เริ่มแรกก็มีการปิดเมือง จากนั้นก็มีการตรวจค้น บรรยากาศปีใหม่อันอบอุ่นในตอนแรกก็หายไปในทันที คนธรรมดาทั่วไปยังดี พวกเขาซ่อนหรือต่อต้านไม่ได้ จึงให้ความร่วมมือแต่โดยดี แต่อย่างไรก็ตาม ขุนนางราชสำนักบางคนที่มีเจตนาแอบแฝงต่างรู้สึกหวาดกลัวมาก จนคิดว่าตำหนักบูรพาฉวยโอกาสนี้เพื่อทำการกวาดล้างครั้งใหญ่มีบางคนต่อต้านด้วยการพึ่งพาอำนาจและสถานะของพวกเขา ทำให้องครักษ์อวี่หลินเรียกคนของหน่วยบูรพามา ทันทีที่พวกเขาเห็นหน่วยบูรพา พวกเขาทั้งหมดก็เริ่มซื่อสัตย์ไม่มีขุนนางคนไหนไม่กลัวหน่วยบูรพา ยิ่งไปกว่านั้น คนที่อยู่เบื้องหลังของหน่วยบูรพาตอนนี้ ก็คือตำหนักบูรพาก่อนหน้านี้ก็มีตัวอย่างนองเลือดอยู่แล้ว ท่านนั้นของตำหนักบูรพาก็เคยตัดหัวขุนนางใหญ่มาแล้ว และคนที่ตายเพราะเขา ก็ไม่สามารถนับได้ด้วยมือข้างเดียว ขณะเดียวกัน ณ.กระท่อมไม้อันห่างไกลในเมืองหลวง “แค่ก!”ย่าเมิ่งเปิดปากเพื่อถ่มเลือดเสียออกมา จากนั้นก็พูดกับสตรีศักดิ์สิทธิ์ซึ่งกำลังรักษาอาการบาดเจ็บให้นางอยู่ด้านหลังว่า “สตรีศักดิ์สิทธิ์ ยายเฒ่าผู้นี้รู้สึกละอายใจต่อท่านเหลือเกิน” สตรีศักดิ์สิทธิ์พูดอย่างใจเย็นว่า “ตอนนี้ไ
ขันทีที่อยู่ข้างๆ จ้าวชิงหลานก็เดินเข้ามาถามด้วยเสียงที่แผ่วเบาว่า “พระนาง นี่ก็ดึกมากแล้ว มิสู้ให้บ่าวไปตำหนักบูรพาสักรอบดีหรือไม่?”จ้าวชิงหลานเหลือบมองสีของท้องฟ้าแล้วส่ายหน้า “รออีกหน่อยเถอะ เรื่องใหญ่เช่นนี้ องค์รัชทายาทไม่น่าจะล่าช้าได้” เมื่อเห็นจ้าวชิงหลานกล่าวเช่นนี้ ขันทีจึงถอยออกมาแต่เมื่อเวลาผ่านไป องค์รัชทายาทก็ไม่ปรากฏตัวสักที เวลานี้ แม้แต่นางสนมในวังหลังที่อยู่ด้านหลังของจ้าวชิงหลาน ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันตอนนี้จักรพรรดิองค์ปัจจุบันกำลังประชวร และนอนหมดสติอยู่บนแท่นบรรทมในเวลานี้ ซึ่งการถวายพระพรองค์จักรพรรดิก็เป็นเรื่องใหญ่ แต่องค์รัชทายาทกลับมาสายขนาดนี้ จึงมีเหตุผลที่จะถูกวิพากษ์วิจารณ์และแล้วความอดทนของจ้าวชิงหลานก็ค่อยๆ หมดลง “จ้าวอ๋อง” จ้าวชิงหลานเรียกหลี่อิ๋นหู่ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ก็เดินเข้ามาทันทีหลังจากได้ยินเสียงเรียก เมื่อคำนับจ้าวชิงหลานแล้ว เขาก็หลุบตาลงแล้วกล่าวว่า “เสด็จแม่ ลูกอยู่นี่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” “เหตุใดองค์รัชทายาทจึงยังไม่มา?”หลี่อิ๋นหู่ชะงัก แต่ในใจกลับคิดว่าตอนนี้องค์รัชทายาทคงตายไปแล้ว เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขา
ไม่ว่าจะเป็นจ้าวชิงหลานหรือหลี่อิ๋นหู่ สีหน้าของพวกเขาก็ไม่ได้ผิดปกติเลยความเงียบของหลี่อิ๋นหู่ และความไม่อดทนของจ้าวชิงหลาน ล้วนเป็นปฏิกิริยาปกติของพวกเขาในขณะนี้ “อันธพาล?” ใบหน้าของจ้าวชิงหลานเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ นางกล่าวเสียงเรียบว่า “ถ้าอย่างนั้นพวกอันธพาลก็ใจกล้าจริงๆ พวกเขากล้าสร้างปัญหาให้กับองค์รัชทายาทในวันแบบนี้ได้ จัดการพวกมันเรียบร้อยแล้วหรือไม่?” “เรียบร้อยหมดจด”หลี่เฉินเหลือบมองหลี่อิ๋นหู่ ขณะกำลังจะเปิดปากพูด แต่ขันทีที่ยืนอยู่ข้างๆ มาตลอดก็เปิดปากพูดว่า “พระนาง จ้าวอ๋อง เวลาล่วงเลยมานานแล้ว พระองค์จะเสด็จเข้าไปถวายพระพรจักรพรรดิเลยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”ประโยคนี้ เรียกจ้าวชิงหลาน เรียกหลี่อิ๋นหู่ แต่เพิกเฉยต่อหลี่เฉินหลี่เฉินขมวดคิ้ว หันศีรษะมาตวาดด้วยสีหน้าที่เย็นชา “บ่าวคนนี้ เจ้ากำลังตำหนิที่ข้ามาช้างั้นหรือ?”ขันทีคนนั้นถือดีว่าตัวเองเป็นคนของฮองเฮา จึงไม่กลัวหลี่เฉิน ซ้ำยังกล่าวอย่างอาจหาญว่า “วันนี้เป็นวันส่งท้ายปีเก่าจะต้องถวายพระพรองค์จักรพรรดิ หอดูดาวหลวงได้คำนวณฤกษ์ยามอย่างเคร่งครัด และไม่อาจผิดพลาดได้ พระนางกับท่านอื่นๆ ต่างมารอที่นี่นานแล
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกมา ทุกคนที่อยู่ด้านหน้าของตำหนักเฉียนชิงก็เกิดอาการอ้าปากค้างการลอบสังหารองค์รัชทายาท ไม่ว่าจะเป็นราชวงศ์ใดหรือยุคใดก็ตาม ถือเป็นรองเพียงการลอบสังหารองค์จักรพรรดิเท่านั้น แต่ไม่ว่าจะเป็นการลอบสังหารองค์จักรพรรดิหรือว่าองค์รัชทายาท โทษสถานเดียวที่เหล่ามือสังหารจะได้รับก็คือ การประหารชีวิตเก้าชั่วโคตรไม่มีใครสงสัยสิ่งที่หลี่เฉินพูด เพราะเรื่องแบบนี้ไม่สามารถปลอมแปลงได้ในฐานะองค์รัชทายาท เป็นไปไม่ได้ที่จะแต่งเรื่องโกหกเช่นนี้ขึ้นมา ใบหน้าของจ้าวชิงหลานเต็มไปด้วยความตกใจ ปฏิกิริยาแรกของนางในตอนนี้ก็คือเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นได้อย่างไร ปฏิกิริยาที่สองคือเสียดาย...สำนักบัวขาวพวกนั้นไร้ประโยชน์จริงๆ ลงมือทั้งที ก็ดันล้มเหลวจนได้ เมื่อเห็นว่าองค์รัชทายาทพาองครักษ์อวี่หลินมา แทนที่จะเป็นทหารองค์รักษ์พระราชวัง ก็จะเห็นได้ชัดว่าการลอบสังหารที่เกิดขึ้นนั้นคงคุกคามองค์รัชทายาทเป็นอย่างมาก แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงล้มเหลวอยู่ดีตั้งแต่หลี่เฉินปรากฏตัว หลี่อิ๋นหู่ที่เงียบงันอยู่ข้างๆ ก็คิ้วกระตุกอย่างรุนแรง แม้การปรากฏตัวของหลี่เฉินจะหมายความว่า ปฏิ
“ชุดของเจ้าในวันนี้ ดูแตกต่างไปจากปกติ” หลี่เฉินและจ้าวชิงหลานเดินเคียงข้างกันเพียงไม่กี่ก้าว จู่ๆ หลี่เฉินก็พูดขึ้นมา ด้วยเสียงที่ได้ยินเพียงสองคนเท่านั้นจ้าวชิงหลานหยุดชะงักเล็กน้อย นางจ้องมองไปที่หลี่เฉินอย่างเย็นชา สีหน้าบูดบึ้งแต่ไม่พูดอะไรเมื่อหลี่เฉินเห็นดังนั้น เขาก็หัวเราะเบาๆ และขยับเข้ามาใกล้จ้าวชิงหลานให้มากขึ้นเล็กน้อยอย่างอวดดี “อะไรกัน ลูกเพิ่งจะหนีจากความตายมาได้ เสด็จแม่ไม่คิดจะปลอบโยนลูกหน่อยหรือ?”คำพูดที่ไร้สาระและการกระทำที่หยิ่งผยองของหลี่เฉิน ทำให้จ้าวชิงหลานโกรธมาก “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ!?”จ้าวชิงหลานดุเสียงเบาด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด “มีคนมากมายกำลังมองอยู่ เจ้าอยากตายรึ?”“ตามกฎแล้ว เจ้าควรอยู่ข้างหลังข้าครึ่งก้าว!”หลี่เฉินพูดเบาๆ “กฎ? โลกนี้ไม่มีกฎเกณฑ์ มีแค่ผู้ที่แข็งแกร่งที่ควบคุมผู้ที่อ่อนแอเท่านั้น และนั่นคือที่มาของกฎ เจ้าว่าถูกต้องไหม?” “พูดจาไร้สาระ!”จ้าวชิงหลานไม่ต้องการฟังตรรกะเบี้ยวๆ ของหลี่เฉิน นางจึงกล่าวเสียงเย็นชาว่า “มือสังหารพวกนั้นช่างไร้ประโยชน์จริงๆ เหตุใดจึงฆ่าเจ้าไม่ได้!” “นี่ไม่ใช่สิ่งที่ฮองเฮาควรจะพูดกับองค์รัชทาย
“ฮองเฮาและองค์รัชทายาท โปรดทรงคุกเข่า!”ขุนนางสำนักคุมประพฤติซึ่งรู้ขั้นตอนพิธีการดีอยู่ก็ตะโกนเบา ๆหลี่เฉินและจ้าวชิงหลานถอยหลังไปสองสามก้าว แล้วคุกเข่าลงบนพื้นด้วยความเคารพ “หนึ่ง คำนับฟ้าดินและเทพเซียน” หลี่เฉินและจ้าวชิงหลานก้มลงและคำนับ หลังจากลุกขึ้น ขุนนางสำนักคุมประพฤติก็ตะโกนอีกครั้ง “สอง คำนับบรรพบุรุษ” ทั้งสองคำนับอีกครั้ง“สาม ขอให้องค์จักรพรรดิทรงมีพระวรกายแข็งแรงยิ่งยืนนาน” หลี่เฉินและจ้าวชิงหลานคุกเข่าลงในห้องโถง และผู้คนด้านนอกก็ไม่มีใครอยู่เฉยเช่นกันเนื่องจากพวกเขาไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าไปในตำหนักโดยตรง จึงทำได้แค่คุกเข่าคำนับอยู่หน้าประตูหลี่อิ๋นหู่โค้งคำนับอย่างแข็งทื่อราวกับหุ่นยนต์ ในขณะนี้ มีเพียงความคิดเดียวที่วิ่งวนอยู่ในใจของเขาเขาจะฆ่าหลี่เฉินและแทนที่มันด้วยตัวเองอย่างไร! หลังจากกราบสามครั้งคำนับเก้าครั้ง หลี่เฉินก็ลุกขึ้นยืน เมื่อมาถึงที่หน้าแท่นบรรทมมังกร เขาก็มองดูองค์จักรพรรดิ แล้วหันไปหาหมอหลวงที่ประจำการอยู่ที่นี่ทั้งกลางวันและกลางคืน “พระอาการของเสด็จพ่อดีขึ้นแล้วหรือยัง?”หมอหลวงที่ปฏิบัติหน้าที่ก็โค้งคำนับ และกล่าวอ
“หม่อมฉัน คาวระฮองเฮา”“ลูก คารวะเสด็จแม่” เมื่อมีหลี่เฉินเป็นผู้นำ ทุกคนก็ยกจอกเหล้าขึ้น และดื่มคารวะให้จ้าวชิงหลาน จ้าวชิงหลานมีหน้าสงบเยือกเย็น นางชูจอกเหล้าขึ้นแล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “องค์รัชทายาท ทุกคนช่างใส่ใจยิ่งนัก”ในทำนองเดียวกัน นางก็จิบเหล้าในจอกด้วย การเคลื่อนไหวดูสงบนิ่ง แต่จ้าวชิงหลานก็มีความระมัดระวังในใจจากความเข้าใจของนางที่มีต่อหลี่เฉิน คนผู้นี้เป็นคนประเภทไม่เห็นกระต่าย ไม่ปล่อยเหยี่ยว[footnoteRef:1] เขาคงมีแผนการอะไรบางอย่าง [1: ไม่เห็นกระต่าย ไม่ปล่อยเหยี่ยว หมายถึง ลงมือเมื่อเห็นเป้าหมายชัดเจนเท่านั้น] เป็นพวกทำดีหวังผล! แน่นอน ทันทีที่หลี่เฉินวางจอกเหล้าลง เขาก็พูดขึ้นว่า “ข้ายังมีอีกเรื่องหนึ่ง”พูดจบ หลี่เฉินก็เหลือบมองหลี่อิ๋นหู่แวบหนึ่ง และกล่าวอย่างใจเย็นว่า “ตอนนี้เหล่าน้องชายและน้องสาวก็โตขึ้นแล้ว พวกเขามาจากราชวงศ์ มีสายเลือดของราชวงศ์ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงควรแบกรับความรับผิดชอบมากขึ้น”“แต่ก่อนที่จะแบกรับหน้าที่ เรื่องอย่างบทกวี หนังสือ และมารยาทก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ก่อนหน้านี้ ทุกคนส่วนใหญ่ล้วนหาครูมาสอนเอง ส่งผลให้ระดับขององค์
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกมา คำพูดหลายพันคำของหลี่อิ๋นหู่ก็ติดอยู่ในลำคอ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ร่างกายของเขาสั่นเล็กน้อยเขากัดฟันแล้วยิ้มออกมาในทันที รอยยิ้มนี้ ทำให้ปฏิกิริยาผิดปกติทั้งหมดในร่างกายของเขาหายไปในทันทีเขาโค้งคำนับด้วยความเคารพแล้วพูดว่า “น้องชายไม่กล้า น้องชายเพียงอยากบอกว่า การได้ชี้แนะเหล่าน้องๆ เช่นนี้ เป็นโอกาสที่จะกระชับความสัมพันธ์ระหว่างน้องชายกับพวกเขาให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น นี่เป็นสิ่งที่น้องชายถวิลหา”“เช่นนั้นก็ดี” หลี่เฉินกล่าวเสียงเรียบ “จ้าวอ๋องรู้ความเช่นนี้ พี่ชายอย่างข้าก็รู้สึกปลาบปลื้ม จอกนี้ดื่มให้เจ้า” เมื่อเห็นหลี่เฉินหยิบจอกเหล้าขึ้นมา หลี่อิ๋นหู่ก็เอื้อมมือออกไปคว้าจอกเหล้าของตัวเองไว้แน่น ยิ้มให้หลี่เฉิน จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นและดื่มรวดเดียวจนเกลี้ยงเมื่อมองไปที่หลี่อิ๋นหู่ที่วางจอกเหล้าบนโต๊ะอย่างแรง หลี่เฉินซึ่งดื่มเสร็จก็ค่อยๆ วางจอกเหล้าลงอย่างช้าๆ และพูดอย่างใจเย็นว่า “น้องชายน้องสาวทั้งหลาย ยังไม่รีบขอบคุณพี่แปดอีกหรือ?” ไม่ว่าอายุมากหรือน้อย ตราบใดที่พวกเขาเป็นองค์ชายและองค์หญิงที่พอจะมีไหวพริบเพียงเล็กน้อย ต่างก