ดอกไม้สีม่วงอมแดงมีเกสรสีเหลืองดูแตกต่างไปจากดอกไม้ในกระถางนับสิบที่วางเรียงรายกันอยู่บริเวณด้านนอกของระเบียงบ้าน สีที่ดูโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์และลักษณะคล้ายรูปถ้วยคว่ำที่เขามักจะคิดว่าดอกไม้แบบนี้น่าจะเป็นดอกไม้จากป่าลึก หรือไม่ก็อาจเป็นดอกไม้จากในวรรณคดีที่มีเพียงในจินตนาการ หรืออาจเป็นเพราะดอกไม้ชนิดนี้ไม่มีใบ ไม่มีกิ่งก้าน ลักษณะลำต้นตรงขึ้นมาจากพื้นดิน ก่อนจะออกดอกเบ่งบานอวดความงดงามตามธรรมชาติที่ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใครให้ชาวโลกได้ประจักษ์ว่า ความงามฉายชัดและยังเบ่งบานได้แม้จะไม่มีกิ่งใบคอยพยุงหรือโอบอุ้มเลยมีอยู่จริง
ริมฝีปากนั้นคลี่ยิ้มละไมก่อนจะก้มลงจุมพิตที่ดอกเดี่ยว ดวงตาคมเข้มทอดมองแสงไฟสลัวที่เล็ดลอดออกมาจากม่านลูกไม้สีขาวของหน้าต่างห้องนอนด้านบน สลับกับมองสิ่งที่เขาโอบอุ้มไว้อย่างแสนรัก
.
.
“ฮือ...ฮือ...”
เสียงร้องไห้ที่ดังติดต่อกันตั้งแต่ช่วงหัวค่ำยันค่อนดึกทำให้คนที่นอนกระสับกระส่ายอยู่ในมุ้งสีเทาเก่าจนเกือบจะขาดใกล้จะหมดความอดทนเข้าไปทุกที ชายผ้าห่มทั้งสองข้างถูกดึงขึ้นมาคลุมปิดใบหูด้วยหวังว่าเสียงนั้นจะเล็ดลอดเข้าไปไม่ได้ แต่ผิดคาดเพราะยิ่งพยายามจะปิดเท่าไรก็ยิ่งเหมือนเสียงนั้นจะดังอื้ออึงอยู่ภายในหัวมากขึ้น และมันทำให้เธอหมดความอดทนในที่สุด
“โว้ย! อีหล้า! หยุดร้องซะที กูจะหมดความอดทนกับมึงแล้วนะ กูจะหลับจะนอน มึงจะคร่ำครวญหาสวรรค์วิมานอะไร แม่ง! จะร้องหาโคตรพ่อโคตรแม่ของมึงรึไง อีนี่! วอนซะแล้ว มึงรีบมานอนเลยนะ ก่อนที่กูจะหมดความอดทน อีหล้า! กูบอกให้หยุดร้อง! มึงจะมานอนไหม! หรือจะให้กูเอามึงไปมัดกับเสาไฟ จะมานอนไหม! อีนี่! จะลองดีกับกูใช่ไหม!”
เด็กหญิงวัยประมาณหกขวบสะดุ้งสุดตัวเพราะคำด่าทอและเสียงแหลมใส่อารมณ์นั้น ไม่ต่างอะไรจากเสียงของพญามัจจุราชที่กำลังตวาดเหล่าดวงวิญญาณที่เธอเคยเห็นในละครทีวีที่ร้านค้าหน้าปากซอยเข้าตลาด เพราะยายมักจะใช้ให้เธอไปซื้อกะปิ น้ำปลา และเครื่องครัวจิปาถะอยู่บ่อยครั้ง และทุกครั้งเด็กหญิงก็มักจะถูกลากกลับพร้อมกับก้านมะยมที่ประเคนใส่น่องเล็กไม่ยั้ง เหตุเพราะดูทีวีเพลินจนลืมของที่ยายสั่งซื้อ
ดวงตาบอบช้ำเบิกโพลงด้วยความหวาดกลัวเต็มที่ ใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตาส่ายไปมาแรงๆ จนผมหน้าม้าสะบัดตามแรงขยับ เพราะสถานที่ที่น้าสาวกล่าวถึงนั้นไม่ต่างจากที่สิงสถิตของเหล่าผีร้ายที่คอยหลอกหลอนและข่มขวัญเด็กให้ขวัญกระเจิง เสาไฟฟ้าต้นสูงใหญ่หน้าบ้านที่ทางการเพิ่งมาติดตั้งแทนเสาไม้ที่เก่าคร่ำคร่าตามอายุของตลาดเก่าในชุมชนเป็นสิ่งที่สร้างความหวาดผวาแก่เด็กในซอยที่สุด
ในยามค่ำคืนสายลมพัดเอื่อย มีเพียงแสงสลัวจากหลอดไฟเก่าๆ ที่ไม่สามารถส่องแสงสว่างนำทางแก่ผู้สัญจรไปมาได้เท่าที่ควร ช่วงดึกที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดผ่านเข้าออกในถนนส่วนบุคคลนี้ กลับมีร่างน้อยถูกจับมัดตรึงไว้กับเสาไฟ ความทรงจำอันน่าหวาดผวาเกิดขึ้นเพียงเพราะเด็กหญิงบังอาจร้องไห้คร่ำครวญหาพ่อแม่ในยามดึก ซึ่งจะแปลกอะไรกับเด็กหญิงตัวน้อยที่ขาดทั้งพ่อและแม่ เพราะที่พักพิงอย่างดีที่สุดสำหรับเด็กน้อยตาดำๆ ก็คืออ้อมอกของแม่
“โอ๊ย! น้าลมอย่าทำหล้า หล้ากลัวแล้ว อย่าทำ...หล้าขอโทษ อย่าทำหล้าเลย ฮือ...หล้ากลัว น้าลมหล้ากลัวแล้ว น้าลม ฮือ...อย่าทำหล้า อย่า...น้าลม ฮือ...”
เด็กหญิงพยายามสะบัดตัวให้หลุดออกจากเงื้อมมือมัจจุราชที่ยื่นออกจากมุ้งเก่าสีมอมาคว้าตัวเธอไว้ เมื่อไม่สามารถทำได้ จึงเปลี่ยนเป็นพนมมืออ้อนวอนทั้งน้ำตา
“มึงอยากร้องนักใช่ไหม งั้นมึงไปร้องให้พอ ร้องอย่าหยุดนะมึง! กูจะดูสิว่าวิญญาณพ่อวิญญาณแม่มึงมันจะมาหาไหม ถ้ามันรักอีลูกไร้ค่าอย่างมึงมันก็ต้องกลับมา ไม่ใช่ไปอยู่กับฝรั่งแล้วไม่เอามึง แม่มึงทิ้งแล้วยังจะไม่เจียมตัว มานี่เลยมึง อีหล้า!”
คนพูดใช้น้ำเสียงดุเข้มเกินความเป็นจริง เพียงแค่พี่สาวหายสาบสูญผู้เป็นน้องสาวก็ไม่น่าจะโกรธแค้นและทารุณหลานสาวได้มากขนาดนี้ แต่ลมรำเพยก็ทำ ไม่มีอะไรที่เธอจะทำกับ ‘มัตติกา หรือ หล้า’ หลานสาวตัวน้อยของเธอไม่ได้ มือแข็งปานคีมเหล็กบีบกระชับที่ต้นแขนเล็กก่อนจะออกแรงกระชากโดยไม่กลัวสักนิดว่าท่อนแขนน้อยๆ นั้นจะหลุดติดมือออกมาหรือไม่
“น้าลมอย่าว่าแม่ แม่รักหล้า แม่ไม่ได้ทิ้งหล้า โอ๊ย! น้าลมหล้าเจ็บ! น้าลม ปล่อยหล้านะ ฮือ...แม่จ๋า...พ่อจ๋า... ยาย...ยายจ๋าช่วยหล้าด้วย ยาย...ฮือ...”
เสียงด่าทอด้วยแรงอารมณ์สลับกับเสียงหวีดร้องด้วยความเจ็บปวดและหวาดกลัวของเด็กหญิงทำให้ร่างท้วมที่พยายามข่มใจนอนอยู่อีกฟากหนึ่งของบ้านไม้หลังเท่ารูหนูต้องลืมตาขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ ดวงตาฝ้าฟางคล้ายจะมีน้ำเลี้ยงคลออยู่ในนั้น นางถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้นนั่ง แม้ไม่อยากยุ่งเกี่ยวแต่ก็ไม่อาจทนนิ่งเฉยได้ ไม่เช่นนั้นวันพรุ่งนี้คงต้องคอยตอบคำถามชาวบ้านร้านตลาดอีกตามเคย และดีไม่ดีข้าวของจะพลอยขายไม่ออกไปด้วย
กับข้าวหลายอย่างบรรจุอยู่ในหม้ออะลูมิเนียมที่เก่าและบุบเป็นบางส่วน แต่อาหารปรุงเสร็จใหม่ๆ และส่งกลิ่นหอมบอกได้ดีว่ารสชาติของอาหารคงจะอร่อยมาก ทำให้มีลูกค้าแวะเวียนมาที่ร้านไม่ขาดสาย มือเหี่ยวย่นตามวัยหยิบจับ ตักแกงจืด แกงเผ็ด ปลาราดพริก ข้าวเปล่าอย่างว่องไว โดยมีหลานสาวตัวน้อยคอยรับถุงบรรจุอาหารเหล่านั้นมารัดปากถุงด้วยหนังยางอย่างคล่องแคล่วไม่แพ้กัน อาหารในถุงที่มีอยู่สามในสี่ส่วน ทำให้พอมีพื้นที่สำหรับใช้มัดปากถุง เด็กหญิงขยายปากถุงให้อากาศเข้าเล็กน้อยก่อนจะพับทบปากถุงลงมาเป็นชั้นเล็กๆ กันอากาศออก จับจีบถุงแล้วใช้หนังยางรัดอย่างว่องไว ก่อนจะเช็ดถุงส่วนที่เปื้อนอาหารด้วยผ้าขี้ริ้วที่มองออกว่าคงเป็นเสื้อคอกระเช้าตัวเก่าของยายเล็กเจ้าของร้าน “อุ๊ย! หลานสาวพี่เล็กเก่งจัง ตัวแค่เมี่ยงช่วยยายได้แล้ว โถ...มัดปากถุงเรียบร้อยด้วยลูก พี่เล็กงั้นฉันเอานี่ นี่ และก็นี่เพิ่มด้วยจ้ะ ชอบใจหลานก็ต้องช่วยอุดหนุนยายเยอะหน่อย จริงไหมลูก” “จ้ะ” เด็กหญิงตัวน้อยรับคำพลางยิ้มแหยเพราะเกรงสายตาผู้เป็นยายที่มองมาอย่างปรามอยู่ในที แต่ก็ยังแอบลอบมองหญิงชราท่าทางใจดีที่รู้ได้โดยอัตโ
เด็กหญิงหล้าที่เพิ่งจะอายุสามขวบกว่าต้องระหกระเหินไปตามบ้านญาติของสามี เพราะฟ้ารุ่งต้องไปทำงานเพื่อหาเงินมาเลี้ยงดูลูก และบ่อยครั้งที่แกได้รับรู้ความทุกข์ของลูกสาวเพราะไม่มีใครต้องการเด็กคนนี้เลยสักคน ก็เหมือนที่แกรับลูกเขยไม่ได้ เพราะคิดว่าลูกเขยทำให้ลูกสาวของแกเสียคน ทางฝ่ายโน้นก็คิดแบบเดียวกัน ยิ่งนิธิเสียชีวิตในคุกอย่างมีเงื่อนงำ ทางญาติพี่น้องฝ่ายสามีก็ยิ่งแช่งชักหักกระดูกว่าเป็นเพราะนิธิเสียผู้เสียคน มีเมียตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ ถึงต้องมาจบชีวิตเยี่ยงนี้ ผลพวงของความผิดพลาดจากผู้ใหญ่อย่างเด็กหญิงหล้าจึงไม่ได้รับความเอื้อเอ็นดูจากญาติฝ่ายไหนเลย แต่แล้วเมื่อสามเดือนก่อน ฟ้ารุ่งก็หอบลูกมาฝากไว้กับแกโดยบอกว่าจะไปแต่งงานกับสามีฝรั่งที่เจอกันโดยบังเอิญขณะที่ฟ้ารุ่งไปทำงานอยู่ภูเก็ตแล้วจะส่งค่าเลี้ยงดูมาให้ แต่พอสามเดือนผ่านไป ฟ้ารุ่งกลับหายเข้ากลีบเมฆ แกจึงต้องรับภาระเลี้ยงหลานที่ไม่มีใครอยากได้ ทั้งยังต้องทนเสียงด่าว่าของลมรำเพยที่รังเกียจหลานสาวยิ่งกว่าใคร มาถึงตอนนี้แกก็ยังไม่รู้ว่าจะรังเกียจหรือเอ็นดูหลานสาวตัวน้อยคนนี้ดี เพราะจะรักก็กลัวว่าจะเสียใจอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้
ยายพิศมองลูกสาวเพียงคนเดียวที่กำลังเดินตรงมาทางนี้พลางอมยิ้ม เพราะทันทีที่กลับมาจากสอนหนังสือในโรงเรียนประถมประจำชุมชน ความร้อนใจที่อยากรู้คำตอบทำให้ปานใจไม่แม้แต่จะแวะเอากระเป๋าที่มีเอกสารเตรียมการสอนและหนังสือหลากหลายเล่มที่หอบกลับมาจากโรงเรียนไปเก็บในห้องอย่างเคย ก่อนจะออกมาพูดคุยกันตามประสาแม่ลูกที่อยู่ด้วยกันสองคนในบ้านหลังใหญ่นี้ “เป็นยังไงบ้างคะแม่ ป้าเล็กแกยอมไหมคะ” ปานใจเอ่ยถามขณะทรุดกายลงนั่งพับเพียบด้านหน้าผู้เป็นแม่ “มีเหรอจะไม่ยอม แม่ก็รู้ว่าแกยอมอย่างเสียไม่ได้นะ ทีแรกแม่ก็คิดจะถอดใจเพราะสีหน้าแกแข็งมาก แต่เห็นเด็กแล้วมันสังเวชใจจริง หน้าตารึก็จิ้มลิ้มพริ้มเพรา จะมองมุมไหนก็ไม่ผิดไปจากหนูฟ้าเลยสักนิด แต่แววตานี่สิ ฉลาดเอาเรื่องเลยละ ฉลาดรู้ฉลาดอยู่ และก็ฉลาดที่จะพูดด้วยนะ” คนพูดอมยิ้มด้วยความปรานีและภูมิใจในตัวลูกสาวที่เป็นห่วงเป็นใยเด็กน้อย และยิ่งยิ้มมากขึ้นเมื่อนึกถึงแววตาน่าเอ็นดูพร้อมคำพูดส่อแววฉลาดนั้น “ยังไงกันคะแม่” ปานใจถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เพราะรับรู้ได้ถึงความเอ็นดูที่แม่มีต่อเด็กน้อยที่น่าสงสารคนนั้นหญิงสาวย
“แม่คิดยังไงถึงจะให้อีหล้ามันไปเรียนหนังสือ" ลมรำเพยถามย้ำเพื่อความแน่ใจ และคำตอบที่ได้รับจากสายตาของคนเป็นแม่ก็ทำให้เธอรู้สึกคล้ายกับกลืนของแข็งลงคอ ก่อนจะพูดเสียงสั่น เพราะยังจำสิ่งที่ฟ้ารุ่งทำไว้ได้ไม่ลืมเลือน "คนอย่างมัน...เดี๋ยวลูกไม้ก็หล่นไม่ไกลต้น ให้มันเรียนไปจะมีประโยชน์อาไร้! หน้าตาอย่างมัน คงไม่แคล้วได้มีผัวก่อนเรียนจบแน่” พี่สาวที่แก่กว่ากันแค่ปีเดียว แต่หน้าตาสะสวยแตกต่างจากเธอที่หน้าตาพื้นๆ แม้จะไม่ได้ขี้เหร่ แต่เมื่อเทียบกับฟ้ารุ่งความหมายก็คงจะไม่ต่างกันนัก ‘สวยและเรียนเก่ง’ เป็นคุณสมบัติที่ทำให้แม่รัก และก็ทำให้ผู้ชายมากหน้าหลายตามารุมชอบ แต่เธอกลับมองว่ามันไม่ต่างจากแมลงวันรุมตอมของเน่าเหม็น เพราะสุดท้ายผู้เป็นพี่ก็ส่งกลิ่นเน่าหนีตามผู้ชายไปจนได้ แล้วลูกที่หน้าเหมือนแม่อย่างกับแกะกันออกมาจะต่างกันสักเท่าไรกันเชียว “ก็ไม่ได้อยากให้มันไปเรียน แต่เกรงใจแม่พิศเขา” ยายเล็กพูดด้วยน้ำเสียงเรียบไม่ส่ออารมณ์แล้วก้มหน้าก้มตาเจียนใบตองสำหรับทำขนมในช่วงเช้ามืดต่อไป “จะไปเกรงใจเขาทำไมกันแม่ ก็แค่คนรวย ไม่เห็นจะอยากญาติดีด้วยซ้ำ เชอะ!”
“แม่คิดยังไงถึงจะให้อีหล้ามันไปเรียนหนังสือ" ลมรำเพยถามย้ำเพื่อความแน่ใจ และคำตอบที่ได้รับจากสายตาของคนเป็นแม่ก็ทำให้เธอรู้สึกคล้ายกับกลืนของแข็งลงคอ ก่อนจะพูดเสียงสั่น เพราะยังจำสิ่งที่ฟ้ารุ่งทำไว้ได้ไม่ลืมเลือน "คนอย่างมัน...เดี๋ยวลูกไม้ก็หล่นไม่ไกลต้น ให้มันเรียนไปจะมีประโยชน์อาไร้! หน้าตาอย่างมัน คงไม่แคล้วได้มีผัวก่อนเรียนจบแน่” พี่สาวที่แก่กว่ากันแค่ปีเดียว แต่หน้าตาสะสวยแตกต่างจากเธอที่หน้าตาพื้นๆ แม้จะไม่ได้ขี้เหร่ แต่เมื่อเทียบกับฟ้ารุ่งความหมายก็คงจะไม่ต่างกันนัก ‘สวยและเรียนเก่ง’ เป็นคุณสมบัติที่ทำให้แม่รัก และก็ทำให้ผู้ชายมากหน้าหลายตามารุมชอบ แต่เธอกลับมองว่ามันไม่ต่างจากแมลงวันรุมตอมของเน่าเหม็น เพราะสุดท้ายผู้เป็นพี่ก็ส่งกลิ่นเน่าหนีตามผู้ชายไปจนได้ แล้วลูกที่หน้าเหมือนแม่อย่างกับแกะกันออกมาจะต่างกันสักเท่าไรกันเชียว “ก็ไม่ได้อยากให้มันไปเรียน แต่เกรงใจแม่พิศเขา” ยายเล็กพูดด้วยน้ำเสียงเรียบไม่ส่ออารมณ์แล้วก้มหน้าก้มตาเจียนใบตองสำหรับทำขนมในช่วงเช้ามืดต่อไป “จะไปเกรงใจเขาทำไมกันแม่ ก็แค่คนรวย ไม่เห็นจะอยากญาติดีด้วยซ้ำ เชอะ!”
ยายพิศมองลูกสาวเพียงคนเดียวที่กำลังเดินตรงมาทางนี้พลางอมยิ้ม เพราะทันทีที่กลับมาจากสอนหนังสือในโรงเรียนประถมประจำชุมชน ความร้อนใจที่อยากรู้คำตอบทำให้ปานใจไม่แม้แต่จะแวะเอากระเป๋าที่มีเอกสารเตรียมการสอนและหนังสือหลากหลายเล่มที่หอบกลับมาจากโรงเรียนไปเก็บในห้องอย่างเคย ก่อนจะออกมาพูดคุยกันตามประสาแม่ลูกที่อยู่ด้วยกันสองคนในบ้านหลังใหญ่นี้ “เป็นยังไงบ้างคะแม่ ป้าเล็กแกยอมไหมคะ” ปานใจเอ่ยถามขณะทรุดกายลงนั่งพับเพียบด้านหน้าผู้เป็นแม่ “มีเหรอจะไม่ยอม แม่ก็รู้ว่าแกยอมอย่างเสียไม่ได้นะ ทีแรกแม่ก็คิดจะถอดใจเพราะสีหน้าแกแข็งมาก แต่เห็นเด็กแล้วมันสังเวชใจจริง หน้าตารึก็จิ้มลิ้มพริ้มเพรา จะมองมุมไหนก็ไม่ผิดไปจากหนูฟ้าเลยสักนิด แต่แววตานี่สิ ฉลาดเอาเรื่องเลยละ ฉลาดรู้ฉลาดอยู่ และก็ฉลาดที่จะพูดด้วยนะ” คนพูดอมยิ้มด้วยความปรานีและภูมิใจในตัวลูกสาวที่เป็นห่วงเป็นใยเด็กน้อย และยิ่งยิ้มมากขึ้นเมื่อนึกถึงแววตาน่าเอ็นดูพร้อมคำพูดส่อแววฉลาดนั้น “ยังไงกันคะแม่” ปานใจถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เพราะรับรู้ได้ถึงความเอ็นดูที่แม่มีต่อเด็กน้อยที่น่าสงสารคนนั้นหญิงสาวย
เด็กหญิงหล้าที่เพิ่งจะอายุสามขวบกว่าต้องระหกระเหินไปตามบ้านญาติของสามี เพราะฟ้ารุ่งต้องไปทำงานเพื่อหาเงินมาเลี้ยงดูลูก และบ่อยครั้งที่แกได้รับรู้ความทุกข์ของลูกสาวเพราะไม่มีใครต้องการเด็กคนนี้เลยสักคน ก็เหมือนที่แกรับลูกเขยไม่ได้ เพราะคิดว่าลูกเขยทำให้ลูกสาวของแกเสียคน ทางฝ่ายโน้นก็คิดแบบเดียวกัน ยิ่งนิธิเสียชีวิตในคุกอย่างมีเงื่อนงำ ทางญาติพี่น้องฝ่ายสามีก็ยิ่งแช่งชักหักกระดูกว่าเป็นเพราะนิธิเสียผู้เสียคน มีเมียตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ ถึงต้องมาจบชีวิตเยี่ยงนี้ ผลพวงของความผิดพลาดจากผู้ใหญ่อย่างเด็กหญิงหล้าจึงไม่ได้รับความเอื้อเอ็นดูจากญาติฝ่ายไหนเลย แต่แล้วเมื่อสามเดือนก่อน ฟ้ารุ่งก็หอบลูกมาฝากไว้กับแกโดยบอกว่าจะไปแต่งงานกับสามีฝรั่งที่เจอกันโดยบังเอิญขณะที่ฟ้ารุ่งไปทำงานอยู่ภูเก็ตแล้วจะส่งค่าเลี้ยงดูมาให้ แต่พอสามเดือนผ่านไป ฟ้ารุ่งกลับหายเข้ากลีบเมฆ แกจึงต้องรับภาระเลี้ยงหลานที่ไม่มีใครอยากได้ ทั้งยังต้องทนเสียงด่าว่าของลมรำเพยที่รังเกียจหลานสาวยิ่งกว่าใคร มาถึงตอนนี้แกก็ยังไม่รู้ว่าจะรังเกียจหรือเอ็นดูหลานสาวตัวน้อยคนนี้ดี เพราะจะรักก็กลัวว่าจะเสียใจอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้
กับข้าวหลายอย่างบรรจุอยู่ในหม้ออะลูมิเนียมที่เก่าและบุบเป็นบางส่วน แต่อาหารปรุงเสร็จใหม่ๆ และส่งกลิ่นหอมบอกได้ดีว่ารสชาติของอาหารคงจะอร่อยมาก ทำให้มีลูกค้าแวะเวียนมาที่ร้านไม่ขาดสาย มือเหี่ยวย่นตามวัยหยิบจับ ตักแกงจืด แกงเผ็ด ปลาราดพริก ข้าวเปล่าอย่างว่องไว โดยมีหลานสาวตัวน้อยคอยรับถุงบรรจุอาหารเหล่านั้นมารัดปากถุงด้วยหนังยางอย่างคล่องแคล่วไม่แพ้กัน อาหารในถุงที่มีอยู่สามในสี่ส่วน ทำให้พอมีพื้นที่สำหรับใช้มัดปากถุง เด็กหญิงขยายปากถุงให้อากาศเข้าเล็กน้อยก่อนจะพับทบปากถุงลงมาเป็นชั้นเล็กๆ กันอากาศออก จับจีบถุงแล้วใช้หนังยางรัดอย่างว่องไว ก่อนจะเช็ดถุงส่วนที่เปื้อนอาหารด้วยผ้าขี้ริ้วที่มองออกว่าคงเป็นเสื้อคอกระเช้าตัวเก่าของยายเล็กเจ้าของร้าน “อุ๊ย! หลานสาวพี่เล็กเก่งจัง ตัวแค่เมี่ยงช่วยยายได้แล้ว โถ...มัดปากถุงเรียบร้อยด้วยลูก พี่เล็กงั้นฉันเอานี่ นี่ และก็นี่เพิ่มด้วยจ้ะ ชอบใจหลานก็ต้องช่วยอุดหนุนยายเยอะหน่อย จริงไหมลูก” “จ้ะ” เด็กหญิงตัวน้อยรับคำพลางยิ้มแหยเพราะเกรงสายตาผู้เป็นยายที่มองมาอย่างปรามอยู่ในที แต่ก็ยังแอบลอบมองหญิงชราท่าทางใจดีที่รู้ได้โดยอัตโ
ดอกไม้สีม่วงอมแดงมีเกสรสีเหลืองดูแตกต่างไปจากดอกไม้ในกระถางนับสิบที่วางเรียงรายกันอยู่บริเวณด้านนอกของระเบียงบ้าน สีที่ดูโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์และลักษณะคล้ายรูปถ้วยคว่ำที่เขามักจะคิดว่าดอกไม้แบบนี้น่าจะเป็นดอกไม้จากป่าลึก หรือไม่ก็อาจเป็นดอกไม้จากในวรรณคดีที่มีเพียงในจินตนาการ หรืออาจเป็นเพราะดอกไม้ชนิดนี้ไม่มีใบ ไม่มีกิ่งก้าน ลักษณะลำต้นตรงขึ้นมาจากพื้นดิน ก่อนจะออกดอกเบ่งบานอวดความงดงามตามธรรมชาติที่ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใครให้ชาวโลกได้ประจักษ์ว่า ความงามฉายชัดและยังเบ่งบานได้แม้จะไม่มีกิ่งใบคอยพยุงหรือโอบอุ้มเลยมีอยู่จริง ริมฝีปากนั้นคลี่ยิ้มละไมก่อนจะก้มลงจุมพิตที่ดอกเดี่ยว ดวงตาคมเข้มทอดมองแสงไฟสลัวที่เล็ดลอดออกมาจากม่านลูกไม้สีขาวของหน้าต่างห้องนอนด้านบน สลับกับมองสิ่งที่เขาโอบอุ้มไว้อย่างแสนรัก.. “ฮือ...ฮือ...” เสียงร้องไห้ที่ดังติดต่อกันตั้งแต่ช่วงหัวค่ำยันค่อนดึกทำให้คนที่นอนกระสับกระส่ายอยู่ในมุ้งสีเทาเก่าจนเกือบจะขาดใกล้จะหมดความอดทนเข้าไปทุกที ชายผ้าห่มทั้งสองข้างถูกดึงขึ้นมาคลุมปิดใบหูด้วยหวังว่าเสียงนั้นจะเล็ดลอดเข้าไปไม่ได้ แต่ผิดคาดเพร