วางสายโทรศัพท์ เธอเหลือบมองนาฬิกา ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน ที่ตั้งทางของสนามบินค่อนข้างไกล ตราบใดที่เขาอยู่ในเมืองก็จะใช้เวลามาอย่างน้อยเกือบหนึ่งชั่วโมง และเธอกำลังจะขึ้นเครื่องในอีกสี่สิบนาที ไม่มีทางที่เธอจะรอเขาได้ ถ้าเธอพลาดเที่ยวบินรอบนี้ เที่ยวบินถัดไปก็จะต้องรอจนถึงเช้าวันพรุ่งนี้ เธอไม่มีเวลามากขนาดนั้นแล้ว ไมค์เห็นว่าเธอสีหน้าดูแย่มาก เขาจึงยื่นมือออกไปจับมือเล็ก ๆ ที่เย็นเฉียบของเธอไว้ “ฉินอันอัน เธอไม่ต้องกลัวนะ คนคนนั้นหาเธอ อาจเป็นเพราะเขาต้องการให้เธอช่วยรักษาอาการป่วยของเขาก็ได้” ไมค์ปลอบใจเธอ “เธอยื้อเวลาออกไปให้ได้มากที่สุด ฉันจะหาทางช่วยเธอเอง” ฉินอันอันพึมพำ “ช่วยพี่เว่ยก่อน” “อืม” “พี่เว่ยกับฉันรู้จักกันมาหลายปีแล้ว ฉันขอความช่วยเหลือจากเขานับครั้งไม่ถ้วนและเขาก็ไม่เคยปฏิเสธฉันเลยสักครั้ง ทุกครั้งที่เขาได้รับอะไรดี ๆ เขาก็จะแบ่งปันให้ฉันตลอด เขาไม่เคยขอให้ฉันทำอะไรให้เขาไม่เคยเลย… ทุกครั้งที่ฉันชวนเขาไปกินข้าว สุดท้ายเขาก็เป็นคนจ่ายเงินตลอด สำหรับฉัน เขาเปรียบเสมือนพี่ชายที่คลานตามกันออกมา” ฉินอันอันน้ำตาไหลขณะพูด “แค่เขาพูดชื่อฉัน เขาก็
ที่ผ่านมาเธอได้บอกอะไรเขาบ้าง? ตอนนี้เธอต้องไปประเทศบี ไม่ว่าเขาจะเห็นด้วยหรือไม่ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจเธอได้ นอกจากนี้เธอไม่อยากให้เขาเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เธอสูดหายใจแล้วเดินต่อ... เดินต่อไปอีกไม่ถึงสิบเมตรก็ถึงทางเลี้ยว แค่เลี้ยวไปเขาก็มองไม่เห็นเธอแล้ว “ฉินอันอัน!” ฟู่สือถิงเห็นเธอเดินไปข้างหน้าโดยไม่หันกลับมามอง เลือดในร่างกายของเขาก็เดือดพล่านทันที! เขารีบวิ่งไปที่ประตูเช็คอินด้วยดวงตาสีแดงสด...เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยห้ามเขาทันที “ฉินอันอัน! หันกลับมา!” เขาทิ้งศักดิ์ศรีทั้งหมดในห้องโถงสนามบินที่มีผู้คนพลุกพล่านและตะโกน “หันกลับมา! มองผม!” เท้าของฉินอันอันรู้สึกเหมือนถูกเข็มตำ เดินไปถึงมุมทางเดินที่ห่างออกไปเพียงสิบเมตร แต่กลับต้องใช้กำลังทั้งหมดของเธอที่มี หลังจากที่เขามองไม่เห็นเธอ เธอก็พิงผนังกระจกและร้องไห้ออกมา “ไมค์ ปล่อยเขาไป!” เธอเอามือปิดหน้าแล้วพูดด้วยความเจ็บปวด ไมค์ขมวดคิ้วสีหน้าลำบากใจ “เขาไม่มีทางฟังฉันหรอก ถ้าเธอเป็นแบบนี้อย่าไปดีกว่า ฉันจะโทรหาจื่ออี้!” หลังจากที่ไมค์โทรหาโจวจื่ออี้แล้ว เขาก็จับมือของฉินอันอันแล้วพาเธอออกไป
โจวจื่ออี้สามารถเข้าใจความรู้สึกของเขาได้อย่างลึกซึ้งและยืนเคียงข้างเขา เช่นเดียวกับที่ไมค์ยืนเคียงข้างฉินอันอันไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เวลาตีสอง โรลส์รอยซ์สีดำค่อย ๆ ขับเข้าไปในบ้านตระกูลฟู่ช้า ๆ ในห้องนั่งเล่นมีแสงไฟส่องสว่าง ฟู่สือถิงลงจากรถ ป้าจางเดินออกไปรายงานทันที “คุณผู้ชายคะ มีอะไรเกิดขึ้นกับอันอันหรือเปล่าคะ? เมื่อคืนตอนสี่ทุ่มเสี่ยวหานโทรมาให้อิ๋นอิ๋นไปหาค่ะ” เมื่อฟู่สือถิงได้ยินชื่อของเสี่ยวหาน หัวใจที่เย็นชาของเขาก็ปวดร้าวอีกครั้ง ฉินอันอันไม่เพียงแต่ทอดทิ้งเขาเท่านั้น แต่ยังทอดทิ้งลูกสองคนของเธอด้วย “คุณผู้ชายคะ ดึกมากแล้ว คุณควรไปพักผ่อนก่อนเถอะค่ะ!” ป้าจางเห็นใบหน้าที่มืดมนของฟู่สือถิงจึงไม่กล้าพูดอะไรอีก เขาเหมือนซอมบี้ ลากร่างที่หนักอึ้งเข้าไปในห้องนอน ดวงตาสีแดงมองไปที่เตียงขนาดใหญ่ จู่ ๆ ร่างที่จากไปอย่างโหดร้ายของฉินอันอันก็ปรากฏขึ้นในใจของเขา เขาอดคิดไม่ได้ว่าหรือจริง ๆ แล้วพวกเขาทั้งสองไม่เคยคืนดีกันเลย และทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตอนเช้าเป็นสิ่งเขาที่มโนขึ้นมาเอง! เขาเคยเห็นเธอเข้าหาเขาแค่ในความฝันเท่านั้น ดังนั้นทุกอย่างจึงเป็นเรื่องโกหก! แ
หลังจากที่เสี่ยวหานพูดจบ ฟู่สือถิงกับอิ๋นอิ๋นก็เดินออกจากคฤหาสน์ สายตาของพ่อและลูกชายสบกันโดยบังเอิญ และเสี่ยวหานก็เสมองออกไปทางอื่นช้า ๆ ด้วยสายตารังเกียจ ตอนนี้เสี่ยวหานยังเป็นผู้เยาว์และไม่สามารถนั่งเครื่องบินตามลำพังได้ หากไม่มีผู้ปกครอง ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่มาที่นี่! ตอนนี้เขาแค่อยากไปประเทศบีให้เร็วที่สุดและใกล้กับแม่ของเขามากขึ้น “เสี่ยวหาน! รุ่ยลา! พี่ของฉันสัญญาว่าจะพาเราไปประเทศบี!” อิ๋นอิ๋นวิ่งไปหาเด็กทั้งสองคนแล้วพูดน้ำเสียงตื่นเต้น “เราจะได้เจออันอันแล้ว!” ...... ณ ประเทศบี สนามบินเมืองหลวง ฉินอันอันออกจากสนามบินและถูกชายสองคนในชุดดำพาขึ้นรถยี่ห้อบูอิคสีดำ ไมค์ถ่ายรูปหมายเลขทะเบียนรถจากระยะไกล เว่ยเจินยังไม่ได้รับการช่วยเหลือจึงไม่สามารถแจ้งเตือนเขาได้บูอิคสีดำหายไปอย่างรวดเร็ว ไมค์เห็นข้อความจำนวนนับไม่ถ้วนจากโจวจื่ออี้เด้งขึ้นมาบนโทรศัพท์ของเขาเขากดโทรหาโจวจื่ออี้ และโจวจื่ออี้ก็รับสายทันที “เจ้านายของผมพาอิ๋นอิ๋นกับลูกสองคนของเขาไปประเทศบีด้วยเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวแล้ว” ไมค์ยกคิ้วหนาและลูบขมับด้วยมือข้างเดียว “คนที่ไม่รู้คงคิดว่าเขามาเที่ยว!” “
ชายผมขาวใบหน้าเด็กเดินเข้ามาในสายตาของเธอ “คุณลักพาตัวเว่ยเจินเหรอ?!” เธอกำหมัดแน่นแล้วถาม ชายคนนั้นเพียงยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดกับผู้หญิงสองคนที่อยู่ข้าง ๆ เขา “ช่วยคุณฉินเปลี่ยนเสื้อผ้า” “อย่ามาแตะต้องตัวฉัน!” ฉินอันอันตะโกน “ทำไมฉันต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วย?!” “คุณฉิน ถ้ามีอาวุธหรือยาพิษซ่อนอยู่ในเสื้อผ้าของคุณล่ะ?” ผู้หญิงคนหนึ่งพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องกังวล เราจะทำความสะอาดเสื้อผ้าของคุณแล้วนำมาคืนให้คุณค่ะ” ฉินอันอันหยิบเสื้อผ้าที่ผู้หญิงคนนั้นถือไว้ข้างแล้วพูดว่า “ฉันจะเปลี่ยนเอง!” “คุณฉินเปลี่ยนที่นี่นะคะ” ผู้หญิงคนนั้นยังคงยิ้มและพูด "จะเปลี่ยนที่นี่ได้ยังไงกัน?!” ฉินอันอันมองไปที่บอดี้การ์ดที่อยู่รอบ ๆ และชายหน้าอ่อนด้วยสีหน้าตกตะลึง! มีผู้ชายมากมายขนาดนี้ จะให้เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าในที่สาธารณะได้ยังไง? ...... ที่ประเทศเอ ในโซเชียลพาดหัวข่าว เช้านี้เครื่องบินส่วนตัวกัลฟ์สตรีมจีหกห้าศูนย์ออกจากสนามบินเมืองหลวง ทั้งประเทศมีเศรษฐีไม่เกินสิบคนที่เป็นเจ้าของเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวกัลฟ์สตรีมจีหกห้าศูนย์ เหตุการณ์นี้จึงกลายเป็นประเด็นร้อนในหมู่ชาวเน็ตอย่างรวดเร็ว ห
“เขาอยู่ไหน?!” ฉินอันอันยืนอยู่ในห้องนั่งเล่นและถามน้ำเสียงเย็นชา อิ๋นหวังขยิบตาให้ลูกน้องของเขา ลูกน้องจึงรีบไปพาตัวเขามาทันที หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เว่ยเจินก็ถูกชายชุดดำสองคนลากตัวออกมา ร่างกายของฉินอันอันแข็งทื่อทันที เธอแทบไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เห็น! ร่างของเว่ยเจินเต็มไปด้วยเลือด จมูกของเขาฟกช้ำ ใบหน้าของเขาบวม และไม่มีส่วนใดของร่างกายที่ยังดูดีอยู่ อิ๋นหวังยักไหล่และอธิบายว่า “คุณฉิน คุณควรขอบคุณผมนะ ถ้าคนของผมไม่ไปเจอเขาทันเวลา ไอ้โง่นี่คงจะกระโดดลงจากหน้าผาและละเอียดเป็นชิ้น ๆ โดยไม่มีศพเหลืออยู่แน่!” กระโดดลงหน้าผา? ด้านนอกคฤหาสน์มีหน้าผาจริง ๆ เว่ยเจินต้องการกระโดดลงจากหน้าผาจริง ๆ! เขาไม่อยากเปิดเผยตัวตนของเธอหรือไม่อยากทนทรมาน เขาถึงได้อยากจะกระโดดหน้าผา! น้ำตาของฉินอันอันไหลออกมาทันที “พี่เว่ย!” เธอเดินไปหาเว่ยเจินแล้วพยุงเขาขึ้นมา “พี่เว่ย! ฉันขอโทษ! ฉันทำให้พี่เจ็บตัว!” เว่ยเจินนิ่งเฉยและหมดสติไปแล้ว ฉินอันอันกอดเขาและร้องไห้อย่างขมขื่นอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็รวบรวมความคิดอย่างรวดเร็ว “กล่องยา! เอาชุดปฐมพยาบาลมาให้ฉัน!” อิ๋นหวังมองลูกน้องของเขา แล
ห้องผู้ป่วยวิกฤตที่โรงพยาบาล ร่างกายของเว่ยเจินถูกห่อหุ้มไปด้วยผ้าพันแผล บริเวณดวงตาที่เปิดอยู่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเปลือกตาบวม ลูกตาโปน และเต็มไปด้วยเลือด... นิ้วของเขาถูกพันด้วยผ้าพันแผล และเห็นได้ชัดเจนว่านิ้วของเขาหายไป รุ่ยลาและเสี่ยวหานไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป และบอดี้การ์ดก็เฝ้าพวกเขาอยู่ข้างนอก อิ๋นอิ๋นเดินตามเข้ามา เธอเปิดตาเรียวที่สดใสแล้วจ้องมองไปที่คนบนเตียงผู้ป่วย เธอพยายามสังเกตบุคคลนั้น แต่เธอจำไม่ได้ว่าเป็นใคร “นี่... นี่ใครคะ?” เสียงของเธอเล็ดลอดออกมาจากลำคอเบา ๆ ด้วยกลัวว่าจะรบกวนคนบนเตียงผู้ป่วย ไมค์หันกลับมาและเห็นว่าเธอดูหวาดกลัวจึงพยุงเธอเดินไปที่ประตู “นี่คือเว่ยเจิน อิ๋นอิ๋น เธอออกไปข้างนอก...” “ฮือ ๆ!” อารมณ์ของอิ๋นอิ๋นดิ่งลงทันที เธอผลักไมค์ออกไปแล้วเดินอย่างรวดเร็วไปที่ข้างเตียงพลางน้ำตาไหลอาบ “เว่ยเจิน! เว่ยเจิน คุณเป็นแบบนี้ได้ยังไง? ใครรังแกคุณ? ฮือ ๆ ๆ!” อิ๋นอิ๋นอยากจะจับมือของเขา แต่กลัวสัมผัสบาดแผลของเขา สุดท้ายเธอทำได้เพียงจับผ้าห่มไว้ “ครั้งก่อนที่คุณให้ดอกทานตะวันฉัน... คุณบอกว่ามันคือความหวัง... ตอนนี้ฉันขอคืนความหวังให้คุณ
ไมค์เอ่ยปาก “เฮ้ คุณจะไปหาใคร? ที่นี่คือประเทศบี คุณคุ้นเคยกับที่นี่มากหรือไง?” ฟู่สือถิง “ขอแค่มีเงินก็ทำได้ทุกอย่าง คำพูดนี้ใช้ได้ทั่วโลก ตราบใดที่ผมยินดีจ่าย ก็มีคนมากมายยอมทำงานหนักให้ผมแล้ว!” ไมค์เห็นเขาทำตัวเย่อหยิ่งราวกับเป็นพระเจ้าและถูกรัศมีของเขาข่มขู่ จึงลุกออกจากเบาะที่นั่งคนขับอย่างว่าง่าย แต่ไมค์ก็ไม่ลืมเยาะเย้ยเขา “วันนั้นที่สนามบิน ฉินอันอันเมินคุณ คุณร้องไห้เลยหรือเปล่า? ร้องไห้สินะ? ตอนนั้นผมน่าจะถ่ายฉากนั้นเอาไว้…” “ไปให้พ้น!” ฟู่สือถิงเหลือบมองเขาอย่างเย็นชา จากนั้นก็ปิดประตูรถสุดแรง! ......วิลล่าสีขาว หลังจากที่ฉินอันอันตื่น ก็ได้รับรายงานอาการป่วยของเว่ยเจิน อาการบาดเจ็บบนตัวเว่ยเจินรวมแล้วมีอยู่หลายหน้า ฉินอันอันเปิดอ่านสักพักถึงอ่านจบ “คุณฉิน เขายังไม่ตาย พักฟื้นสักหน่อยก็หายแล้วค่ะ” ผู้หญิงที่รับผิดชอบในการจับตามองฉินอันอันยืนอยู่ข้าง ๆ และพูดประชด เว่ยเจินพ้นขีดอันตรายแล้วก็จริง แต่ร่างกายของเขาสิ้นสภาพไปแล้ว อาการบาดเจ็บมากมายไม่สามารถรักษาให้หายได้ ตัวอย่างเช่นนิ้วที่ถูกตัดออกไม่สามารถใส่กลับเข้าไปใหม่ได้ หรือเช่นการมองเห็นของเข
ฉินอันอันที่นอนหลับเต็มอิ่มรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า แต่เพราะสายเรียกเข้านี้ทำให้ใจของเธอร้อนรนอีกครั้งหลังจากวางสายแล้ว เธอก็ได้รับที่อยู่ของมหาวิทยาลัยชิงซานที่รองประธานส่งมาต่อจากนี้เธอต้องจองตั๋วเครื่องบินแล้วรีบไปให้ทันขณะที่เธอกำลังเปิดแอปจองตั๋วเครื่องบินอยู่ จู่ ๆ หน้าจอโทรศัพท์ก็เด้งขึ้นมาเป็นโปรแกรมนาฬิกาปลุก ทำให้เธอเกือบจะปาโทรศัพท์ทิ้งเธอเอามือปิดหน้าอก หายใจเข้าลึก ๆทำไมต้องรีบร้อนขนาดนี้ด้วย?แค่การฝึกอบรมครั้งเดียว ถึงจะไปสายหน่อยก็ไม่เห็นเป็นไรสมัยเรียนเธอก็ไปสายตั้งบ่อย นี่เธอไม่ได้เป็นนักศึกษาแล้วนี่นาแถมนี่ก็ไม่ใช่การฝึกอบรมที่เธอสมัครเอง แค่ตอบตกลงว่าจะไปก็ถือว่าทำดีที่สุดแล้ว ทำไมต้องทำให้ตัวเองเครียดขนาดนี้ด้วย?คิดได้ดังนั้น เธอก็ล้มตัวนอนลงบนเตียง ตั้งใจจะนอนต่อสักหน่อยเธอเปิดโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความหาหลีเสี่ยวเถียน : เสี่ยวเถียน ฉันต้องออกไปธุระไกล ๆ ประมาณหนึ่งสัปดาห์ถึงจะกลับ สองวันนี้หลังจากที่ไปพบจิตแพทย์แล้ว อย่าลืมมาบอกฉันด้วยนะตอนนี้ยังเช้ามาก เธอคิดว่าหลีเสี่ยวเถียนคงยังนอนอยู่ ดังนั้นหลังจากส่งข้อความเสร็จแล้ว เธอก็วางโทรศัพท์ลง
“อันอัน คุณคงเหนื่อยมากเลย!” ป้าจางพูดกับเธอ “ฉันมาบอกคุณว่า ของขวัญที่เสี่ยวหานและรุ่ยลาได้รับวันนี้ ฉันเอาไปเก็บไว้ที่โกดังชั้นหนึ่งแล้วนะคะ”“ค่ะ พรุ่งนี้ฉันค่อยไปจัดการ” ฉินอันอันลูบศีรษะทุยของจื่อชิวเบา ๆ “ลูกรัก วันนี้สนุกไหมจ๊ะ? พอครบหนึ่งขวบเมื่อไหร่ แม่จะจัดงานวันเกิดให้ลูกนะ”ป้าจางพูดด้วยรอยยิ้ม “เวลาผ่านไปเร็วจริง ๆ แป๊บเดียวจื่อชิวก็ครึ่งขวบแล้ว!”“ค่ะ”“อันอัน รีบกลับห้องไปอาบน้ำพักผ่อนเถอะค่ะ! พรุ่งนี้ต้องกลับไปทำงานแล้ว!” ป้าจางเตือนฉินอันอันพยักหน้าแล้วเดินไปที่ห้อง เธอตั้งใจจะอาบน้ำก่อนนอน แต่พอเข้าไปในห้อง เตียงนอนขนาดใหญ่ดูเหมือนจะมีเวทมนตร์ดึงดูดเธอเธอมองไปที่เตียงแล้วล้มตัวนอนลง ตั้งใจจะพักสักหน่อย พอมีแรงแล้วค่อยลุกไปอาบน้ำ แต่หลังจากนอนลงไม่นาน เธอก็นอนหลับสนิทปกติแล้วเธอมีนิสัยชอบฝันร้าย ไม่ว่าจะพยายามปรับยังไงก็ปรับไม่ได้ ภาพที่เธอฝันถึงบ่อยที่สุดก็มีอยู่ไม่กี่อย่างอย่างแรกคือตอนที่พ่อเสียชีวิต พ่อจับมือเธออยู่ในห้อง ขอโทษเธอและขอให้เธอให้อภัย ก่อนที่เธอจะได้พูดอะไร พ่อก็สิ้นใจไปเสียก่อน กลายเป็นความเสียใจตลอดชีวิตของเธออย่างที่สองคือแม่ประสบอุบั
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา อวิ๋นซื่อเจี๋ยไม่เคยกลัวอะไรเลยแต่ตอนนี้ เมื่อเขาเห็นใบหน้าเย็นชาและดุร้ายของฟู่สือถิง เขากลับรู้สึกกลัวเป็นครั้งแรก!รู้สึกว่าถ้าเขาทำให้ฟู่สือถิงโกรธมากขึ้นไปอีก เขาคงถูกทุบตีจนตายอยู่ที่นี่แน่ ๆคำพูดที่กำลังจะหลุดออกมาจากปากถูกกลืนลงไปอย่างยากลำบากเขาทำพลาดไป! ประเมินอารมณ์ของฟู่สือถิงผิดถนัด! เขาไม่ควรมาที่นี่อย่างประมาทเช่นนี้ตอนนี้เขาอยากแค่หนีรอดออกไปให้ได้“ป้าหง! กระดูกซี่โครงผมหัก! รีบโทรเรียกรถพยาบาลให้ผมหน่อย!” เขาไม่กล้าพูดกับฟู่สือถิง จึงตะโกนเรียกป้าหงเสียงดังป้าหงเห็นเขาเลือดอาบ นอนอยู่บนพื้นและกระตุกเกร็งอย่างควบคุมไม่ได้ ด้วยความตกใจ เธอรีบคว้าโทรศัพท์เพื่อโทรแจ้งเหตุฉุกเฉิน“ป้าหง อย่าใจอ่อนกับพวกกากเดนประเภทนี้!” ฟู่สือถิงตะโกนห้ามป้าหงได้สติกลับคืนมาทันที “คุณผู้ชาย สั่งให้บอดี้การ์ดจับเขาโยนออกไปเถอะค่ะ! ต่อไปนี้ฉันจะไม่ให้เขาก้าวเข้ามาในบ้านอีกเด็ดขาด!”ฟู่สือถิงส่งสัญญาณให้บอดี้การ์ด บอดี้การ์ดจึงคว้าแขนอวิ๋นซื่อเจี๋ยแล้วลากเขาออกไปฟู่สือถิงมองดูสภาพที่ยับเยินของอวิ๋นซื่อเจี๋ย สั่งบอดี้การ์ดเสียงเย็นเยียบว่า “เอาตัวไปทิ้งให้ไ
เพื่อนร่วมงานได้รับข้อความแล้วตอบกลับทันทีว่า “ทราบแล้วเปลี่ยน! ลงมือเลย!”ประมาณห้านาทีต่อมา เสียงต่อยตีและเสียงร้องโหยหวนของผู้ชายดังมาจากนอกบ้าน!ป้าหงได้ยินเสียงดังนั้นจึงรีบวิ่งออกมาดูเห็นบอดี้การ์ดสองคนกำลังทำร้ายร่างกายผู้ชายคนหนึ่ง จึงถามว่า “เกิดอะไรขึ้น? คนคนนี้เป็นใคร?”“ป้าหง คนคนนี้แหละคือนักถ้ำมองเมื่อคืน! เขาทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่แถวกำแพง ถึงแม้เขาไม่ได้คิดจะทำเรื่องไม่ดี แต่ก็ต้องจัดการเขาซะ!” บอดี้การ์ดคนหนึ่งหยุดมือ แล้วอธิบายให้ป้าหงฟัง “ไม่งั้นเขาจะมาทุกวัน เจ้านายต้องไม่พอใจแน่ ๆ”“อ้อ…” ป้าหงมองดูชายวัยกลางคนคนนั้นที่กำลังนอนอยู่บนพื้นอย่างระมัดระวัง“ป้าหง จำผมได้ไหม?” ชายวัยกลางคนคนนั้นเงยหน้าขึ้น สะบัดผมที่หน้าผากออก ดวงตาที่เฉียบคมและแดงก่ำจ้องมองป้าหงอย่างตรงไปตรงมาบอดี้การ์ดได้ยินชายวัยกลางคนคนนั้นพูดกับป้าหง จึงหยุดทำร้ายเขาทันทีคนคนนี้รู้จักกับป้าหงงั้นเหรอ? ถ้ารู้จักป้าหงทำไมไม่บอกตั้งแต่แรก?“คุณคือ…” แสงสลัวทำให้ป้าหงมองใบหน้าของเขาไม่ชัด จึงจำไม่ได้เลยแม้แต่น้อย“คุณอาจจะจำผมไม่ได้ ผมเคยทำงานที่บ้านเดิมกับคุณ” อวิ๋นซื่อเจี๋ยยิ้มแล้วลุกขึ้นจ
ฟู่สือถิงจ้องมองภาพถ่ายของชายวัยกลางคนอีกครั้ง แต่จนแล้วจนเล่าก็ยังไม่เข้าใจเขาไม่เคยเห็นคนคนนี้มาก่อนอาจเป็นไปได้ว่าชายคนนี้มีปัญหาทางจิต จึงมาปรากฏตัวอยู่ใกล้บ้านเขาเมื่อคืนแล้วฉีกยิ้มใส่ฟู่สือถิงขยำกระดาษทิ้งลงถังขยะ เดินเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็วแล้วปิดประตูในครัว ป้าหงเห็นฟู่สือถิงขึ้นไปชั้นบนแล้ว จึงรีบโทรหาป้าจาง“ได้ยินว่าคุณผู้ชายกับจิ้นซือเหนียนทะเลาะกัน” ป้าจางกล่าว “แต่ไม่ใช่เขาที่เริ่มก่อน ทะเลาะกันเสร็จแล้วทั้งคู่ก็แยกย้ายกันไป”ป้าหง “อ๋อ มิน่าล่ะถึงได้กลับมาเร็วขนาดนี้”“คุณผู้ชายอารมณ์เป็นยังไงบ้าง?” ป้าจางถามด้วยความเป็นห่วง“ไม่ค่อยดี แต่ก็ยังพอถูไถ” ป้าหงถามต่อ “วันนี้เขาอยู่กับลูก ๆ แล้วเป็นยังไงบ้าง?”ป้าจางหัวเราะทางโทรศัพท์ “วันนี้เขาไม่ได้อยู่คลุกคลีกับเด็ก ๆ หรอก เขาคอยต้อนรับแขกในงานทั้งวัน อันอันเป็นคนกำชับให้เขาคอยอยู่กับแขก”ป้าหงหน้าแดง “ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะดูใกล้ชิดกันมากขึ้นนะ”“ใช่! ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะดีขึ้นกว่าเดิมมากแล้ว หวังว่าต่อไปจะไม่ทะเลาะกันอีก” ป้าจางพูดด้วยความเป็นห่วง “ไม่งั้นลูก ๆ ทั้งสามคนคงน่าสงสารมาก”“อืม ฉั
ฉินอันอันรู้ดีว่าฟู่สือถิงและจิ้นซือเหนียนมีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นเมื่อเห็นทั้งสองคนยืนอยู่ด้วยกัน เธอจึงรู้สึกแปลก ๆ“ไม่ได้คุยอะไรกันหรอก” ฟู่สือถิงมองจิ้นซือเหนียนอย่างเย็นชา ตอบฉินอันอัน “จิ้นซือเหนียนแค่เป็นห่วงความสุขของคุณ เลยเตือนผมให้ออกกำลังกายมากขึ้นหน่อย”“พวกคุณนี่ลามกกันจริง ๆ!” ฉินอันอันหน้าแดง เดินหนีไปด้วยความโกรธจิ้นซือเหนียนเห็นฉินอันอันโกรธ ความสงบสุขบนใบหน้าของเขาก็หายไป “ฟู่สือถิง คุณนี่มันไร้ยางอายจริงๆ!”ฟู่สือถิงพูดอย่างไม่รีบร้อน “ผมว่าคุณนั่นแหละที่ไร้ยางอาย ผู้ชายจะไหวหรือไม่ไหว ไม่ได้อยู่ที่ปาก ไม่ต้องทำมาเป็นห่วงหรอกว่าผมจะไหวหรือไม่ไหว รีบไปหาผู้หญิงสักคนมาพิสูจน์ว่าคุณไม่ได้ด้อยเรื่องนี้ให้ได้ก่อนเถอะ”จิ้นซือเหนียนโกรธจนเดินหนีไปดื้อ ๆ!“คุณตายแน่” ไมค์พูดกับฟู่สือถิง “เดี๋ยวถ้ารุ่ยลารู้ว่าคุณทำให้จิ้นซือเหนียนโกรธ เธอก็จะพาลมาโกรธคุณอีก!”ฟู่สือถิงปวดหัวทันทีเขาไม่สามารถตามจิ้นซือเหนียนกลับมาได้แต่เขาก็ไม่อยากทำให้รุ่ยลาโกรธ“ผมมีวิธีหนึ่ง” ไมค์คิดแผนขึ้นมาทันที “คุณกลับไปก่อน แบบนี้รุ่ยลาก็จะไม่โกรธคุณ”ฟู่สือถิงขมวดคิ้วเข
“คุยอะไร ตอนนี้ไม่สะดวกคุยเหรอ?” เธอโพล่งถามออกไป ทั้งที่ในใจรู้ดีอยู่แล้วความเข้าใจผิดระหว่างเธอกับเขานั้นได้คลี่คลายไปแล้ว สิ่งที่เขาต้องการคุยก็คือการขอโอกาสอีกครั้งจากเธอครั้งก่อนเธอปฏิเสธเขาไปอย่างสุภาพ ตอนนี้เธอก็ยังไม่สามารถตอบตกลงได้ไม่ใช่ว่าเธอเกลียดเขา แต่เธอรู้สึกว่าตัวเองยังไม่หนักแน่นพออีกทั้งตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ดีอยู่แล้ว ต่างคนต่างให้เกียรติซึ่งกันและกัน ไม่ได้สนิทสนมหรือห่างเหินเกินไป แบบนี้ก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?“คุยตอนนี้คงไม่ได้ผลหรอก” เพียงแค่ดูสีหน้าของเธอก็เดาได้แล้วว่าเธอคิดอะไรอยู่“คุณคิดว่าพอกลับมาจากต่างเมือง พอคุยกันแล้วจะได้ผลเหรอ?” ฉินอันอันถามอย่างไม่เข้าใจ “คุณจะไปนานแค่ไหน?”“หนึ่งอาทิตย์”“อ๋อ งั้นอีกหนึ่งอาทิตย์ค่อยว่ากันใหม่!” เธอก้มหน้าลง มองไปที่มือของเขาที่กำลังจับแขนเธออยู่ “คุณเพิ่งเล่นไพ่เสร็จ ยังไม่รีบไปล้างมืออีก?”เธอรู้สึกว่ามือเขาสกปรกเขาอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะดึงเธอไปที่ห้องน้ำ “งั้นเราไปล้างมือด้วยกัน!”ทั้งสองคนเดินผ่านห้องจัดเลี้ยงไปท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมาย“คุณสังเกตไหมว่าวันนี้ความสัมพันธ์ของพวกเขาสองค
เสี่ยวตง “พ่อเธอยังไม่มาอีกเหรอ?”รุ่ยลา “มาแล้ว! ตอนนี้ก็ยังอยู่ในห้องจัดเลี้ยง!”เสี่ยวตงขมวดคิ้ว มองไปรอบ ๆ“พ่อเธอคนไหนล่ะ? ทำไมเขาไม่เห็นมาเล่นกับพวกเธอเลย? เขาขี้เกียจทำงานใช่ไหม? เลยทำให้แม่เธอไม่ยอมคบกับเขา และทำให้พวกเธอไม่ชอบเขาด้วยใช่ไหม?” เสี่ยวตงคิดไปเรื่อยเปื่อยรุ่ยลาตกใจ แต่เธอก็ไม่ยอมบอกความจริงกับเสี่ยวตง “พ่อฉันเปล่าขี้เกียจทำงานซะหน่อย! ฉันไม่บอกหรอกว่าพ่อเป็นใคร พี่บอกว่าพี่เก่งกว่าพี่ชาย งั้นพี่ก็ไปหาเองสิ!”ไมค์หัวเราะ “เสี่ยวตง ทำไมเธอดูอยากรู้จังเลยล่ะว่าพ่อของเสี่ยวหานกับรุ่ยลาเป็นใคร?”เสี่ยวตง “ผมก็แค่อยากรู้! แม่ผมบอกว่าพ่อของเสี่ยวหานก็คือฟู่สือถิง แต่พ่อผมบอกว่าไม่ใช่ พวกเขาทะเลาะกันเรื่องนี้หลายครั้งแล้ว”ไมค์หัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง “งั้นเธอเชื่อแม่หรือว่าเชื่อพ่อล่ะ?”“ผมเชื่อพ่อ เพราะพ่อผมดีกับผมมากกว่า” เสี่ยวตงพูดอย่างมั่นใจ “ถ้าพ่อของเสี่ยวหานเป็นฟู่สือถิงจริง ๆ เสี่ยวหานคงไม่เมินพ่อของเขาแบบนั้นแน่! ฟู่สือถิงน่ะเก่งมากเลย! เขาเป็นไอดอลของผม!”เสี่ยวหานได้ยินที่เสี่ยวตงพูดก็ไม่สนใจที่จะโต้เถียง เดินออกไปเงียบ ๆไม่นาน เสียงเปียโนอันไพเราะ
เสียงหัวเราะดังขึ้นจากกลุ่มคนรอบข้าง “ผู้ช่วยของคุณฟู่ไปเอาเงินสดมาแล้วล่ะครับ ดูเหมือนวันนี้คุณฟู่จะตั้งใจจะทุ่มสุดตัวเลยนะ!” ทุกคนหัวเราะคิกคักใบหน้าของฉินอันอันขึ้นสีเล็กน้อย ไม่คิดว่าฟู่สือถิงจะพยายามขนาดนี้เพื่อสร้างความบันเทิงกับแขก“พวกคุณอย่าเล่นกันจริงจังเกินไปนะคะ” เธอเตือน“อันอัน เพิ่งเริ่มเองนะ คุณก็เริ่มห่วงกระเป๋าเงินของคุณฟู่แล้วเหรอ?” เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกครั้งฟู่สือถิงมองเธอด้วยแววตาสนใจ แล้วถามว่า “หรือว่าคุณจะมานั่งข้าง ๆ คอยเป็นที่ปรึกษาให้ผมดีล่ะ?”ฉินอันอันหลบสายตาที่ลึกซึ้งของเขา แล้วพูดกับคนอื่น ๆ ว่า “พวกคุณเล่นกันเต็มที่เลยค่ะ ไม่ต้องไว้หน้าเขาหรอก”พูดจบเธอก็อุ้มลูกเดินออกไปเฮ่อจุ่นจือถือจานอาหารเดินมาจากโซนบุฟเฟ่ต์“อันอัน อย่าห่วงพี่สือถิงเลย เขาไม่ล้มละลายหรอก”ฉินอันอันแก้ตัวเสียงแข็ง “ฉันไม่ได้ห่วงเขา”“แล้วทำไมเมื่อกี้พวกเขาถึงหัวเราะกันเสียงดังขนาดนั้นล่ะ?” เฮ่อจุ่นจือพูดแทงใจดำเธออย่างไม่ไว้หน้า “เมื่อกี้หลีเสี่ยวเถียนพูดอะไรกับคุณตอนอยู่ข้างนอกบ้างเหรอ? หรือว่าพูดถึงเรื่องเมื่อคืนของพวกเรา?”เฮ่อจุ่นจือรู้สึกอายเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่อง