“อื้อ…เขาเรียกขนมลูกชุบ กินดูแล้วคุณจะรู้ว่ามันไม่เผ็ด” เห็นขนมลูกชุบแล้วก็นึกถึงคนซื้อ คงไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากบุหลัน และก็แทนที่จะซื้อให้มันหลากหลายแบบ ดั้นซื้อมาแต่แบบที่ปั้นเป็นพริก“คุณไม่ได้หลอกผมใช่มั้ย” น้ำเสียงที่ถามนั้น ช่างฟังดูน่าสงสาร เพลงพิณได้แต่คิดในใจว่า โถ…ใครจะไปกล้าหลอกได้ลง“เอ้า! แล้วฉันจะไปหลอกคุณทำไม ไม่เชื่อ เอามา เดี๋ยวกินให้ดู” เอ่ยจบก็คว้าลูกชุบในมือของเฟร์เรมาถือไว้ ก่อนจะส่งเข้าปาก“เฮ้!…คุณ” เฟร์เรเอ่ยห้ามเสียงหลง ก่อนจะหน้าตาตื่นๆ เมื่อเห็นเพลงพิณแสดงออกว่ากำลังเผ็ด“คุณขอน้ำ ขอน้ำหน่อย เผ็ดๆ”“ผมบอกแล้วว่านั่นพริก” เอ่ยจบก็รีบส่งน้ำให้เธอ แล้วเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง“เป็นไง เผ็ดมากมั้ย” เพลงพิณก้มหน้าก้มตามองพื้น นั่นเพราะกำลังกลั้นเสียงหัวเราะไม่ให้เล็ดลอดออกมาตอนนี้ พอเงยหน้าขึ้นมาก็ยิ้มแป้นให้คนข้างๆ ไม่ได้มีท่าทีเผ็ดอีกต่อไป&nbs
“แมวผมเองครับ”“อุ๊ย! แมวเบคเหรอคะ น่ารักจังเลย ชื่ออะไรคะ” พอได้ยินว่าแมวตรงหน้าเป็นของเฟร์เร อามาเรียก็รีบเปลี่ยนท่าทีเป็นคนรักสัตว์ขึ้นมาทันที ทั้งๆ ที่เธอนั้นเกลียดชังแมวเป็นที่สุดลัคกี้เข้าไปคลอเคลียเลียหลังมือของเฟร์เร นั่นทำให้เขาอุ้มมันขึ้นมาวางบนตัก“ลัคกี้ครับ”“ว้าว! ชื่อเพราะมากเลย ลัคกี้มานี่มา มาให้อามาเรียอุ้มหน่อยนะ” เอ่ยจบก็ยื่นมือไปคว้าลัคกี้จากตักของเฟร์เรมาอุ้ม แต่เหมือนลัคกี้จะไม่อยากผูกมิตรด้วยสักเท่าไหร่ เพราะมันเอาแต่ดิ้นจะลงจากตักของอามาเรียท่าเดียว“ผมว่าลัคกี้มันคงอยากออกไปเดินเล่น คุณปล่อยมันลงดีกว่า”“อามาเรียก็คิดว่างั้นเหมือนกันค่ะ” นางแบบสาวยิ้มเจื่อนๆ ก่อนจะยอมวางลัคกี้ลง นั่นทำให้เจ้าแมวรีบเดินหายไปอีกทางอย่างรู้งาน ส่วนอามาเรียได้แต่ลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เพราะเธอเองก็ไม่ได้อยากจะอุ้มแมวสกปรกๆ ตัวนี้สักเท่าไหร่นักหรอก กลับไปคงต้องรีบเอาแอลกอฮอล์ล้างทั้งตัว 
กว่าเพลงพิณจะออกเวรที่โรงพยาบาล ก็ทำเอาเธอแทบหมดเรี่ยวหมดแรง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงแวะไปนั่งทำงานต่อที่คลินิกอีกหลายชั่วโมงกระทั่งปิดก็ขับรถกลับบ้าน แต่เพราะท้องมันร้องประท้วงว่าหิว ไม่อาจขับรถต่อจนถึงบ้านได้แน่ๆ จึงจำต้องเลี้ยวรถจอดริมถนนก่อนจะเปิดประตูรถแล้วก้าวลงไปสั่งบะหมี่เกี๊ยวร้านดัง ที่เปิดร้านอยู่ก่อนถึงทางเข้าหมู่บ้าน มานั่งทานคนเดียวแบบสวยๆ แต่ต้องสะดุ้งเมื่ออยู่ๆ ก็มีคนลากเก้าอี้มานั่งด้วย เธอจึงรีบเงยหน้าขึ้นมอง“เอ้า! คุณเบค” เพลงพิณเอ่ยออกมา ทั้งๆ ที่ในปากยังคงมีเส้นบะหมี่อยู่ จึงรีบเคี้ยวๆ แล้วกลืนลงท้อง“หิวตอนดึกเหมือนกันเหรอคะ”“ครับ…ว่าแต่ผมขอนั่งด้วยคนได้มั้ย” จะว่าไปตอนนี้ เฟร์เรหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้สีแดง ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ถามความสมัครใจของเพลงพิณเสียด้วยซ้ำ“ไม่ได้ค่ะ” น้ำเสียงตึงๆ เอ่ยบอก นั่นทำเอาเฟร์เรหน้าเสียทันที ก่อนที่เพลงพิณจะรีบเฉลย เพราะขืนยังไม่รีบ เดี๋ยวหนุ่มมาดเซอร์ ขวัญใจจะถอดใจย้ายไปนั่
เช้าวันรุ่งขึ้น เพลงพิณและเฟร์เรก็ออกไปพบกันที่หน้าบ้านอย่างไม่ได้นัดหมาย ทันตแพทย์สาวอยู่ในชุดสบายๆ เสื้อยืดสีขาว กางเกงยีนส์พอดีตัวขาดๆ หน่อย รองเท้าผ้าใบและมีหมวกทรงสวยไว้บังแดด แต่กว่าจะลงตัวที่ชุดนี้ เธอก็เลือกแล้วเลือกอีกส่วนเฟร์เรนั้นก็เซอร์เป็นกิจวัตร แต่เป็นลุคเซอร์แบบสะอาดๆ น่าซบ และสิ่งที่ขาดไม่ได้คือกล้องถ่ายรูป และก่อนจะออกไป เขาก็ดูแลลัคกี้เรียบร้อยแล้ว เย็นนี้ค่อยส่งมอบให้เธอดูแลต่อ วันนี้เขายังใจดีอาสาเป็นคนขับรถให้ไกด์ส่วนตัว ส่วนเพลงพิณก็ทำหน้าที่บอกทาง กระทั่งมาถึงท่าเรือจึงต้องจอดรถไว้แล้วเปลี่ยนไปนั่งเรือข้ามฟากแทนจะว่าไปนี่เป็นครั้งที่สามที่เพลงพิณมาเที่ยวเกาะเกร็ด ความที่มาบ่อยกว่าเฟร์เรเธอจึงพอรู้สถานที่ เมื่อลงเรือเสร็จก็ชวนเขาไปไหว้พระเสียหน่อย จากนั้นก็เช่าจักรยานมาปั่นเที่ยวรอบๆ เกาะ แวะดูการปั้นเครื่องปั้นดินเผา หาขนมไทยอร่อยๆ ทาน ส่วนเฟร์เรก็ไม่ลืมที่จะถ่ายรูป เพราะเสียงชัตเตอร์ดังมาให้เพลงพิณได้ยินแทบจะตลอดเวลา“ลูกชุบ” เฟร์เรอุทานชื่อขนมไทยชนิดแรกที่เขารู้จักและได้ชิมออกมา จากนั้นก็
เธอรื้อของฝากที่ซื้อมาจากเกาะเกร็ด ก่อนจะพบว่าสองถุงเป็นของเฟร์เรและตั้งใจเอามาคืนให้เขา แต่ภาพที่เห็นก็ทำเอาต่อมหึงเธอทำงาน“เสน่ห์แรงจริงๆ พ่อคุณ ผู้ชายอะไร หัวบันไดบ้านไม่เคยแห้ง... หึ๋ย” เพลงพิณยืนกัดฟันกรอดๆ จ้องผู้หญิงในบ้านเฟร์เรจนตาเขียวปัด หรือเธอคนนี้จะใช่คนรักของเฟร์เรรังสีอำมหิตจากตัวเพลงพิณที่แผ่กระจายออกไปนั้น ทำให้อามาเรียต้องหันมามอง พอเห็นว่าเป็นใครเธอก็ส่งยิ้มให้ งานนี้เป็นไงเป็นกัน เธอไม่มีทางปล่อยเฟร์เรให้ผู้หญิงลุคทอมผสมป้าแน่นอน“อุ๊ย! นั่นใครเหรอคะเบค” เพราะต้องการแสดงออกถึงความเป็นเจ้าของให้ผู้มาใหม่ได้เห็น อามาเรียจึงเข้าไปยืนใกล้เฟร์เรพร้อมกับควงแขนชายหนุ่ม แต่กลับถูกเขาปัดมือออก นั่นเพราะเขารู้ ว่าอามาเรียต้องการอะไร และเขาเองก็ต้องการให้เธอเห็นอะไรเช่นกัน จะได้เลิกยุ่งวุ่นวายกับเขาเสียทีเมื่อปัดมืออามาเรียออก เฟร์เรก็เดินไปหาเพลงพิณ ทำเอาอามาเรียเหวอรับประทานที่ถูกหักหน้า ส่วนเพลงพิณนะเหรอ หึ…เธอได้แต่ยืนสะใจอยู่นอกรั้วบ้าน ถ้าเธอไ
แต่สติของเพลงพิณต้องกระเจิงยิ่งกว่าเก่า เมื่ออยู่ๆ เฟร์เรก็ ขโมยจูบจากริมฝีปากอิ่มของเธอไปครองซึ่งหน้า ดวงตากลมโตของคนในอ้อมกอดเบิกกว้างอย่างตกใจ เพราะไม่คิดไม่ฝันว่าฉากจูบที่เธอแอบคิดมโนอยู่คนเดียว จะมีบุคคลที่สามยืนมองตาขวาง พร้อมกับทำหน้าที่เป็นพยานแบบนี้อามาเรียกัดฟันกรอดๆ กับฉากจูบที่เธอเรียกร้องอยากจะเห็นและได้เห็นแบบเต็มๆ ตาเสียด้วย ส่วนเฟร์เรจากที่จะจูบแค่ผิวเผิน พอได้สัมผัสริมฝีปากอิ่มของเพลงพิณเขาก็มีอันต้องเปลี่ยนใจ ความนุ่ม ความหอมหวานที่ได้สัมผัส ทำให้เขาไม่อาจตัดใจถอนจูบออกได้ในตอนนี้เพราะตกใจ ตอนนี้เพลงพิณจึงได้แต่ยืนนิ่งงัน ปล่อยให้เฟร์เรจูบอยู่นานสองนาน และเพราะมีใจให้เขาเป็นทุนเดิม เธอจึงปล่อยใจไปกับจูบที่แสนจะหอมหวานในครั้งนี้ การจูบตอบกลับจากเธอทำให้เฟร์เรยิ้ม แต่คนที่ยิ้มไม่ออกคืออามาเรีย เธอไม่อาจทนมองภาพบาดตาบาดใจได้อีก จึงกระทืบเท้าเร่าๆ ก่อนจะรีบกลับออกไปทันทีและพอถึงรถก็กรีดร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง พาลอารมณ์เสียใส่ลูกศรที่นั่งรออยู่อีกชุดใหญ่ ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างไม่แคร์&ldq
เช้าวันรุ่งขึ้น เฟร์เรก็อุ้มลัคกี้มาหาเพลงพิณที่บ้าน โดยตั้งใจมาแต่เช้าหน่อย จะได้พบเพลงพิณ ก่อนที่เธอจะออกไปทำงานแม้ใจจริงอยากอาสาดูแลลัคกี้ไปตลอด นั่นเพราะเขาไม่ได้ทำงานประจำ แต่เพราะได้ตกลงลัดกันเลี้ยงคนละอาทิตย์ ทำให้เฟร์เรไม่อาจเลี้ยงคนเดียวได้หนุ่มมาดเซอร์ที่ยังคงมัดผมไว้กลางศีรษะอย่างทุกวันยืนกดออดอยู่นาน คนในบ้านก็ยังไม่มีท่าทีจะออกมาเปิดให้ จะว่าเพลงพิณออกไปทำงานแล้วก็ไม่น่าใช่ นั่นเพราะรถเธอยังคงจอดอยู่ แต่จังหวะที่กำลังยืนชะเง้ออยู่นั้น เพื่อนบ้านสาวที่ตอนนี้เปียกมาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าก็โผล่หน้าออกมาให้เห็นแบบอายๆ“คุณพิณ เกิดอะไรขึ้นครับ”“คือท่อน้ำหลังบ้านมันแตกน่ะค่ะ”“แล้วปิดวาล์วน้ำหลักหรือยังครับเนี่ย” น้ำเสียงและสีหน้าของคนถามนั้น แสดงออกว่าห่วงอยู่ไม่น้อย“ปิดแล้วค่ะ แต่กว่าจะนึกขึ้นได้ ก็ปล้ำกับท่อที่มันแตกจนเปียกอย่างที่เห็นอยู่ตั้งนาน...แฮ่” เพลงพิณส่งยิ้มแห้งๆ ให้เฟร์เร รู้สึกเขินกับคว
ลัคกี้ร้องรับคำพูดของเฟร์เรราวกับมันฟังภาษามนุษย์รู้เรื่อง ส่วนเพลงพิณได้แต่ยืนงงๆ กับการเออออของทั้งคน ทั้งแมว“คุณรีบขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ เดี๋ยวไม่สบายขึ้นมาจะแย่เอา”“อื้อ” เพลงพิณพยักหน้าเห็นด้วย แต่ก่อนจะไปอาบน้ำแต่งตัวก็เดินไปส่งเพื่อนบ้านหนุ่มเสียก่อน จากนั้นก็อุ้มลัคกี้ไปวางในคอก หาอะไรให้มันกิน แล้วจึงขึ้นไปอาบน้ำ แต่งตัว ก่อนจะออกไปทำงานแต่งานทอดสะพานเพื่อจีบหนุ่มมาดเซอร์ของเพลงพิณก็ใช่ว่าจะจบเพียงแค่นี้ เรื่องท่อน้ำแตกมันเป็นเหตุสุดวิสัย อยู่เหนือการควบคุมของเธอ แต่เรื่องต่อจากนี้ต่างหากที่มันมาจากสมองล้วนๆ เรื่องอะไร เธอจะปล่อยให้ผู้หญิงอื่นคว้าเฟร์เรไปครอง นั่นเพราะเขาเสียจูบให้เธอแล้ว ต้องรับผิดชอบเธอไปตลอดชีวิต...หืมพอมีเวลาว่าง ซึ่งดูเหมือนจะน้อยนิด เพลงพิณก็พยายามหาเหตุให้ได้พบหน้าหนุ่มข้างบ้านนามว่าเฟร์เรเสมอๆ เรียกได้ว่างานทอดสะพานไม่ได้ขาด อย่างเช่นที่กำลังทำอยู่ตอนนี้“มันใช้ยังไงหว่า ไอ้เครื่องตัดหญ้าเนี่ย” เสียงบ่นที่ดังเ
“เซอร์ไพรส์” ทุกคนในห้องต่างตะโกนคำว่าเซอร์ไพรส์อย่างพร้อมเพรียง นอกจากพ่องานอย่างเฟร์เร ลลินดา ภาคิน บุหลันแล้ว ยังมีโปรดที่ยืนฉีกยิ้มหวานอีกคน ซึ่งโปรดไม่ได้มาคนเดียว ยังพาโชคดีมาด้วยแต่ยังไม่ทันที่เพลงพิณจะได้พูดอะไร เธอก็ต้องตกใจยกกำลังสอง เมื่อเห็นรูปของตัวเองตั้งแต่เด็กๆ จนถึงปัจจุบันปรากฏอยู่บนโทรทัศน์ขนาดสี่สิบสองนิ้วที่ติดไว้กับกำแพงห้องโดยเฉพาะรูปปัจจุบันที่อิริยาบถต่างๆ นั้นแทบไม่ซ้ำกัน มีรูปตอนเธอไปซื้อต้นไม้กับเฟร์เร ที่หน้าเยินๆ ตอนไปกินข้าว ดูหนัง อันนี้สวยหน่อย รูปทีเผลอ ตอนเธอนอนน้ำลายยืด หรือแม้แต่ตอนไม่ได้แต่งหน้า และสิ่งที่สะดุดสายตาของเพลงพิณนั่นคือป้ายข้อความที่มักจะถูกใส่ไว้หรือแทรกอยู่มุมใดมุมหนึ่งบนรูปอ่านปะติดปะต่อได้เป็นคำว่า ‘Will you marry me’ นั่นยิ่งทำให้อกซ้ายของเพลงพิณเต้นรัว หายใจก็ชักจะไม่ค่อยทั่วท้องและทันทีที่ฉายมาถึงรูปสุดท้าย คำว่า Will you marry me ก็ชัดขึ้นด้วยป้ายตัวอักษรที่ถูกปล่อยลงมาตรงหน้าเพลงพิณได้อย่างพอดิบพอดี“โรแมนติกสุดๆ” บุหลันเพ้อออกมา เพราะจะมีอะไรโรแมนติกไปมากกว่านี้ไม่
หลังจบงานแต่งงานของลลินดาและภาคิน บรรดาเพื่อนสนิทก็ยังคงอยู่กันครบ ไม่มีใครหนีหายกลับกรุงเทพฯ ก่อน เพราะยังไม่จบภารกิจเสียทีเดียวทุกคนดูมีลับลมคมในแปลกๆ แปลกจนเพลงพิณอดที่จะสงสัยไม่ได้ พอถามใครก็บอกว่าไม่มีอะไรอย่างพร้อมเพรียง“เจ้…เย็นนี้เค้าอยากกินปูไข่ เราออกไปซื้อที่ท่าเรือกันนะ”“ไปสิ” เพลงพิณเอ่ยรับปากส้มไปโดยไม่ได้เอะใจอะไรสักนิด ว่าเธอกำลังถูกหลอกให้ออกไปจากโรงแรมก่อนชั่วคราวเมื่อบุหลันพาเพลงพิณไปแล้ว ที่เหลือเริ่มจัดสถานที่ ซึ่งก็คือห้องจัดเลี้ยงเล็กริมสระว่ายน้ำของทางโรงแรมนั่นเอง โดยมีเจ้าสาวหมาดๆ อย่างลลินดาคอยช่วยจัดส่วนหนุ่มๆ อย่างภาคินและเฟร์เรก็ถนัดใช้งานออกแรง ปีนป่ายติดรูปของเพลงพิณจนทั่วห้อง จากนั้นขบวนลูกโป่งก็ถูกนำเข้ามา“เป็นอะไรส้ม ท่าทางลุกลี้ลุกลนแปลกๆ” เพราะเห็นว่าบุหลันเอาแต่มองโทรศัพท์ เพลงพิณจึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น ส่วนคนถูกถามก็แอบสะดุ้งมีพิรุธเบาๆ“เป็นอะไร ถามแค่นี้ต้องสะดุ้งด้วย”“เปล่าเจ้พิณ ไม่มีอะไร พอดีเค้าแค่นั่งคิดอะไร
“อะไรคะ”“ผมต้องกลับเยอรมัน” ประโยคที่ได้ยินทำเอาเพลงพิณถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ ทำไมมันถึงได้ปุบปับแบบนี้ เธอยังไม่อยากห่างกับเฟร์เร“กลับเยอรมัน เมื่อไหร่คะ”“อีกสองอาทิตย์ครับ ผมทิ้งภาระให้ลูกน้องรับผิดชอบงานของผมมานานมากพอแล้ว ผมต้องกลับไปคุมต่อ” เหตุผลของเฟร์เร ทำให้เพลงพิณไม่อาจแย้งเขาได้ และเธอก็โตพอที่จะเข้าใจคนรัก แม้จะหวิวๆ ในใจที่ต้องอยู่ห่างเขาก็เถอะ“ฉันเข้าใจ”“ผมอยากให้คุณไปด้วย”“สองอาทิตย์ฉันคงลางานไม่ได้แน่ เอางี้…คุณกลับไปก่อน ขอฉันเคลียร์งานแล้วจะบินตามไปนะ” ประโยคที่ได้ยิน ทำให้ใจของเฟร์เรชื้นขึ้นมาได้มาก เพลงพิณเข้าใจเขา“คุณโกรธผมหรือเปล่าที่อยู่ที่เมืองไทยต่อกับคุณไม่ได้”“ไม่โกรธค่ะ แต่ก็รู้สึกหวิวๆ ในอกอยู่เหมือนกัน เสียดายที่เราเจอกันช้าไป เพราะถ้าเจอกันเร็วกว่านี้ ฉันก็คงได้อยู่กับคุณนานกว่านี้”“โธ่…ที่รัก” เฟร์เรคว้าเธอมากอด ฝ่ามืออุ่นๆ ลูบศีรษะของเธอไปมาอย่างปลอบโยน ยิ่
“ผมมาที่นี่ก็เพราะมาตามหาคุณ” ยิ่งฟัง เพลงพิณก็ยิ่งงง“ตามหาฉันเหรอ ตามหาทำไม” นั่นน่ะสิ เขามาตามหาเธอทำไม ก็อยู่ใกล้กันแค่นี้ หรือโปรดทำอะไรมิดีมิร้ายแฟนเธอ“เพราะผมรักคุณ ผมรักผู้หญิงคนที่คุณเห็นจากกล้องถ่ายรูปเมื่อครู่นี้ ผมรักเธอ จนยอมทิ้งทุกอย่างแล้วมาตามหาเธอ” เฟร์เรเอ่ยคำว่ารักให้เพลงพิณฟังครั้งแล้วครั้งเล่า ส่วนโปรดนั้นเมื่อรู้และเห็นอะไรมากพอ จึงหมุนตัวกลับออกไป เพราะดูท่าเพลงพิณกับเฟร์เรจะมีเรื่องให้คุยกันอีกนานและก็จริงอย่างที่โปรดคิด เพราะตอนนี้เฟร์เรตั้งคำถามกับ เพลงพิณถึงเรื่องเมื่อครั้งที่เธอไปเที่ยวเบอร์ลิน และเพลงพิณก็ถาม เฟร์เรย้ำอีกครั้ง ว่าเขาตกหลุมรักเธอตั้งแต่ตอนนั้นเลยนะหรือ พอได้คำตอบก็ยิ้มแก้มแตก ก่อนจะกระโดดกอดชายหนุ่มแน่น“คุณมาตามหาฉันเหรอ” พอคลายอ้อมกอดออกก็เอ่ยถาม“ครับ ข้ามฟ้า ข้ามทะเลมาตามหาความรักถึงที่นี่” คำพูดหวานๆ ที่ได้ยินทำเอาเพลงพิณแทบจะลอยได้ รู้สึกว่าความรักครั้งนี้ของเธอมันอยู่เหนือคำว่าพรห
ความรักของเพลงพิณและเฟร์เรก่อตัวขึ้นอย่างสวยงาม แม้เธอจะเอ่ยบอกขอชายหนุ่มแต่งงานไปตอนเมามาย แต่เฟร์เรกลับคิดจริงจัง และเตรียมเซอร์ไพรส์เพลงพิณไว้แล้ว เพียงแค่รอเวลาเหมาะๆ เท่านั้น และช่วงนี้เขาก็นิ่ง ไม่เอ่ยอะไรเกี่ยวกับคืนนั้นอีกทุกครั้งที่มีเวลาว่าง ทั้งคู่มักจะใช้เวลาอยู่ด้วยกันเสมอ อย่างเมื่อครู่เธอก็อยู่กับเฟร์เร แต่เขาขอตัวไปเอาของที่บ้าน ส่วนเพลงพิณก็นั่งเล่นใต้ซุ้มชิงช้าไม้รอ อยู่ๆ เสียงออดหน้าบ้านก็ดังขึ้น พอหันไปมอง จึงเห็นว่าเป็นโปรด ที่ยืนยิ้มหล่อละลายใจเกย์อยู่“เข้ามาสิแก ประตูไม่ได้ล็อค”“ฉันไม่ได้มาหาแกย่ะ” โปรดตอบกลับมาได้อย่างน่าหมั่นไส้เป็นที่สุด จริตจะก้านนี่มาเต็ม“เอ้า! แล้วมาหาใครยะ อย่าบอกนะว่าแกมาหาแฟนฉัน”“ใช่…แต่แหม ไม่เจอกันแค่แป๊บเดียว นี่หล่อนแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของได้แรงเหมือนกันนะยะ” คำพูดของโปรด เพลงพิณทำเพียงแค่ไหวไหล่รับเบาๆ เท่านั้น“ก็แน่ล่ะ ว่าแต่แกจะไปหาเบคเขาทำไม”
“อะไรนะครับ” ชายหนุ่มเอ่ยถามย้ำอีกครั้ง กลัวว่าเขาหูฝาดที่ได้ยินว่าเพลงพิณชวนเขาแต่งงาน“เราแต่งงานกันตอนนี้เลยได้มั้ย ฉันแก่แล้ว มดลูกก็ใกล้จะเสื่อมเต็มที ถ้าขืนชักช้าไปกว่านี้ ฉันกลัวมีลูกยาก” เหตุผลของเพลงพิณดูเหมือนจะฟังขึ้น“นี่คุณพูดจริงหรือแค่พูดขำๆ ตอนเมากันที่รัก”“ฉันพูดจริงๆ ให้เวลาคุณคิดก่อนก็ได้อ่ะ ไว้…พรุ่งนี้ ฉันจะมาฟัง คำ…ตอบ” พูดจบเพลงพิณก็น็อคกลางอากาศ ร่างบางโอนเอน จนเฟร์เรต้องรีบเข้าไปพยุง“คุณพิณ พิณครับ” คนตัวโตเขย่าร่างกึ่งเปลือยในอ้อมกอด แต่เพลงพิณก็ไม่มีท่าทีจะรู้สึกตัว“เมาจนหลับไปแล้วเหรอ” ชายหนุ่มส่ายหน้าให้เธอ ก่อนจะอุ้มกลับมานอนที่เตียง จากนั้นก็หาผ้าไปชุบน้ำหมาดๆ ก่อนจะมาเช็ดตัวให้เธอ เสร็จก็หาเสื้อยืดของเขาในตู้ออกมาให้เธอสวม จากนั้นก็นั่งมองคนที่กำลังหลับพริ้ม“คำว่า...เราแต่งงานกันมั้ย ผมควรจะพูดไม่ใช่เหรอครับ” เฟร์เรเอ่ยยิ้มๆ ก่อนจะลุก
“เซอร์ไพรส์มาก มากจนฉันเลยดูตลกไปเลยที่หึงจนทำตัวไม่เข้าท่าไปแบบนั้น” พูดไปแล้ว แพรวพราวก็ตกใจจนตาโต ที่เผลอหลุดปากบอกว่าหึงฟาโรห์“ดีใจจังที่รู้ว่าคุณทั้งรักทั้งหึงผมแบบนี้” คนหล่อเอ่ยเข้าข้างตัวเองได้อย่างน่าหมั่นไส้“ไม่ต้องมาพูดเลย” แพรวพราวแหวใส่คนชอบแซว ก่อนจะจงใจเปลี่ยนประเด็น ด้วยการหันไปคุยกับพี่สาวแทน ซึ่งคำถามก็ไม่ได้มีอะไรนอกไปจากพี่สาวเธอรู้จักหนุ่มข้างบ้านที่ชื่อว่าเฟร์เรได้ยังไงรู้จักกันมานานหรือยัง และคำถามเด็ดตอนนี้คบกันเป็นแฟนแล้วใช่ไหม ซึ่งเพลงพิณก็ตอบทุกคำถามอย่างไม่ปิดบัง ก่อนที่เธอจะถามแพรวพราวด้วยรูปประโยคแบบเดียวกันบ้าง แต่คนตอบก็ยังคงลีลา ตอบบ้างไม่ตอบบ้าง แต่เพลงพิณก็สรุปได้ ว่าทั้งคู่กำลังคบหากันอยู่ส่วนเฟร์เรกับฟาโรห์ก็ทำหน้าที่แค่นั่งฟังสองพี่น้องคุยกันเท่านั้น ก่อนที่ทั้งคู่จะนั่งมองหน้ากันและกัน ยิ้มแล้วหัวเราะออกมา เพราะความที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกันมาก ภาพที่เห็นจึงเหมือนภาพสะท้อนของกระจกบานใหญ่ ใครจะไปคิดว่าพวกเขาต่างคบ
เมื่ออยู่คนเดียว แพรวพราวได้แต่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ โลกจะกลมไปไหน สถานที่มีออกตั้งเยอะ ดันมาเจอพี่สาวที่นี่ซะได้ จะออกไปขอเปลี่ยนสถานที่กับฟาโรห์ก็กระไรอยู่ ที่สำคัญ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เธอขอไปเจอหน้าหนุ่ม ที่วันนี้มากับเพลงพิณพี่สาวหน่อยก็คงดีเหมือนกันเพลงพิณเดินยิ้มหวานกลับมาที่โต๊ะ เฟร์เรก็ชวนเธอเลือกอาหาร ซึ่งแต่ละเมนูนั้นหน้าตาน่ากินไปหมด ก่อนที่เขาจะชี้มาที่เมนูประเภทสลัด เพราะทุกครั้งที่ไปกินข้าวด้วยกัน เพลงพิณมักจะสั่ง“คุณอยากกินอะไร นี่มั้ย” ชายหนุ่มชี้มายังสลัดแซลมอนรมควันอโวคาโด“ก็ดีค่ะ” เพลงพิณพยักหน้าให้ รู้สึกอิ่มตั้งแต่ยังไม่ได้กินอะไรด้วยซ้ำ รู้ว่ามีแฟนแล้วดีแบบนี้ เธอมีไปนานแล้ว...อ๊ากก“แล้วคุณล่ะ อยากกินอะไร”“อืม…น่ากินทั้งนั้นเลย แต่ถ้าให้เลือก ขอกินคุณดีกว่า”“บ้า…นี่ก็ยังจะทะลึ่งอีก” เพราะเขิน เพลงพิณจึงเอื้อมมือไปตีต้นแขนของเฟร์เรหนักๆ คนบ้าอะไร มาพูดทะลึ่งเอาตอนนี้ เดี๋ยวเถอะ เดี๋ยวเธอก็ชวนกลับบ้านเสียเลยแต่แล้วอยู่ๆ ขณะที่เพลงพิณกำลังเขินหนั
“ไม่ดี”“ทำไมล่ะครับ คุณไม่ชอบเหรอ” คนหล่อเลิกคิ้วสูงถาม“ไม่ชอบ เพราะฉันชอบที่คุณเป็นตัวของคุณเองมากกว่า ฉันชอบเวลาคุณมัดจุก เท่ดีออก อ้อ…แต่ถ้าจะจูบฉัน ต้องโกนหนวดก่อน ตกลงมั้ยคะ” เพลงพิณตั้งข้อแม้“งั้นคุณก็ต้องโกนหนวดให้ผมทุกวัน”“เอ้า! ใครจะไปอยู่กับคุณได้ทุกวันกัน...เชอะ” เอ่ยจบก็เดินเลี่ยงไปยังรถ ขืนยืนอยู่ต่อ เธอได้อายม้วนไม่เป็นท่าต่อหน้าเฟร์เรแน่ๆเฟร์เรรีบก้าวตามหลังเพลงพิณมาติดๆ ก่อนจะเข้ามาขวาง เมื่อเห็นว่าเธอจะเปิดประตูรถ“ผมนึกขึ้นได้พอดี ว่าเมื่อเช้าพึ่งโกนหนวดไป งั้นตอนนี้ เราก็จูบกันได้แล้วสิ” คำพูดห่ามๆ ของเฟร์เรทำเอาคนฟังแยกเขี้ยวขาวๆ ให้“ทะลึ่ง! มาจูบอะไรตรงนี้ อายคนอื่นเขา”“งั้นก็รีบกลับบ้าน ผมอยากจูบคุณจะแย่แล้ว” แทนที่จะหยุดพูด เฟร์เรกลับยิ่งพูดให้เพลงพิณอาย เกิดมาก็เพิ่งจะเขินหนักจนไปไม่เป็นกับเขาก็งานนี้“บ้า!” เพลงพิณยกกำปั้นขึ้นมาทุบต้นแขนคนตรงหน้าไปแรงๆ“