|PART 2|
ดวงตาสีแดงในบึงน้ำ 'เฉินเซิน' เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงนับพันกิโลเมตร พื้นที่โดยรอบเป็นภูเขาและมีป่าสนหนาทึบโอบล้อมไว้ ถึงอย่างนั้นกลับมีความเจริญทางด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยีทัดเทียมกับเมืองใหญ่ ดึงดูดบรรดาเหล่านักลงทุนผู้แสวงหาผลประโยชน์ให้มาเยือนยังที่แห่งนี้ นอกจากเศรษฐกิจที่เฟื่องฟูแล้วด้านการศึกษาก็ยังขึ้นชื่อ โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยเฉินไห่ที่มีชื่อเสียงที่สุดของเมืองเฉินเซิน มหาวิทยาลัยเฉินไห่เป็นศูนย์รวมอัจฉริยะแขนงต่าง ๆ ของประเทศไว้มากมาย โดยพวกเขาเหล่านั้นล้วนมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือได้รับคัดเลือกให้เข้าทำงานกับศูนย์วิจัยด้านชีววิทยาของเมืองเฉินเซินหลังเรียนจบ นอกจากจะได้รับทุนในการทำวิจัยแล้ว ค่าตอบแทนบุคลากรของที่นี่นั้นยังสูงลิ่วเลยทีเดียว ลำพังสถานที่ตั้งของมหาวิทยาลัยเฉินไห่นั้นก็กินพื้นที่กว่าห้าร้อยไร่ บริเวณด้านหลังเป็นป่าสนหนาทึบและมีบึงน้ำขนาดใหญ่ไหลผ่าน ซึ่งบึงน้ำแห่งนี้ยังเชื่อมต่อกับแม่น้ำสายหลักของเมืองเฉินเซินอีกด้วย และบริเวณบึงน้ำนั้นอยู่ห่างไกลจากตึกหลักด้านหน้าอย่างมาก ระยะทางก็ไม่ใช่ใกล้ ๆ โดยรอบยังเป็นป่าทึบซึ่งไม่ปลอดภัยสำหรับนักศึกษา ทางมหาวิทยาลัยจึงได้ประกาศให้เป็นเขตหวงห้ามมิให้นักศึกษาและบุคคลภายนอกเข้ามาโดยเด็ดขาดและทำการติดตั้งกล้องวงจรปิดไว้โดยรอบ ถึงอย่างนั้นก็ยังมีคนลักลอบเข้ามาอยู่บ่อยครั้งเพื่อเสพยาเสพติดหรือไม่ก็ดื่มเหล้า หลายครั้งที่พวกเขาถูกจับได้และนำตัวส่งให้กับตำรวจแต่ก็ไม่เข็ดหลาบ คืนหนึ่งท่ามกลางอากาศที่ร้อนจัดได้มีดวงตาสีแดงก่ำเป็นประกายวาววับโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำที่สงบนิ่ง โดยที่ร่างกายอันใหญ่โตของมันได้ซุกซ่อนอยู่เบื้องล่าง แววตาอำมหิตสอดส่องไปโดยรอบด้วยความระมัดระวัง คล้ายกำลังมองหาบางสิ่ง จนเวลาล่วงไปหลังเที่ยงคืนจึงได้เกิดเสียงดังขึ้น เมื่อมีชายวัยรุ่นจำนวนสี่คนลอบปีนรั้วเข้ามา ในมือของพวกเขาได้ถือเครื่องดื่มมึนเมาติดมาด้วย "ที่นี่มืดชะมัดยาด ฉันว่าพวกเราย้ายที่กันเถอะ" ชายวัยรุ่นคนหนึ่งพูดขึ้น "นายอย่าตาขาวให้มันมากนักเลย จะกลัวอะไรนักหนา ไฟส่องทางก็มี" บรรยากาศที่น่ากลัวทำให้วัยรุ่นหนึ่งในสี่คนใจฝ่อชวนเพื่อนให้ย้ายที่สังสรรค์ กลับโดนดูถูกว่าเป็นคนขี้ขลาด ด้วยกลัวเสียหน้าเขาจำต้องยอมตามไป เมื่อเลือกมุมถูกใจได้แล้วต่างก็ล้อมวงเพื่อดื่มของมึนเมาที่เตรียมมาทันที เบียร์กระป๋องแรกหมดลงไปแล้ว กระป๋องที่สองจึงถูกเปิดต่อทันที พวกเขาทั้งดื่มและสูดควันจากบุหรี่ที่คีบไว้ในมือเข้าปอดก่อนพ่นควันสีขาวออกมาลอยฟุ้ง เวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงรอบวงก็มีทั้งกระป๋องเบียร์และเถ้าบุหรี่ตกอยู่ไม่น้อย ยิ่งจำนวนกระป๋องเบียร์เพิ่มขึ้นเท่าใดความสามารถในการประคองสติของพวกเขาก็ลดลงเท่านั้น แม้แต่มือที่ใช้ถือกระป๋องยังอ่อนแรงตามไปด้วย เมื่อชายวัยรุ่นคนหนึ่งได้ทำกระป๋องเบียร์หลุดออกจากมือและมันได้กลิ้งไปทางบึงน้ำ ด้วยความเสียดายเขาจึงลุกตามไปเก็บท่ามกลางสายตาของเพื่อน ๆ "ฉันขอไปปลดทุกข์แป๊บนะ" ชายวัยรุ่นรูปร่างผอมเกร็งคล้ายคนติดยาพูดขึ้น เขาลุกเดินโซเซออกจากวงและตรงไปยังหลังต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลเพื่อรีบจัดการธุระให้เสร็จจะได้กลับไปดื่มต่อ ขณะกำลังทำธุระเพลิน ๆ ก็ได้ยินเสียงโวยวายดังขึ้นจึงชะเง้อหน้าออกไปดู สิ่งที่เห็นทำเขาตกใจจนแทบฉี่ไม่ออก "อ๊ากกกก!!!" "จวิ้นหยาง! พวกฉันจะไปช่วยนายเดี๋ยวนี้ ทำใจดี ๆ ไว้นะ!!" ชายวัยรุ่นสองคนที่อยู่ในเหตุการณ์ได้พากันวิ่งลงไปทางบึงน้ำเมื่อเพื่อนของเขากำลังถูกสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่โตทำร้าย และสิ่งนั้นยังแข็งแกร่งเกินกว่าที่แรงของมนุษย์จะทำอันตรายมันได้ "อ๊ากกก!!" เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นอีกครั้งเมื่อชายวัยรุ่นทั้งสองถูกสิ่งที่แข็งกระด้างราวหินผาฟาดใส่กลางลำตัวอย่างแรง เพียงครั้งเดียวพวกเขาถึงกับกระดูกแหลกเหลวไปทั้งร่างและขาดใจตายในทันที จากนั้นได้ถูกคมเขี้ยวแหลมคมขย้ำจนร่างกายฉีกขาดและถูกกลืนกินลงไป ชายวัยรุ่นที่แอบมองจากหลังต้นไม้ใหญ่สั่นเทาไปทั้งร่าง ดวงตาเบิกกว้างจนแทบถลนออกมานอกเบ้า มองร่างของเพื่อนทั้งสามคนขณะถูกเงาดำของสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่โตนั้นกลืนกิน เขาพยายามเพ่งมองว่ามันคือตัวอะไรแต่ก็เห็นไม่ถนัด เพราะบริเวณนั้นถึงจะมีแสงไฟแต่ก็ยังมืดอยู่ดี ชายวัยรุ่นยังคงแอบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่และทำตัวให้เงียบที่สุดเพื่อรอคอยให้สิ่งนั้นค่อย ๆ เคลื่อนร่างกายอันใหญ่โตของมันกลับลงสู่บึงน้ำ จังหวะนั้นเองที่เผลอขยับตัวทำให้เหยียบเข้ากับกิ่งไม้ที่เท้าหักจนเกิดเสียงดังขึ้น เจ้าเงาดำนั้นจึงหยุดชะงักและหันมาทางเขาทันที "ซะ..ซวยแล้ว.." ชายวัยรุ่นน้ำตาไหลอาบแก้ม พลางใช้มืออุดปากให้แน่นที่สุดเพื่อไม่ให้เสียงหลุดรอดออกมา นาทีนั้นคิดว่าตัวเองคงไม่รอดแล้วแน่ ๆ จนเมื่อเวลาผ่านไปพักใหญ่ บริเวณรอบตัวได้กลับสู่ความเงียบอีกครั้งจึงค่อย ๆ ชะโงกหน้าออกมาดู คิดว่าเจ้าสิ่งนั้นมันคงกลับลงบึงน้ำไปแล้ว ที่ไหนได้กลับประสานสายตาเข้ากับดวงตาสีแดงคู่นั้นอย่างจัง เพียงเท่านั้นก็สิ้นสติลงทันที คฤหาสน์สกุลหลิว สกุลหลิวนับเป็นหนึ่งในห้าสกุลเก่าแก่ที่ทรงอิทธิพลที่สุดของเมืองเฉินเซิง ผู้คนล้วนยำเกรงและให้ความนับถือมาหลายชั่วอายุคน ไม่เพียงแค่ในเมืองเฉินเซินนี้เท่านั้น ชื่อเสียงและความยิ่งใหญ่ของพวกเขายังทรงอิทธิพลระดับประเทศเลยทีเดียว ยามเช้าที่เงียบสงบของคฤหาสน์สกุลหลิวเริ่มต้นขึ้นเหมือนทุกวัน บนโต๊ะอาหารที่ทอดยาวมี 'หลิวอิง' ทายาทของสกุลหลิวนั่งอยู่กับ 'หวงหนิงหลง' ที่เป็นทั้งบอดี้การ์ดและเลขาคนสนิท ทั้งคู่เรียกได้ว่าตัวแทบจะติดกันตลอดเวลา ยกเว้นตอนที่แยกไปทำภารกิจเท่านั้น "อ้าว..เสียวอวี่ แล้วเสี่ยวเยว่ล่ะ ไม่ได้ลงมาด้วยกันเหรอ" หลิวอิงถามขึ้นเมื่อเห็นลูกหมาป่าเดินเข้ามาภายในห้องอาหารเพียงลำพัง และเรียกให้มาทานอาหารเช้าด้วยกัน เซียวอวี่ หรือ อวี่หลาง บุตรชายของราชาหมาป่ากลายพันธุ์กับมนุษย์ผู้ชายจางหลิวซิง เพราะต้องอาศัยอยู่ในเมืองพวกเขาจึงเปลี่ยนมาใช้ชื่อสกุลเซียวซึ่งมาจากชื่อของเซียวหลางและย้ายมายังคฤหาสน์สกุลหลิว เนื่องจากจางเหวินถิงมารดาของจางหลิวซิงนั้นได้แต่งงานใหม่กับเจ้าบ้านสกุลหลิวคนปัจจุบันนั่นเอง คนในบ้านสกุลหลิวไม่มีใครรู้ว่าคนสกุลเซียวนั้นเกิดจากการกลายพันธุ์ ยกเว้นหลิวอิงและหวงหนิงหลง ซึ่งพวกเขารู้เพียงว่าสาเหตุที่ทำให้จางหลิวซิงสามารถตั้งครรภ์ได้นั้นเป็นเพราะถูกศูนย์วิจัยจับตัวและนำไปทดลองจึงทำให้เป็นเช่นนั้น ทั้งเซียวอวี่และเซียวเยว่ ในตอนนี้มีอายุเทียบเท่ากับมนุษย์วัยสิบเก้าปีเศษ พวกเขามีส่วนสูงถึงหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตร มีเส้นผมสีดำสนิทตัดกับผิวขาวราวหิมะซึ่งได้รับถ่ายทอดมาจากราชาหมาป่า เมื่ออยู่ในร่างมนุษย์ดวงตาทั้งคู่จะเป็นประกายสีทอง งดงามราวเทพเซียนจากสรวงสวรรค์ แต่ถ้ากลายร่างเป็นหมาป่าและมีอารมณ์โกรธเกรี้ยว ดวงตาจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเพลิงทันที ทั้งคู่จบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยโดยอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิที่สกุลหลิวเชิญมาสอนเป็นการส่วนตัวตั้งแต่อายุสิบปี แต่จางหลิวซิงต้องการให้พวกเขาเรียนรู้สังคมและเติบโตขึ้นเฉกเช่นมนุษย์ทั่วไป จึงได้ให้เข้าเรียนหนังสือตามระดับชั้นอีกครั้ง ซึ่งปัจจุบันก็คือระดับมหาวิทยาลัยชั้นปีที่หนึ่งนั่นเอง เซียวอวี่หมาป่าคนพี่มีนิสัยเงียบขรึมและพูดน้อย วัยเด็กค่อนข้างติดจางหลิวซิงอย่างมาก จนเมื่อได้รู้จักกับหลานจิงลูกกระต่ายกลายพันธุ์ก็เริ่มเปิดใจมากขึ้น และได้กลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้งหลังสูญเสียหลานจิงไปเมื่อตอนหนีเอาชีวิตรอดจากเกาะกลางมหาสมุทร เหตุการณ์ครั้งนั้นสร้างความเสียใจให้กับเซียวอวี่อย่างมาก ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังมีความหวังว่าหลานจิงจะยังมีชีวิตอยู่และเฝ้าตามหามาตลอดห้าปี "เยว่หลางไปที่เหว่ยหลางแต่เช้าแล้วครับ" เขาบอกกับหลิวอิง เหว่ยหลางคือชื่อคฤหาสน์ของสกุลเซียว คฤหาสน์แห่งนี้ตั้งอยู่นอกเมืองเฉินเซิน โดยรอบเป็นป่าปกคลุมไร้ซึ่งบ้านเรือนของมนุษย์ ไม่มีใครรู้ว่าสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในคฤหาสน์ที่แสนใหญ่โตแห่งนี้ไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นสัตว์กลายพันธุ์ที่อพยพมาจากเกาะกลางมหาสมุทร พวกมันเพียงต้องการใช้ชีวิตร่วมกับมนุษย์อย่างสงบสุขเท่านั้น หลิวอิงรู้ว่าการไปเหว่ยหลางนั้นคือกิจวัตรของเซียวเยว่ จึงไม่ถามอะไรต่อ พวกเขาต่างรับประทานอาหารเช้าตรงหน้าก่อนออกไปทำหน้าที่ของตน โดยตัวเขาและหวงหนิงหลงต้องไปจัดการงานของสกุลหลิว ส่วนเซียวอวี่นั้นได้เดินทางไปยังมหาวิทยาลัยเฉินไห่ คฤหาสน์เหว่ยหลาง "ไป๋เหยียนฉันมาแล้ว" "จะเข้าห้องทำไมไม่เคาะประตูก่อน ไร้มารยาท!!" มือขาวซีดดึงเสื้อคลุมเพื่อมาปกปิดหน้าอกไว้เมื่อเจ้าลูกหมาป่าตัวโตผลักประตูและเดินเข้ามาภายในห้องขณะที่กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ ดวงตาสีมรกตตวัดมองอย่างตำหนิ เซียวเยว่ หรือ เยว่หลาง ลูกหมาป่าที่ถือกำเนิดขึ้นจากการกลายพันธุ์ของราชาหมาป่ากับจางหลิวซิงที่เป็นมนุษย์ผู้ชาย เขาเติบโตบนเกาะกลางมหาสมุทรกว้างใหญ่และได้เดินทางออกจากที่แห่งนั้นมาพร้อมกับจางหลิวซิงเพื่อหนีจากวิกฤตที่เลวร้าย ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เขาต้องสูญเสียคนสำคัญไปมากมาย ทั้งเซียวหลางผู้เป็นพ่อ หลานจิง รวมถึงเหอไป๋เหยียนผู้เป็นที่รัก จางหลิวซิงได้พาเขาและเซียวอวี่ไปอาศัยอยู่กับจางเหวินถิงผู้เป็นแม่ ซึ่งเธอมีฐานะเป็นภรรยาของเจ้าบ้านสกุลหลิวคนปัจจุบัน แต่อยู่ในเมืองใช่ว่าจะใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข พวกเขาต้องคอยหลบเลี่ยงการเผชิญหน้ากับคนของศูนย์วิจัยที่ตามล่าตัวเพื่อนำกลับไปทำการทดลองอยู่ตลอดเวลา มีอยู่ครั้งหนึ่งจางหลิวซิงพลาดท่าและถูกจับตัวไปยังศูนย์วิจัย เซียวหลางได้ให้เซียวอวี่เดินทางไปช่วย ในช่วงเวลาที่แสนจะอันตรายนั้นเซียวอวี่ได้พบกับคนที่มีลักษณะคล้ายหลานจิงที่ให้ความช่วยเหลือจนเขาและจางหลิวซิงหนีออกมาได้อย่างปลอดภัย จวบจนเมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างเข้าสู่ความสงบ เซียวเยว่ได้เดินทางไปยังคฤหาสน์เหว่ยหลางและที่นั่นเขาก็ได้พบกับเหอไป๋เหยียนอีกครั้ง เซียวเยว่ดีใจได้ไม่เท่าไรก็ต้องพบกับความผิดหวังในทันทีเมื่อเหอไป๋เหยียนจำเขาไม่ได้แม้สักนิด ซ้ำยังมีหม่าอี้ที่อ้างตัวเป็นคู่หมั้นคอยอยู่ข้างกายอีก ต่อมาเซียวหลางได้ย้ายจากคฤหาสน์เหว่ยหลางมายังสกุลหลิวตามความต้องการของจางหลิวซิง โดยให้หม่าอี้รับผิดชอบดูแลที่นั่นแทน และไม่อนุญาตให้เซียวเยว่อาศัยอยู่ที่เหว่ยหลางตามที่ร้องขอ แต่อนุญาตให้เข้าออกได้ตลอดเวลา สำหรับเซียวเยว่ ถ้าเพื่อเหอไป๋เหยียนแล้วแม้จะมีเวลาเพียงนิดก็จะมาหมกตัวอยู่ที่เหว่ยหลางเพื่อหาทางคืนความทรงจำให้แก่เหอไป๋เหยียน แม้จะถูกอีกฝ่ายไล่ตะเพิดบ่อยครั้งก็ไม่ละความพยายาม ตื๊อจะมาให้เห็นหน้าให้ได้ทุกวัน "นายกำลังเปลี่ยนเสื้ออยู่เหรอ มาสิเดี๋ยวฉันช่วยเอง" "มะ..ไม่ต้องเลยนะ.." เซียวเยว่ตรงเข้าไปช่วยกลัดกระดุมเสื้อคอจีนสีขาวสะอาดตา เนื้อผ้าเนียนนุ่มราวแพรไหม โดยมิได้สนใจว่าอีกฝ่ายจะเต็มใจหรือไม่ เหอไป๋เหยียนในยามนี้ไม่แม้แต่จะขัดขืนเจ้าลูกหมาป่าได้ ดวงตาเรียวสีมรกตทำได้เพียงจับจ้องปลายจมูกตรงหน้าจนเมื่ออีกฝ่ายกลัดกระดุมจนครบทุกเม็ด "เสร็จแล้วก็หลีกไป" มือขาวซีดผลักหน้าอกของเซียวเยว่ที่ขวางอยู่ด้านหน้าออก ร่างอรชรจึงถูกรวบเข้ามากอดไว้อย่างแนบแน่น อสรพิษเกล็ดเงินผู้สูญเสียความทรงจำและมิอาจคืนร่างเดิม พลังและตบะที่บำเพ็ญมานับร้อยปีในยามนี้มิอาจช่วยให้หลุดพ้นจากเงื้อมมือลูกหมาป่า ร่างอรชรถูกอุ้มและวางลงบนเตียงโดยซ้อนอยู่บนตักของลูกหมาป่าอีกทีหนึ่ง ทำเอาใบหน้าขาวซีดถึงกับเห่อร้อนขึ้นมา "เจ้าคนไร้ยางอายจะทำอะไรน่ะ ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ!!" "เมื่อก่อนฉันก็เคยนั่งบนตักของนายอยู่บ่อย ๆ จำไม่ได้แล้วเหรอ?" เซียวเยว่พูดด้วยน้ำเสียงเจือความน้อยใจ ดวงตาฉายแววความเสียใจจับจ้องเข้าไปในดวงตาสีมรกตของสัตว์เลือดเย็นที่ว่างเปล่า เหอไป๋เหยียนลืมลูกหมาป่าตัวนี้ไปเสียแล้ว แต่ขึ้นชื่อว่าคนรักมีหรือที่เจ้าลูกหมาป่าจะยอมให้เป็นเช่นนี้ตลอดไป "นะ..นายบอกจะเล่าเรื่องราวของป่าฝนกลางมหาสมุทรให้ฉันฟังไม่ใช่หรือไง?" อสรพิษเลือดเย็นหวั่นไหวต่อสายตาของลูกหมาป่า คิดในใจว่าเด็กคนนี้เหมาะกับรอยยิ้มมากกว่าสีหน้าเคร่งเครียดเช่นนี้ "นายอยากฟังเหรอ?" "อืม..แต่ก่อนอื่นนายควรปล่อยฉันลงได้แล้วนะ" ร่างอรชรบนตักของลูกหมาป่า ไม่สิ..ตอนนี้ต้องเรียกว่าหมาป่าหนุ่มต่างหาก เหอไป๋เหยียนรู้สึกกระดากที่ต้องมานั่งอยู่บนตักชายชาตรี แม้อีกฝ่ายจะมีอายุของหมาป่าเท่ากับเด็กคนหนึ่งก็ตาม แต่ถ้าเทียบกับอายุของมนุษย์นับว่าเข้าสู่หนุ่มวัยเจริญพันธุ์แล้ว ทั้งส่วนสูงและกล้ามเนื้อล้วนแข็งแรงจนสามารถโอบกอดร่างอรชรได้มิดชิด "เราไปคุยกันที่สวนเถอะ อยู่แต่ในห้องนายคงอึดอัดแย่" เซียวเยว่เอ่ยชวน "ได้สิ" เหอไป๋เหยียนรับคำอย่างง่ายดาย ทำเอาเซียวเยว่หัวใจพองโต เดินเคียงอสรพิษเกล็ดเงินผู้แสนงดงามมายังสวนดอกไม้ของเหว่ยหลางและพากันไปนั่งใต้ร่มไม้ใหญ่ จะห้าปีแล้วสินะที่เหอไป๋เหยียนจำเขาไม่ได้ ถึงอย่างนั้นเจ้าลูกหมาป่าก็ยังไม่ลดละความพยายาม แม้จะต้องใช้เวลาทั้งชีวิตเขาจะต้องคืนความทรงจำของเหอไป๋เหยียนให้จงได้ ทุกครั้งที่เซียวเยว่เล่าเรื่องราวของศูนย์วิจัยบนเกาะกลางมหาสมุทร เหอไป๋เหยียนจะตั้งใจฟังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะตอนที่พวกเขาถูกสัตว์กลายพันธุ์ดุร้ายตามไล่ล่าและเหอไป๋เหยียนจัดการฆ่าพวกมันอย่างง่ายดาย คนอ่อนแอที่ปกป้องตัวเองยังไม่ได้อย่างเขานี่นะเหรอสามารถช่วยเจ้าลูกหมาป่าที่แข็งแกร่งจากการถูกตามฆ่าได้ ไม่อยากจะเชื่อเลยจริง ๆ ถึงความทรงจำของเหอไป๋เหยียนจะหายไปแต่ก็เพียงช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น เพราะยังมีบุคคลหนึ่งที่เขาจำได้นั่นก็คือเซียวหลาง ราชาหมาป่าผู้มีขนสีดำต่างจากเผ่าพันธุ์ และอาศัยอยู่บนยอดเขาอันหนาวเหน็บในดินแดนที่ไร้ซึ่งมนุษย์และสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอ ขณะที่เซียวเยว่และเหอไป๋เหยียนอยู่ด้วยกัน ได้มีสายตาคู่หนึ่งคอยจับจ้องพวกเขาอยู่ตลอดเวลา นั่นก็คือหม่าอี้ อาชาหนุ่มผิวเข้มที่หลงรักอสรพิษเกล็ดเงินตั้งแต่แรกพบ โดยไม่ต้องถูกล่อลวงด้วยดวงตาสีมรกตคู่นั้น คราแรกที่เหอไป๋เหยียนมายังเหว่ยหลางเขามิได้สนใจเจ้าลูกหมาป่าสักนิด ซ้ำยังหวาดกลัวทุกครั้งเมื่ออีกฝ่ายเข้าใกล้ นี่ก็ผ่านมาห้าปีแล้ว ทุกอย่างล้วนเปลี่ยนไป มีหรือที่เขาจะไม่รู้ว่าตอนนี้เหอไป๋เหยียนหวั่นไหวกับหมาป่าหนุ่มเพียงใด ถึงขั้นปฏิเสธคำขอแต่งงานของเขามาแล้วถึงห้าครั้ง "มานั่งอยู่ตรงนี้ระวังจะไม่สบายเอา เข้าไปพักในบ้านเถอะนะ" หม่าอี้ตั้งใจพาตัวเองเข้ามาขัดจังหวะสนทนาของทั้งคู่ เขาไม่พอใจที่เหอไป๋เหยียนให้ความไว้วางใจหมาป่าหนุ่มเท่ากับตัวเอง แม้รู้อยู่แก่ใจถึงความสัมพันธ์ก่อนหน้าของทั้งสองว่าลึกซึ้งเพียงใด แต่ความรักมักทำให้คนเห็นแก่ตัวเสมอ "เพราะนายให้ไป๋เหยียนอยู่แต่ในบ้านนะสิ ร่างกายถึงได้อ่อนแอแบบนี้ เป็นคนก็ต้องออกกำลังกายถึงจะแข็งแรง เรื่องแค่นี้นายไม่รู้หรือไง" เซียวเยว่รู้ทันความคิดของหม่าอี้ว่าต้องการจะแยกเขาออกจากอสรพิษหนุ่ม แต่ไม่มีทางซะหรอก วันใดที่ความทรงจำของไป๋เหยียนกลับมาเขาตั้งใจจะฟ้องว่าอาชาหนุ่มนั้นทำอะไรเอาไว้บ้าง "ไม่เอาน่า อย่าเถียงกันเลย หม่าอี้ นายเข้าไปก่อนเถอะ ตรงนี้แดดไม่ร้อนมาก ฉันไม่เป็นอะไรหรอก" เหอไป๋เหยียนบอกกับหม่าอี้ ทั้งสองเจอหน้ากันทีไรต้องปะทะฝีปากกันทุกที ก่อนหน้าถึงขั้นลงมือจนทุกอย่างรอบตัวพังพินาศ ทำให้เซียวหลางโกรธมากจนต้องสั่งห้ามไม่ให้วิวาทกันอีกมิฉะนั้นจะส่งหม่าอี้กลับไปยังเกาะ และห้ามเซียวเยว่มาที่เหว่ยหลางอีก จึงสงบศึกของทั้งสองลงได้ เหอไป๋เหยียนนึกถึงเมื่อตอนที่เซียวเยว่และหม่าอี้ต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย ตอนนั้นเขาปวดศีรษะอย่างรุนแรงและรู้สึกเหมือนกระดูกจะแหลกเหลวไปทั้งร่าง เพราะกำลังจะกลายร่างกลับไปเป็นอสรพิษเกล็ดเงินอีกครั้ง แต่ด้วยร่างกายที่อ่อนแอทำให้ไม่สำเร็จและหมดสติไปเสียก่อน จำได้ราง ๆ ว่าเห็นเซียวหลางมายังเหว่ยหลางและเป็นผู้ห้ามศึกระหว่างเซียวเยว่กับหม่าอี้ "นายก็เหมือนกัน มีเรียนตอนสิบโมงไม่ใช่เหรอ ถ้าไม่รีบไปจะไม่ทันเอานะ" เหอไป๋เหยียนบอกกับลูกหมาป่า เขารู้ตารางเรียนของเซียวเยว่และจดจำวันและเวลาที่อีกฝ่ายมาหาได้แม่นยำ แม้ไม่อยากห่างจากอสรพิษหนุ่ม แต่เซียวเยว่ก็ไม่รั้งที่จะอยู่ต่อ เขากลับเข้าไปเอากระเป๋าสะพายก่อนเดินทางไปยังมหาวิทยาลัย คล้อยหลังเซียวเยว่ไปได้ไม่เท่าไร สัตว์กลายพันธุ์ในร่างมนุษย์ที่อาศัยอยู่ในเหว่ยหลางได้เข้ามาหาเหอไป๋เหยียนและบอกกับเขาว่ามีแขกมาพบ เหอไป๋เหยียนรู้ทันทีว่าแขกคนนั้นเป็นใคร "ฉันนึกว่านายลืมที่นี่ไปแล้วเสียอีก" เหอไป๋เหยียนเอ่ยทักร่างสูงสองเมตรกว่าที่ยืนหันหลังอยู่ภายในห้องรับแขก บนโซฟามีมนุษย์ผู้ชายนั่งดื่มชาอยู่ พอเห็นเขาก็ยิ้มดีใจตรงเข้ามาทักทายอย่างป็นมิตร แม้จะจำมนุษย์ผู้นี้ไม่ได้แต่เหอไปเหยียนก็ถูกชะตากับเขาตั้งแต่แรกพบ "ดีใจที่ได้พบคุณนะหลิวซิง" ทักทายจางหลิวซิงแล้วเหอไป๋เหยียนจึงถามถึงธุระที่ทำให้เซียวหลางอุตส่าห์มาหาตนแต่เช้าเช่นนี้ "พวกนายไม่อยากออกไปใช้ชีวิตนอกเหว่ยหลางกันบ้างหรือไง?" "ว่าไงนะ?" เหอไป๋เหยียนขมวดคิ้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่ราชาหมาป่าถาม สัตว์กลายพันธุ์เหล่านี้อาศัยอยู่ในเหว่ยหลางมาห้าปี ไม่มีตัวไหนคิดแยกไปอยู่ข้างนอกโดยไร้ผู้นำ มีบ้างที่พวกมันจะออกไปเดินปะปนกับมนุษย์โดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว ห้าปีแล้ว นับเป็นเวลาเหมาะสมที่สัตว์กลายพันธ์ุเหล่านี้จะออกสู่สังคมมนุษย์ ถึงเวลาที่พวกมันจะต้องเรียนรู้ถึงการอยู่ร่วมกันและปรับตัวให้เข้ากับสังคมมนุษย์ให้ได้ เหอไป๋เหยียนครุ่นคิดถึงสิ่งที่เซียวหลางกำลังบอกกับตน อิสรภาพที่เหล่าสัตว์กลายพันธุ์ต่างแสวงหากำลังจะเป็นจริงแล้ว "ห้าปี ครบกำหนดฉันที่รับปากสวีเพ่ยไว้แล้ว จากนี้ถ้าทุกอย่างผ่านไปด้วยดี พรรคพวกของหม่าอี้ที่อยู่ที่บนเกาะจะได้ออกจากที่นั่นสักที" เซียวหลางได้รับปากกับพญาคชสาร 'สวีเพ่ย' ผู้นำของเหล่าสัตว์กลายพันธุ์ที่เหลือรอดบนเกาะเอาไว้ว่าจะนำสัตว์กลายพันธุ์ที่มีสติปัญญาและสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์บางส่วนมาเรียนรู้การใช้ชีวิตและอยู่ร่วมกับมนุษย์ หากภายในห้าปีทุกอย่างดำเนินไปด้วยดีก็จะรับสัตว์กลายพันธุ์ที่เหลือมาอยู่ร่วมกัน "วันนี้ฉันอยากให้นายกับหม่าอี้ไปที่แห่งหนึ่งด้วยกัน" เซียวหลางบอกกับเหอไป๋เหยียน "แต่ว่าฉัน.." เหอไป๋เหยียนกังวลกับร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ของตน เซียวหลางรู้ดีจึงบอกให้เขาไม่ต้องกังวล แม้เหอไป๋เหยียนจะไม่สามารถคืนร่างเดิมได้ แต่ความสามารถของเขาทั้งก่อนและหลังถูกจับตัวมาทดลองนั้นได้ฟื้นขึ้นทีละนิดแล้ว ได้ยินเช่นนั้นก็สบายใจขึ้น เหอไป๋เหยียนจึงตกลงที่จะออกไปกับเซียวหลางโดยมีหม่าอี้ไปด้วยกัน ในเมือง นอกจากสัตว์กลายพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในเหว่ยหลางแล้วยังมีสัตว์กลายพันธุ์ที่หนีเอาตัวรอดจากเกาะมาหลบซ่อนอยู่จำนวนไม่น้อย มีทั้งพวกดุร้ายที่มารวมกลุ่มกันและพวกที่รักสันโดษแยกตัวไปลำพัง ฉะนั้นนอกจากคอยหลบเลี่ยงคนของศูนย์วิจัยแล้ว พวกเขายังต้องระวังตัวจากพวกมันอีกด้วย|PART 3|วังหมิงหยวนรถยนต์หรูขับเข้ามาจอดเทียบยังฟุตบาทข้างกำแพงของมหาวิทยาลัยเฉินไห่ ไม่มีใครรู้ว่าผู้ที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยนั้นมิใช่มนุษย์และมีร่างเดิมเป็นอาชาหนุ่มขนสีขาวที่แสนสง่างาม ที่เหว่ยหลางเขามีหน้าที่ขับรถรับส่งคนของสกุลเซียว"เย็นนี้ให้ผมมารับไหมครับ" ชายหนุ่มชุดขาวถามขึ้น"ไม่ต้อง วันนี้ฉันจะไปพบท่านพ่อที่บ้านสกุลหลิว"เซียวเยว่ลูกหมาป่าบอกกับอาชาหนุ่มในร่างมนุษย์ก่อนก้าวลงจากรถ เพียงแค่ปลายเท้าแตะถึงพื้นและยืนเต็มความสูงเท่านั้นก็ดึงดูดสายตาของนักศึกษาที่อยู่บริเวณนั้นมารวมไว้ที่ตนอย่างไม่ตั้งใจ'คนอะไร รูปหล่อราวกับไม่ใช่คนบนโลกนี้ ถ้าได้ใกล้ชิดสักครั้ง ถึงตายก็ไม่เสียดายชีวิตเลย'นั่นคือเสียงที่ลอยมาเข้าหูของเซียวเยว่ ไม่เพียงแค่นั้น ยังมีถ้อยคำกล่าวสรรเสริญถึงตัวเขาตามมาอีกมากมาย ซึ่งนั่นไม่ได้ทำให้เซียวเยว่รู้สึกว่าตนเองนั้นสูงส่งกว่ามนุษย์ผู้อื่นสักนิด สัตว์กลายพันธุ์อย่างพวกเขาต้องการเพียงการยอมรับและปฏิบัติต่อกันอย่างเท่าเทียมเท่านั้นภายในมหาวิทยาลัยเฉินไห่เวลานี้ค่อนข้างเงียบสงบเพราะนักศึกษาส่วนใหญ่อยู่ในห้องเรียนกันแล้ว เซียวเยว่มองนาฬิกาบนข้อมือเห็นว่ายังมีเ
|PART 4|กัวเจ๋อข่าวว่ามีคนเสียชีวิตและหายสาบสูญไปบริเวณบึงน้ำแม้จะปิดไม่ให้คนภายนอกได้รับรู้ แต่ทางมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้นิ่งนอนใจและพยายามหาทางจับตัวคนร้ายให้ได้ ซึ่งตอนนี้ทุกอย่างยังคงมืดแปดด้านบนโต๊ะประชุมของผู้บริหารระดับสูง เหล่าตัวแทนของห้าสกุลต่างจับจ้องไปยังภาพฉายด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด พวกเขาไม่เข้าใจว่าบึงน้ำที่เงียบสงบและไร้ความเคลื่อนไหวมานาน จู่ ๆ ทำไมถึงมีคนมาเสียชีวิตบริเวณนี้ได้ ซ้ำยังหาศพไม่พบอีกต่างหากจากปากคำของผู้รอดชีวิตได้เล่าให้ฟังว่ามีสัตว์ประหลาดตัวใหญ่อยู่ในบึงน้ำ และมันได้กัดกินร่างเพื่อนของเขาจนเลือดสาดกระเซ็นก่อนจะกลืนลงท้องไปเหล่าแพทย์ได้ฟังดังนั้นจึงได้จับเขาตรวจสมองอีกครั้งหนึ่งและสรุปผลออกมาว่าชายวัยรุ่นคนนี้เสพยาเกินขนาดและดื่มแอลอกฮอล์มากไปจนเกิดอาการประสาทหลอน จึงได้รับชายวัยรุ่นไว้รักษาตัวที่โรงพยายาลในเครือของมหาวิทยาลัยเฉินไห่หลังเหตุการณ์นั้น ทางมหาวิทยาลัยได้มีการคุมเข้มบริเวณบึงน้ำมากขึ้น ทั้งเพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้ผลัดเปลี่ยนกันเฝ้าตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงและเพิ่มประสิทธิภาพของกล้องวงจรปิด แต่ก็ยังมีคนไปเสียชีวิตบริเวณนั้นอย่
|PART 1| บทนำ ศูนย์วิจัยทางชีววิทยาขนาดใหญ่ได้ถูกลักลอบสร้างขึ้นบนเกาะแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ และถูกค้นพบโดยองค์กรลับแห่งหนึ่ง เกาะแห่งนี้มีสภาพอากาศค่อนข้างแปรปรวนทำให้ยากต่อการค้นหา พวกเขาจึงใช้สถานที่แห่งนี้ทำการทดลองถอดรหัสและปลูกถ่ายพันธุกรรมของมนุษย์ที่มีระดับมันสมองและความสามารถที่แตกต่างกันให้กับสัตว์หลากหลายสายพันธุ์จากทั่วโลกที่ลักลอบจับมาอย่างผิดกฎหมาย ไม่ใช่เพียงแค่สัตว์เท่านั้นที่ถูกจับมาทดลอง แม้แต่มนุษย์ด้วยกันเองก็ไม่ยกเว้น โดยเฉพาะมนุษย์ที่มีความสามารถพิเศษ วัตถุประสงค์ของการทดลองก็เพื่อใช้สำหรับสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ การทดลองได้ดำเนินมาหลายปี จนในวันที่สัตว์กลายพันธุ์ระดับพิเศษตัวหนึ่งที่มนุษย์ไม่สามารถควบคุมมันได้ลืมตาตื่นขึ้นและหลุดจากการคุมขัง สิ่งแรกที่มันทำคือการฆ่าล้างทุกชีวิตที่อยู่บนเกาะนั้น ไม่เว้นแม้แต่สัตว์กลายพันธุ์ด้วยกันเอง เพื่อเอาชีวิตรอดพวกเขาจึงได้พากันอพยพออกจากเกาะโดยเครื่องบินลำเลียงที่มีการเตรียมไว้ล่วงหน้าเผื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้ขึ้น อย่างไรก็ตามแม้พวกเขาจะออกจากเกาะไปแล้
|PART 4|กัวเจ๋อข่าวว่ามีคนเสียชีวิตและหายสาบสูญไปบริเวณบึงน้ำแม้จะปิดไม่ให้คนภายนอกได้รับรู้ แต่ทางมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้นิ่งนอนใจและพยายามหาทางจับตัวคนร้ายให้ได้ ซึ่งตอนนี้ทุกอย่างยังคงมืดแปดด้านบนโต๊ะประชุมของผู้บริหารระดับสูง เหล่าตัวแทนของห้าสกุลต่างจับจ้องไปยังภาพฉายด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด พวกเขาไม่เข้าใจว่าบึงน้ำที่เงียบสงบและไร้ความเคลื่อนไหวมานาน จู่ ๆ ทำไมถึงมีคนมาเสียชีวิตบริเวณนี้ได้ ซ้ำยังหาศพไม่พบอีกต่างหากจากปากคำของผู้รอดชีวิตได้เล่าให้ฟังว่ามีสัตว์ประหลาดตัวใหญ่อยู่ในบึงน้ำ และมันได้กัดกินร่างเพื่อนของเขาจนเลือดสาดกระเซ็นก่อนจะกลืนลงท้องไปเหล่าแพทย์ได้ฟังดังนั้นจึงได้จับเขาตรวจสมองอีกครั้งหนึ่งและสรุปผลออกมาว่าชายวัยรุ่นคนนี้เสพยาเกินขนาดและดื่มแอลอกฮอล์มากไปจนเกิดอาการประสาทหลอน จึงได้รับชายวัยรุ่นไว้รักษาตัวที่โรงพยายาลในเครือของมหาวิทยาลัยเฉินไห่หลังเหตุการณ์นั้น ทางมหาวิทยาลัยได้มีการคุมเข้มบริเวณบึงน้ำมากขึ้น ทั้งเพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้ผลัดเปลี่ยนกันเฝ้าตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงและเพิ่มประสิทธิภาพของกล้องวงจรปิด แต่ก็ยังมีคนไปเสียชีวิตบริเวณนั้นอย่
|PART 3|วังหมิงหยวนรถยนต์หรูขับเข้ามาจอดเทียบยังฟุตบาทข้างกำแพงของมหาวิทยาลัยเฉินไห่ ไม่มีใครรู้ว่าผู้ที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยนั้นมิใช่มนุษย์และมีร่างเดิมเป็นอาชาหนุ่มขนสีขาวที่แสนสง่างาม ที่เหว่ยหลางเขามีหน้าที่ขับรถรับส่งคนของสกุลเซียว"เย็นนี้ให้ผมมารับไหมครับ" ชายหนุ่มชุดขาวถามขึ้น"ไม่ต้อง วันนี้ฉันจะไปพบท่านพ่อที่บ้านสกุลหลิว"เซียวเยว่ลูกหมาป่าบอกกับอาชาหนุ่มในร่างมนุษย์ก่อนก้าวลงจากรถ เพียงแค่ปลายเท้าแตะถึงพื้นและยืนเต็มความสูงเท่านั้นก็ดึงดูดสายตาของนักศึกษาที่อยู่บริเวณนั้นมารวมไว้ที่ตนอย่างไม่ตั้งใจ'คนอะไร รูปหล่อราวกับไม่ใช่คนบนโลกนี้ ถ้าได้ใกล้ชิดสักครั้ง ถึงตายก็ไม่เสียดายชีวิตเลย'นั่นคือเสียงที่ลอยมาเข้าหูของเซียวเยว่ ไม่เพียงแค่นั้น ยังมีถ้อยคำกล่าวสรรเสริญถึงตัวเขาตามมาอีกมากมาย ซึ่งนั่นไม่ได้ทำให้เซียวเยว่รู้สึกว่าตนเองนั้นสูงส่งกว่ามนุษย์ผู้อื่นสักนิด สัตว์กลายพันธุ์อย่างพวกเขาต้องการเพียงการยอมรับและปฏิบัติต่อกันอย่างเท่าเทียมเท่านั้นภายในมหาวิทยาลัยเฉินไห่เวลานี้ค่อนข้างเงียบสงบเพราะนักศึกษาส่วนใหญ่อยู่ในห้องเรียนกันแล้ว เซียวเยว่มองนาฬิกาบนข้อมือเห็นว่ายังมีเ
|PART 2|ดวงตาสีแดงในบึงน้ำ'เฉินเซิน' เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงนับพันกิโลเมตร พื้นที่โดยรอบเป็นภูเขาและมีป่าสนหนาทึบโอบล้อมไว้ ถึงอย่างนั้นกลับมีความเจริญทางด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยีทัดเทียมกับเมืองใหญ่ ดึงดูดบรรดาเหล่านักลงทุนผู้แสวงหาผลประโยชน์ให้มาเยือนยังที่แห่งนี้นอกจากเศรษฐกิจที่เฟื่องฟูแล้วด้านการศึกษาก็ยังขึ้นชื่อ โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยเฉินไห่ที่มีชื่อเสียงที่สุดของเมืองเฉินเซินมหาวิทยาลัยเฉินไห่เป็นศูนย์รวมอัจฉริยะแขนงต่าง ๆ ของประเทศไว้มากมาย โดยพวกเขาเหล่านั้นล้วนมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือได้รับคัดเลือกให้เข้าทำงานกับศูนย์วิจัยด้านชีววิทยาของเมืองเฉินเซินหลังเรียนจบ นอกจากจะได้รับทุนในการทำวิจัยแล้ว ค่าตอบแทนบุคลากรของที่นี่นั้นยังสูงลิ่วเลยทีเดียวลำพังสถานที่ตั้งของมหาวิทยาลัยเฉินไห่นั้นก็กินพื้นที่กว่าห้าร้อยไร่ บริเวณด้านหลังเป็นป่าสนหนาทึบและมีบึงน้ำขนาดใหญ่ไหลผ่าน ซึ่งบึงน้ำแห่งนี้ยังเชื่อมต่อกับแม่น้ำสายหลักของเมืองเฉินเซินอีกด้วยและบริเวณบึงน้ำนั้นอยู่ห่างไกลจากตึกหลักด้านหน้าอย่างมาก ระยะทางก็ไม่ใช่ใกล้ ๆ โดยรอบยังเป็นป่าทึบซึ่งไม่ปลอดภัยสำหรับนักศึกษา
|PART 1| บทนำ ศูนย์วิจัยทางชีววิทยาขนาดใหญ่ได้ถูกลักลอบสร้างขึ้นบนเกาะแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ และถูกค้นพบโดยองค์กรลับแห่งหนึ่ง เกาะแห่งนี้มีสภาพอากาศค่อนข้างแปรปรวนทำให้ยากต่อการค้นหา พวกเขาจึงใช้สถานที่แห่งนี้ทำการทดลองถอดรหัสและปลูกถ่ายพันธุกรรมของมนุษย์ที่มีระดับมันสมองและความสามารถที่แตกต่างกันให้กับสัตว์หลากหลายสายพันธุ์จากทั่วโลกที่ลักลอบจับมาอย่างผิดกฎหมาย ไม่ใช่เพียงแค่สัตว์เท่านั้นที่ถูกจับมาทดลอง แม้แต่มนุษย์ด้วยกันเองก็ไม่ยกเว้น โดยเฉพาะมนุษย์ที่มีความสามารถพิเศษ วัตถุประสงค์ของการทดลองก็เพื่อใช้สำหรับสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ การทดลองได้ดำเนินมาหลายปี จนในวันที่สัตว์กลายพันธุ์ระดับพิเศษตัวหนึ่งที่มนุษย์ไม่สามารถควบคุมมันได้ลืมตาตื่นขึ้นและหลุดจากการคุมขัง สิ่งแรกที่มันทำคือการฆ่าล้างทุกชีวิตที่อยู่บนเกาะนั้น ไม่เว้นแม้แต่สัตว์กลายพันธุ์ด้วยกันเอง เพื่อเอาชีวิตรอดพวกเขาจึงได้พากันอพยพออกจากเกาะโดยเครื่องบินลำเลียงที่มีการเตรียมไว้ล่วงหน้าเผื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้ขึ้น อย่างไรก็ตามแม้พวกเขาจะออกจากเกาะไปแล้