทางเอาชนะเหล่าขุนนางชั้นสูงหรือราชวงศ์ พวกเขามีสมบัติล้ำค่ามากมาย เราไม่อาจเทียบได้อยู่แล้ว”“แต่พวกท่านลองคิดดู ทำไมองค์ชายถึงทำเช่นนี้? ก็เพราะอยากดูว่าใครในราชสำนักมีความจงรักภักดีต่อพระองค์ใช่หรือไม่?”“ลองเปรียบเทียบดู พ่อค้าผู้ร่ำรวยคนหนึ่งที่มีทรัพย์สินมหาศาล บริจาคเงิน 100 ตำลึง เทียบกับคนธรรมดาที่ขายทุกอย่างจนรวบรวมได้เพียง 10 ตำลึง สำหรับองค์ชาย อันไหนจะมีค่าน่าจดจำมากกว่ากัน? พวกท่านคิดว่าองค์ชายต้องการเงินของพวกท่านจริงหรือ?”เหอคุนแสร้งทำสีหน้าชื่นชม พร้อมประสานมือไปยังทิศที่เป็นพระที่นั่งสีเจิ้ง กล่าวว่า “องค์ชายทรงพระปรีชาสามารถ มิอาจเปรียบได้กับคนธรรมดาเช่นเรา องค์ชายทรงต้องการดูว่า ใครในราชสำนักที่ภักดีและมีจิตใจถวายความจงรักภักดี ซ
“จะคุยอะไรกันได้อีก ก็คงไม่พ้นแผนการจัดการข้า”หลี่เฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “คราวนี้ จ้าวเสวียนจีคงจนตรอกแล้ว”“เพิ่มการเฝ้าระวังให้มากขึ้น ข้าต้องรู้ว่าพวกเขาทำอะไรและพบใครในช่วงไม่กี่วันนี้”เฉินทงโค้งคำนับ “พ่ะย่ะค่ะ”หลังจากเฉินทงจากไป เหอคุนก็เข้ามาพบหลี่เฉิน“ทูลองค์ชาย เมื่อครู่มีขุนนางสามคนเข้ามาส่งของกำนัลเงินช่วยงาน พระองค์จะทอดพระเนตรบัญชีของกำนัลหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” เหอคุนเอ่ยถามหลี่เฉินส่ายศีรษะ “เจ้าเป็นคนจัดการไป ข้าจะดูบัญชีทั้งหมดตอนสุดท้าย ข้าคงไม่มีเวลามาดูทีละคน”เหอคุนพลันคิดบางอย่าง ก่อนกล่าวว่า “องค์ชาย กระหม่อมขอพระราชทานสิทธิในการดำเนินการตามดุลยพินิจ กระหม่อมมั่นใจว่าจะสามารถเพิ่มยอดของกำนัลได้อย่างน้อยสามส่วน”หลี่เฉินหยุดชะงักเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย “เจ้ากำลังเอามีดจ่อคอเพื่อนร่วมงานของเจ้าเอง ไม่กลัวพวกเขาเล่นงานเจ้าในที่ลับหรือ?”เหอคุนยิ้มกว้าง พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ตราบใดที่กระหม่อมมีองค์ชายเป็นที่พึ่ง กระหม่อมไม่กลัวสิ่งใด อีกอย่าง กระหม่อมมั่นใจว่าจะทำให้พวกเขายินดีมอบเงินเพิ่มอย่างเต็มใจ”“ได้ เจ้าไปจัดการเถอะ”หลี่เฉินโบกม
ทันทีที่เริ่มเคลื่อนไหวเพื่อยึดอำนาจ ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มของจ้าวเสวียนจีกับตำหนักบูรพาจะถึงจุดแตกหักโดยสมบูรณ์ ความสัมพันธ์ที่เปราะบางจะถูกทำลาย และไม่มีที่ว่างสำหรับการประนีประนอมอีกต่อไปนี่คือสิ่งที่จ้าวเสวียนจีและหลี่เฉินต่างพยายามหลีกเลี่ยงมาโดยตลอดแต่ตอนนี้ เวลานั้นก็มาถึงจางปี้อู่เอ่ยถามด้วยความกังวลว่า “ถ้าเราทำการเคลื่อนไหวใหญ่โต หน่วยบูรพาคงไม่พลาดที่จะสังเกตเห็น…”“แล้วจะอย่างไร?”จ้าวเสวียนจีลุกขึ้นยืน ท่ามกลางร่างกายที่ชราภาพกลับเปล่งไปด้วยอำนาจ เขากล่าวเสียงดังว่า “ข้ารับราชการมาเกินสี่สิบปี อยู่ในคณะเสนาบดีมานานเกือบยี่สิบปี หน่วยบูรพาเล็กๆ จะทำอะไรข้าได้?”“หากพวกมันกล้าลงมือ ก็ให้กองทัพเข้าบุกตำหนักบูรพาเสีย!”แววตาและคิ้วที่ขาวของจ้าวเสวียนจีเต็มไปด้วยความแข็งกร้าว เขากล่าวต่อด้วยเสียงเย็นเยือกท่ามกลางสายตาหวาดหวั่นของจางปี้อู่และฟู่อวี้จือว่า “ฝ่าบาททรงประชวร องค์รัชทายาทโง่เขลาและไร้ศีลธรรม ในฐานะขุนนาง เราทำได้เพียงเสี่ยงเพื่อปกป้องรากฐานของต้าฉิน”ครึ่งชั่วยาวต่อมา จางปี้อู่และฟู่อวี้จือออกจากจวนจ้าวที่หน้าประตูมีเกี้ยวสองคันจอดรออยู่“สหายจาง”ขณ
ในการควบคุมอำนาจทางการเงิน มีคนหนึ่งที่ต้องกำจัดให้ได้ไม่ต้องสงสัย คนคนนั้นคือ จ้าวเสวียนจีหลี่เฉินโยนบัญชีของกำนัลของเหอคุนลงข้างตัว พลางเรียกวั่นเจียวเจียวเข้ามาด้วยเสียงดัง “มาแต่งตัวให้ข้า”ในเมืองหลวง ณ จวนจ้าวหลังจากออกจากตำหนักบูรพา จ้าวเสวียนจีได้สั่งคนไปตามจางปี้อู่ และฟู่อวี้จือ สองขุนนางร่วมตำแหน่งมหาเสนาบดีในคณะเสนาบดีไม่นานหลังจากที่จ้าวเสวียนจีเดินทางกลับถึงจวนจ้าว สองคนก็รีบร้อนมาถึงฟู่อวี้จือและจางปี้อู่พบกันที่หน้าประตู ทั้งสองสบตากัน แต่กลับไม่เห็นหวังเถิงฮ่วนจึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยในไม่ช้า จ้าวเสวียนจีก็เรียกทั้งสองเข้ามายังห้องหนังสือ“ผู้อาวุโส วันนี้ตำหนักบูรพามีคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่?”ฟู่อวี้จือถามถึงเรื่องเย่ลู่ฉีหมิงที่ถูกสังหารแม้เมืองหลวงจะใหญ่และผู้คนมากมาย แต่เรื่องใหญ่เช่นนี้ย่อมไม่สามารถปิดบังสองขุนนางอาวุโสได้ พวกเขาทราบข่าวอย่างรวดเร็วว่าเย่ลู่ฉีหมิงเกิดเรื่อง แต่รายละเอียดนั้นพวกเขายังไม่รู้ เนื่องจากจ้าวเสวียนจีและหวังเถิงฮ่วนเป็นผู้ไปตำหนักบูรพาจ้าวเสวียนจีจิบชาแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า “ไม่มีคำตอบ ก็คือคำตอบของตำหนั
“เข้าใจแล้วก็ออกไปได้”เหอคุนค่อยๆ ยกตัวขึ้นเล็กน้อย ก่อนโค้งคำนับอย่างนอบน้อม “กระหม่อมขอบพระทัยในพระเมตตาขององค์ชาย กระหม่อมขอทูลลา”หลังจากเหอคุนก้าวออกจากคลังเก็บของ หลี่เฉินหันไปสั่งเฉินทง “ให้ทางซูหางรีบส่งข้อมูลของเหอคุนมา ข้าต้องการ”เฉินทงเข้าใจในทันที ว่าเหอคุนคนนี้กำลังจะกลายเป็นขุนนางคนสำคัญของตำหนักบูรพาดูจากสวีฉังชิงก็รู้แม้ตำแหน่งยังคงเดิม แต่ใครๆ ก็รู้ว่าพวกเขาคือคนสนิทขององค์รัชทายาท อำนาจที่พวกเขาถืออยู่ได้ขยายตัวไม่รู้กี่เท่าอดีตพวกเขาเป็นเพียงข้าราชการชายขอบในกรมครัวเรือนและกระทรวงโยธาธิการ บัดนี้แม้แต่เสนาบดีทั้งสองกรมยังต้องทำงานภายใต้สีหน้าของพวกเขาเหอคุนเองก็เช่นกันผู้ศึกษาร่วมองค์รัชทายาทเป็นเพียงขุนนางระดับห้าขั้นแรก และไม่มีอำนาจมากมายแต่ตำหนักบูรพาในตอนนี้มีผู้ศึกษาร่วมองค์รัชทายาทเพียงแค่คนเดียว หน้าที่แรกที่เขาได้รับ คือการรวบรวมและจัดการของกำนัลจากขุนนางที่องค์รัชทายาททรงให้ความสนใจอย่างมาก หากเขาสามารถทำงานนี้ได้ดี เส้นทางอำนาจของเหอคุนก็จะเปิดโล่งจนไม่มีใครหยุดยั้งได้ต้องตีสนิทสักหน่อยแล้วล่ะเฉินทงคิดไปถึงความเป็นไปได้หลายอย่างในเสี้ย
เงินเดือนขุนนางส่วนใหญ่มักถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ช่วงต้นราชวงศ์ในยุคสมัยศักดินา เศรษฐกิจมีความผันผวนน้อยกว่าในสังคมสมัยใหม่ เพราะใช้เงินโลหะและทองคำเป็นมาตรฐาน ทำให้อัตราเงินเฟ้อและเงินฝืดเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก และเมื่อเกิดขึ้น ความเปลี่ยนแปลงก็ไม่ได้รุนแรงดังนั้น รัฐบาลในสมัยนั้นจึงแทบไม่ปรับเปลี่ยนเงินเดือนขุนนาง หากมีการปรับเปลี่ยนก็มักจะเป็นการปรับในอัตราที่น้อยมากเพราะเงินเดือนขุนนางถือเป็นภาระสำคัญในงบประมาณของราชสำนักอย่างรุนแรงเช่นในราชวงศ์ต้าฉิน เมื่อปีที่ผ่านมา ราชสำนักต้องจ่ายเงินเดือนขุนนางรวมทั้งสิ้น 45 ล้านตำลึงเงิน แต่รายได้จากภาษีของทั้งปีนั้นมีเท่าใด?ไม่ถึง 20 ล้านตำลึงเงินนี่จึงเป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาค้างจ่ายเงินเดือนขุนนางอย่างแพร่หลายแม้ในปีที่ฝนฟ้าดี ไม่มีปัญหาภัยพิบัติ การจ่ายเงินเดือนขุนนางยังถือเป็นภาระหนักหนาสำหรับราชสำนักยิ่งไปกว่านั้น การปรับเงินเดือนขุนนางยังถือเป็นการเปลี่ยนแปลงกฎบรรพบุรุษ ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ที่อาจกระทบต่อเสถียรภาพของราชวงศ์ทั่วทั้งแผ่นดิน ไม่ใช่สิ่งที่จะปรับเปลี่ยนได้ง่ายๆแค่ภาระทางการเงินที่เพิ่มขึ้นก็อาจทำให้ราชสำนักล่มสลายได
"ดำรงตำแหน่งหัวหน้ากรมทอผ้าซูหางมา 4 ปี เจ้าทุจริตไปเท่าไหร่?"คำถามของหลี่เฉินตรงไปตรงมาและเฉียบขาดทำให้เหอคุนที่เดิมก็ประหม่าอยู่แล้วเหงื่อแตกซึมไปทั่วร่าง เขาไม่กล้าลังเลแม้แต่น้อย รีบตอบด้วยความกลัวว่า “โรงทอผ้า โรงย้อม และพ่อค้ารายใหญ่ในอุตสาหกรรมนี้ล้วนส่งสินบนให้กรมทอผ้ามาโดยตลอดทุกฤดูกาล”“ในตอนแรกยังมีความลับลมคมในบ้าง แต่สองปีมานี้กลับกลายเป็นเรื่องที่เปิดเผยมากขึ้น กรมทอผ้าเองก็ยอมรับว่าเป็นรายได้ประจำทุกไตรมาส”“ตลอดหลายปีที่ผ่านมา กระหม่อมได้รับสินบนจนแทบนับไม่ถ้วน หากนับเป็นเงินก็ประมาณ 4-5 แสนตำลึงเงิน”เมื่อได้ยินตัวเลขนี้ แม้แต่เฉินทงยังอดไม่ได้ที่จะหันไปมองเหอคุนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยสายตาตกใจ4-5 แสนตำลึงเงิน!นี่มันอะไรกัน!?เฉินทงในฐานะขุนนางของหน่วยบูรพา แม้มีเงินเดือนรวมเบี้ยเลี้ยงและสิทธิประโยชน์ต่างๆ ก็ได้เพียงปีละ 300 กว่าตำลึง หากเป็นขุนนางระดับเดียวกันที่ไม่มีเบี้ยเลี้ยงพิเศษ อาจได้ไม่ถึง 200 ตำลึงต่อปีด้วยซ้ำแต่เหอคุน ซึ่งเป็นเพียงขุนนางระดับห้าขั้นแรก กลับใช้เวลา 4 ปีโกงเงินได้ 4 ล้านกว่าตำลึงเงิน เฉลี่ยปีละหนึ่งล้านตำลึงเงินความแตกต่างมหาศา
ต่อหน้าคำกล่าวอย่างซื่อสัตย์และจริงใจของเหอคุน หลี่เฉินกลับไม่ได้แสดงท่าทีใดๆเขาเพียงใช้บัญชีของกำนัลตีลงบนฝ่ามือช้าๆ เหมือนกำลังพิจารณาว่าจะจัดการกับเหอคุนเช่นไรขณะที่เหอคุนนั้นไม่กล้าพูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว แม้แต่การหายใจก็ต้องควบคุมจังหวะ เกรงว่าจะทำให้หลี่เฉินที่อยู่ตรงหน้าขุ่นเคืองความเงียบและความกดดันที่มองไม่เห็นดำเนินไป จนกระทั่งเฉินทงเดินเข้ามาทำลายความเงียบนี้“องค์ชาย กระหม่อมได้ตรวจสอบเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”หลังจากเดินเข้ามาในคลัง เฉินทงคำนับหลี่เฉินก่อน กล่าวต่อเมื่อได้รับการพยักหน้าอนุญาตจากหลี่เฉิน โดยไม่ชายตามองเหอคุนที่คุกเข่าอยู่แม้แต่น้อย “เหอคุนดำรงตำแหน่งหัวหน้ากรมทอผ้าซูหางมานานกว่า 4 ปี ตามกฎของกรมขุนนาง ปีนี้เขาจะต้องผ่านการประเมินผลการปฏิบัติงานเพื่อตัดสินว่าจะต่ออายุงาน ปรับย้าย หรือถูกลดตำแหน่ง”“หลายเดือนก่อน สหายร่วมถิ่นของเหอคุนชื่อโจวรุ่ย ซึ่งเป็นข้าราชการในกรมขุนนางและอยู่ในกลุ่มสนับสนุนคณะเสนาบดี ถูกสวีฉังชิงจากกรมครัวเรือนกล่าวหาและถูกองครักษ์เสื้อแพรจับกุมและประหารชีวิต เมื่อโจวรุ่ยล้มลง เหอคุนก็ไร้ผู้สนับสนุนในราชสำนัก กระหม่อมได้ตรวจสอบผลก