“ชุดของเจ้าในวันนี้ ดูแตกต่างไปจากปกติ” หลี่เฉินและจ้าวชิงหลานเดินเคียงข้างกันเพียงไม่กี่ก้าว จู่ๆ หลี่เฉินก็พูดขึ้นมา ด้วยเสียงที่ได้ยินเพียงสองคนเท่านั้นจ้าวชิงหลานหยุดชะงักเล็กน้อย นางจ้องมองไปที่หลี่เฉินอย่างเย็นชา สีหน้าบูดบึ้งแต่ไม่พูดอะไรเมื่อหลี่เฉินเห็นดังนั้น เขาก็หัวเราะเบาๆ และขยับเข้ามาใกล้จ้าวชิงหลานให้มากขึ้นเล็กน้อยอย่างอวดดี “อะไรกัน ลูกเพิ่งจะหนีจากความตายมาได้ เสด็จแม่ไม่คิดจะปลอบโยนลูกหน่อยหรือ?”คำพูดที่ไร้สาระและการกระทำที่หยิ่งผยองของหลี่เฉิน ทำให้จ้าวชิงหลานโกรธมาก “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ!?”จ้าวชิงหลานดุเสียงเบาด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด “มีคนมากมายกำลังมองอยู่ เจ้าอยากตายรึ?”“ตามกฎแล้ว เจ้าควรอยู่ข้างหลังข้าครึ่งก้าว!”หลี่เฉินพูดเบาๆ “กฎ? โลกนี้ไม่มีกฎเกณฑ์ มีแค่ผู้ที่แข็งแกร่งที่ควบคุมผู้ที่อ่อนแอเท่านั้น และนั่นคือที่มาของกฎ เจ้าว่าถูกต้องไหม?” “พูดจาไร้สาระ!”จ้าวชิงหลานไม่ต้องการฟังตรรกะเบี้ยวๆ ของหลี่เฉิน นางจึงกล่าวเสียงเย็นชาว่า “มือสังหารพวกนั้นช่างไร้ประโยชน์จริงๆ เหตุใดจึงฆ่าเจ้าไม่ได้!” “นี่ไม่ใช่สิ่งที่ฮองเฮาควรจะพูดกับองค์รัชทาย
“ฮองเฮาและองค์รัชทายาท โปรดทรงคุกเข่า!”ขุนนางสำนักคุมประพฤติซึ่งรู้ขั้นตอนพิธีการดีอยู่ก็ตะโกนเบา ๆหลี่เฉินและจ้าวชิงหลานถอยหลังไปสองสามก้าว แล้วคุกเข่าลงบนพื้นด้วยความเคารพ “หนึ่ง คำนับฟ้าดินและเทพเซียน” หลี่เฉินและจ้าวชิงหลานก้มลงและคำนับ หลังจากลุกขึ้น ขุนนางสำนักคุมประพฤติก็ตะโกนอีกครั้ง “สอง คำนับบรรพบุรุษ” ทั้งสองคำนับอีกครั้ง“สาม ขอให้องค์จักรพรรดิทรงมีพระวรกายแข็งแรงยิ่งยืนนาน” หลี่เฉินและจ้าวชิงหลานคุกเข่าลงในห้องโถง และผู้คนด้านนอกก็ไม่มีใครอยู่เฉยเช่นกันเนื่องจากพวกเขาไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าไปในตำหนักโดยตรง จึงทำได้แค่คุกเข่าคำนับอยู่หน้าประตูหลี่อิ๋นหู่โค้งคำนับอย่างแข็งทื่อราวกับหุ่นยนต์ ในขณะนี้ มีเพียงความคิดเดียวที่วิ่งวนอยู่ในใจของเขาเขาจะฆ่าหลี่เฉินและแทนที่มันด้วยตัวเองอย่างไร! หลังจากกราบสามครั้งคำนับเก้าครั้ง หลี่เฉินก็ลุกขึ้นยืน เมื่อมาถึงที่หน้าแท่นบรรทมมังกร เขาก็มองดูองค์จักรพรรดิ แล้วหันไปหาหมอหลวงที่ประจำการอยู่ที่นี่ทั้งกลางวันและกลางคืน “พระอาการของเสด็จพ่อดีขึ้นแล้วหรือยัง?”หมอหลวงที่ปฏิบัติหน้าที่ก็โค้งคำนับ และกล่าวอ
“หม่อมฉัน คาวระฮองเฮา”“ลูก คารวะเสด็จแม่” เมื่อมีหลี่เฉินเป็นผู้นำ ทุกคนก็ยกจอกเหล้าขึ้น และดื่มคารวะให้จ้าวชิงหลาน จ้าวชิงหลานมีหน้าสงบเยือกเย็น นางชูจอกเหล้าขึ้นแล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “องค์รัชทายาท ทุกคนช่างใส่ใจยิ่งนัก”ในทำนองเดียวกัน นางก็จิบเหล้าในจอกด้วย การเคลื่อนไหวดูสงบนิ่ง แต่จ้าวชิงหลานก็มีความระมัดระวังในใจจากความเข้าใจของนางที่มีต่อหลี่เฉิน คนผู้นี้เป็นคนประเภทไม่เห็นกระต่าย ไม่ปล่อยเหยี่ยว[footnoteRef:1] เขาคงมีแผนการอะไรบางอย่าง [1: ไม่เห็นกระต่าย ไม่ปล่อยเหยี่ยว หมายถึง ลงมือเมื่อเห็นเป้าหมายชัดเจนเท่านั้น] เป็นพวกทำดีหวังผล! แน่นอน ทันทีที่หลี่เฉินวางจอกเหล้าลง เขาก็พูดขึ้นว่า “ข้ายังมีอีกเรื่องหนึ่ง”พูดจบ หลี่เฉินก็เหลือบมองหลี่อิ๋นหู่แวบหนึ่ง และกล่าวอย่างใจเย็นว่า “ตอนนี้เหล่าน้องชายและน้องสาวก็โตขึ้นแล้ว พวกเขามาจากราชวงศ์ มีสายเลือดของราชวงศ์ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงควรแบกรับความรับผิดชอบมากขึ้น”“แต่ก่อนที่จะแบกรับหน้าที่ เรื่องอย่างบทกวี หนังสือ และมารยาทก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ก่อนหน้านี้ ทุกคนส่วนใหญ่ล้วนหาครูมาสอนเอง ส่งผลให้ระดับขององค์
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกมา คำพูดหลายพันคำของหลี่อิ๋นหู่ก็ติดอยู่ในลำคอ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ร่างกายของเขาสั่นเล็กน้อยเขากัดฟันแล้วยิ้มออกมาในทันที รอยยิ้มนี้ ทำให้ปฏิกิริยาผิดปกติทั้งหมดในร่างกายของเขาหายไปในทันทีเขาโค้งคำนับด้วยความเคารพแล้วพูดว่า “น้องชายไม่กล้า น้องชายเพียงอยากบอกว่า การได้ชี้แนะเหล่าน้องๆ เช่นนี้ เป็นโอกาสที่จะกระชับความสัมพันธ์ระหว่างน้องชายกับพวกเขาให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น นี่เป็นสิ่งที่น้องชายถวิลหา”“เช่นนั้นก็ดี” หลี่เฉินกล่าวเสียงเรียบ “จ้าวอ๋องรู้ความเช่นนี้ พี่ชายอย่างข้าก็รู้สึกปลาบปลื้ม จอกนี้ดื่มให้เจ้า” เมื่อเห็นหลี่เฉินหยิบจอกเหล้าขึ้นมา หลี่อิ๋นหู่ก็เอื้อมมือออกไปคว้าจอกเหล้าของตัวเองไว้แน่น ยิ้มให้หลี่เฉิน จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นและดื่มรวดเดียวจนเกลี้ยงเมื่อมองไปที่หลี่อิ๋นหู่ที่วางจอกเหล้าบนโต๊ะอย่างแรง หลี่เฉินซึ่งดื่มเสร็จก็ค่อยๆ วางจอกเหล้าลงอย่างช้าๆ และพูดอย่างใจเย็นว่า “น้องชายน้องสาวทั้งหลาย ยังไม่รีบขอบคุณพี่แปดอีกหรือ?” ไม่ว่าอายุมากหรือน้อย ตราบใดที่พวกเขาเป็นองค์ชายและองค์หญิงที่พอจะมีไหวพริบเพียงเล็กน้อย ต่างก
จ้าวชิงหลานโกรธจัดจนทำราชสาสน์หล่น นางรู้สึกว่าแม้แต่การมองอักษรบนนั้นเพิ่มก็เป็นการดูหมิ่นตัวเอง สิ่งที่นางไม่ได้พูดคือในตอนท้ายของราชสาสน์ กษัตริย์ตงอิ๋งบอกว่าเขาเคยได้ยินมาว่าฮองเฮาแห่งต้าฉินมีรูปโฉมราวกับนางสวรรค์ คือสาวงามอันดับหนึ่งของใต้หล้า...ดูจากความหมายแล้ว ดูเหมือนว่าเขาต้องการให้นางที่เป็นฮองเฮา ถูกส่งไปที่นั่นมากกว่าองค์หญิง คำพูดสกปรกเช่นนี้ ทำให้จ้าวชิงหลานตัวสั่นด้วยความโกรธ “องค์รัชทายาท เจ้าคิดอย่างไรกับเรื่องนี้?”คำถามของจ้าวชิงหลาน ทำให้เหล่ามารดาในพระที่นั่งคังไท่ ที่มีบุตรเป็นองค์หญิงต่างพากันวิตกกังวลในทันใดในปัจจุบันประเทศอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก การต่อสู้ในเหลียวตงครั้งนี้เต็มไปด้วยอุปสรรคมากมาย นอกจากนี้ทางราชสำนักก็ไม่สามารถหาเงินได้ และท้องพระคลังก็ว่างเปล่า ไม่มีใครบอกได้แน่ชัดว่าองค์รัชทายาทจะส่งองค์หญิงออกไปเพื่อความปลอดภัยของประเทศหรือไม่ เพราะท้ายที่สุด เมื่อเทียบกับสตรีคนหนึ่ง ค่าใช้จ่ายในการสู้รบในสงครามนั้นสูงเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น จักรวรรดิต้าฉินในปัจจุบันก็ไม่สามารถที่จะสูญเสียได้จริงๆในราชวงศ์ตอนนี้ มีองค์หญิงสองคนที่อายุถึงเกณฑ
หลี่เฉินตะโกนอย่างเย็นชา ทำให้ใบหน้าของหลี่อิ๋นหู่เปลี่ยนเป็นสีแดง เมื่อเทียบกับการลงโทษแล้ว สิ่งที่สำคัญกว่าการลงโทษก็คือการทำลายภาพลักษณ์และศักดิ์ศรีของเขาในวังหลัง หลี่อิ๋นหู่ไม่รู้ว่าหลี่เฉินจงใจทำเช่นนี้หรือว่าบังเอิญกันแน่ ถ้าจะบอกว่าจงใจ แล้วเหตุใดถึงรู้ว่าตัวเองเลือกให้เสกสมรสเพื่อสันติภาพ?แต่ถ้าบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญ ก็อาจกล่าวได้ว่าปฏิกิริยาของหลี่เฉินนั้นเร็วกว่าที่เขาจินตนาการไว้มาก แต่ไม่ว่าจะเป็นเหตุใด ณ จุดนี้ หลี่อิ๋นหู่ทำได้เพียงกัดฟันและยอมรับความเป็นจริงเขาเดินออกจากพระที่นั่งคังไท่โดยไม่พูดอะไร และคุกเข่าที่หน้าประตูพระที่นั่งในระหว่างนั้น จ้าวชิงหลานก็ไม่ช่วยพูดให้เขาเลยสักคำ สิ่งนี้ทำให้ความไม่พอใจภายในใจของหลี่อิ๋นหู่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ในพระที่นั่งคังไท่ เหล่าพระสนมที่มีองค์ชายและองค์หญิง ต่างก็ประทับใจกับคำพูดของหลี่เฉินมากเหล่าองค์หญิงไม่จำเป็นต้องพูดมาก มีองค์รัชทายาทเลือดเหล็กเช่นนี้ พวกนางก็ไม่ต้องกังวลที่จะถูกส่งไปยังต่างประเทศ ในฐานะเหยื่อทางการเมืองที่จะได้รับความอัปยศอดสูอย่างไร้มนุษยธรรม ในทางกลับกัน เหล่าองค์ชายต่างก็มองพี่รอง
“ยอม”หลี่อิ๋นหู่เกร็งหน้า ก่อนจะตอบกลับเสียงแข็งทื่อ “เจ้าไม่พอใจ” หลี่เฉินจ้องมองหลี่อิ๋นหู่ และกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “กระหม่อมไม่กล้า” หลี่อิ๋นหู่ยังคงตอบต่อไป“ไม่กล้า?”หลี่เฉินหัวเราะเสียงเย็นชาและกล่าวว่า “แต่ข้าเห็นความเกลียดชังที่เจ้ามีต่อข้าในดวงตาของเจ้า มันรุนแรงมากจนยากที่จะเปลี่ยนแปลงได้” หลี่อิ๋นหู่กัดฟันพูด “ฝ่าบาทคือพระเชษฐาองค์โตของกระหม่อม ทั้งยังเป็นองค์รัชทายาทผู้สูงศักดิ์ กระหม่อมไม่มีเจตนาอื่นใดต่อฝ่าบาท” “ใช่ ไม่มีเจตนาอื่นใด ข้าเชื่อประโยคนี้”หลี่เฉินกล่าวอย่างสงบ แล้วจู่ๆ ก็เพิ่มความเร็วในการพูด “เพียงแค่อยากจะมาแทนที่ข้าก็เท่านั้นเอง นี่ไม่นับว่าเป็น ‘ไม่มีเจตนาอื่นใด’?”หลี่อิ๋นหู่กัดฟันจนกรามแข็ง “เหตุใดฝ่าบาทต้องพุ่งเป้ามาที่กระหม่อม?” หลี่เฉินเตะหลี่อิ๋นหู่กลิ้งลงไปกับพื้น จากนั้นก็ยกเท้าขึ้นมาเหยียบที่หน้าอกของหลี่อิ๋นหู่ และมองหลี่อิ๋นหู่ซึ่งนอนกองบนพื้นหิมะ ด้วยสายตาแหลมคมดุจใบมีด แล้วหลี่เฉินก็กล่าวว่า “เพราะข้ารู้สึกได้ถึงจิตสังหารที่เจ้ามีต่อข้า” “ตั้งแต่วันที่น้องชายของเจ้าเสียชีวิต ข้าก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกต
เมื่อกลับมาที่ตำหนักบูรพา หลี่เฉินก็ไปเยี่ยมวั่นเจียวเจียวก่อนเป็นอันดับแรก นางฟื้นขึ้นมาแล้ว เมื่อเห็นหลี่เฉินเดินเข้ามา นางก็พยายามลุกขึ้น “นอนลงเถอะ ไม่ต้องคารวะข้า”หลี่เฉินนั่งลงข้างเตียง และเหลือบมองอาหารที่อยู่ด้านข้าง เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เจ้าบาดเจ็บหนักก็ต้องทานอาหารให้มากขึ้น เพื่อเติมพลังงานให้กับร่างกาย แล้วเหตุใดจึงไม่กิน?”เนื่องจากการเสียเลือดมากเกินไป ริมฝีปากของวั่นเจียวเจียวจึงซีดลงเล็กน้อย ใบหน้าที่ขาวซีดของนางดูไม่คุ้นเคยกับการนอนพูดกับหลี่เฉิน นางกล่าวเสียงเบาว่า “กินไม่ลงเพคะ”“กินไม่ลงก็ต้องกิน” หลี่เฉินขมวดคิ้วพูด “ตอนนี้เจ้าได้รับบาดเจ็บ อยู่ในช่วงพักฟื้นร่างกาย หากไม่ทานข้าวแล้วจะฟื้นฟูร่างกายได้อย่างไร” “หรือเจ้าอยากให้ข้าป้อนเจ้า?”ประโยคสุดท้ายของหลี่เฉิน ทำให้วั่นเจียวเจียวที่อยากพูดอย่างอื่นก็พลันหยุดชะงักทันที ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นางไม่กล้าให้หลี่เฉินป้อนอาหารให้นางแน่ เห็นได้ชัดว่าอาหารมื้อนี้ทำให้วั่นเจียวเจียวเป็นพิเศษ ไม่เพียงแต่ใช้ส่วนผสมที่มีคุณค่าทางโภชนาการมากมายเท่านั้น แต่ยังมีอาหารยาที่หายากอีกมากมายอีกด้วยตอนท
ตามคำอธิบายและเรื่องราวของฮ่องเต้ต้าสิง หลี่เฉินก็เริ่มมองเห็นถึงเบื้องลึกในจิตใจที่แท้จริงของฮ่องเต้พระองค์นี้ สิ่งที่พระองค์ต้องการ คือการสืบทอดราชบัลลังก์โดยไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงรากฐานของบ้านเมือง และขุนนางชั่วอย่างจ้าวเสวียนจี ก็คือประกันภัยอีกชั้นหนึ่งที่พระองค์วางไว้ ตราบใดที่จ้าวเสวียนจียังอยู่ เขาก็จะกระหายอำนาจ และต้องพยายามลดบทบาทของฮ่องเต้แน่นอน แต่การลดบทบาทของฮ่องเต้หาใช่ปัญหาไม่ ขอเพียงฮ่องเต้ยังคงดำรงอยู่ อ๋องแห่งแคว้นย่อมไม่อาจก่อหวอด สถานการณ์ก็จะยังดำเนินต่อไปได้ กล่าวได้ว่า ฮ่องเต้ต้าสิงได้วางหมากไว้สองทาง ทางแรก คือหวังว่าจะมีบุตรผู้หนึ่งสามารถเติบโตขึ้นมาเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ มีสติปัญญาและความสามารถลึกซึ้ง กอบกู้สถานการณ์ได้ แต่เรื่องนี้ยากเกินไป อย่างน้อยในขณะวางแผน ฮ่องเต้ต้าสิงเองก็มองไม่เห็นความหวัง ดังนั้นพระองค์จึงเตรียมทางที่สอง ผลักดันให้เกิดขุนนางชั่วคนหนึ่ง เพื่อรักษาความมั่นคงของการถ่ายโอนอำนาจ แม้ฮ่องเต้จะเป็นเพียงหุ่นเชิด ตราบใดที่ยังเป็นบุตรของฮ่องเต้ต้าสิง แผ่นดินก็จะไม่ล่มสลาย ส่วนอำนาจนั้
“เขาวางแผนมาอย่างยาวนาน บัดนี้ลูกกับเขาก็ถึงคราวแตกหัก ต่อให้มิใช่จ้าวเสวียนจี ลูกก็ไม่อาจอยู่อย่างสงบได้อีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” หลี่เฉินเงยหน้าขึ้นอย่างกล้าหาญ จ้องสบสายพระเนตรของฮ่องเต้เบื้องหน้า แม้พระวรกายจะซูบผอมดั่งน้ำมันหมดไส้เทียนใกล้มอด แต่ก็ยังเปี่ยมด้วยพลังสุดท้าย แล้วกล่าวสิ่งที่อยู่ในใจออกไป ฮ่องเต้ต้าสิงทรงฟังด้วยรอยยิ้ม รอจนหลี่เฉินพูดจบจึงเอ่ยว่า “ข้ากล่าวไปแล้ว เขา มิใช่สิ่งที่ควรกังวล” “เจ้าจะฆ่าเขาก็ได้ แต่ไม่ใช่เวลานี้” หลี่เฉินขมวดคิ้ว สีหน้างุนงงยิ่งนัก ฮ่องเต้ต้าสิงทอดถอนใจเบาๆ แล้วตรัสว่า “สามารถเดินมาถึงจุดนี้ เจ้าก็เกินกว่าความคาดหวังเดิมของข้าไปมาก แม้แต่อีกหลายการจัดวางที่ข้าวางไว้แต่แรก ข้าก็ไม่คิดว่าเจ้าจะได้ใช้จริง แต่ก้าวแล้วก้าวเล่า เจ้าก็ผ่านมาได้ทั้งหมด” “เจ้าควรรู้ว่า บางแผนที่ข้าวางไว้นั้น เริ่มตั้งแต่เมื่อครานานมาแล้ว” หลี่เฉินนึกถึงพี่น้องสกุลอู๋ จึงพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อทรงวางแผนอย่างลึกซึ้ง ลูกนับถือยิ่งนัก” “รอจนเจ้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ เจ้าก็จะเข้าใจเอง” ฮ่องเต้ต้าสิงตรัสเสียงเรียบ “ข้าวางแผนไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เจ้าคิดว่
จ้าวหรุ่ยเงยหน้าขึ้น แม้ใบหน้ายังคงซีดเซียวอ่อนแรง แต่กลับมีสีเลือดระเรื่อขึ้นเล็กน้อย “ฝ่าบาท รีบเสด็จเข้าไปเถิด” จ้าวหรุ่ยกล่าวจบ ก็หลีกทางไปด้านข้าง หลี่เฉินจับมือของจ้าวหรุ่ยแน่น แล้วจึงก้าวเข้าไปภายใน จ้าวเสวียนจีตามเข้าไปติดๆ นี่เป็นครั้งแรกที่จ้าวเสวียนจีสนทนากับจ้าวหรุ่ยหลังจากจ้าวหรุ่ยทรยศ “เจ้าคุกเข่าจนฮ่องเต้ทรงฟื้นคืนหรือ?” จ้าวเสวียนจีกล่าวเสียงเรียบ จ้าวหรุ่ยก้มหน้า ไม่กล้ามองจ้าวเสวียนจี เอ่ยเสียงแผ่วเบา “ฮ่องเต้ทรงมีฟ้าคุ้มครองเพคะ” “ข้าไม่คาดคิดเลยจริงๆ” จ้าวเสวียนจีทิ้งประโยคหนึ่งอย่างมีนัย แล้วจึงติดตามหลี่เฉินเข้าไป จ้าวหรุ่ยเม้มริมฝีปาก ก้มหน้าถอยออกจากประตูตำหนักบรรทม ภายในตำหนักเฉียนชิง หลี่เฉินเห็นฮ่องเต้ต้าสิง...ทรงยืนขึ้นแล้ว พระองค์ทรงสวมเสื้อชั้นในสีเหลืองอ่อนที่เพิ่งผลัดเปลี่ยนใหม่ ซึ่งอาจนับเป็นชุดนอนหรือชุดชั้นในก็ได้ หลี่เฉินไม่รู้สึกแปลกตากับฉลองพระองค์ชุดนี้นัก ขณะฮ่องเต้ต้าสิงบรรทมบนเตียง ก็ทรงสวมเช่นนี้ แต่หลังจากเขาข้ามมิติมา ก็เป็นครั้งแรกที่เห็นฮ่องเต้ทรงมีสติและยืนอยู่ “อย่างไรหรือ เห็นข้าแล้ว ถึงกับลืมคำ
ประโยคเดียวว่าฮ่องเต้ทรงฟื้นแล้วสร้างแรงสะเทือนใจแก่ทุกผู้คนยิ่งกว่าเสียงฟ้าร้องเหนือศีรษะแม้กระทั่งทหารที่ไล่ตามขันทีน้อยมาแต่แรกยังถึงกับตื่นตะลึงถ้อยคำของขันทีน้อยยังไม่ทันจบประโยค เงาร่างสายหนึ่งพลันแวบขึ้นตรงหน้าเขา ซานเป่าได้คว้าตัวเขาไว้แล้ว“เจ้าว่าอะไรนะ?!”ขันทีน้อยผู้นั้นเป็นเพียงขันทีระดับต่ำสุด เคยเห็นซานเป่าจากที่ไกลๆ เท่านั้น หากแต่ความแตกต่างระหว่างฐานะของทั้งสองทำให้เขาไม่เคยมีสิทธิแม้แต่จะกล่าวคำกับซานเป่ายังไม่ทันตั้งสติจากแรงกดดันของซานเป่า ซูเจิ้นถิงและเหล่าขุนนางใหญ่น้อยก็พากันล้อมเขาไว้หมดแล้ว“บ่าว...บ่าวกล่าวว่า...ฮ่อง...ฮ่องเต้ทรงฟื้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ขันทีน้อยตัวสั่นระริก พูดติดขัดแทบจับใจความไม่ได้ โชคยังดีที่เขายังจำหน้าที่ของตนเองได้“ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่ง ขอให้องค์รัชทายาทและสำนักราชเลขาเข้าเฝ้าทันที”ซานเป่ากับซูเจิ้นถิงสบตากัน แล้วก็ตัดสินใจได้ทันควัน“ไม่ได้!”จางปี้อู่ตะโกนลั่น “ใครจะรู้ว่านั่นไม่ใช่ราชโองการปลอมล่ะ!”“เจ้าบังอาจแอบอ้างหาบรรพบุรุษงั้นรึ!”ซูเจิ้นถิงสบถกลับด้วยความโกรธ แล้วซัดหมัดหนักเข้าที่ใบหน้าของจางปี้อู่อย่างจังจางปี้
“จ้าวเสวียนจี เจ้าทำเรื่องมากมาย วางแผนมานักหนา ท้ายที่สุดแล้วก็เพื่อสิ่งใดกันแน่”หลี่เฉินชี้ไปยังบัลลังก์มังกร ถามว่า “เพื่อจะได้ขึ้นนั่งบนนั้นหรือ”จ้าวเสวียนจีมองตามนิ้วของหลี่เฉินไปยังบัลลังก์มังกร กล่าวอย่างราบเรียบว่า “มิใช่ หากกระหม่อมประสงค์จะขึ้นนั่งบัลลังก์ กระหม่อมสามารถลงมือได้ตั้งแต่เมื่อปีกลายแล้ว แม้แต่ก่อนหน้านั้น กระหม่อมก็ยังมีโอกาสดีกว่านี้อีกมาก จะต้องรอให้ฝ่าบาททรงมีอำนาจมั่นคงก่อนแล้วจึงลงมือไปเพื่ออันใดกันเล่า”“หรือมิใช่เพราะเจ้าคิดว่าควบคุมตัวข้าได้ยาก จึงต้องเสี่ยงเอาดาบเข้าวัดอย่างนั้นหรือ” หลี่เฉินหัวเราะเย็นชาจ้าวเสวียนจีถอนหายใจเบาๆ สีหน้ากลับแฝงด้วยความหดหู่ยิ่งนัก กล่าวว่า “ฝ่าบาท พระองค์มิใช่กระหม่อม ย่อมไม่รู้ความลำบากของกระหม่อม”“บัลลังก์นั้น นั่งแล้วสบายหรือ ไม่เลย”จ้าวเสวียนจีหันหน้ากลับมามองหลี่เฉิน กล่าวว่า “กระหม่อมแทบจะเฝ้าดูฮ่องเต้ขึ้นครองบัลลังก์กับตาตนเอง ตลอดหลายปีมานี้ ในท้ายที่สุด ฮ่องเต้ได้อะไรกลับมาบ้าง”“กระหม่อมชราภาพแล้ว ไม่รู้ว่ายังจะมีชีวิตอยู่ได้อีกกี่ปี อีกทั้งบุตรหลานของกระหม่อมก็สูญสิ้นไร้ร่องรอย หากกระหม่อมขึ้นไปนั่ง
หลี่เฉินหันขวับกลับมาเผชิญหน้าจ้าวเสวียนจี ดวงตาเย็นเยียบดั่งน้ำแข็งจ้าวเสวียนจีเงยหน้าขึ้น ยืนตัวตรง มาดอ่อนน้อมเมื่อครู่พลันสลาย เหลือเพียงท่วงท่าท้าทายอย่างเปิดเผยหลี่เฉินเอ่ยเรียบเย็น “ข้าเพิ่งรู้ว่า...ขุนนางอาวุโส สูงไม่น้อยเลยทีเดียว”จ้าวเสวียนจีตอบ “กระหม่อม...แค่เคยชินกับการโค้งก้มเท่านั้น แต่ครั้งนี้...กระหม่อมไม่อยากก้มอีกแล้ว”เขายกมือชี้ออกไปทางประตูพระที่นั่งไท่เหอ ก่อนกล่าวว่า “ทหารมีดดาบชั้นยอดจำนวนสามพันนาย บัดนี้อยู่ภายนอกพระที่นั่งไท่เหอเรียบร้อยแล้ว”“กระหม่อมรู้ดีว่า ฝ่าบาทมีปืนไฟ และอาวุธที่ระเบิดเทพต้าฉินทรงพลังยิ่ง หากให้เวลาพัฒนา คงกลายเป็นอาวุธสังหารอันน่าสะพรึงกลัวในอนาคต แต่เวลานี้ ฝ่าบาทมีน้อยเกินไป อีกทั้งในค่ำคืนที่ฝนตกหนักเช่นนี้ อานุภาพของอาวุธไฟก็จะลดลงจนเหลือน้อยนิด”“ที่สำคัญที่สุดก็คือ... ทหารทั้งสามพันนายของกระหม่อม ล้วนเป็นยอดฝีมือระดับแนวหน้าแห่งยุทธภพ สามารถกวาดล้างกองทัพปกติหนึ่งหมื่นนายได้ภายในเวลาอันสั้น”จ้าวเสวียนจีหัวเราะเบาๆ ราวกับได้พลิกไพ่ลับที่เตรียมไว้มาเนิ่นนาน มีความภูมิใจอย่างปิดไม่มิด “ที่สำคัญที่สุดคือ… ทหารสามพันนี้ มิใ
คำพูดของจ้าวเสวียนจี ได้เผยให้เห็นสถานการณ์ที่น่าอึดอัดที่สุดของหลี่เฉินอย่างหมดเปลือก ไม่มีแม้แต่นิดเดียวที่หลงเหลือให้ปิดบังหลี่เฉินในตอนนี้ แม้จะเป็นองค์รัชทายาท แม้จะทำหน้าที่สำเร็จราชการแทนพระองค์ แต่สิทธิอำนาจในมือของเขา โดยรากแท้แล้วยังคงเป็นสิ่งที่ฮ่องเต้ประทานให้ตราบใดที่หลี่เฉินยังไม่ขึ้นครองราชย์ ไม่ได้สวมชุดมังกร เช่นนั้นเขาก็ไม่อาจครอบครองราชอำนาจแท้จริงได้เลยต่อบรรดาข้าราชการท้องถิ่นแล้ว พวกเขายอมรับแค่สิ่งเดียว...ราชโองการ ยอมรับแค่บุคคลเดียว...ฮ่องเต้นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพายุการเมืองในครั้งนี้ ถึงเรียกได้เพียงว่า "พายุการเมือง" มิใช่การชิงราชสมบัติในสายตาของปวงชนแผ่นดิน สิ่งที่พวกเขาเห็น ก็แค่ความขัดแย้งระหว่างองค์รัชทายาทกับฝ่ายสำนักราชเลขาที่รุนแรงจนถึงขั้นยกทัพใส่กัน มิใช่การกบฏแย่งชิงราชบัลลังก์ของสำนักราชเลขาสองสิ่งนี้...แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงหากหลี่เฉินคือฮ่องเต้จริงๆ การกระทำของจ้าวเสวียนจีทั้งหมดนี้ ก็จะกลายเป็นการชิงบัลลังก์อย่างชัดเจน และจะก่อให้เกิดความโกลาหลไปทั่วทั้งแผ่นดิน ขุนนางในทุกหัวระแหงที่ยังมีความจงรักภักดีและสำนึกในคุณธรรม ย่อมต้องลุ
“ด้านนอกลมฝนรุนแรง ฝ่าบาททรงเปียกโชกทั้งตัว ดูก็รู้ว่าเส้นทางที่ก้าวเข้ามา ไม่ได้ราบรื่นเลยแม้แต่น้อย”จ้าวเสวียนจีมองหลี่เฉินด้วยแววตาสงบนิ่ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ใบหน้าแลดูใจดีอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อ“ลมฝนหนักเช่นนี้ มีใครเล่าจะก้าวเดินได้อย่างสบาย?”หลี่เฉินพลิกมือปิดประตูพระที่นั่ง ลมฝนภายนอกถูกสกัดไว้ทันที ความสงบและอบอุ่นจึงกลับคืนสู่ท้องพระโรงอีกครั้ง“หากเพียงต้องการมุมหนึ่งอันสงบสุข ก็แค่ปิดประตูเท่านั้น ความสงบก็จะอยู่กับเราแล้วไม่ใช่หรือ?”จ้าวเสวียนจีกล่าว “ดี ฝ่าบาทตรัสได้ถูกต้องอย่างยิ่ง”หลี่เฉินย่างเท้าเข้าสู่พระที่นั่งไท่เหอด้วยฝีเท้าหนักแน่น หยุดยืนอยู่เบื้องล่างบัลลังก์ หันไปมองเก้าอี้มังกรแล้วเอ่ยกับจ้าวเสวียนจีข้างกาย “เก้าอี้ตัวนี้ ช่างเย้ายวนใจนักใช่หรือไม่?”จ้าวเสวียนจีก็มองไปยังเก้าอี้มังกรร่วมกับหลี่เฉินเขาไม่ได้ตอบคำถามของหลี่เฉิน กลับกล่าวเพียงว่า “ฝ่าบาท ถอยเถิด”หลี่เฉินหัวเราะเบาๆ ไม่ขยับสายตา ไม่ตอบคำใด“กระหม่อมให้คำมั่น ว่าจะปกป้องฝ่าบาทให้ปลอดภัยไปตลอดชีวิต คำมั่นของกระหม่อมนี้ ฝ่าบาทเชื่อถือได้แน่นอน”หลี่เฉินพยักหน้า “ฟังดูจริงใจดี”
หลี่เฉินหันไปมองซูจิ่นพ่าที่อยู่ข้างกาย ยิ้มอ่อนเอ่ยว่า “เจ้าทำให้ข้ารู้สึกประหลาดใจมาก”ซูจิ่นพ่าไม่ได้ตอบ เพียงยอบกายทำความเคารพแบบสตรีผู้สูงศักดิ์อย่างอ่อนช้อยหลี่เฉินหลุดหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันไปกล่าวกับซูเจิ้นถิงว่า “แม่ทัพซู ลูกหลานตระกูลแม่ทัพเสือเจ้าฝีมือ เจ้าช่างมีบุตรีที่ดีนัก”ซูเจิ้นถิงก่อนหน้านี้อยู่หน้าประตูวัง เมื่อเขามาถึงพอดีกับที่ซูจิ่นพ่ากำลังตำหนีขุนนางพวกนั้น ด้วยสัญชาตญาณจึงไม่ได้รีบเข้าไป และการรอเพียงครู่เดียวนี้ ก็ทำให้เขาได้เห็นฝีมือกับสติปัญญาของบุตรสาวตัวเองอย่างชัดเจน นับว่ายอดเยี่ยมอย่างแท้จริง“ฝ่าบาทตรัสเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ซูเจิ้นถิงยกมือขึ้นคารวะ แล้วหันไปมองจางปี้อู่และขุนนางฝ่ายสำนักราชเลขาที่ใบหน้านิ่งสงบ จากนั้นกล่าวว่า “ฝ่าบาท ที่นี่ขอให้เป็นหน้าที่ของกระหม่อมกับท่านอาจารย์เถิดพ่ะย่ะค่ะ”ทหารย่อมต่อสู้กับทหาร แม่ทัพย่อมรับมือแม่ทัพบุคคลที่หลี่เฉินตั้งใจจะรับมือมาตลอด ไม่ใช่จางปี้อู่ และไม่ใช่ขุนนางทั้งหลายที่อยู่เบื้องหลังเขาเหล่านั้นแต่คือ...จ้าวเสวียนจี“ดี”หลี่เฉินพยักหน้าเบาๆ แล้วหมุนกาย มุ่งหน้าเข้าสู่พระที่นั่งไท่เหอในขณะที่หลี