สำนักคุมประพฤติเป็นตำแหน่งลอยที่มีไว้สำหรับเชื้อพระวงศ์สายรอง ค่าตอบแทนสูงมีงานน้อย แต่ไม่มีอำนาจ ความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขาก็คือดูแลเรื่องภายในราชวงศ์ ทำหน้าที่แต่งตั้งเชื้อพระวงศ์ จัดพระราชพิธีพระบรมศพ จัดพิธีอภิเษกสมรส เป็นต้นในราชวงศ์ตอนนี้ ไม่มีพระราชพิธีพระบรมศพหรือพิธีอภิเษกสมรสสำหรับองค์ชายและองค์หญิง บวกกับมีขันทีถือพู่กันที่รับหน้าที่ร่างพระราชโองการเข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งยังเรียกสมาชิกของสำนักราชเลขามาด้วย ดังนั้นจะต้องมีการแต่งตั้งกันเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่อย่างไรก็ตาม การแต่งตั้งเชื้อพระวงศ์ถือเป็นเรื่องใหญ่เสมอหากเป็นการแต่งตั้งเชื้อพระวงศ์หญิง โดยปกติแล้วจะเริ่มต้นจากการเป็นจวิ้นจู่ และจุดสูงก็อยู่ที่กงจู่ แต่จะไม่มีอำนาจใดๆ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเรียกสำนักราชเลขามาปรึกษา เว้นแต่ว่าจะเป็นการแต่งตั้งเชื้อพระวงศ์ชาย หากองค์ชายได้รับการแต่งตั้ง ขั้นต่ำก็จะเป็นจวิ้นอ๋องซึ่งทุกคนอดไม่ได้ที่จะคาดเดาว่า องค์ชายพระองค์ไหนที่โชคดีถูกแต่งตั้งในช่วงเวลาที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้? เดาก็ส่วนเดา แต่งานก็ต้องทำ มีบางคนตอบรับทันที ก่อนจะจากไปเรียกคน ดว
คำตอบของจ้าวหรุ่ย ทำให้จ้าวชิงหลานโกรธจัด นางหวังว่าจะได้ฆ่าจ้าวหรุ่ยในทันทีสายตาที่เย็นชาจ้องมองไปที่จ้าวหรุ่ยซึ่งไม่กล้าสบตาตัวเอง จ้าวชิงหลานก็ยิ้มเยาะ ก่อนจะหันไปมองหลี่เฉินแล้วพูดว่า “ตอนนี้เจ้าคงพอใจแล้วสินะ?” “เสด็จแม่ทรงมีพระเมตตากับลูก ลูกต้องขอบพระทัยเสด็จแม่อย่างแน่นอน” สิ้นเสียงของหลี่เฉิน ก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา ผู้อาวุโสของราชวงศ์จากสำนักคุมประพฤติ มหาอำมาตย์จากสำนักราชเลขาสองสามท่าน ต่างพากันทยอยเดินเข้ามา กลับเข้ามาในพระที่นั่งสีเจิ้ง หลี่เฉินก็นั่งที่หัวโต๊ะ ส่วนจ้าวชิงหลานก็นั่งอยู่ข้างๆหลี่เฉินกวาดสายตามองไปยังจ้าวเสวียนจีและคนอื่นๆ ด้วยสีหน้าเยือกเย็น จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “เสด็จพ่อทรงมีทายาทมากมาย ซึ่งในบรรดาน้องชายและน้องสาวของข้าก็มีคนที่มีความสามารถอยู่ไม่น้อย แต่เนื่องจากพระอาการของเสด็จพ่ออยู่ในช่วงวิกฤติมาก มากเสียจนไม่มีเวลาแม้แต่จะมอบบรรดาศักดิ์ให้เหล่าน้องชายด้วยซ้ำ บัดนี้ ฮองเฮาได้เสนอขึ้นว่าควรจะแต่งตั้งองค์ชายแปดหลี่อิ๋นหู่ให้เป็นจ้าวอ๋อง นี่ถือเป็นเรื่องใหญ่ ข้าจึงเชิญทุกท่านมาหารือเรื่องนี้” คนเหล่านี้เกือบจะเป็นบุคคลชั้นนำในปิร
“ง่ายมาก แต่งตั้งเป็นอ๋องก่อน” มุมปากของหลี่เฉินยกขึ้นเล็กน้อย ล้อเล่นน่า ถ้าหลี่อิ๋นหู่เป็นอ๋องแต่ไม่มีศักดินา เช่นนั้นเขาก็ถูกกำหนดให้เป็นท่านอ๋องว่างงานไร้ชื่อเสียงคนหนึ่งเท่านั้น หากไม่มีอำนาจที่แท้จริงของท่านอ๋อง มันก็แค่มอบหัวโขนใหม่ให้กับเขาไม่ใช่หรือแต่ทว่า ดินแดนศักดินามันเกี่ยวข้องกับแผนการของอำนาจหลัก และเป็นไปไม่ได้เลยที่หลี่เฉินจะพยักหน้าเห็นด้วย หลี่เฉินยังไม่โง่ขนาดนั้นตราบใดที่แต่งตั้งเป็นท่านอ๋อง และมีศักดินาเป็นของตัวเอง หลี่อิ๋นหู่ก็สามารถเป็นเจ้าของภาษีและอำนาจทางทหารของดินแดนศักดินาได้อย่างถูกกฎหมาย เช่นนี้แล้วมันแตกต่างจากจักรพรรดิท้องถิ่นตรงไหน?“สำนักคุมประพฤติจะเขียนลงทะเบียนราชวงศ์ว่า องค์ชายแปดหลี่อิ๋นหู่ได้รับการแต่งตั้งเป็นจ้าวอ๋องอย่างเป็นทางการ และเลือกวันประกาศให้ใต้หล้าได้รับรู้ นอกจากนี้ เนื่องจากเสด็จพ่อไม่สามารถจัดการราชกิจได้ชั่วคราว ดังนั้น เรื่องศักดินาจึงค่อยว่ากันทีหลัง รอจนกว่าเสด็จพ่อจะฟื้นขึ้นมาตัดสินพระทัยด้วยพระองค์เอง”“แต่ก่อนหน้านั้น จ้าวอ๋องจะประทับอยู่ในเมืองหลวงชั่วคราว แต่เนื่องจากได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอ๋อง จึงไม่อาจ
ในพระที่นั่งสีเจิ้ง มีการพลิกผันเกิดขึ้น จินเสวี่ยยวนที่กลายเป็นธาตุอากาศตรงมุมห้องก็รู้สึกตกใจเมื่อได้เห็นสิ่งนี้ นางไม่ใช่คนในเกม แต่ด้วยสถานะและมุมมองที่เหนือชั้น นางจึงมองทุกอย่างได้อย่างชัดเจนนางดูออกว่าการต่อสู้ทางการเมืองในระดับสูงสุดของต้าฉินนั้น ก็คือการต่อสู้ระหว่างตำหนักบูรพาและสำนักราชเลขา ซึ่งตอนนี้มาถึงจุดที่เลวร้ายแล้ว ไม่มีการประนีประนอมระหว่างพวกเขานางอาจไม่รู้ต้นสายปลายเหตุเรื่องการแต่งตั้งท่านอ๋อง แต่กลับมองออกว่าหลี่เฉินถูกบีบให้เห็นด้วย และถึงแม้ว่าจะเห็นด้วย แต่ด้วยไหวพริบทางการเมืองของหลี่เฉินนั้นก็สามารถค้นพบตะปูดอกหนึ่งในนั้นได้ การไม่ยอมมอบศักดินา คือเส้นตายของหลี่เฉินแล้วส่วนสำนักราชเลขาก็ร้ายกาจพอๆ กัน หลังจากที่เห็นว่าไม่สามารถได้ดินแดนศักดินาแล้วจริงๆ ก็รีบโยนขีดจำกัดของตัวเองออกมา นั่นก็คือต้องมีทหารส่วนตัว มิฉะนั้นอ๋องไม่เป็นอ๋อง องค์ชายไม่เป็นองค์ชาย และจะกลายเป็นที่หยามหยันของใต้หล้าแต่ทว่า ถึงแม้จินเสวี่ยยวนจะเป็นคนนอกก็ยังเข้าใจว่า การมีทหารส่วนตัวสามร้อยคนในเมืองหลวง มันหมายความว่าอะไรอำนาจของสำนักราชเลขาทรงพลังมาก ซึ่งมาจากการ
ในไม่ช้า สวีเว่ย ผู้บังคับกองร้อยองค์รักษ์ก็รีบมาเข้าเฝ้าทันทีในฐานะองค์รักษ์วังหลวง ทั้งยังเป็นผู้บังคับกองร้อย สวีเว่ยอาจกล่าวได้ว่ามีอำนาจทหารในวังหลวง แต่ยศไม่สูง แค่ขั้นที่ 9 เท่านั้น แต่ทว่าขุนนางจะมีอำนาจมากน้อยแค่ไหน ก็ไม่สามารถดูเพียงขั้นอย่างเดียวเท่านั้น บรรณาธิการเล็กๆ คนหนึ่งในสำนักฮั่นหลิน มีตำแหน่งเริ่มต้นที่ขุนนางขั้นที่ 7 แต่ในแง่ของอำนาจ ก็ยังเทียบกับนายอำเภอซึ่งมียศขั้นที่ 9 ไม่ได้สวีเว่ยกุมอำนาจรักษาความปลอดภัยที่ประตูเฉินอู่อาจกล่าวได้ว่าช่วงนี้ชีวิตค่อนข้างมีความสุข ดังนั้น เมื่อเผชิญหน้ากับหลี่เฉินผู้ซึ่งมอบทั้งหมดนี้ให้กับเขา ความเคารพและความกตัญญูในใจจึงไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ “กระหม่อมสวีเว่ย คารวะองค์รัชทายาท องค์รัชทายาททรงพระเจริญพันปี พันๆ ปีๆ!”หลี่เฉินรู้สึกพอใจ เมื่อเห็นสวีเว่ยคุกเข่าลงบนพื้นด้วยความเคารพคนที่สนับสนุนขึ้นมาอย่างส่งๆ ในตอนนั้น ได้รับความสนใจจากหน่วยบูรพามาโดยตลอด เมื่อพิจารณาจากข้อมูลที่หน่วยบูรพาส่งรายงานมาให้อ่าน สวีเว่ยผู้นี้ใช้การได้ อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะใช้งานเขา หลี่เฉินก็จำเป็นต้องทุบค้อนบ้าง “ช่วงนี้เจ้า
สวีเว่ยพลันหน้าซีด หน้าผากของเขาปกคลุมไปด้วยเหงื่อเย็น เขามักจะรู้สึกว่าสิ่งที่เขาทำลงไปนั้นราบรื่นเกินไป และการแก้แค้นที่เขากังวลก็ไม่เคยเกิดขึ้นเลย ดังนั้นเขาจึงคิดว่าตัวเองนั้นโชคดี แต่ไม่คาดคิดว่าทุกสิ่งเกี่ยวกับตัวเขาจะถูกดูแลโดยองค์รัชทายาทอย่างไรก็ตาม สวีเว่ยก็รู้สึกแปลกใจเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเป็นเพียงทหารองค์รักษ์ตัวเล็กๆ คนหนึ่ง แต่เนื่องจากฝ่าบาททรงชื่นชม เขาจึงเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บังคับกองร้อย ซึ่งกลายเป็นขุนนางขั้นที่เก้า และมีอำนาจอย่างแท้จริง แต่คนต่ำต้อยอย่างเขาคู่ควรกับความสนใจของฝ่าบาทหรือ? สวีเว่ยไม่รู้ว่าตอนนี้หลี่เฉินขาดคนมากแค่ไหน แต่เขากลับรู้ว่าเมื่อโอกาสมาถึงแล้ว เขาจะต้องคว้ามันเอาไว้หลังจากได้ลิ้มรสในอำนาจแล้ว สวีเว่ยก็ไม่ต้องการที่จะกลับไปเป็นทหารองค์รักษ์ธรรมดาที่ใครๆ ก็สามารถเหยียบย่ำได้ นั่นคงจะเจ็บปวดยิ่งกว่าการฆ่าเขาเสียอีก“ฝ่าบาท ความโชคดีของกระหม่อม มาจากการสนับสนุนของฝ่าบาทในตอนนั้น แม้เป็นเพียงการกระทำแบบตามใจชอบ แต่กลับเปลี่ยนชีวิตทั้งชีวิตของกระหม่อมไป กระหม่อมเสียเวลาไปสามสิบปี แต่เมื่อได้พบฝ่าบาทและได้รู้จักความรุ่งโรจน์ กระหม่อมก็ยิ
จักรวรรดิต้าฉิน ห้องบรรทมในตำหนักบูรพาขององค์รัชทายาท“ฝ่าบาท หม่อมฉันมีไฝที่หน้าอก ท่านอยากดูไหม?”หลี่เฉินลืมตาโพลงขึ้นมา และหอบหายใจอย่างหนักราวกับปลาขาดน้ำ เขาจ้องมองเสาแกะสลักลายมังกรรอบๆ ด้วยความประหลาดใจ การตกแต่งห้องแบบโบราณและวิจิตรตระการตา บวกกับมีสาวงามที่น่าทึ่งนั่งอยู่ข้างเตียง เขาไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆวิญญาณของฉัน ทะลุมิติมาเหรอ!?“ฝ่าบาท ท่านทรงเป็นอะไรไป?”ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ เขาสวยกว่าดาราหญิงทุกคนในชาติก่อนของเขากำลังส่งเสียงเรียก ทำให้ความคิดของหลี่เฉินกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง ฉับพลันความทรงจำก็หลั่งไหลเข้ามาในจิตใจของหลี่เฉิน ทำให้เขาเปล่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดหลังหายใจเข้าอย่างหนัก หลี่เฉินก็เข้าใจขึ้นมาชาตินี้ เขาไม่ใช่มนุษย์เงินเดือนที่ถือว่าทำงานหามรุ่งหามค่ำเป็นพรอีกต่อไป แต่เป็นรัชทายาทแห่งจักรวรรดิต้าฉิน ว่าที่ฮ่องเต้ ทายาทที่ถูกต้องตามกฎหมายเพียงคนเดียวในจักรวรรดิต้าฉินอันยิ่งใหญ่!ชาตินี้ เขาไม่ใช่ผู้ชายจนๆ อีกต่อไป แต่เป็นผู้มีอำนาจและสถานะ ควบคุมอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในใต้หล้าไว้ในมือ!“ฉัน...ข้าอยากเห็น แน่นอนอยากเห็นสิ”หลี่เฉิ
เฉินจื้อกัดฟันด้วยความโกรธ ร่างกายของเขาสั่นเทิ้มไปทั่วร่าง มือที่จับบนด้ามดาบเกร็งแน่นจนเส้นเอ็นปูด เผยให้เห็นถึงความโกรธสุดขีด“ไม่กล้า? ไม่กล้าก็ไสหัวไป! ถอยไปด้านหลังให้ข้าห้าก้าว ลงไปจากขั้นบันได ถ้ากล้าเหยียบขั้นบันไดขึ้นมาหนึ่งก้าว สังหารไร้ปรานี!”หลี่เฉินมองสีหน้าอึมครึมของเฉินจื้อ ที่ค่อยๆ ถอยหลังไปอย่างช้าๆ ด้วยความอับอาย เมื่อถอยลงจากขั้นบันไดขั้นสุดท้ายจึงหยุด หลี่เฉินหัวเราะเสียงเย็น ก่อนจะหันหัวเดินเข้าไปด้านในเมื่อจ้องมองไปที่แผ่นหลังของหลี่เฉิน ความเกลียดชังที่พลุ่งพล่านอยู่ในอกของเฉินจื้อก็แทบจะทำให้เขาคลุ้มคลั่ง“หลี่เฉิน เจ้ารอข้าก่อนเถอะ เมื่อแผนการของฮองเฮากับใต้เท้าราชเลขาธิการบรรลุผล ข้าจะทำให้เจ้าตายไร้ที่ฝัง!”เมื่อกลับเข้ามาด้านใน หลี่เฉินก็เห็นฮองเฮาจ้าวชิงหลานกำลังปลอบใจจ้าวหรุ่ยที่กำลังร้องไห้อยู่อ้อมแขนของนางอย่างระมัดระวัง แม้ว่าจ้าวชิงหลานจะไม่เคยถูกแตะต้อง แต่เมื่อเห็นท่าทางของจ้าวหรุ่ยตอนนี้ และยังรอยเลือดบนแท่นบรรทมจึงพอจะทราบว่าเกิดอะไรขึ้นในฐานะผู้หญิงด้วยกัน นางย่อมเข้าใจหัวอกผู้หญิงด้วยกัน“องค์รัชทายาท ท่านบังอาจไปแล้วนะ!”เมื่อเห็นห