หยางเฟยอวี่ขมวดคิ้ว หงุดหงิดจนแทบระเบิด วันนี้เขามีนัดเจรจาธุรกิจสำคัญ แต่ต้องมาถูกลูกพี่ลูกน้องตัวดีลากมาสนามบินเพื่อรับเพื่อนสนิทของอีกฝ่าย ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาเลย หากไม่ใช่เพราะอยู่ในสถานที่พลุกพล่านแบบนี้ เขาคงหยิบบุหรี่ขึ้นมาอัดควันลึกเข้าปอด เพื่อระบายความอึดอัดใจให้หายไปเสียที
"ถ้าเหมยเหมย... กลับมาคราวนี้ ผมจะสารภาพรัก ขอเธอเป็นแฟนให้ได้เลย!" หยางจื่อ ลูกพี่ลูกน้องของเขายังคงพูดเพ้อฝันถึงหญิงสาวในดวงใจไม่หยุด น้ำเสียงเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
หยางเฟยอวี่ถอนหายใจเบา ๆ พร้อมกับเหลือบมองนาฬิกาบนข้อมือ การต้องเสียเวลารับฟังเรื่องรักใส ๆ แบบนี้ทำให้เขารู้สึกว่าเวลาของตัวเองกำลังถูกสูญเปล่า
"หยางจื่อ นายจะบอกว่าให้ฉันยืนรอนางฟ้าของนายอีกนานแค่ไหน?" เขาเอ่ยเสียงเรียบแต่แฝงความประชด "ขอเตือนก่อนนะ ถ้าอีกสิบนาทีเธอยังไม่มา ฉันไปแน่"
หยางจื่อหันมายิ้มแห้ง ๆ แล้วรีบปรับน้ำเสียงให้จริงจังขึ้น "แป๊บเดียวเองพี่ใหญ่ ผมมั่นใจว่าเหมยเหมยลงเครื่องแล้ว อีกไม่กี่นาทีก็ถึงแน่!"
หยางเฟยอวี่ยกมือขึ้นกอดอก กวาดสายตามองผู้คนที่เดินผ่านไปมาในสนามบินอย่างเบื่อหน่าย ในใจได้แต่คิดว่าหญิงสาวที่ชื่อจ้าวเหมยคนนี้คงมีอะไรพิเศษมาก ถึงทำให้ลูกพี่ลูกน้องของเขาหมกมุ่นถึงเพียงนี้
เวลาผ่านไปสิบห้านาที แต่ยังไม่มีวี่แววของหญิงสาวที่หยางจื่อพร่ำเพ้อถึง หยางเฟยอวี่เหลือบมองนาฬิกาข้อมืออีกครั้ง ก่อนเหยียดยิ้มบาง ๆ อย่างเย้ยหยัน
"หมดเวลา" หยางเฟยอวี่พูดเสียงเย็น แล้วหันหลังเดินออกจากโซนวีไอพีทันที ปล่อยให้หยางจื่อยืนหน้าซีดอยู่ข้างหลัง เพราะรับปากกับหญิงสาวว่าตนจะพาพี่ใหญ่คนนี้มาด้วย จ้าวเหมยที่คลั่งไคล้หยางเฟยอวี่จึงยอมกลับมาก่อนกำหนดการถึงครึ่งเดือน
เท้ายาวของเขาก้าวผ่านฝูงชนที่แน่นขนัดในสนามบิน ผู้คนมากหน้าหลายตาเดินสวนกันไปมา บางคนหยุดชะงักเมื่อเห็นชายหนุ่มในชุดสูทพอดีตัวที่เผยให้เห็นรูปร่างสมส่วนราวกับนายแบบ เสื้อเชิ้ตสีขาวเรียบใต้สูททำให้เขาดูเรียบง่ายแต่แฝงความทรงอำนาจ
เบื้องหลังชายหนุ่มร่างสูง มีผู้ติดตามอีกสามคนที่เดินอย่างพร้อมเพรียง ท่าทางสุขุมแต่เคร่งขรึมเสริมให้ภาพลักษณ์ของเขาดูใหญ่โตน่าเกรงขาม เสียงรองเท้าหนังของหยางเฟยอวี่กระทบพื้นหินอ่อนดังก้องเบา ๆ ในจังหวะที่สม่ำเสมอ บ่งบอกถึงความมั่นใจในทุกก้าว
เขาไม่เสียเวลาหันกลับไปมองหยางจื่ออีกครั้ง แม้จะได้ยินเสียงเรียกอย่างร้อนรนจากด้านหลัง หยางเฟยอวี่ในตอนนี้มีจุดมุ่งหมายเดียว—การเจรจาธุรกิจที่เขาไม่อาจปล่อยให้ล้มเหลวเพราะความไร้สาระของลูกพี่ลูกน้องที่ยังไม่รู้จักโต
“ท่านครับ เลขาคุณสวีโทรมาขอเลื่อนเวลานัดออกไปอีกสองชั่วโมงครับ” มู่เจิ้ง เลขาคนสนิทก้าวเข้ามากระซิบรายงาน หยางเฟยอวี่ที่นั่งอยู่ในรถพยักหน้ารับ ขณะที่คิ้วที่เคยขมวดแน่นคลายลงเล็กน้อย
รถคันหรูแล่นออกจากสนามบินอย่างรวดเร็ว ทันทีที่เห็นร้านขายดอกไม้ริมทาง หยางเฟยอวี่สั่งให้คนขับหยุดรถ ร่างสูงก้าวลงจากรถอย่างสง่างาม ท่ามกลางสายตาของผู้คนที่ผ่านไปมา
เขาเดินเข้าไปในร้านอย่างไม่เร่งรีบ กลิ่นหอมละมุนจากดอกไม้นานาชนิดลอยอบอวลไปทั่ว พนักงานสาวที่อยู่หลังเคาน์เตอร์ยิ้มอย่างเขินอายเมื่อเห็นชายหนุ่มรูปหล่อในชุดสูทเต็มยศเดินเข้ามา
“รอสักครู่นะคะ คุณลูกค้าสามารถเดินชมดอกไม้ได้ตามสบายเลยค่ะ” เสียงของเธอแจ่มใส ทว่าหัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดจากอก เธออดคิดไม่ได้ว่าผู้ชายคนนี้หล่อเสียจนไม่น่าเชื่อว่าเป็นของใคร
หยางเฟยอวี่พยักหน้าเพียงน้อย ๆ ก่อนเดินทอดน่องไปตามทางเดินในร้าน เขาไม่ได้สนใจดอกไม้สวยงามรอบตัวมากนัก ทว่าทันใดนั้น กลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่แตกต่างจากกลิ่นดอกไม้อื่น ๆ ก็ลอยเข้ามาในจมูก
ชายหนุ่มหยุดชะงัก หันมองรอบตัวเล็กน้อย ก่อนตัดสินใจก้าวตามหาต้นตอของกลิ่นนั้น เสียงฝีเท้าของเขาเงียบกริบ ท่ามกลางบรรยากาศสงบที่ผู้คนกำลังเลือกซื้อดอกไม้อย่างเพลิดเพลิน หยางเฟยอวี่กลับเดินลึกเข้าไปยังมุมด้านในสุด
หัวใจของเขาเริ่มเต้นในจังหวะที่ไม่ปกติ ตาคมกวาดมองจนกระทั่งหยุดที่แผ่นหลังบอบบางของหญิงสาวคนหนึ่ง
เธอมีผมยาวสีน้ำตาลอ่อนเรียบลื่นยาวจรดเอว เรือนร่างบอบบางอยู่ในชุดเดรสสีขาวสะอาดตาที่ตัดกับสีสันของดอกไม้รอบตัว นิ้วเรียวเล็กกำลังบรรจงจัดเรียงดอกไม้ในตะกร้าอย่างงดงาม
หยางเฟยอวี่ยืนนิ่งไปชั่วครู่ ดวงตาคมจ้องมองภาพเบื้องหน้า รู้สึกเหมือนเวลารอบตัวหยุดนิ่ง กลิ่นหอมประหลาดที่ลอยมาก่อนหน้านี้กลับชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่ออยู่ใกล้หญิงสาวคนนี้
เขาไม่รู้ว่าทำไม หัวใจที่เย็นชาเสมอมากลับเต้นแรงอย่างควบคุมไม่ได้
“เมี้ยว”ลูกแมวตัวสีขาวเดินออกจากมุมห้องเข้ามาคลอเคลียข้อเท้าของหญิงสาว เสียงหัวเราะปนเอ็นดูดังขึ้น
“มิวมิวอย่าซนสิ ฉันกำลังทำงานอยู่นะ”ภาษาไม่คุ้นหูดังขึ้น ภาษาแปลกหูหลุดออกจากริมฝีปากบาง ปราณปรียาวางดอกไม้ในมือลงชั่วครู่ ก่อนก้มลงอุ้มลูกแมวตัวน้อยขึ้นมาแนบอก เธอเอ่ยเสียงนุ่มเบา พลางลูบขนนุ่มฟูของมันด้วยความรักใคร่ เมื่อเธอหันกลับมาเพื่อจัดดอกไม้ต่อ รอยยิ้มที่แต้มอยู่บนใบหน้าจางหายไปทันที เมื่อพบว่ามีชายหนุ่มไม่คุ้นหน้าในชุดสูทยืนอยู่ด้านหลัง
“เอ่อ คุณลูกค้าต้องการดอกไม้ชนิดไหนคะ”ปราณปรียาเปลี่ยนภาษาเป็นภาษาจีนอย่างรวดเร็ว รอยยิ้มแต่งแต้มมุมปากตามารยาท หยางเฟยอวี่ที่กำลังเหม่อลอยพลันได้สติขึ้นมา นิ้วเรียวยาวชี้ไปทางหญิงสาว
“ผมอยากได้ดอกไม้ช่อนี้ครับ”
ดวงตาของปราณปรียาไหวเล็กน้อย เธอเอียงคออย่างสงสัย แต่ไม่ได้พูดอะไรเพิ่ม หญิงสาวก้มลงวางลูกแมวตัวน้อยบนพื้นเบา ๆ ก่อนหมุนตัวไปเลือกดอกไม้จากชั้นด้านหลัง หยางเฟยอวี่มองตามแผ่นหลังเล็ก ๆ ของเธออย่างไม่รู้ตัว ดวงตาคมสะท้อนแสงอ่อนจากหน้าต่างกระจก
แต่หยางเฟยอวี่ไม่ได้มีท่าทางคุกคามแต่อย่างใด จึงทำให้หญิงสาวปล่อยผ่านพฤติกรรมอันแสนประหลาดนี้ไปอย่างง่ายดาย
เมื่อช่อดอกไม้เสร็จเรียบร้อย ปราณปรียาเดินนำไปยังหน้าเคาน์เตอร์โดยไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม หยางเฟยอวี่เดินตามหลังเธอเป็นเงาตามตัว หญิงสาวรู้สึกงุนงงกับพฤติกรรมของชายหนุ่มเล็กน้อย แต่เมื่อมองดูเขาอีกครั้ง เธอพบว่าแววตานั้นไม่ได้แสดงความคุกคามหรือมีเจตนาไม่ดีแต่อย่างใด ความสงสัยในใจจึงค่อย ๆ จางลง
“รับการ์ดไหมคะ?” ปราณปรียาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ ขณะใช้ปลายนิ้วเรียวกดเครื่องคิดเงินเพื่อคำนวณราคาดอกไม้
หยางเฟยอวี่นิ่งไปชั่วอึดใจ ราวกับคำถามเรียบง่ายนั้นต้องใช้เวลาครุ่นคิด เขาเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวตรงหน้า ดวงตาคมจับจ้องไปที่ใบหน้าสวยหวาน
“ไม่ครับ”
ปราณปรียาไม่ได้เอ่ยอะไรเพิ่มเติม เธอเพียงยื่นช่อดอกไม้ให้เขา พร้อมกับรอยยิ้มจาง ๆ พร้อมกับพูดทิ้งท้ายตามมารยาท
“ขอบคุณค่ะ แล้วแวะมาอุดหนุนอีกนะคะ”
หยางเฟยอวี่รับช่อดอกไม้จากมือเธอ ปลายนิ้วเรียวยาวสัมผัสกับหลังมืออุ่นของปราณปรียาโดยบังเอิญ แม้จะเป็นเพียงชั่วครู่ หัวใจของเขากลับกระตุกวูบ ความรู้สึกแปลกประหลาดนี้ทำให้เขาชะงักเล็กน้อย แต่ใบหน้าคมยังคงความเรียบนิ่ง
เขาไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม เพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงขอบคุณ ก่อนหมุนตัวเดินออกจากร้านไป
เสียงกระดิ่งหน้าประตูดังขึ้นเบา ๆ ตามจังหวะการเคลื่อนไหวของเขา ร่างสูงในชุดสูทสีเข้มเดินลับออกไปอย่างสง่างาม ปราณปรียายืนนิ่งอยู่ที่เดิม สายตาของเธอมองตามแผ่นหลังของชายหนุ่มที่ค่อย ๆ หายเข้าไปในรถคันหรู
หัวใจของเธอเต้นในจังหวะที่แปลกไป ไม่ใช่เพราะความหวั่นไหว แต่เป็นเพราะความรู้สึกไม่คุ้นเคยบางอย่างที่เกิดขึ้นในชั่ววินาทีนั้น
“เมี้ยว”
เสียงร้องแหลมเล็กของเจ้ามิวมิวดึงเธอกลับมาจากภวังค์ ลูกแมวตัวน้อยเดินต้วมเตี้ยมเข้ามาใกล้ ก่อนกระโดดขึ้นมาบนเคาน์เตอร์อย่างคล่องแคล่ว
“มิวมิว มาเล่นตรงนี้ไม่ได้นะ” ปราณปรียายิ้มพลางลูบหัวมันเบา ๆ
เธอหยิบมันขึ้นมาอุ้มแนบอก แล้วหันกลับไปที่ดอกไม้ในตะกร้าซึ่งยังจัดไม่เสร็จ ปล่อยให้เสียงหัวใจที่เคยเต้นแผ่วค่อย ๆ สงบลงไปทีละน้อย
“คุณชายใหญ่ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”มู่เจิ้ง ผู้ช่วยคนสนิทเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ ตั้งแต่ขึ้นรถมา หยางเฟยอวี่ไม่ได้พูดอะไรสักคำ สีหน้าของเขาดูเคร่งเครียดผิดปกติ แถมยังหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบแทบไม่หยุด ควันสีเทาลอยคละคลุ้งจนเต็มรถ ราวกับสะท้อนอารมณ์ที่ปั่นป่วนอยู่ภายในใบหน้าคมที่มักสงบนิ่งกลับขึ้นสีแดงจาง ๆ จนมู่เจิ้งอดสงสัยไม่ได้“ไม่มีอะไร รีบไปบริษัทเถอะ” หยางเฟยอวี่ตอบสั้น ๆ เสียงเรียบนิ่ง แต่ในดวงตากลับแฝงความสับสนมู่เจิ้งพยักหน้าเล็กน้อย เขารู้ดีว่าเมื่อเจ้านายไม่อยากพูด สิ่งที่ควรทำคือเงียบและทำหน้าที่ของตัวเองต่อไปภายในรถกลับคืนสู่ความเงียบ มีเพียงเสียงเครื่องยนต์และควันบุหรี่ที่ยังลอยวน แต่ในใจของหยางเฟยอวี่กลับไม่เงียบสงบเลยใบหน้าของหญิงสาวคนหนึ่งยังคงวนเวียนอยู่ในความคิด ดวงตากลมโตที่เปล่งประกายอ่อนโยน รอยยิ้มจาง ๆ ที่ตราตรึง และท่าทางเรียบง่ายที่ไม่ปรุงแต่งอะไรเลย ทุกอย่างเกี่ยวกับเธอกระชากหัวใจของหยางเฟยอวี่จนอยู่หมัดเขาสูดควันบุหรี่ลึก ๆ อีกครั้ง แต่รสขมของมันกลับไม่ช่วยให้ใจสงบได้แม้แต่น้อย ตั้งแต่เกิดมา หยางเฟยอวี่ไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อนผู้หญิงในชีวิตของเขา... มักเป็นเ
ก๊อก ก๊อก ก๊อกเสียงเคาะประตูทำให้ปราณปรียาที่กำลังเหม่อมองม่านหน้าต่างต้องละสายตาจากท้องฟ้ายามค่ำคืน ร่างบอบบางลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินตรงไปที่ประตู เมื่อมองผ่านช่องตาแมวเห็นใบหน้าคุ้นเคยของเพื่อนสนิท เธอจึงเปิดประตูด้วยรอยยิ้ม“เหนื่อยจริง ๆ! ทำไมปริมถึงไม่เลือกห้องพักที่มีลิฟต์นะ” เอมอรบ่นพลางใช้มือโบกไปมาเพื่อพัดความร้อนออกจากตัว ในมือถือถุงอาหารหลายถุงดูพะรุงพะรังเหลือเกินปราณปรียาหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะดึงตัวเพื่อนเข้ามาในห้อง “ก็มันเงียบดีน่ะ แล้วก็ปลอดภัยด้วย อรเองก็รู้”เอมอรกลอกตาเล็กน้อยแต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ เพราะลึก ๆ เธอเข้าใจเหตุผลของปราณปรียาดี“มานั่งพักก่อน มากินน้ำหน่อย” ปราณปรียาพูดพร้อมเดินไปหยิบแก้วน้ำเย็นจากโต๊ะเล็ก ๆ ในครัว ยื่นให้เพื่อนสนิทอย่างเอาใจใส่เอมอรรับแก้วน้ำมาดื่มรวดเดียวจนหมด แล้วสายตาก็ไปสะดุดที่ครัวซองต์บนโต๊ะ “อุ๊ย! มีครัวซองต์ด้วยเหรอเนี่ย!” เสียงตื่นเต้นดังขึ้น ใบหน้าที่ดูเหนื่อยล้าก่อนหน้านี้เปลี่ยนเป็นเปี่ยมไปด้วยพลัง“ใช่ เห็นร้านเขาทำใหม่ ๆ อบออกจากเตาพอดี เลยซื้อมาฝากอรด้วย” ปราณปรียายิ้มจาง ๆเอมอรตาเป็นประกาย เธอหยิบครัวซองต์ขึ้นมาดูราวกับของล้ำ
ปราณปรียาเดินมาหยุดยืนหน้าร้านพรีเวดดิ้งที่ตั้งอยู่ใจกลางย่านเศรษฐกิจ ตึกสูงสามชั้นที่ตกแต่งอย่างทันสมัยโดดเด่นด้วยบานกระจกใสขนาดใหญ่สะท้อนแสงอาทิตย์ระยิบระยับ ป้ายชื่อร้านสลักด้วยอักษรสีทองที่เปล่งประกาย อ่านได้ชัดเจนว่า ร้านซินโหรวตัวอักษรที่สื่อถึงความหรูหราและเรียบง่ายในคราวเดียวกัน ช่วยเสริมภาพลักษณ์ของร้านที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นหนึ่งในร้านพรีเวดดิ้งที่ดีที่สุดในเมือง เมื่อสายตากวาดมองไปรอบ ๆ เพื่อความมั่นใจว่าที่นี่คือสถานที่นัดหมาย เอมอรย้ำกับเธอไว้ว่าไม่ต้องรีบ แต่ปราณปรียาก็เลือกที่จะมาก่อนเวลาเล็กน้อยเพื่อไม่ให้ดูเร่งรีบเมื่อมั่นใจว่าเป็นร้านที่นัดหมายหญิงสาวก็เอื้อมมือเปิดประตูร้าน เสียงกระดิ่งเหนือประตูดังกรุ๊งกริ๊งเบา ๆ ต้อนรับผู้มาเยือน กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกไม้สดในแจกันภายในร้านลอยมาแตะจมูกทันทีที่ก้าวเข้าไป บรรยากาศภายในอบอุ่นและโปร่งโล่งด้วยการตกแต่งสไตล์โมเดิร์นที่แฝงกลิ่นอายโรแมนติก“ยินดีต้อนรับค่ะ คุณลูกค้าได้นัดไว้หรือเปล่าคะ”พนักงานสาวก้าวออกมาต้อนรับด้วยสีหน้าเป็นมิตรเมื่อเห็นหญิงสาวหน้าตาสะสวยเดินเข้าร้านมา ปราณปรียาเอ่ยชื่อเพื่อนสาวออกไป พนักงานสาวจึงเดิ
“ว้าว ชุดนี้แหละเหมาะกับอรมาก”จารวีเอ่ยชมเพื่อนสาวอย่างจริงใจ ชุดเดรสแต่งงานสีขาวเรียบหรูเหมาะกับเรือนร่างเพรียวลมของเพื่อนสนิทมาก ปราณปรียาพยักหน้าเห็นด้วย พวกเธอลองชุดเพื่อนเจ้าสาวหมดแล้วซึ่งนอกจากของเธอที่ต้องปรับแก้นิดหน่อยของคนอื่นก็พอดีตัว “มาอยู่ที่จีนแค่เดือนเดียว ดูมีน้ำมีนวลขึ้นเยอะเลยนะ”มีนาเอ่ยเย้าเพื่อนสาวเสียงใส สายตาจ้องไปยังสัดส่วนวัยสาวที่นูนขึ้นอย่างอิจฉา ปราณปรียาหน้าแดงก่ำเฉหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม ทั้งสามคนหัวเราะคิกคัก บรรยากาศในห้องลองชุดเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความสดใส ขณะที่แต่ละคนต่างก็ยุ่งอยู่กับการเตรียมชุดสำหรับวันสำคัญที่จะมาถึง “วันนี้พวกแกพักก่อนนะ พรุ่งนี้ฉันจะพาพวกแกไปเที่ยวทั่วเมืองนี้เลย” เอมอรกล่าวพร้อมรอยยิ้มกว้างขณะขับรถไปส่งเพื่อนสาวที่คอนโดของตน ทั้งสามคนต่างยิ้มตอบรับอย่างเต็มใจ เพราะรู้ดีว่าเอมอรจะไม่ยอมให้พวกเธออยู่เฉย ๆ โดยไม่พาไปเที่ยวสักครั้ง“เอาจริงเหรอ? งั้นก็ดีเลย ฉันรอไม่ไหวแล้วนะ” จารวีตอบอย่างตื่นเต้นเอมอรหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะหันไปมองทั้งสองคน “ฉันไม่ได้พาพวกแกมาที่นี่แค่เพื่อมางานแต่งของฉันหรอก พ
ย้อนกลับไปเมื่อห้านาทีก่อนหยางเฟยอวี่ที่กำลังนั่งอ่านเอกสารในมืออย่างจดจ่อ ต้องชะงักเมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขาเหลือบมองหน้าจอเห็นชื่อผู้โทรเข้า เว่ยซานเพื่อนสนิทที่ใกล้จะสละโสดในอีกไม่กี่วันข้างหน้า“ฮัลโหล คุณชายใหญ่ว่างหรือเปล่า?” เสียงกวนประสาทดังขึ้นทันทีที่เขารับสาย“รีบพูดมา” หยางเฟยอวี่ตอบเสียงเรียบ พยายามกลั้นใจไม่ให้อารมณ์เสีย เว่ยซานเป็นคนที่ชอบยั่วโมโหเขาเป็นงานอดิเรก“บริษัทนายอยู่แถวถนนหมายเลขสองใช่ไหม? แวะรับคนให้หน่อยสิ”“ไม่ว่าง แค่นี้นะ” หยางเฟยอวี่ตอบห้วนๆ พร้อมจะกดวางสาย“เฮ้ย เดี๋ยวก่อน!” เว่ยซานรีบพูด “ขอร้องล่ะเพื่อน ช่วยฉันหน่อย สุดที่รักของฉันจะได้สบายใจซะที”“ไม่ใช่เรื่องของฉัน แค่นี้นะ” เขาตอบเสียงเย็นชา แต่ในจังหวะที่กำลังจะกดวางสาย โทรศัพท์ก็ส่งเสียงแจ้งเตือนข้อความเข้า รูปถ่ายที่เว่ยซานส่งมาทำให้หยางเฟยอวี่ชะงักทันทีภาพหญิงสาวที่เขาเคยพบอยู่ในความทรงจำปรากฏขึ้นบนหน้าจอ เธอมีผมลอนสีน้ำตาลยาว สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนสั้นกับกระโปรงสีดำที่ตัดกันอย่างเรียบง่ายแต่สะดุดตา“ไปส่งที่ไหน” น้ำเสียงของหยางเฟยอวี่เปลี่ยนไปทันที“ห๊ะ? เปลี่ยนใจแล้วเหรอ?” เว่ยซานถามอย่
“ปริมมาแล้วเหรอ? อุ๊ย! สวัสดีค่ะ” เอมอรที่กำลังทุบตีว่ากล่าวสามีด้วยความขัดใจ หันไปสนใจเสียงเปิดประตูทันที น้ำเสียงหวานแหววเปลี่ยนโทนราวพลิกมือเมื่อเห็นผู้ชายที่เดินตามหลังเพื่อนสาวเข้ามาจารวีและมีนา ที่นั่งอยู่บนโซฟา พากันหน้าแดงจนถึงใบหู ความหล่อเหลาที่เกินต้านของหยางเฟยอวี่ทำให้ทั้งคู่รู้สึกประหม่าแทบลืมตัว“เสียงหวานเชียวนะ...ที่รัก” เว่ยซานที่ถูกภรรยาทิ้งกลางคันอดกลอกตาขึ้นฟ้าไม่ได้ เขาไม่ได้หวงแหนอะไรหรอก แต่ทุกครั้งที่หยางเฟยอวี่โผล่มา สาว ๆ ทุกคนเป็นต้องเสียอาการเหมือนกันหมด“อะไรกัน! ฉันก็แค่ทักทายตามมารยาท” เอมอรหันมาเถียงเสียงสูง ราวกับพยายามปกปิดบางสิ่ง แต่แววตาแอบมีรอยระริกที่ปิดไม่มิด“ตามมารยาท? หรือว่าสายตาหวานย้อยนี่นับเป็นมารยาทด้วยล่ะ?” เว่ยซานหยอกกลับ แต่ยังคงมองภรรยาด้วยแววตาขำขันปนเอ็นดูถึงหยางเฟยอวี่จะมีใบหน้าหล่อเหลาราวเทพบุตร แต่ใครจะรู้ว่าความเพอร์เฟกต์นี้แอบซ่อนนิสัยส่วนตัวที่ยากจะรับมือไว้ด้วย...หยางเฟยอวี่ยิ้มมุมปากพลางกล่าวทักทายทุกคนในห้องอย่างสุภาพ ความมีเสน่ห์ของเขาเหมือนคลื่นลูกใหญ่ที่กวาดทุกสายตาให้จับจ้องโดยไม่อาจหลีกเลี่ยง“ไหนว่าแค่มาส่ง ทำไมนา
หยางคอร์เปอร์เรชั่นเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับห้างสรรพสินค้าและธุรกิจบันเทิงครบวงจร อาณาจักรธุรกิจของตระกูลหยางนั้นกว้างใหญ่และหลากหลาย จึงจำเป็นต้องแบ่งหน้าที่ดูแลออกเป็นหลายสาย ทว่าอำนาจในการกำหนดทิศทางหลักของบริษัทกลับขึ้นอยู่กับประธานใหญ่เพียงผู้เดียว ซึ่งในที่สุด หยางเฟยอวี่ได้รับเลือกให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งนี้ผู้ที่จะขึ้นเป็นประธานใหญ่ของหยางคอร์เปอร์เรชั่นได้นั้น นอกจากจะต้องเป็นสมาชิกในตระกูลหยางแล้ว ยังต้องมีความรู้ ความสามารถ และวิสัยทัศน์อันยอดเยี่ยมในด้านการบริหาร หยางเฟยอวี่ ผู้ได้รับการฟูมฟักและเลี้ยงดูจากหยางจง ปู่ผู้ทรงอิทธิพลของตระกูลมาตั้งแต่วัยเยาว์ ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาคู่ควรกับตำแหน่งนี้ชายหนุ่มเริ่มต้นเส้นทางในวงการธุรกิจตั้งแต่อายุเพียงสิบห้าปี ด้วยการเข้ามาช่วยงานบริหารในบริษัทของครอบครัว จนเมื่ออายุสิบแปดปี เขาตัดสินใจแยกตัวไปก่อตั้งบริษัทเทียนอวี่ ซึ่งเป็นบริษัทนำส่งชิ้นส่วนเทคโนโลยีน้องใหม่ที่ได้รับการยอมรับอย่างรวดเร็วในวงการ ความสำเร็จของเขาในครั้งนั้นเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความสามารถและความมุ่งมั่นที่ไม่ธรรมดาอย่างไรก็ตาม เมื่อหยางเฟยอวี่ได้รับเล
รถยนต์หรูสองคันค่อย ๆ เคลื่อนตัวมาจอดอย่างสง่างามที่หน้าตึกบริหารของมหาวิทยาลัย ความเงียบในบริเวณนั้นถูกแทนที่ด้วยเสียงกระซิบกระซาบของนักศึกษาที่อยู่ใกล้ ๆ ทุกสายตาหันไปจับจ้องเมื่อประตูรถเปิดออก ร่างสูงของหยางจื่อและหยางเฟยอวี่ก้าวลงมาอย่างสง่างาม ใบหน้าคมคายของทั้งคู่ดึงดูดความสนใจทันที นักศึกษาหญิงหลายคนหน้าแดงก่ำ บางคนถึงกับแอบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปโดยไม่รู้ตัว“นั่นใครน่ะ หล่อเหมือนหลุดออกมาจากนิตยสาร!” เสียงกระซิบดังจากกลุ่มนักศึกษา“ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ใช่คนธรรมดานะ รถแบบนั้น... กับท่าทีแบบนั้น...” อีกเสียงเอ่ยเบา ๆ แต่เต็มไปด้วยความสงสัยในขณะเดียวกัน อาจารย์ที่อยู่ใกล้ ๆ ก็ถึงกับเบิกตากว้างเมื่อเห็นใบหน้าของหยางเฟยอวี่ เขาสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะรีบควักโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาอธิการบดีด้วยความตื่นตกใจ“ท่านอธิการ! คุณหยางเฟยอวี่มาครับ! ใช่ครับ มาที่มหาวิทยาลัยของเรา ตอนนี้อยู่หน้าตึกบริหาร...” เสียงของอาจารย์สั่นเล็กน้อยราวกับไม่แน่ใจว่าการมาเยือนครั้งนี้จะนำมาซึ่งเรื่องดีหรือเรื่องยุ่งยากหยางเฟยอวี่ไม่ได้สนใจเสียงซุบซิบหรือปฏิกิริยาของคนรอบข้าง เขามองไปรอบ ๆ ด้วยสายตาเย็นชาและ
นับแต่ค่ำคืนแสนหวานวันนั้น ดูเหมือนว่าหยางเฟยอวี่จะทำตัวติดปราณปรียามากขึ้นจนเกือบจะทุกที่ แม้แต่ในช่วงเวลาที่เธอทำงานอยู่ที่ร้านดอกไม้ฮวาฮวา ชายหนุ่มมักหาเหตุผลโดดงานแวะเวียนมาหาเธอเสมอ แต่สิ่งที่ชัดเจนยิ่งกว่าคือความหึงหวงที่แสดงออกอย่างไร้เหตุผลครั้งนี้ก็เช่นกัน…ปราณปรียาที่กำลังง่วนกับการจัดดอกไม้ให้ลูกค้าชายหนุ่มคนหนึ่งสังเกตได้ถึงสายตาคมกริบของหยางเฟยอวี่ที่จ้องมองลูกค้าอย่างไม่วางตา แม้กระทั่งตอนที่เธอส่งเงินทอนให้ลูกค้า เขาก็ยังยืนกอดอกอยู่มุมร้าน ดวงตาวาวโรจน์ราวกับจะขุดประวัติของชายหนุ่มคนนั้นออกมาให้เมื่อส่งลูกค้าคนสุดท้ายออกจากร้านได้สำเร็จ ปราณปรียาก็หันกลับมามองคนตัวสูงที่ยังคงยืนทำหน้าตาไม่พอใจอยู่ที่เดิม เธอเดินตรงเข้าไปหาเขา พลางถอนหายใจอย่างระอา“พี่เฟยอวี่คะ ถ้ายังทำแบบนี้อีก คืนนี้ปริมจะให้ไปนอนข้างนอก!” หญิงสาวพูดเสียงเขียว พลางจ้องเขาด้วยสายตาตำหนิหยางเฟยอวี่นิ่วหน้า มองคนรักอย่างไม่ยอมแพ้ “ปริมไม่เห็นเหรอครับ ว่าหมอนั่นมองปริมยังไง?”“เขาไม่ได้มองอะไรปริมเลยค่ะ เขาแค่มาซื้อดอกไม้เท่านั้นเอง!”ชายหนุ่มส่ายหน้า “ไม่จริงครับ พี่เห็นชัด ๆ เขาแอบมองปริมตั้งแต่เดิ
ปราณปรียาที่ดื่มไวน์ไปสองแก้วตามคำชวนของคุณนายหยางเริ่มรู้สึกคอพับเล็กน้อย ถึงแม้จะพยายามตั้งสติ แต่ก็เริ่มรู้สึกไม่ค่อยสบายตัว หยางเฟยอวี่สังเกตเห็นอาการของเธอจึงรู้สึกว่าเป็นเวลาที่ควรจะพาเธอกลับคอนโด“วันนี้ค้างที่บ้านก็ได้นะ ไม่เห็นต้องรีบกลับคอนโดเลย” คุณนายหยางพูดขึ้นขณะที่เดินมาส่งลูกชายที่หน้าประตู ริมฝีปากของเธอยังคงบ่นน้อยใจเล็กน้อยเพราะเห็นลูกชายรีบพาหญิงสาวกลับหยางเฟยอวี่ที่กำลังช่วยปราณปรียาใส่เข็มขัดนิรภัยหันมาตอบผู้เป็นแม่อย่างนุ่มนวล “พรุ่งนี้น้องปริมมีเรียนแต่เช้าครับ ที่นี่ห่างจากมหาวิทยาลัยค่อนข้างมาก ผมกลัวว่าน้องปริมจะไปไม่ทัน”คุณนายหยางพยักหน้ารับรู้ แต่ก็ไม่วายหรี่ตามองลูกชาย “คิดว่าแม่ไม่รู้นิสัยแกเรอะ” เธอพูดก่อนจะหยิกไปที่ต้นแขนของลูกชายเบา ๆ รอยยิ้มอ่อน ๆ เกิดขึ้นบนใบหน้าเธอ“ลานะครับ” หยางเฟยอวี่พูดพร้อมกับยิ้มยกมือขอโทษ ก่อนจะพูดต่อ “เดี๋ยววันหยุดหน้าผมจะพาน้องปริมมาเยี่ยมใหม่”คุณนายหยางมองหน้าลูกชายอย่างมองผ่าน “เอาเถอะ วันหยุดหน้าค่อยมาเจอกันใหม่” เธอพูดไปพร้อมกับยิ้มและขยับตัวกลับเข้าไปในบ้าน แต่ยังไม่วายหันมาทางปราณปรียาและพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ดู
หลังจากที่หยางเฟยอวี่บอกว่าจะพาปราณปรียาไปยังที่แห่งหนึ่งในอีกสองวัน หญิงสาวก็รีบลางานล่วงหน้าที่ร้านดอกไม้ฮวาฮวา ร้านนี้เป็นที่ที่เธอทำงานเพราะหลงใหลในการดูแลดอกไม้ และอีกเหตุผลหนึ่งคือ "มิวมิว" แมวสีขาวที่นับวันก็ยิ่งอ้วนกลมจนเธออดหยิกแก้มมันไม่ได้ทุกครั้ง“ปริม คุณหยางมาถึงแล้วจ้ะ” เจียวมีฮวา เจ้าของร้านดอกไม้ตะโกนเรียกจากด้านหน้า เมื่อปราณปรียาเงยหน้าขึ้นจากช่อดอกไม้ที่เธอกำลังจัด ก็เห็นร่างสูงในชุดทำงานยืนพิงรถอยู่หน้าร้านหยางเฟยอวี่ถือโทรศัพท์ไว้ในมือ เขาแต่งตัวเรียบร้อยอย่างมีระดับ ทว่าท่าทางเย็นชาและใบหน้าคมคายที่นิ่งสงบของเขาทำให้คนที่เดินผ่านไปมาอดเว้นระยะออกห่างไม่ได้ แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปทันทีที่เขาเหลือบเห็นหญิงสาวในชุดกระโปรงสีขาวเดินออกมาจากร้าน ดวงตาคมอ่อนโยนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และริมฝีปากที่เคยเรียบเฉยกลับยกยิ้มกว้างจนปิดไม่มิด“วันนี้ทำงานเหนื่อยไหมครับ” หยางเฟยอวี่เอ่ยถามขณะเดินเข้ามาหาเขาเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าอย่างรวดเร็ว“ไม่ค่ะ พี่เฟยอวี่รอนานไหมคะ” หญิงสาวตอบพลางส่งยิ้มบาง“ไม่นานหรอกครับ คนดี” เขาตอบเสียงนุ่มก่อนจะจับมือของเธออย่างอ่อนโยนและพาเข้าไปในรถเมื่อท
หลังจากนั้นไม่นาน ปราณปรียาก็ได้รับรู้ถึงเหตุผลที่ทำให้ถังเหมยหลินมาเกาะติดเธอเหมือนเงาตามตัวเรื่องราวที่ถูกพูดถึงในกลุ่มเพื่อนเริ่มกระจายไปทั่ว หวังหย่วน หนุ่มเพื่อนร่วมคลาสที่เคยมีภาพลักษณ์ดี ทำผู้หญิงคนหนึ่งในกลุ่มเดียวกับถังเหมยหลินท้องโดยไม่รับผิดชอบ เรื่องนี้สร้างความสะเทือนใจให้ถังเหมยหลินอย่างรุนแรง เพราะนอกจากจะรู้สึกโกรธแทนเพื่อนแล้ว ยังทำให้เธอเสียศูนย์ในความมั่นใจของตัวเองหญิงสาวที่เคยวางท่าโอหังและมั่นใจในตัวเองมาโดยตลอด ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความหวาดระแวง เธอเริ่มตั้งคำถามกับทุกความสัมพันธ์ในชีวิต ว่าใครกันแน่ที่จริงใจกับเธอ และใครที่อาจจะซ่อนมีดไว้ข้างหลังในสายตาของถังเหมยหลิน ปราณปรียาคือคนเดียวที่ดูแตกต่าง หญิงสาวที่มักวางตัวนิ่ง ๆ ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือใส่ใจกับเรื่องวุ่นวายรอบตัว กลับดูเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยที่สุด“ฉันแค่ต้องการเพื่อนที่จริงใจสักคน” ถังเหมยหลินพูดขึ้นในวันหนึ่งหลังจากเงียบอยู่นาน ปราณปรียาที่ได้ยินเช่นนั้นเพียงเงยหน้าจากหนังสือและยิ้มเล็กน้อย“ฉันไม่ไล่เธอหรอก ถ้าเธออยากจะเล่าอะไร ฉันรับฟังได้เสมอ”คำพูดเรียบง่ายของปราณปรียาทำให้ถังเหมยหลินที่กำลัง
เช้าวันใหม่มาพร้อมกับแสงแดดอ่อน ๆ ที่ลอดผ่านผ้าม่านเข้ามาในห้อง แต่สิ่งที่ปลุกปราณปรียาให้ตื่นไม่ได้มาจากแสงแดด หากแต่เป็นความรู้สึกหนัก ๆ ที่บริเวณบั้นเอว เธอเลิกผ้าห่มขึ้นดูและต้องตกใจกับสิ่งที่เห็นแขนแข็งแรงของหยางเฟยอวี่พาดอยู่บนตัวเธอ อีกทั้งยังมีลมหายใจอุ่น ๆ ที่เป่ารดอยู่ข้างหู ใจดวงน้อยเต้นระรัวจนแทบจะทะลุออกมา“คนดี ตื่นแล้วเหรอ” เสียงทุ้มนุ่มสะลึมสะลือดังขึ้นเหนือหัว ราวกับรู้ว่าเธอกำลังทำตัวไม่ถูก ปราณปรียาทำได้เพียงพยักหน้าตอบเบา ๆหยางเฟยอวี่ลืมตาขึ้นมาครึ่งหนึ่งพร้อมกับยิ้มอ่อนในใจเมื่อเห็นท่าทางกระต่ายตื่นตูมของคนในอ้อมแขน เขาเอื้อมมืออีกข้างมาลูบหัวเธอเบา ๆ“ข้างนอกยังเช้าอยู่เลย นอนต่ออีกนิดไหมครับ” เขาเอ่ยชวนด้วยน้ำเสียงอบอุ่น แต่คำพูดนั้นยิ่งทำให้ปราณปรียารู้สึกประหม่า“ปริมอยากเข้าห้องน้ำค่ะ” หญิงสาวตอบเสียงเบา แม้ว่าในความเป็นจริงเธอไม่ได้ต้องการเข้าห้องน้ำเลยก็ตามหยางเฟยอวี่หัวเราะเบา ๆ สูดกลิ่นหอมจากต้นคอของเธอเข้าไปเต็มปอด ก่อนจะยอมปล่อยมืออย่างไม่เร่งรีบเมื่อได้รับอิสระ ปราณปรียารีบลุกจากเตียงทันที ร่างบางแทบจะวิ่งไปที่ห้องน้ำโดยไม่หันกลับมามอง ทิ้งให้หยางเ
ปราณปรียาพักผ่อนจนเวลาล่วงเลยไปถึงยามเย็น เมื่อรู้สึกตัวตื่น เธอพบว่าตัวเองนอนอยู่ในห้องนอนที่ไม่คุ้นเคย แสงแดดอ่อน ๆ สาดลอดผ่านผ้าม่านบาง ทำให้บรรยากาศในห้องดูอบอุ่น ในคราแรกเธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจ แต่เมื่อหญิงสาวมองไปรอบ ๆ ห้อง เฟอร์นิเจอร์ที่จัดวางอย่างเรียบร้อยและมีกลิ่นอายที่คุ้นเคยช่วยให้เธอคลายความกังวลลงได้ พลันความทรงจำก็ผุดขึ้นในหัว หยางเฟยอวี่ต้องเป็นคนพาเธอมานอนที่นี่อย่างแน่นอนปราณปรียาลุกขึ้นจากเตียงและเปิดประตูออกไป เธอพบว่าชายหนุ่มยังคงง่วนอยู่กับเอกสารกองโตบนโต๊ะทำงาน เสียงกุกกักเบา ๆ ของเธอทำให้เขาเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาคมมองเธออย่างอ่อนโยน“ตื่นแล้วเหรอครับ ยังง่วงอยู่หรือเปล่า?” เขาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พลางลุกขึ้นเดินตรงมาหาเธอ เมื่อเห็นเธอยืนอยู่ที่ประตูด้วยท่าทีนิ่งขึง“ไม่ค่ะ ปริมนอนเต็มอิ่มแล้ว เลยไม่ง่วงอีก” เธอตอบด้วยน้ำเสียงสดใส พร้อมส่งยิ้มหวานให้เขาหยางเฟยอวี่ยิ้มบางก่อนจะจูงมือเธออย่างนุ่มนวลพาไปนั่งที่โซฟา เขาจัดหมอนรองหลังให้เธออย่างใส่ใจ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “นั่งพักตรงนี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวพี่รีบเคลียร์งานให้เสร็จ”ปราณปรียามองเขาด้วยสายตาเอ็นดู ก่อนจะหย
ทั้งสองใช้เวลาร่วมกันอย่างมีความสุข ทะเลสาบนอกเมืองไม่เพียงแต่เป็นสถานที่พักผ่อนอันเงียบสงบ แต่ยังมีกิจกรรมหลากหลายให้ผู้มาเยือนได้เพลิดเพลินกันตลอดวัน หยางเฟยอวี่พาหญิงสาวนั่งเรือเล็กพายล่องไปตามผืนน้ำที่เป็นประกายระยิบระยับ แดดอ่อน ๆ ในยามสายสาดแสงลงมากระทบร่างของปราณปรียา ทำให้ผิวเนียนสว่างของเธอดูงดงามดุจต้องมนต์ หยางเฟยอวี่แอบมองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักและความภูมิใจ เขาไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าตัวเองโชคดีเพียงใดที่คว้าหญิงสาวผู้เปรียบดั่งนางฟ้าองค์นี้มาอยู่เคียงข้างได้ปราณปรียาหัวเราะเบา ๆ เมื่อหยางเฟยอวี่แกล้งพายเรือให้แกว่งเล็กน้อย น้ำทะเลกระเซ็นขึ้นมาโดนผิวของทั้งคู่ ทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะสดใส“อย่าแกล้งปริมสิคะ” เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงขำขัน แต่ใบหน้ายังคงแดงระเรื่อจากสายตาอบอุ่นของเขาที่มองมา“ถ้าพี่ทำให้ปริมยิ้มได้ พี่ยินดีจะแกล้งแบบนี้ทุกวัน” หยางเฟยอวี่ตอบพร้อมกับยิ้มละมุน เสียงของเขานุ่มนวลพอ ๆ กับสายลมที่พัดผ่าน แดดที่กำลังจางลงยิ่งเพิ่มความโรแมนติกให้ช่วงเวลานี้ จนเหมือนทั้งโลกหยุดหมุน มีเพียงพวกเขาสองคนที่อยู่ด้วยกัน ทั้งสองได้พักผ่อนกันไม่นาน เ
ปราณปรียาค่อย ๆ เดินลงมาจากชั้นบนในชุดกระโปรงสีหวานที่แม่บ้านเตรียมไว้ให้ ชุดนี้เน้นความเรียบง่ายแต่ดูอ่อนหวานอย่างมีเสน่ห์ หยางเฟยอวี่ที่กำลังนั่งดื่มกาแฟอยู่ปลายโต๊ะถึงกับชะงัก ดวงตาคมจ้องมองหญิงสาวไม่วางตาเธอเดินเข้ามาใกล้ด้วยท่าทีที่ยังคงเขินอายเล็กน้อย รู้สึกได้ถึงสายตาหลงใหลที่ไม่แม้แต่จะปิดบังของชายหนุ่ม“ชุดนี้เหมาะกับน้องปริมมากครับ” เสียงทุ้มที่เปี่ยมไปด้วยความจริงใจเอ่ยชมออกมา ทำให้ปราณปรียาชะงักไปเล็กน้อย เธอก้มหน้ามองเท้าของตัวเองด้วยใบหน้าที่แดงเรื่อ รอยยิ้มขวยเขินปรากฏบนริมฝีปากในใจพลางคิด ทำไมช่วงนี้พี่เฟยอวี่ถึงได้ขยันป้อนคำหวานแบบนี้กันนะหยางเฟยอวี่ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินเข้ามาใกล้หญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้า เขามองเธอด้วยสายตาอบอุ่น ไม่ละไปจากใบหน้าที่เขาแสนคุ้นเคยแม้แต่วินาทีเดียว ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“พี่อยากพาน้องปริมไปที่ที่หนึ่ง วันนี้ไปเดตกับพี่อีกวันนะครับ”คำพูดนั้นเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยความห่วงใยลึกซึ้ง หลังจากเหตุการณ์เมื่อคืนที่ทำให้เธอหวาดกลัว ชายหนุ่มก็ไม่อยากปล่อยให้คนรักต้องอยู่เพียงลำพังปราณปรียายืนนิ่งไปชั่วครู่ เธอครุ่นคิดอยู่ในใจ แม้จะรู้ส
หยางเฟยอวี่พาหญิงสาวขึ้นบันไดไปยังชั้นสองของห้องชุด ด้านบนตกแต่งอย่างเรียบหรูด้วยโทนสีขาวนวลตัดกับเฟอร์นิเจอร์ไม้เนื้อดี เส้นสายของการออกแบบเผยถึงรสนิยมที่พิถีพิถันของเจ้าของห้อง เขาเปิดประตูห้องนอนหลัก ซึ่งภายในกว้างขวางและมีบรรยากาศอบอุ่น เตียงขนาดคิงไซซ์ปูด้วยผ้าปูสีขาวสะอาด และมีหน้าต่างบานใหญ่ที่มองเห็นทิวทัศน์ของเมืองยามค่ำคืน“คืนนี้น้องปริมพักที่นี่นะครับ” หยางเฟยอวี่พูดพลางหยิบผ้าคลุมเนื้อนุ่มจากตู้มาให้หญิงสาว “ห้องนี้เป็นห้องพี่เอง แต่พี่จะไปพักห้องข้างๆ ถ้าปริมต้องการอะไรเรียกพี่ได้ทันทีเลยนะ”ปราณปรียามองรอบห้องอย่างตื่นตาตื่นใจ ก่อนจะหันมาหาเขาด้วยสายตาอ่อนโยน “พี่เฟยอวี่คะ... ขอบคุณนะคะที่ดูแลปริม”หยางเฟยอวี่มองหญิงสาวด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรักและความห่วงใย เขาเอื้อมมือไปแตะเส้นผมนุ่มเบาๆ “ไม่ต้องขอบคุณหรอก นี่เป็นสิ่งที่พี่ควรทำเพื่อปริมอยู่แล้ว”หญิงสาวหลบสายตาเล็กน้อย รู้สึกอบอุ่นในใจจนเผลอยิ้มออกมา หยางเฟยอวี่หัวเราะเบาๆ ก่อนจะขยับออกจากห้องอย่างสุภาพ “พี่จะไปเตรียมน้ำอุ่นไว้ให้ ปริมอาบน้ำเสร็จแล้วจะได้พักผ่อนสบายๆ”“ค่ะ” ปราณปรียาตอบรับเสียงเบา มองดูแผ่นหลังกว้