“ไอ้ขุน…ไปไหน?”คุณจอมพลขยับใบหน้าเข้ามาเอ่ยถามฉันเสียงแผ่วเบา“ไม่ทราบค่ะ…”ฉันตอบคุณจอมพลไปด้วยท่าทางสุภาพ เขาก็มองหน้าฉันด้วยแววตาเรียบเฉย ฉันก็ละสายตาจากเขามาก้มหน้าจดรายงานการประชุมต่อ ฉันต้องทำหน้าที่บันทึกการประชุมในตำแหน่งเลขาและทำหน้าที่แทนท่านประธานที่ป่านนี้คงจะไปนอนกกผู้หญิงที่ไหนสักที่นั้นแหละ“มิสฐิติมน….”“ค่ะ^_^”ฉันเงยหน้าขึ้นมาทันทีที่มีเสียงเรียกชื่อฉัน เขาคือคุณจอนเทเลอร์ผู้ถือหุ้นสิบเปอร์เซ็นต์ประจำสาขาที่ลอสแอนเจลิสในเมืองของแคลิฟอร์เนียที่มียอดขายพุ่งกระฉูดขึ้นทุกเดือน“พวกเราพูดคุยกันแล้ว….ทุกคนไม่มีความคิดเห็นอะไรหรือข้อเสนอใดๆ…แต่พวกเราคิดว่า…”คุณจอนเทเลอร์เอ่ยขึ้นเป็นภาษาอังกฤษ ฉันก็ยิ้มและพยักหน้ารับรู้คำพูดของเขา“คุณฐิติมนคงมีข้อเสนอดีๆเหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมาเสนอให้พวกเราฟัง^_^”ฉันยิ้มกว้างพลางก้มศีรษะให้คุณจอนเทเลอร์เพื่อเป็นการน้อมรับคำชม“ขอบคุณสำหรับการไว้วางใจที่ทุกๆท่านมีให้ดิฉันนะคะ….”ฉันลุกขึ้นยืนอีกครั้งและโค้งตัวทำความเคารพคณะกรรมการและผู้ถือหุ้นทุกๆท่านอย่างเคารพและดีใจที่ทุกคนเชื่อมั่นและไว้วางใจในตัวของฉัน“ด้วยความยินดีครับ^_^”ท่านคณะกรรมกา
15:00น.หน้าห้องท่านประธานบริษัท……เอริ ฐิติมน…..ตึกๆๆๆๆๆๆ“เข้าไม่ได้นะคะ…”“ท่านประธานไม่อยู่ค่ะ…”“คุณคะ!”“มีอะไรคะ?”ฉันรีบเดินออกมาจากโต๊ะประจำของฉันที่อยู่หน้าห้องของท่านประธานก็เอ่ยขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายของคุณออมสินและเอ่ยถามคุณออมสินไป แต่ก็ต้องตกใจกับผู้หญิงที่สวมชุดเดรสสีขาวลายลูกไม้ผมยาวสีดำหน้าตาถูกแต่งเติมด้วยโทนสีชมพู“คุณนามิ…..สวัสดีค่ะ…”ฉันเอ่ยเรียกชื่อเธอพร้อมกับยกมือไหว้ตามมารยาทถึงเธอจะอายุน้อยกว่าฉัน แต่ในตอนนี้ฉันอยู่ในหน้าที่ซึ่งเธอเป็นแขกของเจ้านายฉัน ฉันควรจะให้เกียรติเธอ“ฉันมาหาพี่ขุนศึก”นามิไม่ได้รับไหว้ฉัน เธอกลับเดินตรงดิ่งมาประจันหน้ากับฉันพร้อมกับเอ่ยเสียงแข็งขึ้นมา แววตาของเธอที่ใช้มองฉันในตอนนี้มันทำให้ฉันมั่นใจเรื่องเมื่อคืน ว่ามันไม่ใช่อุบัติเหตุแน่นอน แต่เธอจงใจตักข้าวสวยมาใส่มือฉัน“ออมขอโทษนะคะ…คุณเอริ…พอดีออมบอกคุณคนนี้แล้ว…แต่คุณเขาไม่ฟังนะคะ…”คุณออมสินพนักงานต้อนรับที่ยืนอยู่ด้านหลังของนามิเอ่ยขึ้นอย่างน้ำเสียงเศร้าลงอย่างรู้สึกผิดที่เธอทำหน้าที่ของเธอได้ไม่ดีพอ“ไม่เป็นไรค่ะ….คุณนามิเป็นแขกของท่านประธาน…คุณออมสินกลับไปประจำที่เดิ
พรึบ“คุณก็รู้….ว่าฉันอยู่ในสถานะไหน….”ฉันถอยร่างตัวเองหนีจากใบหน้าเจ้าเล่ห์ของคุณจอมพลอย่างช้าๆและเอ่ยบอกเขาไป“ในสายตาของคนอื่น…หรือ…ในสายตาของฉัน?”เขายกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งและเอ่ยถามฉัน ฉันก็เม้มปากเป็นเส้นตรงจ้องแววตาแพรวพราวและท้าทายของคนตรงหน้าอย่างไม่รู้จะตอบเขาว่าอะไร สิ่งเดียวที่ขุนศึกและคุณจอมพลมีเหมือนกันก็คือ ความเจ้าชู้หว่านเสน่ห์สาวๆไปทั่ว“ถ้าเธอไม่ตอบ….ฉันตอบให้เธอเองก็ได้….”เสียงเรียบๆเอ่ยออกมาจากริมฝีปากสีชมพูอวบอิ่มของคนตรงหน้าพลางยกยิ้มที่มุมปากขึ้น“ในสายตาของฉัน….เธอคือว่าที่น้องสะใภ้ในอนาคตหรืออาจจะไม่ใช่….เพราะน้องชายฉัน…ที่เป็นแฟนของเธอหึ….”“ไม่พูดดีกว่า….เพราะรู้ๆกันอยู่…”“และในสายตาของคนอื่น…เธอคือเลขาธิการที่ทั้งสวยทั้งเก่ง…ฉลาดรอบด้าน….เป็นที่หมายตาและหมายปองของนักธุรกิจและนักร่วมลงทุนมากมาย….”“หนึ่งในนั้น…มีฉัน….รวมอยู่ด้วย”คุณจอมพลว่าพลางเหยียดยิ้มที่มุมปากขึ้นพลางมองจ้องฉันด้วยสายตาแพรวพราวพรึบฉันลุกขึ้นยืนทันทีทำให้คุณจอมพลก็ยิ้มกว้างออกมาและเขาก็ยันตัวไปนั่งหลังตรงเหมือนเดิมและมองหน้าฉันด้วยแววตากรุ้มกริ่ม“ดิฉันคิดว่า….ท่านรองไม่สมควรที่จะคิดอะไรกั
คอนโด เพลงขวัญ….19:00น.เอริ ฐิติมน….ติ๊ดดดดดดดด(เสียงสายเรียกเข้า)พรึบ“นี่….เอริ?”“ฉันว่าแกอ่ะ….รับโทรศัพท์ขุนศึกหน่อยไหม?”“ฉันเห็นเขาโทรมาหลายสายแล้วนะ?”ขวัญเอ่ยขึ้น ฉันก็มองหน้าขวัญสลับกับหน้าจอสมาร์ทโฟนเครื่องหรูที่ราคาเหยียบครึ่งแสนที่ตอนนี้หน้าจอกำลังสว่างวาบโชว์ชื่อของขุนศึกที่โทรมาหาฉันเป็นร้อยสายได้แล้วมั้งก็ตั้งแต่ช่วงเย็นจนถึงตอนนี้ที่ฉันมาอยู่คอนโดของขวัญ ฉันกะว่าจะนอนค้างกับขวัญสักคืน “ทะเลาะกันเหรอ?”ขวัญเอ่ยถามฉันพลางมองหน้าฉันด้วยสายตาเป็นห่วง ฉันก็คลี่ยิ้มบางๆให้มันก่อนจะส่ายศีรษะไปมาว่าไม่ใช่ ฉันไม่ได้ทะเลาะกับขุนศึกและเราสองคนไม่เคยทะเลาะเลยตลอดเวลาที่เราคบกันมาแปดปีเต็ม“ถ้าไม่ทะเลาะ….”“ก็คงจะเป็นเรื่องเดิมๆสินะ?”ขวัญเอ่ยขึ้นอย่างรู้ทันที ถ้าฉันไม่ทะเลากับขุนศึกและไอ้อาการที่ฉันมานั่งอยู่ที่ห้องของมันได้ก็เพราะฉันกำลังทุกข์ใจเรื่องพวกผู้หญิงของขุนศึกอยู่“ฉันเห็นแกแล้วสงสารแกจริงๆ…”ขวัญเอ่ยขึ้นพลางมองฉันด้วยแววตาเป็นห่วงและสงสารเห็นใจฉัน ฉันก็พยักหน้าเข้าใจรับรู้ความเป็นห่วงที่เพื่อนคนนี้มีให้ฉันเสมอมา“แต่ฉันก็ช่วยอะไรแกไม่ได้….เพราะฉันมันแย่กว่าแก….”ขวัญพู
“แกจะได้ไปกล่อมลูกนอน…^_^”ฉันเอ่ยขึ้นพลางลุกขึ้นยืนและหันไปมองเจไดลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของขวัญและสามีของเธอ เจไดอายุได้สามขวบแล้วกำลังน่ารักน่าเอ็นดูเลยล่ะ พรึบขวัญก็ลุกขึ้นยืนตามฉัน“เจไดครับ…น้ากลับบ้านก่อนนะ^_^”ฉันเอ่ยบอกเจไดไป“งั๊บ^_^”เสียงหวานเล็กที่ไม่ค่อยชัดพร้อมรอยยิ้มหวานของเด็กอวบอ้วนทำให้ฉันยิ้มออกมาก่อนจะหันไปมองขวัญที่เธอเองก็มองหน้าเจไดและยิ้มออกมา มันเป็นรอยยิ้มแห่งความสุข ฉันรู้ว่าเธอมีความสุขมากตั้งแต่มีเจไดเกิดมาในชีวิตของเธอ“ไปแล้วนะ…”ฉันเอ่ยบอกขวัญไป ขวัญก็ละสายตาจากเจไดและหันมามองหน้าฉัน“อื้อ….ถ้าแกพร้อมเมื่อไหร่…ค่อยเล่าให้ฉันฟังก็ได้”ขวัญเอ่ยบอกฉันพลางมองฉันด้วยแววตาห่วงใยฉัน“อื้อ…ขอบใจนะ…ฉันกลับก่อน…ไว้โทรหา”ฉันเอ่ยบอกขวัญไปพลางยื่นมือไปจับต้นแขนของขวัญเพื่อให้กำลังใจเช่นกัน เธอก็ยิ้มให้ฉันกลับมา “ไม่ต้องเดินไปส่งหรอก…แกดูลูกเถอะ”ฉันเอ่ยบอกขวัญไปในขณะที่เธอทำท่าจะเดินไปส่งฉัน“เค”ขวัญรับคำพร้อมกับพยักหน้าเข้าใจ ฉันก็หยิบกระเป๋าสะพายแบรนด์เนมขึ้นมาสะพายไหล่และเดินตรงดิ่งไปที่ประตูทางออกของห้องคอนโดของขวัญ ฉันสวมใส่รองเท้าส้นสูงเสร็จแล้วก็จับลูกบิดเปิดประตู
พรึบ“คุณลุงคะ….”ฉันลดกระจกฝั่งของฉันลงและเอ่ยเรียกคุณลุงพ่อค้าขายข้าวขาหมูหน้าซอยทางเข้าคอนโดฉันที่ตอนนี้เขาก้มหน้าก้มตาสับขาหมูบนเขียงไม้อยู่อย่างขะมักเขม้นในขณะที่ฉันจอดรถเทียบหน้าร้านของคุณลุง“จ้า…”คุณลุงพ่อค้าขานรับและเงยหน้าจากเขียงขึ้นมายิ้มให้ฉัน ฉันก็ยิ้มตอบเขา เพราะฉันเป็นลูกค้าประจำของลุงเขาน่ะ“เอาข้าวขาหมูสองกล่องค่ะ…”ฉันเอ่ยสั่งคุณลุงไป “พิเศษหนังเยอะๆนะคะ”คุณลุงก็มองหน้าฉันอย่างสงสัยและแปลกใจที่วันนี้ฉันสั่งสองกล่องแถมพิเศษหนังอีกเพราะปกติฉันไม่เคยสั่งหนังเลยยังไงล่ะ“ริ….ขุนไม่กินหนัง!”ขุนศึกที่เเอบอมยิ้มอยู่ที่เขาคงคิดว่าฉันสั่งขาหมูเพื่อเขาด้วยสินะ แต่เขาก็ต้องหุบยิ้มลงทันทีที่ได้ยินฉันสั่งคุณลุงต่อว่าพิเศษหนังหมูเยอะๆเพราะขุนศึกไม่กินหนังหมู โดยที่ฉันแอบมองเขาผ่านกระจกมองหลังน่ะ“ริ!”ขุนศึกเอ่ยเรียกฉันเสียงดังที่ฉันทำเป็นไม่ตอบเขาไม่พูดกับเขาแต่กลับหยิบโทรศัพท์ของตัวเองมาเปิดโซเซียลดูทำให้ขุนศึกหายใจฟึดฟัดอย่างไม่พอใจ พรึบขุนศึกได้โยกย้ายร่างกายของเขาจากเบาะหลังมานั่งด้านข้างคนขับแล้ว โดยที่ฉันก็ยังทำเป็นไม่สนใจเขาอยู่ดีพรึบ“เท่าไหร่คะ?”ฉันเอ่ยถามคุณลุงไปทันที
“^_^”ขุนศึกวิ่งอย่างไวเพื่อไปแย่งจานข้าวที่ฉันจะหยิบไปใส่ข้าวขาหมูแต่ก็โดนเขาแย่งไปถือไว้ซะก่อนพลางกรีดยิ้มหวานให้ฉัน ฉันก็ถอนลมหายใจออกมาก่อนจะเปลี่ยนใจเดินกลับไปที่ห้องนั่งเล่นโดยคราวนี้ไม่มีขุนศึกตามมาด้วยพรึบฉันเปิดโทรทัศน์ดูซีรี่ย์เกาหลีที่ฉันชอบพลางทรุดลงนั่งบนโซฟาด้วยท่าทางอ่อนเพลียเพราะเมื่อคืนกว่าฉันจะได้นอนและนอนได้แค่ไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องตื่นไปทำงานที่จริงก็นอนหลับบ้างไม่หลับบ้างแหละพรึบฉันหยิบรีโมทเครื่องปรับอากาศเพื่อเพิ่มความเย็นภายในห้องและสายตาก็จับจ้องไปที่พระเอกซีรี่ย์ที่หล่อดูดีและเพอร์เฟคพลางยิ้มเขินกับท่าทางที่พระเอกกับนางเอกสวีทหวานกันพรึบ“ข้าวขาหมูพร้อมกับน้ำเปล่าเย็นๆมาเสริ์ฟให้แฟนของผมแล้วครับ^_^”เสียงหวานทุ้มของขุนศึกดังมาแต่ไกลพร้อมๆกับร่างสูงโปร่งของเขาที่ยกถาดจานข้าวขาหมูพร้อมแก้วน้ำเปล่าเข้ามาหาฉัน โดยที่ฉันก็แกล้งทำเป็นไม่สนใจเขาจนเขาวางถาดข้าวลงบนโต๊ะตรงหน้าฉัน“เดี๋ยวขุนป้อนนะ^_^”ขุนศึกบอกฉันพลางใช้ช้อนตักข้าวขาหมูและยื่นจ่อมาที่ริมฝีปากของฉัน กลิ่นหอมๆของเครื่องปรุงน้ำขาหมูทำให้น้ำย่อยในท้องของฉันเริ่มทำงาน“อ้าาาาาา”ขุนศึกเอ่ยขึ้นพลางอ้าปากกว้าง
พรึบ“เอริ”ขุนศึกเรียกฉันเสียงดังอย่างตกใจอีกครั้งพลางลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจที่ฉันเดินเปลือยกายตรงดิ่งไปหาเขา ที่เขาทำท่าตกใจฉันขนาดนี้ก็เพราะว่าปกติฉันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนน่ะสิพรึบ“เออุ๊บ!”เขากำลังจะเรียกฉันอีกครั้ง แต่คราวนี้ฉันกลับไม่ปล่อยให้เขาได้เรียกฉันเพื่อเตือนสติฉัน ฉันกลับโน้มคอของขุนศึกมาและประกบริมฝีปากอวบอิ่มของเขาทันที“จ๊วฟฟฟฟ….”ฉันหลับตาพริ้มดูดดึงริมฝีปากล่างของขุนศึกอย่่างอ้อยอิ่ง ตอนแรกเขาก็ไม่ยอมจูบตอบฉันฉันจึงเบียดเสียดร่างกายอวบอิ่มของฉันให้เข้าไปประชิดกับร่างกายหนาของขุนศึกและเริ่มบรรเลงจุมพิตที่ร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆจนในที่สุด ขุนศึกก็อดทนไม่ไหวเริ่มจูบตอบฉันด้วยความร้อนแรงเช่นกัน“แผล๊บจ๊วฟ จ๊วฟ…”เราสองคนดูดดื่มริมฝีปากของกันและกัน มือหนาของขุนศึกก็ยื่นมาโอบเอวคอดของฉันทั้งสองข้าง มือเล็กของฉันก็เริ่มเลื่อนลงมาจากต้นคอเขาลงมาเรื่อยๆจนถึงกระดุมเสื้อเชิ้ตของเขา ฉันไม่รอช้าปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของเขาออกทันที“อื้อออ”เราทั้งคู่ครวญครางออกมาอย่างพึงพอใจในรสชาติจูบของกันและกัน“อึ!”ขุนศึกร้องออกมาอย่างตกใจที่ฉันดันร่างของเขาให้เดินถอยหลังไปยังโซฟาและจัดการผลักร่างของเ
"และมีมันไว้ริจะได้อุ่นใจ""และอีกอย่าง....ไม่มีผู้หญิงคนไหนเต็มใจที่จะอยู่กับคนที่มีแต่ตัวอย่างขุนหรอก....ริสบายใจได้"คำพูดของขุนศึกที่ดูมั่นอกมั่นใจทำให้ฉันต้องรีบเปิดเอกสารในซองสีน้ำตาลที่ขุนศึกเพิ่งจะยื่นให้ฉันเมื่อกี้เปิดดูทันทีเพราะคำพูดของเขามันแปลกๆเขาพูดเหมือนจะยกทุกอย่างที่เขามีให้เป็นของฉัน เพราะเขาพูดเหมือนเขาจะเหลือแต่ตัวและก็เป็นไปอย่างที่ฉันคิดจริงๆเอกสารที่เขายื่นให้ฉันเมื่อกี้นี้เป็นเอกสารโอนยกมรดกให้เป็นชื่อฉันแต่เพียงผู้เดียวทั้งบ้านหลังนี้ และบริษัทSMครึ่งหนึ่งที่เคยเป็นของคุณหญิงนฤมิตรแต่ก่อนหน้านี้คุณหญิงเพิ่งจะโอนให้เป็นของขุนศึกก็ถูกโอนให้มาเป็นของฉันและรวมถึงบริษัทAKด้วยที่ชื่อการจดทะเบียนบริษัทก็เป็นชื่อฉัน และยังดำรงตำแหน่งประธานบริษัทคนใหม่ให้อีกด้วย"ทุกอย่างในนี้คงจะเป็นเครื่องหมายการันตีให้ริเห็นแล้วใช่ไหม....ว่าขุนจริงใจกับริแค่ไหน""แต่ริไม่ต้องกังวลนะ...ขุนจะยังคงทำงานแบบเดิมเหมือนตอนที่ขุนยังคงดำรงตำแหน่งอยู่""ริทำใจให้สบายคอยเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวให้ขุนและคอยรับเงินปันผลรายปีก็พอ"ขุนศึกเอ่ยออกมาพร้อมกับยิ้มกริ่มไปด้วยรอยยิ้มที่อิ่มเอมใจ เขาเต็มใ
"ริ.....ขอโทษนะขุน....แต่ริยังไม่พร้อม"เมื่อคำพูดออกจากปากฉัน ทุกอย่างรอบตัวก็ดูเหมือนจะเงียบลงไปผู้ชายที่คุกเข่าตรงหน้าฉันในตอนนี้ เขากลับยิ้มให้ฉันถึงมันจะเป็นรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความเศร้าก็เถอะแต่ทำไมเขายังยิ้มได้เหมือนเขาจะรู้ในคำตอบของฉันอยู่แล้วว่ามันจะออกมาเป็นแบบไหน"ริยังไม่อยากแต่งงานกับขุนก็ไม่เป็นไร.....แต่ขุนจะขอริแต่งงานแบบนี้ไปทุกๆปี""จนกว่าริจะยอมแต่งงานกับขุน"ขุนศึกเอ่ยออกมาเสียงเข้มหน้าตายิ้มแย้มอย่างมีความหวัง เขาค่อยๆยันตัวลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับฉันฉันก็จ้องเขากลับไป ด้วยแววตาที่เรียบนิ่งไร้ความรู้สึกใดๆ"ริไม่อยากจะเชื่อในคำพูดของขุน....แต่ริจะขอคอยดูก็แล้วกันว่าขุนจะทำแบบที่ขุนพูดได้จริงๆ"ฉันเอ่ยออกไปตามความจริง ความที่ฉันยังไม่มั่นใจในคำพูดและตัวของเขาได้จริงๆ"ขุนรู้....ว่าที่่ผ่านมาขุนไม่เคยทำให้ริมีความสุข....ขุนเอาแต่คอยทำร้ายจิตใจริ....เอาแต่นอกกายริ""แต่ขุนไม่เคยนอกใจริสักครั้งหนึ่งเลยนะ....""เพราะขุนรู้.....ว่าไม่มีผู้หญิงคนไหน...ดีเท่ากับริอีกแล้ว""แต่ขุนก็รู้ตัวดีว่าขุนไม่พร้อมที่จะเสียริไปอีกแล้ว""ในวันนี้ถึงริยังไม่อยากแต่งงานกับขุน""แต่ขุนขอร
ติ๋งเมื่อลิฟท์มาถึงชั้นล่างของบ้านฉันก็เดินออกมาจากลิฟท์ก่อนจะเดินมุ่งตรงไปยังห้องครัวแต่พอเดินไปถึง ก็กลับพบว่า แก๊สที่ป้าบัวบอก ในขณะนี้มันไม่ได้ตั้งอะไรไว้เลยเสียด้วยซ้ำ"สงสัยป้าบัวแกคงจะลืม.....อย่างนี้ฉันควรมีเวลาให้แกได้พักผ่อนซะแล้ว"ฉันเอ่ยออกไปพลางส่ายศีรษะไปด้วยอย่างเป็นห่วงป้าบัว ที่เขาดูแลคนอื่นจนลืมที่จะดูแลตัวเอง"ไปนอนดูหนังที่ห้องนั่งเล่นสักชั่วโมงค่อยขึ้นห้องดีกว่า"ฉันพึมพำออกมาอย่างคนที่ขี้เกียจมากๆ ฉันรู้ตัวว่าตัวเองเปลี่ยนไปมาก จากเมื่อก่อน ขยับตัวทีก็งาน งานและก็งาน แต่ตอนนี้ขี้เกียจ และไม่อยากจะทำอะไรเลยนอกจากกินแล้วก็นอน"อะไรเนี่ย?"ฉันพึมพำออกมาเมื่อขาของตัวเองเดินย่างก้าวเข้าภายในห้องนั่งเล่นก็ต้องตกใจกับลูกโป่งสีชมพูสดใสที่ลอยอยู่กลางอากาศมากมายแต่ไม่ลอยจนติดเพดานบ้านเพราะถูกเชือกรั้งไว้ฉันก็ตื่นตาตื่นใจกับลูกโป่งสีชมพูอ่อนสวยสดใสก่อนที่จะยิ้มออกมาจนแด้มปริและเดินไปตามทางเรื่อยๆไม่รู้ว่าจะเดินไปไหนเพราะพื้นที่ทั้งห้องนี้เต็มไปด้วยลูกโป่งทั้งลูกเล็กและลูกใหญ่และฉันก็มาหยุดยืนเมื่อสิ้นสุดทางเดิน ที่ตรงหน้าของฉันเป็นกำแพงสีขาวแต่ข้อความบนกำแพงทำให้ฉันอึ้
วันต่อมา08:00น.บ้านชัชชัยวรรณ.....ห้องนอนเอริ เอริ ฐิติมน....."ชุดนี้น่ารักจังเลยนะคะป้าบัว"ฉันเอ่ยบอกป้าบัวไปในขณะที่ฉันกำลังหมุนรอบตัวเองเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยที่ส่องกระจกฉายสะท้อนตัวเองกลับมา เป็นชุดมินิเดรสสีขาวแขนพองทรงเอประดับโบว์ไว้ที่ด้านหน้าของชุดตรงหน้าอกของฉัน ชุดเป็นลายดอกไม้ เป็นสไตล์ของยุโรป กระโปรงยาวเลยเข่าฉันมานิดหน่อยดูรวมๆแล้วมันก็สบายและน่ารัก ดี เหมือนเป็นชุดคลุมท้องเหมือนกันนะ"ป้าบัวเลือกเองหรือคะ?"ฉันเอ่ยถามป้าบัวไปอย่างสงสัย เพราะเมื่อกี้ก่อนหน้านี้ประมาณยี่สิบนาที ป้าบัวเดินถือเสื้อผ้าชุดนี้เข้ามาในห้องของฉันและบอกว่าท่านเป็นคนซื้อให้ ไม่รู้ว่าฉันจะชอบหรือเปล่า และฉันจะใส่ได้ไหม ท่านเลยให้ฉันลองใส่ดูก่อนผลก็ปรากฏว่าฉันใส่ได้ และฉันก็ชอบมันมาก มันดูน่ารักเป็นแนวสายแหวนดีนะสีก็ออกพาสเทลนิดๆดูน่ารักดี"ชะใช่จ๊ะ.....เป็นยังไงจ๊ะเอริชอบไหม?"ป้าบัวที่ยืนอยู่ด้านหลังของฉันที่คอยช่วยฉันจัดแจงชุดก็เอ่ยออกมาแต่น้ำเสียงและแววตาของท่านดูสั่นๆดูมีพิรุธนะถ้าเป็นคนอื่นอาจจะคิดว่าเขากำลังพูดโกหกอยู่แน่ แต่นี่เป็นป้าบัว ท่านจะโกหกฉันไปทำไมล่ะจริงไหม"ชอบนะคะป้าบั
ในวีดีโอมีผู้ชายอยู่หลายคนรวมๆห้าคนได้และสถานที่มืดๆที่มีไฟหลากหลายสีแบบนี้ก็คงจะเป็นผับที่ไหนสักแห่งหนึ่งในกรุงเทพนี้แหละฉันก็ตั้งใจมองก็พบว่ามีผู้ชายสามคนที่คุ้นตาฉัน หนึ่งคือฟิวสองคือทีและสามคือขุนศึกข้างกายของผู้ชายทุกคนจะมีผู้หญิงแต่งตัวโป๊ๆหน้าอกตู้มๆนั่งขนาบข้างแบบแทบจะสิงร่างกันโดยพวกเธอเป็นคนชงเหล้าให้เขาทั้งห้าคนและคอยปรนนิบัติพวกเขาอย่างใกล้ชิดและออดอ้อนออเซาะแต่จะมีผู้ชายอยู่คนหนึ่งที่นั่งเป็นคนสุดท้ายของเพื่อนที่มีสีหน้าเหมือนไม่ค่อยสบายใจแบบคนที่กำลังอมทุกข์และดูอึดอัดอะไรอยู่ในใจ(วันนี้หนุ่มๆเลือกอิหนูของเจ๊นี่ไปได้เลนนะคะ....น้องๆพวกนี้พร้อมดูแลจ๊ะ)เสียงหวานอย่างดัดให้เสียงเล็กลงจากปกติมากเอ่ยขึ้นมา ฉันว่าเธอคนที่พูดอยู่นี่น่าจะเป็นสาวสองและเป็นคนที่กำลังถ่ายวีดีโออยู่ในตอนนี้ด้วยนะ(มันแน่นอนอยู่แล้วครับเจ๊.....พวกผมน่ะจัดเต็มแน่)เป็นทีที่เอ่ยขึ้นมาพลางยิ้มกริ่มอย่างเจ้าชู้และเขาก็หันไปกอดรัดนัวเนียกับผู้หญิงข้างกายเขาอย่างไม่เอียงอายใคร(แล้วน้องคนนี้ล่ะจ๊ะ....สนใจอิหนูของเจ๊คนไหนเป็นพิเศษไหม?)เจ๊สาวสองแพลนกล้องไปจับยังขุนศึกที่นั่งอยู่ติดกับขอบเก้าอี้ด้านในสุดข
บ้านของเอริ20:30น.เอริ ฐิติมน.....ห้องนั่งเล่น......"ปกติแกกินข้าวเวลานี้ด้วยเหรอ?"เพลงขวัญเอ่ยถามฉันขึ้นในขณะที่เธอวางจานข้าวสวยร้อนๆลงตรงหน้าของฉันพร้อมกับต้มไก่ตุ๋นยาจีนต้นตำรับของคุณหญิงนฤมิตรที่ท่านสั่งให้ป้าบัวต้มไว้ให้ฉันทานบำรุงลูกๆทั้งสามในครรภ์ของฉัน"ตอนไม่ท้องก็กินบ้างไม่กินบ้าง....แต่พอท้องนี่แทบจะกินวันละหกเจ็ดมื้ออย่างต่ำอ่ะแก"ฉันเอ่ยบอกเพลงขวัญไปพลางใช้มือทั้งสองข้างหยิบช้อนกับส้อมขึ้นมาถือไว้พร้อมจะลงมือทานอาหารตรงหน้าที่มีกลิ่นหอมยั่วยวนด้วยแววตาที่เป็นประกายแพรวพราว"ไหนบอกว่าแกมีเรื่องไม่สบายใจ....?"เพลงขวัญเอ่ยถามฉันพลางเลิกคิ้วมองหน้าฉันอย่างสงสัยก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตัวเดียวกันกับฉันฉันก็มองหน้าเธอนิ่งด้วยแววตาที่เป็นกังวลอยู่ในใจนั้นแหละ แต่ทำไงได้ ก็ท้องฉันมันหิวหนิ ขอกินก่อนล่ะกัน เรื่องอื่นค่อยว่ากัน"เดี๋ยวฉันขอกินก่อน....เดี๋ยวค่อยคุย""โอเคจ๊ะ.....งั้นเดี๋ยวฉันขอไปโทรหาลูกก่อนไม่รู้ว่าป่านนี้พ่อเขาเอาเข้านอนแล้วหรือยัง?""โอเคจ้า"ฉันยิ้มให้เพลงขวัญเธอก็ยิ้มให้ฉันก่อนจะหยิบโทรศัพท์ของเธอและเดินออกไปจากห้องนั่งเล่นเมื่อเธอไปแล้ว ฉันก็หันกลับมาให้ค
เหล้า บุหรี่ ก็ไม่หนักทุกวันแบบเมื่อก่อน แต่เรื่องผู้หญิง ฉันก็ยังคงไม่มั่นใจอยู่ดี เพราะเขาไม่เคยทำให้ฉันเชื่อใจเขาได้สักครั้ง....จริงๆกับเรื่องนี้ฉันรอขุนศึกไม่นานเขาก็กลับมาพร้อมกับรถวีลแชร์ เขายิ้มกว้างให้ฉันมาแต่ไกล ฉันก็ยิ้มให้เขากลับไป"เชิญครับคุณผู้หญิง""ขอบคุณค่ะคุณบุรุษพยาบาล"ฉันเอ่ยออกไปแกล้งขุนศึกที่เขาเข็นรถวีลแชร์มาหยุดตรงหน้าฉัน"ยินดีที่จะเป็นทุกอย่างให้เธอครับ""เลี่ยน"ฉันเอ่ยออกไปอย่างหมั่นใส่เขาก่อนจะลุกขึ้นยืนโดยมีร่างของขุนศึกที่ถลาเข้ามาช่วยประคองฉันไว้อย่างรวดเร็วเล่นเอาซะตกใจเลยแหะขุนศึกจัดการช่วยฉันทุกอย่าง โดยที่เขาทำอย่างเบามือและทะนุถนอมเหมือนกลัวว่าฉันจะเจ็บ"พร้อมออกตัวแล้วครับ""ค่ะไปได้เลยค่ะคุณบุรุษพยาบาล"ฉันแกล้งแซวขุนศึกต่อ เขาก็ยิ้มขำก่อนจะเข็นรถวีลแชร์ไปยังทิศทางออกของโรงพยาบาล โดยมุ่งตรงไปที่ลานจอดรถเมื่อมาถึงที่รถเขาก็จัดการประคองร่างของฉันขึ้นจากรถวีลแชร์ย้ายมานั่งบนรถของเขาอย่างเบามือเช่นเดิมแต่ที่ทำให้ฉันแปลกใจและรู้สึกประทับใจขุนศึกอีกอย่างหนึ่งก็คือตอนนี้เขากลับมามีทุกอย่างไม่ว่าจะเงินทองหรือชื่อเสียงแต่เขาก็ยังคงทำตัวเหมือนขุนศึกค
"แฝดทั้งสามคนปลอดภัยและเติมโตตามวัยครับ...ออกจะโตอย่างรวดเร็วเสียด้วยซ้ำ""เพราะเขาโตเกินเกณฑ์อายุเขาจริงๆไปหนึ่งสัปดาห์ครับคุณฐิติมนและคุณขุนณรงค์"คุณหมอเอ่ยขึ้นในขณะที่เขาอธิบายรายละเอียดรูปร่างของเจ้าแฝดทั้งสามคนของฉันผ่านหน้าจอสี่เหลี่ยมจากการอัลตร้าซาวด์หน้าท้องของฉันทำให้ฉันที่เห็นการเจริญเติบโตของลูกๆทั้งสามฉันทุกอาทิตย์ถึงกับยิ้มไม่หุบและมันตื้นตันอยู่ในใจของฉันจนบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้เลยล่ะเมื่อคุณหมอตรวจเสร็จก็กลับไปนั่งที่โต๊ะตรวจของเขาและฉันก็ลุกขึ้นจากเตียงอัลตร้าซาวด์โดยมีขุนศึกคอยประคองร่างฉันตลอดเวลาไม่ว่าฉันจะเดินหรือลุกนั่งก็ต้องมีเขาคอยประคองอยู่ตลอดเวลาเลยถึงตอนนี้ฉันจะท้องได้แค่สี่เดือนแต่ท้องของฉันเริ่มจะใหญ่กว่าคนท้องสาวทั่วไปถึงสองเท่าเพราะในท้องของฉันมีเด็กน้อยอยู่ตั้งสามคนแหนะจะไม่ให้ใหญ่เกินคนท้องสาวทั่วไปได้ยังไงล่ะเมื่อฉันกับขุนศึกมานั่งที่โต๊ะตรวจในห้องของหมอได้คุณหมอก็เอ่ยขึ้นบอกเราถึงกำหนดคลอดทันที"และกำหนดคลอดคืออีกยี่สิบหกสัปดาห์ข้างหน้า....แต่ครรภ์ของคุณฐิติในเป็นครรภ์แฝดสามคน....หมอกลัวว่าอาจจะมีโอกาสเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษเกิดขึ้นได้แทบจะตลอด
"ไม่รู้ว่าช่องในเจดีย์ของแม่เธอจะพอใส่อัฐิของพ่อเธอได้อีกอันไหม?"คุณแม่ของผมเอ่ยขึ้นพร้อมกับยิ้มบางๆให้พี่จอมก่อนจะยื่นโกศสีขาวนวลที่ด้านในบรรจุเถ้ากระดูกของพ่อผมยื่นไปตรงหน้าของพี่จอมพี่จอมพลก็มองโกศในมือแม่ผมสลับกับมองหน้าผมด้วยแววตาแปลกใจและดูจะอึ้งไปนิดๆเหมือนเขาคิดไม่ถึงว่าคุณแม่ผมจะทำเรื่องแบบนี้ได้"ตอนนั้นคุณเป็นคนยืนกรานเองว่าจะเอาเถ้ากระดูกของพ่อไปเก็บไว้แต่ทำไมวันนี้กลับเอามาให้ผมเสียง่ายดายแบบนี้ได้ล่ะครับ....ทั้งที่ในตอนที่ผมกับแม่ของผมร้องขอคุณแทบจะกราบเท้า?"พี่จอมพลเอ่ยถามแม่ผมกลับมาเสียงเรียบ ในตาจ้องเขม่นมาที่แม่ผมอย่างต้องการคำตอบ"ในตอนนั้นที่ฉันไม่ให้อัฐิของพ่อให้แม่เธอก็เพราะตอนนั้นฉันมีทั้งอารมณ์โกรธอารมณ์เกลียดอยู่เต็มในอก""ฉันคิดได้อย่างเดียวคือว่า....ไม่ว่าพ่อของเธอจะเป็นหรือตายฉันก็จะไม่มีทางให้สองคนนี้ได้อยู่ด้วยกันเด็ดขาด""ฉันรู้ตัวว่าฉันมันแย่....กว่าจะมารู้ว่าความคิดของฉันมันไม่ดีต่อใครเลยรวมถึงตัวฉันเองด่วย....ก็เกือบจะสายไป""และฉันก็อยากจะขอบคุณเธอนะ....ที่ช่วยฉันออกมาจากกองเพลิงในวันนั้น""ถึงเธอจะไม่เต็มใจก็เถอะ....แต่ฉันก็อยากจะขอบคุณเธอ....และข