คำตอบของจ้าวหรุ่ย ทำให้จ้าวชิงหลานโกรธจัด นางหวังว่าจะได้ฆ่าจ้าวหรุ่ยในทันทีสายตาที่เย็นชาจ้องมองไปที่จ้าวหรุ่ยซึ่งไม่กล้าสบตาตัวเอง จ้าวชิงหลานก็ยิ้มเยาะ ก่อนจะหันไปมองหลี่เฉินแล้วพูดว่า “ตอนนี้เจ้าคงพอใจแล้วสินะ?” “เสด็จแม่ทรงมีพระเมตตากับลูก ลูกต้องขอบพระทัยเสด็จแม่อย่างแน่นอน” สิ้นเสียงของหลี่เฉิน ก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา ผู้อาวุโสของราชวงศ์จากสำนักคุมประพฤติ มหาอำมาตย์จากสำนักราชเลขาสองสามท่าน ต่างพากันทยอยเดินเข้ามา กลับเข้ามาในพระที่นั่งสีเจิ้ง หลี่เฉินก็นั่งที่หัวโต๊ะ ส่วนจ้าวชิงหลานก็นั่งอยู่ข้างๆหลี่เฉินกวาดสายตามองไปยังจ้าวเสวียนจีและคนอื่นๆ ด้วยสีหน้าเยือกเย็น จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “เสด็จพ่อทรงมีทายาทมากมาย ซึ่งในบรรดาน้องชายและน้องสาวของข้าก็มีคนที่มีความสามารถอยู่ไม่น้อย แต่เนื่องจากพระอาการของเสด็จพ่ออยู่ในช่วงวิกฤติมาก มากเสียจนไม่มีเวลาแม้แต่จะมอบบรรดาศักดิ์ให้เหล่าน้องชายด้วยซ้ำ บัดนี้ ฮองเฮาได้เสนอขึ้นว่าควรจะแต่งตั้งองค์ชายแปดหลี่อิ๋นหู่ให้เป็นจ้าวอ๋อง นี่ถือเป็นเรื่องใหญ่ ข้าจึงเชิญทุกท่านมาหารือเรื่องนี้” คนเหล่านี้เกือบจะเป็นบุคคลชั้นนำในปิร
“ง่ายมาก แต่งตั้งเป็นอ๋องก่อน” มุมปากของหลี่เฉินยกขึ้นเล็กน้อย ล้อเล่นน่า ถ้าหลี่อิ๋นหู่เป็นอ๋องแต่ไม่มีศักดินา เช่นนั้นเขาก็ถูกกำหนดให้เป็นท่านอ๋องว่างงานไร้ชื่อเสียงคนหนึ่งเท่านั้น หากไม่มีอำนาจที่แท้จริงของท่านอ๋อง มันก็แค่มอบหัวโขนใหม่ให้กับเขาไม่ใช่หรือแต่ทว่า ดินแดนศักดินามันเกี่ยวข้องกับแผนการของอำนาจหลัก และเป็นไปไม่ได้เลยที่หลี่เฉินจะพยักหน้าเห็นด้วย หลี่เฉินยังไม่โง่ขนาดนั้นตราบใดที่แต่งตั้งเป็นท่านอ๋อง และมีศักดินาเป็นของตัวเอง หลี่อิ๋นหู่ก็สามารถเป็นเจ้าของภาษีและอำนาจทางทหารของดินแดนศักดินาได้อย่างถูกกฎหมาย เช่นนี้แล้วมันแตกต่างจากจักรพรรดิท้องถิ่นตรงไหน?“สำนักคุมประพฤติจะเขียนลงทะเบียนราชวงศ์ว่า องค์ชายแปดหลี่อิ๋นหู่ได้รับการแต่งตั้งเป็นจ้าวอ๋องอย่างเป็นทางการ และเลือกวันประกาศให้ใต้หล้าได้รับรู้ นอกจากนี้ เนื่องจากเสด็จพ่อไม่สามารถจัดการราชกิจได้ชั่วคราว ดังนั้น เรื่องศักดินาจึงค่อยว่ากันทีหลัง รอจนกว่าเสด็จพ่อจะฟื้นขึ้นมาตัดสินพระทัยด้วยพระองค์เอง”“แต่ก่อนหน้านั้น จ้าวอ๋องจะประทับอยู่ในเมืองหลวงชั่วคราว แต่เนื่องจากได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอ๋อง จึงไม่อาจ
ในพระที่นั่งสีเจิ้ง มีการพลิกผันเกิดขึ้น จินเสวี่ยยวนที่กลายเป็นธาตุอากาศตรงมุมห้องก็รู้สึกตกใจเมื่อได้เห็นสิ่งนี้ นางไม่ใช่คนในเกม แต่ด้วยสถานะและมุมมองที่เหนือชั้น นางจึงมองทุกอย่างได้อย่างชัดเจนนางดูออกว่าการต่อสู้ทางการเมืองในระดับสูงสุดของต้าฉินนั้น ก็คือการต่อสู้ระหว่างตำหนักบูรพาและสำนักราชเลขา ซึ่งตอนนี้มาถึงจุดที่เลวร้ายแล้ว ไม่มีการประนีประนอมระหว่างพวกเขานางอาจไม่รู้ต้นสายปลายเหตุเรื่องการแต่งตั้งท่านอ๋อง แต่กลับมองออกว่าหลี่เฉินถูกบีบให้เห็นด้วย และถึงแม้ว่าจะเห็นด้วย แต่ด้วยไหวพริบทางการเมืองของหลี่เฉินนั้นก็สามารถค้นพบตะปูดอกหนึ่งในนั้นได้ การไม่ยอมมอบศักดินา คือเส้นตายของหลี่เฉินแล้วส่วนสำนักราชเลขาก็ร้ายกาจพอๆ กัน หลังจากที่เห็นว่าไม่สามารถได้ดินแดนศักดินาแล้วจริงๆ ก็รีบโยนขีดจำกัดของตัวเองออกมา นั่นก็คือต้องมีทหารส่วนตัว มิฉะนั้นอ๋องไม่เป็นอ๋อง องค์ชายไม่เป็นองค์ชาย และจะกลายเป็นที่หยามหยันของใต้หล้าแต่ทว่า ถึงแม้จินเสวี่ยยวนจะเป็นคนนอกก็ยังเข้าใจว่า การมีทหารส่วนตัวสามร้อยคนในเมืองหลวง มันหมายความว่าอะไรอำนาจของสำนักราชเลขาทรงพลังมาก ซึ่งมาจากการ
ในไม่ช้า สวีเว่ย ผู้บังคับกองร้อยองค์รักษ์ก็รีบมาเข้าเฝ้าทันทีในฐานะองค์รักษ์วังหลวง ทั้งยังเป็นผู้บังคับกองร้อย สวีเว่ยอาจกล่าวได้ว่ามีอำนาจทหารในวังหลวง แต่ยศไม่สูง แค่ขั้นที่ 9 เท่านั้น แต่ทว่าขุนนางจะมีอำนาจมากน้อยแค่ไหน ก็ไม่สามารถดูเพียงขั้นอย่างเดียวเท่านั้น บรรณาธิการเล็กๆ คนหนึ่งในสำนักฮั่นหลิน มีตำแหน่งเริ่มต้นที่ขุนนางขั้นที่ 7 แต่ในแง่ของอำนาจ ก็ยังเทียบกับนายอำเภอซึ่งมียศขั้นที่ 9 ไม่ได้สวีเว่ยกุมอำนาจรักษาความปลอดภัยที่ประตูเฉินอู่อาจกล่าวได้ว่าช่วงนี้ชีวิตค่อนข้างมีความสุข ดังนั้น เมื่อเผชิญหน้ากับหลี่เฉินผู้ซึ่งมอบทั้งหมดนี้ให้กับเขา ความเคารพและความกตัญญูในใจจึงไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ “กระหม่อมสวีเว่ย คารวะองค์รัชทายาท องค์รัชทายาททรงพระเจริญพันปี พันๆ ปีๆ!”หลี่เฉินรู้สึกพอใจ เมื่อเห็นสวีเว่ยคุกเข่าลงบนพื้นด้วยความเคารพคนที่สนับสนุนขึ้นมาอย่างส่งๆ ในตอนนั้น ได้รับความสนใจจากหน่วยบูรพามาโดยตลอด เมื่อพิจารณาจากข้อมูลที่หน่วยบูรพาส่งรายงานมาให้อ่าน สวีเว่ยผู้นี้ใช้การได้ อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะใช้งานเขา หลี่เฉินก็จำเป็นต้องทุบค้อนบ้าง “ช่วงนี้เจ้า
สวีเว่ยพลันหน้าซีด หน้าผากของเขาปกคลุมไปด้วยเหงื่อเย็น เขามักจะรู้สึกว่าสิ่งที่เขาทำลงไปนั้นราบรื่นเกินไป และการแก้แค้นที่เขากังวลก็ไม่เคยเกิดขึ้นเลย ดังนั้นเขาจึงคิดว่าตัวเองนั้นโชคดี แต่ไม่คาดคิดว่าทุกสิ่งเกี่ยวกับตัวเขาจะถูกดูแลโดยองค์รัชทายาทอย่างไรก็ตาม สวีเว่ยก็รู้สึกแปลกใจเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเป็นเพียงทหารองค์รักษ์ตัวเล็กๆ คนหนึ่ง แต่เนื่องจากฝ่าบาททรงชื่นชม เขาจึงเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บังคับกองร้อย ซึ่งกลายเป็นขุนนางขั้นที่เก้า และมีอำนาจอย่างแท้จริง แต่คนต่ำต้อยอย่างเขาคู่ควรกับความสนใจของฝ่าบาทหรือ? สวีเว่ยไม่รู้ว่าตอนนี้หลี่เฉินขาดคนมากแค่ไหน แต่เขากลับรู้ว่าเมื่อโอกาสมาถึงแล้ว เขาจะต้องคว้ามันเอาไว้หลังจากได้ลิ้มรสในอำนาจแล้ว สวีเว่ยก็ไม่ต้องการที่จะกลับไปเป็นทหารองค์รักษ์ธรรมดาที่ใครๆ ก็สามารถเหยียบย่ำได้ นั่นคงจะเจ็บปวดยิ่งกว่าการฆ่าเขาเสียอีก“ฝ่าบาท ความโชคดีของกระหม่อม มาจากการสนับสนุนของฝ่าบาทในตอนนั้น แม้เป็นเพียงการกระทำแบบตามใจชอบ แต่กลับเปลี่ยนชีวิตทั้งชีวิตของกระหม่อมไป กระหม่อมเสียเวลาไปสามสิบปี แต่เมื่อได้พบฝ่าบาทและได้รู้จักความรุ่งโรจน์ กระหม่อมก็ยิ
แม้ว่าสวนดอกไม้ด้านหลังของตำหนักบูรพา จะไม่งดงามเท่ากับอุทยานหลวง แต่ก็เช่นเดียวกับตำหนักบูรพา การตกแต่งทั้งหมดจัดอยู่ในระดับที่ดีที่สุดในต้าฉินแม้แต่ในฤดูหนาวที่มีหิมะตกหนัก ดอกบ๊วยในฤดูหนาวก็ยังบานสะพรั่ง และเกล็ดหิมะก็ร่วงหล่นลงมาทับกิ่งก้านของดอกบ๊วย ดอกบ๊วยสีชมพูอ่อนท่ามกลางฤดูหนาวที่มีแต่สีขาวล้วน ทำให้ทิวทัศน์ดูงดงามเป็นพิเศษเมื่อเดินเข้าไปในสวนดอกไม้ ด้านหลังของหลี่เฉินนั้นมีจ้าวหรุ่ยเดินตามมา และถัดจากนั้นไปสิบก้าว ก็มีขบวนนางกำนัลเดินอยู่ห่างๆ “ฝ่าบาท อากาศข้างนอกหนาวมาก สวมเสื้อคลุมเพื่อป้องกันการเป็นหวัดเถอะเพคะ” จ้าวหรุ่ยหยิบเสื้อคลุมขนสัตว์จิ้งจอกหิมะของหลี่เฉินมาจากนางกำนัล แล้วสวมให้หลี่เฉินอย่างระมัดระวังขณะพูด “ช่างใส่ใจ”หลี่เฉินพาจ้าวหรุ่ยเดินเล่นในสวนดอกไม้ และพูดอย่างไม่เป็นทางการว่า “อีกไม่กี่วัน เทศกาลตรุษจีนก็จะจบลงแล้ว หากพูดกันตามหลักแล้ว วันนี้เป็นวันรวมญาติ เวลานั้นข้าจะส่งเจ้าไปที่บ้านพ่อแม่ของเจ้า ให้เจ้าอยู่กับพวกเขาสักปีเถอะ”จ้าวหรุ่ยได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึง ก่อนจะกัดริมฝีปากและกล่าวเสียงเบาว่า “หม่อมฉันเป็นคนของฝ่าบาทแล้ว ปีใหม่ ก็ควรอย
เมื่อจ้าวรุ่ยพูดเช่นนี้ หลี่เฉินก็ไม่มีอารมณ์ที่จะเพลิดเพลินไปกับหิมะและดอกบ๊วย ล้อเล่นน่า ดอกบ๊วยชนิดไหนจะสวยเท่าดอกเดซี่ล่ะ?หลี่เฉินจูงจ้าวหรุ่ยไปที่ห้องบรรทมอย่างกระปรี้กระเปร่า ถึงแม้ว่าจะยังไม่มืด แต่เวลานี้ก็ไม่มีใครกล้ารบกวนการพักผ่อนของพวกเขา นางกำนัลแต่ละคนต่างก็มีไหวพริบและไม่ได้ติดตามพวกเขาไป หรือจะให้ตามไปดูองค์รัชทายาทรังแกนางสนมล่ะขณะเดียวกัน ภายในตำหนักเฟิ่งสี่ นางกำนัลและขันทีทุกคนต่างก็ถูกไล่ออกไป เหล่าทหารองค์รักษ์ยืนถือดาบไว้ในมือ และปฏิบัติตามคำสั่งของฮองเฮา หากมีผู้ใดบุกรุกโดยไม่ได้รับคำสั่ง ให้สังหารอย่างไร้ปรานี ภายในตำหนัก หลี่อิ๋นหู่ที่เพิ่งมาถึงก็คุกเข่าตรงหน้าจ้าวชิงหลาน “ลูกขอบพระทัยเสด็จแม่”เมื่อกลับมาจากตำหนักบูรพา จ้าวชิงหลานก็รู้สึกเหนื่อยล้าทั้งร่างกายและจิตใจ แต่ก็ยังฝืนทนเรียกหลี่อิ๋นหู่ให้เข้าเฝ้าด้วยหลายสิ่งหลายอย่างและคำพูดมากมาย มันไม่สะดวกที่บิดาของนางจะออกหน้าทำ ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงเป็นคนกลางเท่านั้นจ้าวชิงหลานจิบชาไปสองอึกก่อนจะวางลงข้างๆ แล้วกล่าวอย่างช้าๆ ว่า “อย่าเพิ่งรีบขอบคุณข้า มันสำเร็จแค่ครึ่งเดียว”“ถึงแม้ว่าองค
“ในทางตรงกันข้าม หากเจ้าถูกปล่อยออกไปในดินแดนศักดินาจริงๆ เจ้าจะเป็นอ๋องข้าราชบริพารอย่างแท้จริง” “มันเป็นเรื่องยากที่อ๋องข้าราชบริพารอยากจะพบจักรพรรดิ แต่จวิ้นอ๋องที่ไร้อำนาจกลับสามารถทำได้ง่ายกว่า”“อ๋องข้าราชบริพารของต้าฉินในตอนนี้ ล้วนเป็นเสด็จอาของเจ้ากับองค์รัชทายาท พวกเขามีความทะเยอทะยานมานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอำนาจทางการเงิน อำนาจทางทหาร และอำนาจทางการเมือง พวกเขาก็ได้กุมอำนาจทั้งสามด้านอย่างมั่นคง แต่สิ่งที่พวกเขาขาดไปก็คือความชอบธรรม” “ซึ่งความชอบธรรมนี้ในตอนนี้เป็นขององค์รัชทายาท แต่ถ้าองค์รัชทายาทล้มลงในอนาคต มันก็จะเป็นของเจ้าเช่นกัน หากเจ้าไปที่อื่นเพื่อเป็นอ๋องข้าราชบริพาร เจ้าก็จะเริ่มสูญเสียความชอบธรรมนี้ไป ถึงตอนนั้นเจ้าจะทำอะไรเพื่อแข่งขันกับเสด็จอาที่แข็งแกร่งและทะเยอทะยาน?”หลังจากที่จ้าวชิงหลานพูดจบ หลี่อิ๋นหู่ก็แสดงสีหน้าประหลาดใจ เขาโค้งคำนับอย่างซาบซึ้งและพูดว่า “สิ่งที่เสด็จแม่พูดนั้นเป็นความจริง ลูกรู้แจ้งแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าต่อจากนี้ ลูกจะทำตามคำสั่งของเสด็จแม่ และไม่คิดเป็นอย่างอื่น”จ้าวชิงหลานมองหลี่อิ๋นหู่อย่างลึกซึ้ง และกล่าวอย่างช้าๆ ว่า “เป