“ชุดของเจ้าในวันนี้ ดูแตกต่างไปจากปกติ” หลี่เฉินและจ้าวชิงหลานเดินเคียงข้างกันเพียงไม่กี่ก้าว จู่ๆ หลี่เฉินก็พูดขึ้นมา ด้วยเสียงที่ได้ยินเพียงสองคนเท่านั้นจ้าวชิงหลานหยุดชะงักเล็กน้อย นางจ้องมองไปที่หลี่เฉินอย่างเย็นชา สีหน้าบูดบึ้งแต่ไม่พูดอะไรเมื่อหลี่เฉินเห็นดังนั้น เขาก็หัวเราะเบาๆ และขยับเข้ามาใกล้จ้าวชิงหลานให้มากขึ้นเล็กน้อยอย่างอวดดี “อะไรกัน ลูกเพิ่งจะหนีจากความตายมาได้ เสด็จแม่ไม่คิดจะปลอบโยนลูกหน่อยหรือ?”คำพูดที่ไร้สาระและการกระทำที่หยิ่งผยองของหลี่เฉิน ทำให้จ้าวชิงหลานโกรธมาก “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ!?”จ้าวชิงหลานดุเสียงเบาด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด “มีคนมากมายกำลังมองอยู่ เจ้าอยากตายรึ?”“ตามกฎแล้ว เจ้าควรอยู่ข้างหลังข้าครึ่งก้าว!”หลี่เฉินพูดเบาๆ “กฎ? โลกนี้ไม่มีกฎเกณฑ์ มีแค่ผู้ที่แข็งแกร่งที่ควบคุมผู้ที่อ่อนแอเท่านั้น และนั่นคือที่มาของกฎ เจ้าว่าถูกต้องไหม?” “พูดจาไร้สาระ!”จ้าวชิงหลานไม่ต้องการฟังตรรกะเบี้ยวๆ ของหลี่เฉิน นางจึงกล่าวเสียงเย็นชาว่า “มือสังหารพวกนั้นช่างไร้ประโยชน์จริงๆ เหตุใดจึงฆ่าเจ้าไม่ได้!” “นี่ไม่ใช่สิ่งที่ฮองเฮาควรจะพูดกับองค์รัชทาย
“ฮองเฮาและองค์รัชทายาท โปรดทรงคุกเข่า!”ขุนนางสำนักคุมประพฤติซึ่งรู้ขั้นตอนพิธีการดีอยู่ก็ตะโกนเบา ๆหลี่เฉินและจ้าวชิงหลานถอยหลังไปสองสามก้าว แล้วคุกเข่าลงบนพื้นด้วยความเคารพ “หนึ่ง คำนับฟ้าดินและเทพเซียน” หลี่เฉินและจ้าวชิงหลานก้มลงและคำนับ หลังจากลุกขึ้น ขุนนางสำนักคุมประพฤติก็ตะโกนอีกครั้ง “สอง คำนับบรรพบุรุษ” ทั้งสองคำนับอีกครั้ง“สาม ขอให้องค์จักรพรรดิทรงมีพระวรกายแข็งแรงยิ่งยืนนาน” หลี่เฉินและจ้าวชิงหลานคุกเข่าลงในห้องโถง และผู้คนด้านนอกก็ไม่มีใครอยู่เฉยเช่นกันเนื่องจากพวกเขาไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าไปในตำหนักโดยตรง จึงทำได้แค่คุกเข่าคำนับอยู่หน้าประตูหลี่อิ๋นหู่โค้งคำนับอย่างแข็งทื่อราวกับหุ่นยนต์ ในขณะนี้ มีเพียงความคิดเดียวที่วิ่งวนอยู่ในใจของเขาเขาจะฆ่าหลี่เฉินและแทนที่มันด้วยตัวเองอย่างไร! หลังจากกราบสามครั้งคำนับเก้าครั้ง หลี่เฉินก็ลุกขึ้นยืน เมื่อมาถึงที่หน้าแท่นบรรทมมังกร เขาก็มองดูองค์จักรพรรดิ แล้วหันไปหาหมอหลวงที่ประจำการอยู่ที่นี่ทั้งกลางวันและกลางคืน “พระอาการของเสด็จพ่อดีขึ้นแล้วหรือยัง?”หมอหลวงที่ปฏิบัติหน้าที่ก็โค้งคำนับ และกล่าวอ
“หม่อมฉัน คาวระฮองเฮา”“ลูก คารวะเสด็จแม่” เมื่อมีหลี่เฉินเป็นผู้นำ ทุกคนก็ยกจอกเหล้าขึ้น และดื่มคารวะให้จ้าวชิงหลาน จ้าวชิงหลานมีหน้าสงบเยือกเย็น นางชูจอกเหล้าขึ้นแล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “องค์รัชทายาท ทุกคนช่างใส่ใจยิ่งนัก”ในทำนองเดียวกัน นางก็จิบเหล้าในจอกด้วย การเคลื่อนไหวดูสงบนิ่ง แต่จ้าวชิงหลานก็มีความระมัดระวังในใจจากความเข้าใจของนางที่มีต่อหลี่เฉิน คนผู้นี้เป็นคนประเภทไม่เห็นกระต่าย ไม่ปล่อยเหยี่ยว[footnoteRef:1] เขาคงมีแผนการอะไรบางอย่าง [1: ไม่เห็นกระต่าย ไม่ปล่อยเหยี่ยว หมายถึง ลงมือเมื่อเห็นเป้าหมายชัดเจนเท่านั้น] เป็นพวกทำดีหวังผล! แน่นอน ทันทีที่หลี่เฉินวางจอกเหล้าลง เขาก็พูดขึ้นว่า “ข้ายังมีอีกเรื่องหนึ่ง”พูดจบ หลี่เฉินก็เหลือบมองหลี่อิ๋นหู่แวบหนึ่ง และกล่าวอย่างใจเย็นว่า “ตอนนี้เหล่าน้องชายและน้องสาวก็โตขึ้นแล้ว พวกเขามาจากราชวงศ์ มีสายเลือดของราชวงศ์ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงควรแบกรับความรับผิดชอบมากขึ้น”“แต่ก่อนที่จะแบกรับหน้าที่ เรื่องอย่างบทกวี หนังสือ และมารยาทก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ก่อนหน้านี้ ทุกคนส่วนใหญ่ล้วนหาครูมาสอนเอง ส่งผลให้ระดับขององค์
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกมา คำพูดหลายพันคำของหลี่อิ๋นหู่ก็ติดอยู่ในลำคอ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ร่างกายของเขาสั่นเล็กน้อยเขากัดฟันแล้วยิ้มออกมาในทันที รอยยิ้มนี้ ทำให้ปฏิกิริยาผิดปกติทั้งหมดในร่างกายของเขาหายไปในทันทีเขาโค้งคำนับด้วยความเคารพแล้วพูดว่า “น้องชายไม่กล้า น้องชายเพียงอยากบอกว่า การได้ชี้แนะเหล่าน้องๆ เช่นนี้ เป็นโอกาสที่จะกระชับความสัมพันธ์ระหว่างน้องชายกับพวกเขาให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น นี่เป็นสิ่งที่น้องชายถวิลหา”“เช่นนั้นก็ดี” หลี่เฉินกล่าวเสียงเรียบ “จ้าวอ๋องรู้ความเช่นนี้ พี่ชายอย่างข้าก็รู้สึกปลาบปลื้ม จอกนี้ดื่มให้เจ้า” เมื่อเห็นหลี่เฉินหยิบจอกเหล้าขึ้นมา หลี่อิ๋นหู่ก็เอื้อมมือออกไปคว้าจอกเหล้าของตัวเองไว้แน่น ยิ้มให้หลี่เฉิน จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นและดื่มรวดเดียวจนเกลี้ยงเมื่อมองไปที่หลี่อิ๋นหู่ที่วางจอกเหล้าบนโต๊ะอย่างแรง หลี่เฉินซึ่งดื่มเสร็จก็ค่อยๆ วางจอกเหล้าลงอย่างช้าๆ และพูดอย่างใจเย็นว่า “น้องชายน้องสาวทั้งหลาย ยังไม่รีบขอบคุณพี่แปดอีกหรือ?” ไม่ว่าอายุมากหรือน้อย ตราบใดที่พวกเขาเป็นองค์ชายและองค์หญิงที่พอจะมีไหวพริบเพียงเล็กน้อย ต่างก
จ้าวชิงหลานโกรธจัดจนทำราชสาสน์หล่น นางรู้สึกว่าแม้แต่การมองอักษรบนนั้นเพิ่มก็เป็นการดูหมิ่นตัวเอง สิ่งที่นางไม่ได้พูดคือในตอนท้ายของราชสาสน์ กษัตริย์ตงอิ๋งบอกว่าเขาเคยได้ยินมาว่าฮองเฮาแห่งต้าฉินมีรูปโฉมราวกับนางสวรรค์ คือสาวงามอันดับหนึ่งของใต้หล้า...ดูจากความหมายแล้ว ดูเหมือนว่าเขาต้องการให้นางที่เป็นฮองเฮา ถูกส่งไปที่นั่นมากกว่าองค์หญิง คำพูดสกปรกเช่นนี้ ทำให้จ้าวชิงหลานตัวสั่นด้วยความโกรธ “องค์รัชทายาท เจ้าคิดอย่างไรกับเรื่องนี้?”คำถามของจ้าวชิงหลาน ทำให้เหล่ามารดาในพระที่นั่งคังไท่ ที่มีบุตรเป็นองค์หญิงต่างพากันวิตกกังวลในทันใดในปัจจุบันประเทศอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก การต่อสู้ในเหลียวตงครั้งนี้เต็มไปด้วยอุปสรรคมากมาย นอกจากนี้ทางราชสำนักก็ไม่สามารถหาเงินได้ และท้องพระคลังก็ว่างเปล่า ไม่มีใครบอกได้แน่ชัดว่าองค์รัชทายาทจะส่งองค์หญิงออกไปเพื่อความปลอดภัยของประเทศหรือไม่ เพราะท้ายที่สุด เมื่อเทียบกับสตรีคนหนึ่ง ค่าใช้จ่ายในการสู้รบในสงครามนั้นสูงเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น จักรวรรดิต้าฉินในปัจจุบันก็ไม่สามารถที่จะสูญเสียได้จริงๆในราชวงศ์ตอนนี้ มีองค์หญิงสองคนที่อายุถึงเกณฑ
หลี่เฉินตะโกนอย่างเย็นชา ทำให้ใบหน้าของหลี่อิ๋นหู่เปลี่ยนเป็นสีแดง เมื่อเทียบกับการลงโทษแล้ว สิ่งที่สำคัญกว่าการลงโทษก็คือการทำลายภาพลักษณ์และศักดิ์ศรีของเขาในวังหลัง หลี่อิ๋นหู่ไม่รู้ว่าหลี่เฉินจงใจทำเช่นนี้หรือว่าบังเอิญกันแน่ ถ้าจะบอกว่าจงใจ แล้วเหตุใดถึงรู้ว่าตัวเองเลือกให้เสกสมรสเพื่อสันติภาพ?แต่ถ้าบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญ ก็อาจกล่าวได้ว่าปฏิกิริยาของหลี่เฉินนั้นเร็วกว่าที่เขาจินตนาการไว้มาก แต่ไม่ว่าจะเป็นเหตุใด ณ จุดนี้ หลี่อิ๋นหู่ทำได้เพียงกัดฟันและยอมรับความเป็นจริงเขาเดินออกจากพระที่นั่งคังไท่โดยไม่พูดอะไร และคุกเข่าที่หน้าประตูพระที่นั่งในระหว่างนั้น จ้าวชิงหลานก็ไม่ช่วยพูดให้เขาเลยสักคำ สิ่งนี้ทำให้ความไม่พอใจภายในใจของหลี่อิ๋นหู่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ในพระที่นั่งคังไท่ เหล่าพระสนมที่มีองค์ชายและองค์หญิง ต่างก็ประทับใจกับคำพูดของหลี่เฉินมากเหล่าองค์หญิงไม่จำเป็นต้องพูดมาก มีองค์รัชทายาทเลือดเหล็กเช่นนี้ พวกนางก็ไม่ต้องกังวลที่จะถูกส่งไปยังต่างประเทศ ในฐานะเหยื่อทางการเมืองที่จะได้รับความอัปยศอดสูอย่างไร้มนุษยธรรม ในทางกลับกัน เหล่าองค์ชายต่างก็มองพี่รอง
“ยอม”หลี่อิ๋นหู่เกร็งหน้า ก่อนจะตอบกลับเสียงแข็งทื่อ “เจ้าไม่พอใจ” หลี่เฉินจ้องมองหลี่อิ๋นหู่ และกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “กระหม่อมไม่กล้า” หลี่อิ๋นหู่ยังคงตอบต่อไป“ไม่กล้า?”หลี่เฉินหัวเราะเสียงเย็นชาและกล่าวว่า “แต่ข้าเห็นความเกลียดชังที่เจ้ามีต่อข้าในดวงตาของเจ้า มันรุนแรงมากจนยากที่จะเปลี่ยนแปลงได้” หลี่อิ๋นหู่กัดฟันพูด “ฝ่าบาทคือพระเชษฐาองค์โตของกระหม่อม ทั้งยังเป็นองค์รัชทายาทผู้สูงศักดิ์ กระหม่อมไม่มีเจตนาอื่นใดต่อฝ่าบาท” “ใช่ ไม่มีเจตนาอื่นใด ข้าเชื่อประโยคนี้”หลี่เฉินกล่าวอย่างสงบ แล้วจู่ๆ ก็เพิ่มความเร็วในการพูด “เพียงแค่อยากจะมาแทนที่ข้าก็เท่านั้นเอง นี่ไม่นับว่าเป็น ‘ไม่มีเจตนาอื่นใด’?”หลี่อิ๋นหู่กัดฟันจนกรามแข็ง “เหตุใดฝ่าบาทต้องพุ่งเป้ามาที่กระหม่อม?” หลี่เฉินเตะหลี่อิ๋นหู่กลิ้งลงไปกับพื้น จากนั้นก็ยกเท้าขึ้นมาเหยียบที่หน้าอกของหลี่อิ๋นหู่ และมองหลี่อิ๋นหู่ซึ่งนอนกองบนพื้นหิมะ ด้วยสายตาแหลมคมดุจใบมีด แล้วหลี่เฉินก็กล่าวว่า “เพราะข้ารู้สึกได้ถึงจิตสังหารที่เจ้ามีต่อข้า” “ตั้งแต่วันที่น้องชายของเจ้าเสียชีวิต ข้าก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกต
เมื่อกลับมาที่ตำหนักบูรพา หลี่เฉินก็ไปเยี่ยมวั่นเจียวเจียวก่อนเป็นอันดับแรก นางฟื้นขึ้นมาแล้ว เมื่อเห็นหลี่เฉินเดินเข้ามา นางก็พยายามลุกขึ้น “นอนลงเถอะ ไม่ต้องคารวะข้า”หลี่เฉินนั่งลงข้างเตียง และเหลือบมองอาหารที่อยู่ด้านข้าง เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เจ้าบาดเจ็บหนักก็ต้องทานอาหารให้มากขึ้น เพื่อเติมพลังงานให้กับร่างกาย แล้วเหตุใดจึงไม่กิน?”เนื่องจากการเสียเลือดมากเกินไป ริมฝีปากของวั่นเจียวเจียวจึงซีดลงเล็กน้อย ใบหน้าที่ขาวซีดของนางดูไม่คุ้นเคยกับการนอนพูดกับหลี่เฉิน นางกล่าวเสียงเบาว่า “กินไม่ลงเพคะ”“กินไม่ลงก็ต้องกิน” หลี่เฉินขมวดคิ้วพูด “ตอนนี้เจ้าได้รับบาดเจ็บ อยู่ในช่วงพักฟื้นร่างกาย หากไม่ทานข้าวแล้วจะฟื้นฟูร่างกายได้อย่างไร” “หรือเจ้าอยากให้ข้าป้อนเจ้า?”ประโยคสุดท้ายของหลี่เฉิน ทำให้วั่นเจียวเจียวที่อยากพูดอย่างอื่นก็พลันหยุดชะงักทันที ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นางไม่กล้าให้หลี่เฉินป้อนอาหารให้นางแน่ เห็นได้ชัดว่าอาหารมื้อนี้ทำให้วั่นเจียวเจียวเป็นพิเศษ ไม่เพียงแต่ใช้ส่วนผสมที่มีคุณค่าทางโภชนาการมากมายเท่านั้น แต่ยังมีอาหารยาที่หายากอีกมากมายอีกด้วยตอนท