“ท่านอ๋อง” อี้เหนียงเรียกชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงสั่นระริก ร่างเปล่าเปลือยที่มิว่าบุรุษใดได้ยลก็พึงปรารถนา เวลานี้กลับไม่หลงเหลือแล้วในสายตาของชายสูงศักดิ์ผู้นี้ “ข้ามิใช่คนดีอันใด แต่ข้าจะมิวันทำให้ภรรยาเสื่อมเกียรติเป็นอันขาด” ร่างงามถูกดันให้ออกห่างจากตัวเขา ก่อนที่ชายหนุ่มจะลุกขึ้นยืนจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย อี้เหนียงทรุดนั่งลงกับพื้นพร้อมน้ำตานองหน้า ทว่ากลับไม่เป็นที่สนใจของชายหนุ่มที่ก้าวจากไป “ข้ามิได้ เจ้าก็อย่าหวังจะได้เขาเช่นกัน” นางรู้อยู่แล้วว่าชายหนุ่ม จะต้องไปจากนางในสักวัน เมื่อเขาพบเจอสตรีอันเป็นที่รัก แต่นางไม่คิดเลยว่าสตรีคนนั้นจะเป็นพระชายาเอกนอกสายตาของเขาเอง นับตั้งแต่ทั้งคู่แต่งงานกัน ชายหนุ่มหาได้ใส่ใจกับภรรยาเช่นจื่อลู่ถิงไม่ แล้วเหตุใดวันนี้ เขาจึงเอ่ยถึงเกียรติของภรรยาออกมาเช่นนี้ด้วยเล่า มิต้องเดาให้เสียเวลาว่าสตรีใด ที่อยู่ในใจของชายหนุ่ม เมื่อร้องขอแล้วมิได้นางก้ต้องแย่งชิงมาเท่านั้น“นายหญิง” เสียงแหบพร่าดังอยู่ด้านหลังของอี้เหนียง ใบหน้างามที่ยังมีคราบน้ำตา หันกลับไปมองสบเข้า
ตลาดในเมือง องครักษ์หนุ่มรับรู้ถึงอันตราย ที่ดูจะเข้าใกล้เขาและผู้เป็นนายมากขึ้นทุกขณะแล้วในตอนนี้ ชายหนุ่มคิดจะรั้งนายหญิงเอาไว้ เมื่อเห็นทิศทางที่นางกำลังเดินไปนั้น ไม่ปลอดภัยเท่าใดนักในเวลานี้ “พระชายา กระหม่อมว่าเราไปทางนั้น มิดีกว่าหรือพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์หนุ่มรีบเสนอทิศทาง ที่เขาคิดว่ามันปลอดภัยสำหรับผู้เป็นนาย แต่ดูจากสายตาและสีหน้าของพระชายาแล้ว เขาอาจต้องคิดเสียใหม่ก็เป็นได้ “ข้าจะไปดูของทางนี้ หากเดินไปทางนั้น ข้าจะได้สิ่งที่ต้องการได้อย่างไรเล่า” จื่อลู่ถิงย้อนถามองครักษ์ของสามี ในสายตาผู้อื่นนางคือสตรีในหอห้อง ทว่าความเป็นจริงแล้ว จื่อลู่ถิงคนเดิมนั้นมีความสามารถมากกว่าที่ผู้อื่นจะคาดคิด และนับว่าเป็นบุญของนางที่วิชาเหล่านั้น มิได้หายไปพร้อมกับวิญญาณเจ้าของร่าง มีหรือนางจะไม่รู้ว่าเหตุใดชายหนุ่ม จึงได้คิดให้นางเปลี่ยนทิศทางเสีย แต่จะหนีได้อีกสักมากน้อยเพียงใดกัน ในเมื่อคนเหล่านั้นตามติดนางเสียขนาดนี้ มิสู้เผชิญหน้าให้รู้แล้วไปเลยไม่ดีกว่าหรือ “กระหม่อมว่าเส้นทางนั้น พระชายารอท่านอ๋องมาก่อนค่
แต่แล้วสิ่งที่คิดก็กำลังจะเกิดขึ้น หนทางเดียวที่นางจะยุติทุกอย่างลงได้ คือเรือนร่างที่จะมัดใจสามีให้อยู่หมัด ตามด้วยหัวใจที่ขาดหายไปของสามี ที่นางกำลังคว้ามันเอามาไว้ในมือ อาวุธที่ร้ายการของนาง คือใจของอ่องเฟยเทียนเองอย่างไรเล่า“ดูท่าข้าคงไม่อาจออมมือได้แล้ว”ชายชุดดำเอ่ยขึ้น พร้อมกับพุ่งเข้าหาหญิงสาวด้วยความดุดัน ทว่ามันกลัไม่ง่ายอย่างที่เขาคิด หญิงสาวตรงหน้าได้คิดที่จะหยอกเย้าเขาเล่นเช่นในคราแรก แต่นางกลับตอบกลับด้วยความโหดเหี้ยม เสมือนชีวิตนางหาได้มีหัวใจของความเป็นมนุษย์เลยแม้แต่น้อยชายชุดดำกระเด็นตกไปไกล เมื่อต้องปะทะกับพลังที่ปะทุออกจากร่างงาม ในสายตาของเขาตอนนี้ หญิงสาวไม่ใช่เพียงมีฝีมือ แต่เก่งกาจเกินไปเลยด้วยซ้ำ มิเว้นแม้แต่สาวใช้ข้างกายของหญิงสาว เพียงหางตาที่เขาเหลือบเห็นสาวใช้ผู้นั้นมีฝีมือทัดเทียมพวกเขาเลยทีเดียว ยิ่งเป็นเรื่องที่น่าแปลก สกุลจื่อแม้จะสูงศักดิ์เป็นถึงพระญาติ แต่ทว่าเหตุใดบุตรสาวคนโต จึงมีสาวใช้ที่ฝึกวิชายุทธด้วยเล่าอึก! สิ่งที่ชายชุดดำคาดไม่ถึงก็ได้เกิดขึ้นอีก เมื่อดาวโค้งของหญิงสาว ตวัดโดนตัวเขา ทั้งที่หญิงสาวยังยืนห่างออกไปอยู่มาก โซ่ในมือเป็นการยืนย
ภายในรถม้า ขบวนเดินทางจิ้นอ๋องเฟยเทียน “พระชายาเพคะ จะทำอย่างไรต่อไปเพคะ ดูเหมือนของเล่นในท่านอ๋องจะติดตามเรามา” “อย่าได้แตกตื่นไป บุรุษแม้จะหลงใหลในตัณหา แต่ใช่ว่าจะเป็นไปเสียทุกคน หากวันนั้นท่านอ๋องยังอาวรณ์ในตัวนาง คงมิคิดจะก้าวออกมา โดยทอดทิ้งนางให้แก้ผ้าอยู่เพียงลำพังกระมัง” “หม่อมฉันเกรงว่านาง จะสร้างความร้าวฉานให้แก่พระนางนะเพคะ” “ตอนที่ข้ากับท่านอ๋องยังมิร่วมหอ ข้าก็ไม่เห็นจะเป็นเดือดเป็นร้อนที่ไม่มีเขาจริงไหม หากวันหนึ่งนางหมายจะแสดงตัว หรือท่านอ๋องยินดีรับนางเข้าจวน เจ้าคิดว่าข้าหาได้ใส่ใจนักหรืออย่างไร แค่เพียงนางไม่ล้ำเส้นของข้า” ‘แต่ดูเหมือนว่านางจะชื่นชอบความท้าทายอยู่ไม่น้อย’จื่อลู่ถิงไม่ได้เอ่ยความคิดสุดท้ายออกมา นางมิได้เก่งกาจอันใด แต่การมองสายตาของสตรีนั้น เสมือนนางยืนมองกระจกใส ที่ทะลุไปอีกด้านเลยทีเดียว “หากเป็นเช่นนั้นจริง นางคงมิยินยอมอยู่เพียงตำแหน่งอนุเป็นแน่เจ้าค่ะ” “บุตรสาวกบฏเช่นนาง มีสิทธิ์อันใดมาเทียบเคียงข้าเล่า” จื่อลู่ถิงไม่คิดจะหวั่นเกรงว่าผู้ใดจะมองว่านางร้
ยามบ่ายมีรถม้าคันใหญ่จอดหน้าโรงเตี๊ยม ร่างระหงของสตรีนางหนึ่งก้าวลงมาด้วยท่วงท่าดุจนางหงส์ สายตาคู่งามเงยมองขึ้นไปยังชั้นสองของโรงเตี๊ยม สายตาของสตรีสองนางสบกันพอดี หนึ่งสูงส่งโดยชาติกำเนิด หนึ่งวาดหวังจะยืนยังแทนที่ จื่อลู่ถิงหาได้หลบเลี่ยงสายตานั้นแม้แต่น้อย รอยยิ้มหยันปรากฏขึ้นบนใบหน้างาม นางมีหรือจะไม่เข้าใจในสายตาของผู้มาใหม่ แค่ยังไม่ถึงเวลาที่นางจะลงมือก็เท่านั้น “สามีของข้า มันผู้ใดก็อย่าได้หวังช่วงชิง” “เหม่ยเหม่ยจะให้คนของเรา เฝ้าจับตานางให้ดีเจ้าค่ะ” “ไม่จำเป็น คนที่ข้าต้องห่วงคือลูกในท้อง เรื่องของนางกับท่านอ๋องก็ให้พวกเขาจัดการกันเอง เราแค่รอเก็บกวาดก็พอ” จื่อลู่ถิงเองใช่จะไม่มีความรู้สึกเป็นกังวล การกระทำของนางก็มิต่างอันใดกับหญิงสาวทั่วไป ที่หวงแหนของรัก มันอาจดูมิสูงค่าในสายของสตรีจากอีกโลก แต่อย่างไรเสียนางก็คือสตรีผู้หนึ่ง มิใช่โพธิ์สัตว์ที่ละได้จากกิเลส เมื่อต้องใช้ชีวิตในโลกของการแย่งชิง นางเองก็จำต้องกลมกลืนเพื่อความอยู่รอดมิใช่หรืออย่างไรกัน หากฝืนจนเกินไปชีวิตที่ว่ายากลำบากอยู่แล
“ท่านพี่” จื่อลู่ถิงผวาเข้าหาอ้อมกอดสามี เมื่อร่างสูงย่อกายลงข้างนาง ใบหน้าซุกยังอกแกร่ง ทว่ารอยยิ้มสาแกใจเกิดขึ้น โดยไร้สายตาผู้พบเห็น แม้ในใจของนางจะเต้นมิเป็นส่ำก็ตามที ยังดีที่นางรวบรวมพลังป้องกันเอาไว้ได้ทัน ทำให้การล้มของนางดูเป็นอันตราย ซึ่งแท้จริงนางแค่ทำให้สมจริง โดยที่ไม่เป็นอันตรายต่อลูกในท้อง “จับตัวนางไปลงโทษ หาญกล้าทำร้ายเชื้อพระวงศ์” เฟยเทียนสั่นสะท้านไปทั้งร่าง เมื่อภาพภรรยาล้มลงยังพื้นดิน ใจของชายหนุ่มแทบหยุดเต้น หากนางไม่กำลังตั้งครรภ์ เขาคงไม่หวาดกลัวเช่นนี้ “ท่านพี่ ข้าอยากกลับห้อง” จื่อลู่ถิงบอกสามีด้วยน้ำเสียงปนตื่นกลัว “ตามหมอไปตรวจอาการพระชายา”ชายหนุ่มสั่งการเสียงเข้ม มิใช่เพียงลูกที่เขาห่วง แต่เป็นทั้งแม่และลูก เพราะมิว่าอย่างไรย่อมกระทบใจภรรยาจนยากเยียวยาได้ หากเกิดสิ่งมิคาดฝันขึ้นมา “ท่านอ๋องเพคะ ได้โปรดฟังหม่อมฉันอธิบายก่อนเพคะ ท่านอ๋อง” ไร้คำตอบและการเหลียวแล นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าชายหนุ่ม จะลุ่มหลงในตัวของจื่อลู่ถิงถึงเพียงนี้ “หากเจ้ายังกล้ามองพระชายาของข้า
ชายหาดหน้าโรงแรมหรูริมทะเล ณ เกาะฮ่องกง ปิงปิง เดินเหม่อลอยไปตามชายหาด ภาพในหัวของเธอตอนนี้ คือเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสิบห้านาทีที่แล้ว เธอจำมันได้ดีว่าตั้งใจจะไปหาเพื่อนรัก ที่มาเที่ยวด้วยกันในทริปนี้ “อ่า! หยาง คุณทำฉันร้อนไปทั้งตัวแล้วนะคะ” มือบางที่ตั้งใจจะเคาะห้องนอนจำต้องชะงักค้าง ก่อนที่เธอจะค่อย ๆ เปิดประตูเข้าไปเบา ๆ แม้จะรู้ว่ามันคือการเสียมารยาท แต่ชื่อที่ออกจากปากของเพื่อนรัก มันสะกดให้เธอทำ พร้อมอาการสั่นเทาไปทั้งตัว ด้วยกลัวว่าสิ่งที่คิดจะเป็นเรื่องจริง หยางค่อย ๆ ลากปลายลิ้นไปทั่วตัวของหญิงสาว ที่นอนเหยียดยาวบนพื้นพรมหน้าเตาผิง หลี่เหว่ยบิดเร้าด้วยความเสียวซ่าน จากการถูกชายหนุ่มเล้าโลมด้วยปลายลิ้น และมืออันอุ่นร้อนของเขา ชายหนุ่มไม่ได้โต้ตอบหญิงสาว แต่กลับซุกใบหน้ากับเนินสวาทที่เกลี้ยงเกลาไร้ปุยขนบดบัง ทำให้มองเห็นสีแดงระเรื่อของปลายเม็ดสวาทโผล่พ้นกลีบอ่อนนุ่ม ชายหนุ่มใช้ปลายลิ้นแทรกตามร่องกลีบบอบบาง เพื่อเปิดเส้นทางอย่างเชื่องช้า เสมือนการกลั่นแกล้งร่างงามที่กำลังบิดเร้าอยู่บนพรมหนานุ่ม หยางตวัดปลายขึ้นลงตามร่องสวาท
มิติคู่ขนาน ณ จวนอ๋องชูจิ้งหยาง เรือนชูเพ่ย เจ้าของเรือนกำลังนั่งบดยาอยู่ในห้องหนังสือ โดยมีอีกสามชีวิตนั่งรวมอยู่ด้วย “เรียนท่านหญิง ข้าน้อยได้สืบมาแล้วว่าท่านแม่ทัพไป๋เจี้ยนถง มิเคยมีแม้แต่สาวใช้อุ่นเตียง ผู้คนทั่วทั้งชายแดนล่ำลือกันว่า...เอ่อ” “อะไร” เพ่ยเพ่ยเอ่ยถามองครักษ์หนุ่ม โดยที่สายตายังคงสนใจอยู่กับสมุนไพรที่นางนำลงไปบด “เอ่อ...คือ” ต้าจินมิรู้จะตอบผู้เป็นนายอย่างไรดี ด้วยเขาเองก็เป็นบุรุษ แม้ว่าเรื่องที่จะเอ่ยออกมาเป็นเรื่องที่เขาต้องสืบหาความจริง เพื่อมารายงานแก่ผู้เป็นนายก็ตามที “ต้าจิน ข้าร่ำเรียนวิชาแพทย์ จิตใจย่อมต้องเข้มแข็งกว่าสตรีทั่วไปมากมายนัก ดูอย่างเปี้ยนจิงสิ นางเป็นสตรีทว่ากลับมีฝีมือมิต่างจากบุรุษเช่นเจ้า จะมีเรื่องใหญ่อันใด ที่ข้าไม่ควรรู้เกี่ยวกับว่าที่สามีอีกเล่า” ท่านหญิงชูเอ่ยเสียงราบเรียบ อันเป็นสิ่งคุ้นชินของเหล่าผู้ติดตาม หญิงสาวรู้ดีว่าบุรุษและสตรีในยุคนี้ ย่อมจะมีข้อกำหนดและการถูกปลูกฝังมาแตกต่างจากโลกที่นางจากมา “ชาวเมืองเชี่ยหยาง
สามเดือนต่อมา หลังจากการสืบสวนของศาล ผลสรุปของคดี ฉีชางพร้อมด้วยมารดาเลี้ยงของเขา ได้รับโทษประหาร ส่วนฮั่วเยว่อิงและมารดารวมถึงเฉินป๋อหยาถูกส่งไปใช้แรงงานในเหมือง ในฐานะนักโทษเป็นเวลาสิบปี ทางด้านเด็กน้อยเสี่ยวเป่า ฮั่วเสารับดูแลในฐานะลูก โดยทุกคนได้รับคำสั่งไม่ให้พูดเรื่องชาติกำเนิดแท้จริงกับเด็กน้อย เฉินห้าวหนานยืนมองเป้าหมาย ที่กำลังนั่งเหม่ออยู่ไม่ไกล เขาหอบลูกติดตามหญิงสาวมาจนถึงชายแดนตะวันออก ทว่าทางสำนักคุ้มภัยบอกแก่เขาว่านางอยู่ที่นี่ หลังจากทำการเจรจากับท่านตาและท่านยายของหญิงสาวเป็นที่เรียบร้อย เขาจึงได้มาหานางที่นี่ ชายหนุ่มวางบุตรชายเอาไว้บนพื้นหญ้า ก่อนจะทำให้เจ้าก้อนแป้งส่งเสียงร้องงอแง ฮั่วเหลียนชินหันหาที่มาของเสียงร้อง ที่นางคุ้นเคยในทันที ก่อนที่นางจะเดินตามเสียงนั้นเสมือนต้องมนต์ แม้ในใจจะคิดว่านางคงกำลงคิดถึงหลานชายจนหูแว่ว “ห้าวหยาง!” ร่างบางวิ่งเข้าอุ้มหลานชายขึ้นสู่อ้อมแขนในทันที หญิงสาวกดจมูกลงบนแก้มอวบอ้วนด้วยความคิดถึง “เจ้ามาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไรกัน บิดาเจ้ารังแกเช่นนั้นรึ หลี
“ท่านแม่! ข้าเป็นลูกของท่านพ่อใช่หรือไม่ ข้ามิใช่ลูกเขาใช่ไหมขอรับ” เฉินป๋อหยาเอ่ยถามมารดา ด้วยน้ำเสียงแหบแห้งกว่าปกติหลายเท่านัก มารดาบอกแก่เขาว่าตนเป็นลูกของนางอย่างแท้จริง แต่เฉินห้าวหนานเป็นลูกชายของน้องสาว ที่แต่งมาเป็นอนุของบิดา ทว่าตอนนี้ไยทุกอย่างมันกลับกลายเป็นเขา ที่มิใช่สายเลือดสกุลเฉินไปได้ “แม่ขอโทษป๋อหยา’ ไม่ต้องมีคำอธิบายใด ๆ อีกแล้ว ทุกอย่างกระจ่างชัดจนชายหนุ่มทนรับมันต่อไปไม่ได้ ร่างสูงก้าวช้า ๆ ตรงไปยังประตูห้องจัดเลี้ยง เขาไม่ใช่คนสกุลเฉิน แต่เป็นลุกพ่อบ้านจวนสกุลฮั่ว หนำซ้ำคนผู้นั้นยังเป็นคนอยู่เบื้องหลังการตายของใครอีกหลายคน มารดาของเขาคือฆาตกรสังหารน้องสาวตนเอง เพื่อช่วงชิงลูกของนางมาเป็นของตนเอง ทุกอย่างมันร้ายแรงเกินกว่าที่เขาจะทนรับมันได้ ทว่าเพียงก้าวพ้นประตู เฉินป๋อหยาก็ถูกทหารรวบตัวเอาไว้ เพราะมีส่วนร่วมในการลอบสังหารฮูหยินในท่านแม่ทัพเฉินห้าวหนาน เฉินป๋อหยาไม่มีท่าทีขัดขืนใด ๆ ชายหนุ่มเหม่อลอยจนน่าตกใจ ก่อนที่เขาจะหันกลับเข้าไปในห้องจัดเลี้ยง มารดาถูกคุมตัวนั่งเคียงข้างบิดาที่เขาเพิ่งรู้จัก อีกข้า
“หยุดนะห้าวหนาน วันนี้เป็นวันดีของน้องชาย เจ้าจะเอาเรื่องไร้สาระเช่นนี้ มาเล่าเพื่อสิ่งใดกัน” “อย่าได้ร้อนตัวสิขอรับท่านแม่ อย่างไรก็ฟังให้จบเสียก่อนจะดีกว่า” “นั่นสิ! เฉินฮูหยินให้หลานชายข้าเล่าต่อให้จบเถิด” ท่านเจ้ากรมการคลัง ได้พูดแทรกขึ้น เพราะเขาเองก็อยากจะฟังเรื่องนี้ให้จบ เพื่อความแน่ใจว่าสิ่งที่เขาเคยได้ยินมานั้น มันมิใช่สิ่งที่คิดไปเอง ซึ่งแขกในงานต่างแสดงความต้องการ เช่นเดียวกันกับท่านเจ้ากรม “เช่นนั้นต่อเลยนะขอรับ ในวันที่น้องสาวของนางคลอดบุตรชาย ตัวนางเองก็คลอดบุตรชายเช่นกัน อ่อ! ในตอนนั้น นางเลือกที่จะพาน้องสาวกลับไปคลอดยังบ้านเกิดมารดา อีกทั้งสามีที่เป็นแม่ทัพก็มิอาจปลีกตัวติดตามไปได้ ข่าวดีและร้ายได้เกิดขึ้นในวันเดียวกัน นั่นคือท่านแม่ทัพได้บุตรชายสองคน ทว่าเพียงสองชั่วยามภรรยาและลูกชายอีกคนได้สิ้นใจลงอย่างน่าอนาถ” “แล้วมันยังไง ก็แค่เมียเอกกับเมียน้อยคลอดลูกพร้อมกัน ส่วนเรื่องคลอดลูกแล้วตกเลือดจนตายก็นับเป็นเรื่องที่มีให้เห็นอยู่ไม่น้อย เด็กไม่แข็งแรงจะสิ้นใจก็ไม่แปลก” “แปลกตรงที่แท้จริงเมียเอกมิได
ตลอดสามวันที่เขาปล่อยข่าวว่าออกนอกเมืองไป มันทำให้เขาได้รู้เห็นเรื่องในบ้าน จนเรียกว่าเจ็บจนแทบจะกระอักเลือดเลยก็ว่าได้ “สัญญากับข้า อย่าได้แหวกหญ้าให้งูตื่น เพียงเพราะโทสะของท่าน” “ข้าสัญญา เจ้าก็ต้องรับปากข้า ว่าจะไม่เอาตนเองมาเสี่ยงเช่นนี้อีก เข้าใจหรือไม่” “เราเป็นอะไรกันเช่นนั้นรึ จึงต้องทำตามคำขอของท่าน ซึ่งมันมิใช่ส่วนรวมเช่นคำขอของข้าเลยสักนิด” “เจ้ากับลูกเป็นทุกสิ่งของข้า” “อย่าได้หมิ่นเกียรติข้าเกินไปนัก รู้ตนเองบ้างว่าท่านกับข้าเป็นใคร” “เพราะรู้ข้าถึงกล้ายอมรับมัน” “…” ฮั่วเหลียนชินมิอาจเอ่ยสิ่งใดตอบโต้ชายหนุ่มได้ นางทำเพียงก้าวเคียงข้าเขาไปเงียบ ๆ เพราะคร้านจะโต้แย้ง “ความรู้สึกมิใช่เงินตราก็ซื้อหาได้ ข้าคิดเช่นไรก็พูดออกไปเช่นนั้นมิได้โป้ปด ทุกอย่างสุดแท้แต่เจ้าจะมองเห็นเหลียนชิน” เฉินห้าวหนานเอ่ยขึ้นเบา ๆ พร้อมกระชับร่างบางให้แนบกายมากขึ้น ด้วยเกรงว่าเขาจะมิได้ชิดใกล้นางเช่นนี้อีก หลังจากกลับมาถึงจวน เฉินฮูหยินได้รีบมาที่เรือนของลูกสะใภ้ พร
“หึ ๆ ไม่นึกว่าวันนี้จะได้ยลโฉมคุณหนูใหญ่สกุลฮั่ว” เสียงจากด้านหลังหินก้อนใหญ่กลางสวน ไม่ได้ทำให้หญิงสาวทั้งสามรู้สึกตื่นเต้นเลยสักนิด ยิ่งอีกฝ่ายเรียกนางได้อย่างถูกต้อง นั่นแสดงว่าจิ้งจอกพิการทั้งสอง รนรานกลับไปหานายเก่าแล้ว และหากนางเดาไม่ผิดทั้งสองคนไร้ลมหายไปแล้วเช่นกัน “รวดเร็วทันใจดีแท้ หึ ๆ” หญิงสาวเอ่ยเบา ๆ กับสาวใช้ทั้งสอง ก่อนจะมองไปยังคนที่เผยตัวออกมาอย่างใจเย็น ทว่าเขายังคงปิดบังใบหน้าตนเองเอาไว้ “ไยต้องบิดบังใบหน้าด้วยเล่า ช่างไร้มารยาทในการพบเจอยิ่งนัก” “ไม่นึกเลยว่าเด็กขี้โรคเมื่อวันวาน จะกลายเป็นหญิงงามในวันนี้” “ขอบคุณที่ชม แต่ข้าก็ยังแปลกใจอยู่ดี ว่าเหตุใดกันเจ้าจึงมารอพบข้าที่นี่ อย่าบอกนะว่าเป็นเรื่องบังเอิญ มันย่อมไม่มีทางเป็นเช่นนั้นไปได้ เพราะความบังเอิญนี้มันเหมาะเจาะจนเกินไป” ฮั่วเหลียนชินกระชับอ้อมแขนรัดร่างอ้วนให้แน่นขึ้น นางสัมผัสได้ถึงไอสังหารที่อีกฝ่าย ตั้งใจปลดปล่อยออกมาเพื่อกดดันนาง อีกอย่างคือกำลังประเมินฝีมือของนางไปในตัว “จะกล่าวเช่นนั้นก็ย่อมได้ น่าเสียดา
สามวันถัดมา เฉินฮูหยินได้ให้สาวใช้มาแจ้งแก่ฮั่วเหลียนชิน ว่าจะพานางกับลูกไปไหว้พระ เพื่อขอพรให้กับครอบครัว หญิงสาวได้ตอบรับคำเชิญของแม่สามี หญิงสาวยกยิ้มร้าย เมื่อกล้าท้าทายนางก็พร้อมท้าชนเช่นกัน “บาดแผลของนายหญิง ยังไม่หายดีนะเจ้าคะ” “บาดแผลหนักกว่านี้พวกเราก็ผ่านกันมาแล้ว หากให้ผู้อื่นรู้ว่าข้าบาดเจ็บย่อมต้องเป็นสงสัยของทุกคน แค่เขารู้คนเดียวข้าก็หนักใจอยู่ไม่น้อย” ฮั่วเหลียนชินรู้สึกเช่นนั้นจริง ๆ เพราะถึงแม้ตอนนี้นางไม่รู้ว่าจะวางใจเฉินห้าวหนานได้มากแค่ไหน แม้เขาจะพูดกับนางอย่างตรงไปตรงมา ถึงความรู้สึกที่มีต่อน้องสาวของนาง ‘แม้ข้ามิได้รักนาง แต่ข้าก็มิคิดที่จะให้นางกับลูกตาย ห้าวหยางคือลูกชายของข้า ไยข้าจะชิงชังเขาได้เล่า แต่ข้าไม่นึกว่าการเดินทางของนาง จะเป็นการจากไปมิหวนคืนเช่นนี้’ “จิ้งจอกถูกปล่อยแล้วใช่หรือไม่” “เจ้าค่ะ ตอนนี้ท่านพี่ฉงอานกำลังจับตาดูอยู่เจ้าค่ะ” “ดี! มองอยู่เงียบ ๆ รอให้สาวถึงปลาตัวใหญ่ ค่อยลงมือในคราเดียว” “สาวใช้จากเรือนหลีหยา มาป้วนเปี้ยนบ่อยยิ่งนักเจ
ตอนสาย ณ เรือนเหลียนฮวา หลี่เยี่ยน กำลังยืนเผชิญหน้าอยู่กับมารดาของท่านแม่ทัพ ที่อยู่ ๆ วันนี้ต้องการพบลูกสะใภ้ ทั้งที่ทุกครั้งหากต้องการพบกับฮูหยินของนาง เฉินฮูหยินจะให้สาวใช้มาเชิญนายหญิงของนางไปพบ “เหลียนฮวาไปที่ใด นี่ก็สายมากแล้ว ไยนายเจ้ายังไม่ตื่นอีกเล่า” “เอ่อ…” “ท่านแม่มีสิ่งใดหรือขอรับ วันนี้จึงได้มารบเร้าอยากเจอสะใภ้ถึงเรือนเล่าขอรับ” เฉินฮูหยินถึงกับตัวชาไปทั้งร่าง ก่อนจะรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ หญิงสูงวัยคลี่ยิ้มกว้างส่งให้บุตรชาย “แม่แค่อยากชวนฮวาเอ๋อร์ออกไปดื่มชา กับบรรดาฮูหยินยังเหลาชีเหลียงเท่านั้นเอง” “เมื่อคืนนางแทบมิได้นอน ข้าเลยสั่งให้นางพักต่ออีกสักหน่อยขอรับ” “เจ้าค้างที่นี่เช่นนั้นรึ” “ข้าย้ายมาอยู่กับลูกเมียนานแล้วขอรับ เพียงแต่มิได้บอกผู้ใด เพราะนี่ถือเป็นเรื่องปกติของสามีภรรยามิใช่หรือขอรับ ข้าไม่นึกว่าท่านแม่อยากทราบเลยมิได้บอกขอรับ” “เช่นนั้นแม่กลับก่อนดีกว่า หากแม่รู้ว่าเจ้าอยู่ด้วยจะไม่มากวนใจพวกเจ้าผัวเมียเลย แม่ยิ่งอยากได้หลานเพิ่มอีกส
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” เฉินห้าวหนานประคองร่างบางให้แนบกาย ก่อนจะมองไปยังกลุ่มคนสวมหน้ากาก ที่ยืนหันหลังให้แก่เขาและคนในอ้อมแขน จะมีเพียงแค่ชายหนุ่มที่เข้าช่วยเขาและนางในคราแรก ที่ยืนมองเขามิวางตา “ไม่ว่าท่านจะรูเห็นสิ่งใดในวันนี้ จงลืมมันเสีย” หญิงสาวขยับผละออกห่างอกแกร่ง หญิงสาวเดินไปหาคนสนิท หมับ! ทว่าก่อนที่มือของฉงอานจะทันได้แตะต้องตัวผู้เป็นนาย แม่ทัพหนุ่มได้คว้าร่างบางนั้นกลับมาชิดกายอีกครั้ง ก่อนจะช้อนอุ้มนางขึ้นสู่อ้อมแขน “ข้าจะไม่ยินยอมให้บุรุษใดแตะต้องเจ้า” ร่างสูงก้าวออกจากตรอกเล็ก ตรงไปยังทิศทางออก โดยไม่สนใจว่าคนสวมหน้ากากทั้งหมดจะมองเขาเช่นไร ฮั่วเหลียนชินไร้เรี่ยวแรงที่จะขัดขืน หญิงสาวจำต้องซบใบหน้ากับอกกว้างของชายหนุ่ม ก่อนที่ดวงตาคู่งามจะปิดลง “ท่านแม่ทัพ! โปรดตามข้าน้อยมาทางนี้เถอะขอรับ เราจะให้ผู้ใดรู้ว่านายหญิงบาดเจ็บไม่ได้เป็นอันขาด” เฉินห้าวหนานไม่เอ่ยสิ่งใด ร่างสูงก้าวตามชายผู้นั้นไปอย่างเร่งร้อน เสียงลมหายใจของคนในอ้อมแขน ดูจะเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย เขากลัวเหลือเกินว่าลุกธนูนี้จะมียา
“เครื่องหอมนี้ข้ามิรู้ชื่อ แต่ข้ามีตัวอย่างนำมาให้ นายหญิงของข้าปรารถนาจะมีในครอบครอง” “วางลงตรงกล่องซ้ายมือ แล้วรอข้าสักครู่” ชายหนุ่มทำตามที่คนด้านในบอกทุกอย่าง ฮั่วเหลียนชินยังคงใจเย็นอยู่เช่นเดิม นางรู้กฎของคนค้าขายในเงามืดดี ทั้งเจ้าเล่ห์และคดโกง หมับ! ฟึ่บ! มือบางคว้าคอเสื้อของคนสนิทได้ทัน ก่อนทั้งคู่จะเบี่ยงกายหลบลูกดอก ที่พุ่งออกมาจากประตู แน่นอนว่ามันต้องอาบไปด้วยยาพิษ ฮั่วเหลียนชินไม่คิดที่จะบุ่มบ่ามเข้าไป หญิงสาวก้าวไปยังคบไฟที่ปักอยู่เสาเรือน ก่อนจะใช้วิชาตัวเบาขึ้นไปยืนอยู่บนหลังคา เมื่อให้เปิดประตูดี ๆ ไม่ทำ นางก็แค่เชิญคนด้านในอย่างเป็นมิตร เพียงครู่เดียวคนสนิทของหญิงสาวได้ขึ้นมายืนเคียงข้างผู้เป็นนาย โดยในมือมีขวดน้ำเต้าที่บรรจุเหล้าป่าเอาไว้ แน่นอนว่ามันคือหนึ่งในอาวุธที่นางชื่นชอบ ชายหนุ่มเปิดกระเบื้องออกอย่างเบามือ เมื่อแน่ใจว่าด้านล่างคือห้องเครื่องหอม ที่ไวต่อไฟในมือของผู้เป็นนาย เพล้ง! ฟรึ่บ! เพียงพริบตาไฟได้ลุกขึ้นลามไปที่เครื่องหอมและตัวบ้าน สองนายบ่าวยืนมองเปลวเพลิงค่อย ๆ ลุกลามไปเรื่อย ๆ