Share

บทที่ 2

Penulis: วิถีมารไร้ขอบเขต
ผังเป่ยจูงน้องสาวไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง พลางเดินฝ่าลมเหนืออันหนาวเหน็บ เสาะหาเป้าหมายไปตามเนินเขา

ในฐานะที่เขาเคยเป็นทหารหน่วยรบพิเศษ ต้องฝึกค้นหาจนมันฝังลึกเข้าไปในกระดูก การล่าสัตว์ก็นับว่าเป็นทักษะพื้นฐานของการเอาชีวิตรอดในป่าเช่นกัน

เขาเดินพลางสังเกตร่องรอยทั้งหลายอย่างละเอียด

การค้นหาร่องรอยนั้น สำคัญเป็นอย่างยิ่งสำหรับเขา

ก็เหมือนกับการที่เคยมีคนไปที่ไหนสักแห่งมาก่อน เขาอาศัยเพียงแค่ร่องรอยเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็เข้าใจได้ทะลุปรุโปร่งแล้ว

เขาถึงขั้นที่เข้าใจถึงกิจกรรมการเคลื่อนไหวอันแน่ชัดที่คนคนนั้นทำไว้ที่นี่ได้จากร่องรอยพวกนี้

ตอนนี้ บนตัวเขาไม่ได้มีเครื่องมือมากมายนัก สมรรถนะทางร่างกายก็ไม่ได้เทียบเท่าอย่าช่วงที่เป็นทหารหน่วยรบพิเศษ

ดังนั้น ช่วงเวลานี้เขาจึงจำเป็นต้องรักษาสัญชาตญาณระวังภัยเอาไว้ เพื่อหลีกเลี่ยงสัตว์ร้าย!

หลังจากเดินมาได้ระยะหนึ่ง จู่ ๆ ผังเป่ยก็ชะงักฝีเท้า สายตาจับจ้องอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งไม่ไหวติง

เขาย่อตัวนั่งยอง ๆ แล้วเห็นเม็ดบางอย่างที่แข็งจากอากาศหนาวอยู่หลายเม็ด มันคืออุจจาระกระต่ายที่เพิ่งถ่ายทิ้งไว้ไม่นาน

ผังซีมองเขาด้วยความฉงน “พี่ พี่ดูอะไรเหรอ? นั่นมันอึกระต่ายไม่ใช่เหรอ?”

ผังเป่ยเงยหน้า นัยน์ตาทอประกายความเจ้าเล่ห์ เขายิ้มแล้วกล่าวว่า “นี่เป็นเบาะแสของพวกเรา แสดงว่ามีกระต่ายอยู่แถวนี้”

“มา มาช่วยพี่วางกับดักหน่อย”

เขาลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “พวกเรามาจับกระต่ายที่นี่กัน”

ผังซีได้ยินว่าจะจับกระต่าย ก็ดีอกดีใจขึ้นมาทันที

ถ้าผังเป่ยจับกระต่ายได้ เธอก็จะมีเนื้อกินแล้ว!

“อื้อ! จะมีเนื้อกินแล้ว!”

ผังซีช่วยวางกับดักจับกระต่ายอย่างลิงโลดด้วยกันกับผังเป่ย

ฝีมือของผังเป่ยนั้นแตกต่างกับเจ้าของร่างเดิมอย่างสิ้นเชิง เห็นได้ชัดว่าฝีมือของเขานั้นเป็นมืออาชีพและละเอียดมากกว่า

เจ้าของร่างเดิมมีความรู้เพียงงู ๆ ปลา ๆ เท่านั้น ตอนที่วางกับดักก็มักจะทำตามไปแบบทื่อ ๆ ไม่รู้จักพลิกแพลง จะสำเร็จหรือล้มเหลว เกินกว่าครึ่งล้วนอาศัยโชค

ทว่าผังเป่ยนั้นไม่เหมือนกัน

อาศัยประสบการณ์จากชาติก่อน วางกับดักไว้บริเวณที่เจ้ากระต่ายโผล่กายออกมาอยู่บ่อย ๆ ทั้งยังใช้หิมะมาอำพรางกับดักไว้ เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น

หลังวางกับดักเรียบร้อยแล้ว เขาก็นำเชือกป่านที่ข้างเอวมาทำเป็นหลุมพรางอย่างง่าย ๆ ขึ้นอีกหนึ่งอันที่บริเวณรอบ ๆ

หลักการของหลุมพรางนี้ค่อนข้างเหมือนกับกับดักจับกระต่าย แต่เรียบง่ายและใช้ได้จริงมากกว่า

ผังเป่ยเลือกกิ่งไม้กิ่งหนึ่งมาทำเป็นคาน ทันทีที่กระต่ายหรือสัตว์เล็กตัวอื่น ๆ สัมผัสโดนหลุมพราง ก็จะไปกระตุ้นกลไก ทำให้เชือกทั้งเส้นกระตุกรัดแน่นทันที และกักขังเหยื่อไว้อย่างแน่นหนา

เพื่อให้หลุมพรางดูน่าดึงดูดมากขึ้น ผังเป่ยยังตั้งใจเด็ดใบต้นสนมาวางไว้ด้านในหลุมพรางอีกด้วย

เมื่อทำแบบนี้ ใบไม้สีเขียวก็จะดึงดูดให้สัตว์เล็กที่หิวโหยพวกนั้นมุ่งหน้าเข้ามาหาอาหารกิน ดังนั้นจึงยิ่งทำให้โอกาสที่จะดักสัตว์ได้ประสบความสำเร็จมีมากขึ้น

เพราะได้ผังซีค่อยช่วยเหลือ จึงวางหลุมพรางจนแล้วเสร็จได้อย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้น สองพี่น้องก็หาที่ซ่อนตัว รอคอยการมาถึงของเหยื่ออย่างเงียบ ๆ

ผังซีอิงแอบแนบแน่นอยู่ในอ้อมแขนของผู้เป็นพี่ชาย อากาศหนาวเหน็บทำให้เธอตัวสั่นสะท้าน

ผังเป่ยเองก็โอบน้องสาวไว้ ขณะเดียวกันก็คิดสะระตะอยู่ในใจว่าหนทางข้างหน้าจะเดินไปทางไหนดี

เขารู้ดีว่าเขาต้องขยันมานะมากกว่านี้เพื่อน้องสาว ต้องใช้สมองมารับมือกับความท้าทายต่อจากนี้

ถึงอย่างไรแล้ว ปฐมฤกษ์อันหฤโหดแบบนี้ก็ไม่เป็นใจให้เขาเลย

ทางตอนใต้ คำว่าหนาวตายนั้นเป็นคำขยายความ

แต่ทางตอนเหนือนั้น คำนี้นั้นเป็นคำกริยา

ตอนผังเป่ยเป็นทหาร ก็ถูกส่งให้ไปพิทักษ์ชายแดนตั้งแต่เริ่มแล้ว เขาเป็นทหารรักษาชายแดนอยู่หลายปี สุดท้ายจึงได้รับเลือกให้เข้าไปอยู่ในหน่วยรบพิเศษ

ตอนนั้นที่ลาดตระเวนอยู่ตามชายแดน มักจะได้ฟังหัวหน้าหน่วยเล่าเรื่องคนหนาวตายอยู่บ่อยครั้ง พวกเขามีเสื้อผ้าหนาขนาดนั้นยังทนได้ไม่นานเท่าไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนนี้เลย

สองพี่น้องนั่งยอง ๆ ตัวสั่นระริกอยู่ในโพรงหิมะ ท่าทางน่าจะเฝ้ารอมาได้หนึ่งชั่วโมงแล้ว ทันใดนั้นพลันปรากฏจุดสีดำ ๆ เล็ก ๆ ขึ้นในขอบเขตการมองเห็นของผังเป่ย

หากไม่ดูให้ละเอียด ๆ ก็ไม่มีทางดูออกได้เลย

ผังซีเอ่ยถามด้วยความสงสัย “พี่ กระต่ายมาหรือยัง?”

ผังเป่ยรีบชูนิ้วขึ้นมาทันที “ชู่”

แม้ว่ากระต่ายจะดูเป็นสัตว์ที่ไม่มีอันตรายใด ๆ ทว่าในความเป็นจริงแล้ว เจ้าตัวหน้าขนนี่เจ้าเล่ห์มาก!

หูทั้งสองข้างกระดิกตลอดเวลา คอยฟังความเคลื่อนไหวรอบด้านเหมือนกับเรดาร์ ขอแค่มีความผิดปกติเพียงเล็กน้อย พวกมันก็จะรีบหลบไปทันที

ที่ว่ากระต่ายเจ้าเล่ห์มีสามรัง[1] ก็หมายถึงแบบนี้นี่แหละ

ดูจากท่าทางของเจ้ากระต่ายแล้ว ต้องกำลังเตรียมตัวออกมาหาอะไรกินแน่

หลังจากที่มันแน่ใจแล้วว่าบริเวณรอบ ๆ ปลอดภัย ในที่สุดก็โผล่หัวออกมาจากใต้หิมะ แล้วก็เป็นอย่างที่คิดจริง ๆ เจ้ากระต่ายตัวนี้มองสำรวจซ้ายขวาอยู่พักหนึ่ง จากนั้นถึงได้เริ่มเคลื่อนไหว

เจ้ากระต่ายตัวนี้มองดูทั้งซ้ายขวา ท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ

มันระมัดระวังตัวมากจริง ๆ ด้วยกลัวว่าจะเจอเข้ากับสัตว์ร้ายอะไรเข้า

ผังเป่ยสังเกตอยู่สักพัก กระต่ายตัวนี้ตัวไม่เล็กนัก อย่างน้อย ๆ ก็เป็นกระต่ายตัวใหญ่ที่หนักสักสามกิโลกรัมถึงสามกิโลกรัมครึ่ง

ขนสีเทาปุกปุย แถมขนบนตัวมันเวลาถูกแสงแดดยังดูเหลือบไปด้วยสีส้มจาง ๆ

เจ้ากระต่ายกระโดดไปด้านหน้า ไม่นานนักก็ปรากฏแขกที่ไม่ได้รับเชิญออกมาอีกหนึ่ง

ผังเป่ยนึกไม่ถึง ว่าไม่ได้มีเพียงเขาเท่านั้นที่หมายตาเจ้ากระต่ายตัวนี้ ยังมีเพียงพอนสีขาวหิมะอีกตัวที่หมายตาด้วยเช่นกัน

เจ้าเพียงพอนตัวนี้ก็มองสำรวจความเคลื่อนไหวรอบ ๆ ด้วยท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ เช่นกัน

ดูเหมือนว่ามันจะมาดักซุ่มรอเจ้ากระต่าย

นี่เขายังจะได้กำไรอย่างไม่คาดคิดด้วย?

ผังเป่ยมองดูอย่างฉงน

ทว่ากับดักที่ตนวางไว้ ใช้กับเจ้าตัวนี้ไม่ได้ผล

ลำตัวของมันเรียวยาว กับดักแบบนี้คงใช้กับมันไม่ได้หรอก

ผังเป่ยคาดการทิศทางการจู่โจมของเจ้านี่ ถ้ามันพุ่งตัวเข้าไปทางกระต่าย เกรงว่ากระต่ายก็จะวิ่งไปอีกทาง

ไม่ได้การ ถ้าเป็นแบบนั้น เขาก็วางกับดักไว้เสียเปล่าแล้ว!

ผังเป่ยร้อนรน เขากดเสียงให้เบาลงและกระซิบที่ข้างหูผังซีเบา ๆ ว่า “อีกเดี๋ยวเธอไปกระโดดไปเต้นอยู่ทางนั้น แล้วพี่จะอ้อมไปทางนู้น พวกเราสองจะใช้กลวิธีล้อมสามขาดหนึ่ง”

ผังซีงุนงง ความกระจ่างใสและสับสนงุนงงสะท้อนอยู่ในดวงตากลมโต

“ล้อมสามขาดหนึ่งคืออะไรเหรอ?”

ผังเป่ยยิ้มพลางว่า “อีกเดี๋ยวเธอก็รู้ ทำตามที่พี่บอก แล้วตอนเย็นจะย่างขากระต่ายให้กิน จำไว้นะ พี่ขยับ แล้วเธอค่อยขยับ!”

ผังซีพยักหน้าด้วยความตื่นเต้น เธอนั่งยอง ๆ อยู่ที่เดิมอย่างว่าง่าย ส่วนผังเป่ยก็คอยโอบล้อมอยู่รอบนอก ปิดทางหนีอีกทางของเจ้ากระต่ายไว้

แต่พอถึงอีกฝั่งแล้ว ผังเป่ยก็ไม่ได้ขยับเขยื้อน เขารอคอยให้เจ้าเพียงพอนเป็นฝ่ายเริ่มจู่โจมก่อน

ผังเป่ยจับจ้องเจ้าเพียงพอน ในที่สุดหลังจากที่เจ้านั่นคืบคลานเข้าไปใกล้เรื่อย ๆ ไม่หยุด มันก็อดทันไม่ไหว เริ่มจู่โจมทันที

เจ้าเพียงพอนกระโจนตัวไปทางเจ้ากระต่ายอย่างรวดเร็ว แม้ว่าร่างกายของมันจะเล็ก ทว่ากลับเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว มันสามารถเข้าไปกัดลำคอและนำความตายมาแก่เจ้ากระต่ายได้ในครั้งเดียวได้

ส่วนเจ้ากระต่ายนั้น มันวิ่งหนีมาทางผังเป่ยทันทีที่เจ้าเพียงพอนเริ่มจู่โจม

ผังเป่ยลุกขึ้นจนเกิดเสียงดังฟึ่บ เขาจงใจโปรยหิมะขึ้นจำนวนมาก จากนั้นก็ร้องว้ากออกมา

กระต่ายสะดุ้งตกใจ หันหน้าวิ่งไปทางผังซีแทน

“ผังซี เร็วเข้า!”

เด็กน้อยเชื่อฟังมาก เธอลุกขึ้นยืนทันที แล้วเลียนแบบท่าทางของพี่ชาย

ว้าก!!!

เธอเลียนแบบเหมือนเป๊ะ ตวัดหิมะขึ้นมา

เจ้ากระต่ายเองก็ตกใจ หมุนตัวพุ่งไปทางหลุมพรางของผังเป่ย

เพื่อทำให้กระต่ายตกหลุมพราง ผังเป่ยเก็บกวาดทางเส้นนี้ให้เตียนอย่างรู้แกว และกับดักก็อยู่บนทางเส้นนี้เอง

สำหรับเจ้ากระต่ายแล้ว ถ้าไม่มีกับดักชิ้นนี้ เส้นทางสายนี้ก็จะเป็นเส้นทางหนีเอาชีวิตรอดของมัน

ทว่าน่าเสียดาย บนเส้นทางสายนี้นั้นมีกับดักรออยู่!

ชั่วพริบตาที่เจ้ากระต่ายถลันเข้าไป กลไกก็ทำงาน กิ่งไม้กิ่งหนึ่งก็ดีดผึงขึ้นมาทันที

จากนั้นเจ้ากระต่ายก็ถูกเชือกรัด

กระต่ายรวดเร็วเกินไป เชือกจึงรัดแน่นเข้าที่คอของมันทันที

มันดีดดิ้นไม่หยุด จนหิมะบนพื้นฟุ้งกระจาย

ส่วนเจ้าเพียงพอนเองก็ตกใจ มันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เห็นว่าผังเป่ยพุ่งเข้ามา

รูปร่างแบบนี้มันดูเป็นสัตว์ใหญ่ในสายตาของเพียงพอน

มันเลยต้องเลือกหนีไปด้วยความจำเป็น มุดตัวเข้าไปในหิมะดังฟึ่บ ไม่เห็นแม้แต่เงา

ผังเป่ยไม่ได้สนใจมัน ถึงอย่างไรมันก็ไม่ได้มีเนื้อ จะไปสำคัญเท่ากระต่ายได้อย่างไร?

ทิ้งเจ้าเพียงพอนไป ผังเป่ยตรงเข้าไปดึงเชือกกับดักไว้ จากนั้นก็ดึกเชือกรัดเจ้ากระต่ายไว้แน่น

ดิ้นรนอยู่สักพัก เจ้ากระต่ายก็ค่อย ๆ เคลื่อนไหวช้าลง จนค่อย ๆ แน่นิ่งไม่ไหวติง

ผังเป่ยก้าวไปข้างหน้า หยิบมีดออกมาฟันฉับลงไป จัดการเจ้ากระต่ายตัวนี้ในคราวเดียว!

“กระต่าย! กระต่าย!” ร่างเล็ก ๆ ของผังซีวิ่งล้มลุกคลุกคลานมากับหิมะมาตรงหน้าผังเป่ย เธอมองกระต่าย ถ้าไม่มีผังเป่ยอยู่ด้วย เกรงว่าเธอคงจะกินกระต่ายทั้งสด ๆ อย่างนั้นไปแล้ว!

---------------------------------------------

[1] กระต่ายเจ้าเล่ห์มีสามรัง หมายถึง คนเจ้าเล่ห์มักมีแผนการหรือที่หลบซ่อนมากมาย
Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terkait

  • ย้อนเวลาไปเป็นนักล่ายุคก้าวกระโดด   บทที่ 3

    ผังเป่ยหิ้วกระต่ายไว้ ต้องบอกเลยว่าเจ้ากระต่ายตัวนี้ตัวใหญ่ไม่น้อยทีเดียวกระต่ายป่ามักจะตัวไม่ใหญ่เท่ากระต่ายที่เลี้ยงกันในบ้าน ทว่าเจ้าตัวที่อยู่ในมือตัวนี้ อย่างน้อย ๆ ก็หนักสักสามกิโลครึ่งได้นี่มันกินอะไรเข้าไปถึงได้ตัวใหญ่ขนาดนี้กันนะ?ผังเป่ยสนเท่ห์นัก กระต่ายตัวผู้ที่ตัวใหญ่ขนาดนี้ เขาหิ้วมันกลับบ้าน เด็กน้อยก็จดจ้องอยู่กับกระต่ายไม่ละสายตามาตลอดทางน้ำลายสอมาอยู่ในปากตลอดเวลา เธอไม่กล้าปล่อยให้มันไหลออกมา เพราะมันจะทำให้มุมปากถูกความเย็นกัดเอาได้ง่าย ๆ ที่อยู่ของผังเป่ยในตอนนี้ คือกระท่อมไม้หลังเล็ก ๆ หลังหนึ่งบนภูเขาบ้านหลังนี้เป็นบ้านที่ตาของผังเป่ยทิ้งไว้ตอนขึ้นมาพิทักษ์เขา แต่หลายปีมานี้แค่จะลงจากเตียงเขาก็ต้องเปลืองแรงไปมาก ขึ้นมาล่าสัตว์บนภูเขาไม่ได้แล้วเรื่องล่าสัตว์ ไม่ใช่เรื่องที่ใคร ๆ ก็ทำได้ โดยส่วนใหญ่แล้ว เพราะถ้าคนมากเกินไป พวกเหยื่อตัวเล็กๆ ก็จะพากันหลบหนีออกไปด้านนอก หากไม่มีเหยื่อให้ล่า พวกสัตว์ดุร้ายก็จะหันเป้าหมายไปที่หมู่บ้านเป็นอันดับแรกเมื่อก่อน ในป่าเขาล้วนอุดมไปด้วยสัตว์นักล่าทุกหนแห่ง ในหมู่บ้านจึงจำเป็นต้องมีคนมาคอยพิทักษ์เขาหนึ่งคนโดยปก

  • ย้อนเวลาไปเป็นนักล่ายุคก้าวกระโดด   บทที่ 4

    ตอนที่แม่กำลังถลกหนังกระต่าย เขาก็เห็นเข้ากับแผลที่ถูกความเย็นกัดบนมือของแม่เข้าพอเห็นแผลของแม่ ผังเป่ยก็เริ่มคิดไตร่ตรองอยู่ในหัวขึ้นมาทันทีแม่กับน้องสาวแล้วก็ตัวเขาเอง ล้วนไม่มีของที่ไว้ป้องกันความหนาวได้เลย ต่อให้ใช้ชีวิตต่อไปได้ชั่วคราว แต่นี่ยังไม่ถึงช่วงสามเก้าวัน[1]เลย ถ้าถึงช่วงสามเก้าวันที่หนาวเย็นที่สุดแล้ว มีเพียงแค่เสื้อผ้าบนตัวของเธอแบบนี้ เกรงว่าจะต้องหนาวตายทั้งเป็นแน่โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับสภาพอากาศบนภูเขาที่หนาวเย็นว่าด้านล่างภูเขาหลายเท่าตัวแน่นอนว่าช่วงฤดูร้อนก็เปลี่ยนเป็นเย็นสบายดูท่าแล้ว ก็คงจะต้องเตรียมเสื้อผ้าป้องกันความหนาวไว้ด้วย แต่ในตอนนี้ฝ้ายเป็นของหายาก หากจะทำเสื้อผ้าหน้าหนาว ก็จำเป็นต้องใช้ตั๋วผ้านี่มันขัดกับความเป็นจริงในตอนนี้เลย ดูท่าแล้ววิธีที่ดีที่สุดคงจะเป็นขนสัตว์ ขนสัตว์ก็ป้องกันความเย็นได้ แต่ว่าจำเป็นต้องเป็นขนจากสัตว์ขนาดใหญ่สัตว์ใหญ่อย่างพวกหมาใน หมาป่า เสือโคร่ง เสือดาวอะไรพวกนี้ ไม่มีทางเป็นไปได้แน่ เขาไม่ได้มีความสามารถขนาดนั้น คิดจะทำเรื่องพวกนี้ก็คือไปหาเรื่องตายเพราะหนึ่งเขาไม่มีปืน สองคือร่างกายและจิตใจเขายังไม่พร้อม ตอนนี

  • ย้อนเวลาไปเป็นนักล่ายุคก้าวกระโดด   บทที่ 5

    แม้ว่าคำพูดที่ผังเป่ยพูดออกมานั้นจะไม่ผิด แต่หลี่ว์ซิ่วหลันก็ยังคิดว่าลูกชายทำแบบนี้ออกจะสุดโต่งเกินไปถ้าไม่สนใจละก็ ต่อไปอาจจะเสียเปรียบเอาก็ได้แต่พอลองคิดถึงเรื่องนี้ในทางกลับกันดูแล้ว ถ้าลูกชายไม่ทำแบบนี้ เธอจะมีวันที่ได้กินเนื้อกับเขาเหรอ?ไม่มีทางแน่นอน!ดังนั้นเมื่อลองคิดดูแล้ว คำพูดพวกนั้นที่คิดจะสั่งสอนผังเป่ย ก็ถูกหลี่ว์ซิ่วหลันกลืนกลับไปหลังจากผังตงกลับไปแล้ว หลี่ว์ซิ่วหลันก็กินน่องกระต่ายข้างหนึ่งกับผังซี ส่วนผังเป่ยก็กินเองอีกน่องทั้งสามคนกินจนค่อนข้างอิ่ม พอได้กินเนื้อ ร่างกายก็เริ่มอุ่นนี่เทียบไม่ได้กับช่วงที่อยู่ในบ้านเลย ตอนที่อยู่ในบ้านนั้นไม่เคยได้กินข้าวอิ่มแบบนี้เมื่อกินดื่มกันจนอิ่มหนำ เสี่ยวซีก็ช่วยเก็บชามและตะเกียบด้วยกันกับแม่อย่างว่าง่าย ส่วนผังเป่ยก็เตรียมไปหาหัวหน้าเขาเก็บข้าวของเล็กน้อยก็ลุกขึ้น แล้วพูดว่า “แม่ ผมลงเขาไปคุยกับหัวหน้าหน่อยนะ ผังตงพูดถูก อีกเดี๋ยวอากาศก็จะเย็นลงแล้ว บนตัวของพวกเรามีแค่เสื้อผ้าเก่า ๆ แบบนี้ทนไม่ไหวหรอก ผมว่าจะไปขอยืมปืนล่าสัตว์แล้วลงเขาไปหาที่ยิงกวางโรสักสองสามตัว”“อะไรนะ? แกจะยืมปืนเหรอ?”หลี่ว์ซิ่วหลันร้อนร

  • ย้อนเวลาไปเป็นนักล่ายุคก้าวกระโดด   บทที่ 6

    เมื่อได้รับคำสัญญาของหัวหน้า ในใจผังเป่ยก็ดีใจมากไม่เพียงได้รับตำแหน่งผู้พิทักษ์ภูเขา ยังช่วยหาปืนได้อีกด้วยสิ่งนี้สำหรับเขาแล้ว เท่ากับจะได้ล่าเหยื่อได้เยอะ ๆเพียงแต่ ตอนนี้ลูกกระสุนไม่มาก ผังเป่ยคิดจะตัดเสื้อผ้าให้แม่ น้องสาวและตัวเอง แม้จะยิงลูกกระสุนห้าดาวตรงเป้าทุกนัด ก็ใช่ว่าจะแก้ปัญหาได้เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ผังเป่ยยังต้องคิดหาวิธีอีกยิงร้อยครั้งถูกร้อยครั้ง บอกได้ถึงอัตราความแม่นยำ ทว่าระเบิดหัวทุกนัดนั่นมันไร้สาระชัด ๆระเบิดหัวได้ทุกนัดจริง ๆ คงมีแต่ในทีวีแล้วยังไงสัตว์ก็เป็นสิ่งมีชีวิต ไม่ได้มีวิถีที่ตายตัว และพวกมันยังหลบได้อีกด้วยฉะนั้น หากต้องการใช้กระสุนห้านัดยิงกวางโรตะวันออกห้าตัว นั่นยากมากจริง ๆ ผังเป่ยที่เคยผ่านการรบจริงเข้าใจจุดนี้เป็นอย่างดีคิดจะล่ากวางโรตะวันออก ยังต้องใช้สมองอีกหน่อยดังนั้นเมื่อกลับบ้าน ผังเป่ยก็เริ่มเตรียมข้าวของ เขารื้อรั้วที่ล้มลงไปแล้วมาสองสามอัน จากนั้นเลือกท่อนไม้ที่นับว่ายังแข็งแรงอยู่จากในนั้นมาสองสามอันแล้วก็เหลาท่อนไม้พวกนี้ก่อนจะหาปืนมาได้ อุปกรณ์อย่างอื่นที่ทำได้นิดหน่อย อย่างไรก็ต้องทำสักหน่อยถึงยังไง ตอนที่เข

  • ย้อนเวลาไปเป็นนักล่ายุคก้าวกระโดด   บทที่ 7

    หลี่ว์ซิ่วหลันและผังเป่ยช่วยกันตรวจดูเหยื่อบนพื้น จากนั้นช่วยลูกชายมัดเหยื่ออย่างช่ำชองผังเป่ยใช้มือข้างหนึ่งแบกเหยื่อขึ้นมาอย่างสบาย ๆ ส่วนมืออีกข้างจูงผังซี พร้อมลากเหยื่อจากการล่ากลับบ้านไปเต็มไม้เต็มมือเนื่องจากผืนป่าอยู่ในส่วนลึกของภูเขา พวกเขาจึงต้องมุ่งหน้าไปยังกระท่อมพิทักษ์ภูเขาของบ้านตนก่อน แล้วค่อยกลับหมู่บ้านเมื่อกลับมาถึงกระท่อม สามแม่ลูกก็เข้าสู่งานอันเคร่งเครียดทันทีหลี่ว์ซิ่วหลันหั่นเนื้อเป็นชิ้นใหญ่ด้วยความชำนาญ ขณะเดียวกันก็ถลกหนังออกอย่างคล่องแคล่ว เตรียมดำเนินการขั้นจัดการแปรรูปเนื่องจากทรัพยากรบนภูเขามีจำกัด พวกเขาคิดจะนำหนังสดใหม่แช่ลงไปในน้ำอุ่น จากนั้นก็ใช้ไฟรมควัน เพื่อสะดวกต่อการสวมใส่อุ่นร่างกายโดยเร็วที่สุดตอนเด็ก ๆ หลี่ว์ซิ่วหลันมักจะตามพ่อไปเรียนงานฝีมือทำเครื่องหนัง เนื่องด้วยเหตุนี้เมื่อจัดการขึ้นมาจึงง่ายดายระหว่างกระบวนการจัดการเนื้อ ผังเป่ยเลือกเนื้อคุณภาพดีมาประมาณสี่สิบห้าสิบชั่อย่างพิถีพิถัน แล้วใช้เชือกฟางมัดอย่างแน่นหนาเขาคิดจะส่งเนื้อส่วนนี้และปืนล่าสัตว์ให้พร้อมกัน ถือเป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจเนื้อที่เหลือ หลี่ว์ซิ่วหลันคิดจะใช้ต

  • ย้อนเวลาไปเป็นนักล่ายุคก้าวกระโดด   บทที่ 8

    เช้าตรู่วันต่อมา ผังเป่ยรีบลุกลี้ลุกลนกินซุปเล็กน้อย ก่อนจะถือบ่วงดักสัตว์และกับดักจับสัตว์รุดหน้าไปบนเขา ไปติดตั้งกับดักอื่นขณะเดียวกัน หลี่ว์ซิ่วหลันและผังซีอยู่ที่บ้าน ลงมือเย็บเสื้อหนังให้ผังเป่ยขณะผังเป่ยง่วนอยู่กับการติดตั้งกับดักในป่าเขา หลี่ว์ซิ่วหลันก็นำเนื้อกวางโรตะวันออกสดใหม่สองสามชิ้น ไปเยี่ยมหลี่ว์ชิงซงผู้เป็นลุงใหญ่ทีแรก ลุงใหญ่ไม่อยากรับเนื้อไว้ ทว่าหลี่ว์ซิ่วหลันยืนกรานยื่นให้เขา พร้อมบอกข่าวดีกับเขาว่าผังเป่ยกลายเป็นผู้พิทักษ์ภูเขาแล้วหลี่ว์ชิงซงได้ยินดังนั้นก็ดีใจกับเรื่องที่อยู่เหนือความคาดหวัง เขาถามด้วยความตื่นเต้นว่า “จริงเหรอ? เสี่ยวเป่ยล่าสัตว์ได้แล้ว?”หลี่ว์ซิ่วหลันยิ้มพลางพยักหน้ายืนยัน “ใช่ ตอนนี้เขาล่าสัตว์ได้แล้ว!”หลังหลี่ว์ชิงซงดีอกดีใจ เขาก็หมุนตัวเข้าไปหยิบเข็มกับด้ายออกมา พร้อมกับหอกปลายพู่แดงที่ตนได้รับขณะอยู่หน่วยเยาวชนตอนเด็ก ๆ มามอบให้หลี่ว์ซิ่วหลันเมื่อเห็นหอกปลายพู่แดงนั้นอีกครั้ง หลี่ว์ซิ่วหลันก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ นี่เป็นของที่พี่ชายรักที่สุด อย่ามองแค่ว่าเป็นหอกปลายพู่แดง ที่จริงแล้วมันคือหอกสั้นที่เคยอยู่ในมือพ่อ หลังจากนั้น เ

  • ย้อนเวลาไปเป็นนักล่ายุคก้าวกระโดด   บทที่ 9

    ผังเป่ยเพิ่งแบกฟืนกำลังจะเข้าประตูบ้าน ก็เห็นคนคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาเขาชำเลืองไปเห็นเสื้อคลุมทหารที่ถูกปะหนาเตอะ ที่อีกฝ่ายสวมใส่อยู่ตัวนั้น ในใจก็ผุดความคิดขึ้นมาเสื้อคลุมตัวนั้นเป็น ‘สมบัติสืบทอด’ ในสกุลของพวกเขา แม้จะขาดรุ่งริ่งและเก่า ทว่าสืบทอดต่อกันมาสองชั่วอายุคน จนถึงรุ่นเขาเป็นรุ่นที่สามแล้วคนในครอบครัวผลัดกันสวมใส่มัน ตอนแต่งงานในปีนั้น ปู่มอบเสื้อคลุมตัวนี้ให้พ่อ กันลม กันหิมะ และกันความหนาวในตอนนี้ ผู้ที่สวมเสื้อคลุมอยู่ก็คือพี่สาวคนรองของเขา ผังหนานความรู้สึกที่ผังเป่ยมีต่อพี่สาวคนรองคือรังเกียจเธอมักแสวงหาความรู้สึกอยู่เหนือกว่าผู้อื่นในบ้านเสมอ แม้ว่าการถูกปฏิบัติของเธอจะแย่กว่าพี่ใหญ่มาก ทว่าเนื่องจากมีแม่ น้องสาว และตนในฐานะคนที่ถูกเปรียบเทียบ เธอจึงดูเหมือนจะค้นพบความพึงพอใจได้เสมอเธอมีนิสัยชอบพูดจาเหน็บแนมและจิตใจอำมหิต แม้จะมีหน้าตาโดดเด่น แต่มักให้ความรู้สึกเข้าถึงยากอย่างหนึ่งกับคนเมื่อผังหนานเห็นผังเป่ยแบกฟืนกลับมา ก็รีบเปิดโหมดการเย้ยหยันของเธอทันที “อ้าว นี่มันกรรมกรของบ้านเรานี่? ขยันขนาดนี้ทำไมไม่กลับไปช่วยที่บ้านล่ะ? ลงไม้ลงมือกับพี่ใหญ่ นายนี

  • ย้อนเวลาไปเป็นนักล่ายุคก้าวกระโดด   บทที่ 10

    ผังเป่ยรู้ดีว่า การซ่อมบ้านไม่เพียงต้องใช้วัสดุไม้ในปริมาณมาก แต่ยังใช้กำลังคนอีกด้วยเขาตรึกตรอง แม้ว่าทรัพย์สินจะน้อย แต่ก็ต้องเลี้ยงเนื้อผู้คนเพื่อแสดงความขอบคุณคิดจะใช้ชีวิตอยู่อย่างมั่นคงบนภูเขา กำแพงลานบ้านต้องแข็งแรงพอจะต้านทานการบุกรุกของฝูงหมาป่าได้แม้ไม่จำเป็นต้องเหมือนกำแพงไม้ที่สร้างขึ้นอย่างแข็งแรงอย่างที่ประชาคม แต่ความแข็งแรงของรั้วกั้นก็สำคัญนอกจากนี้ เขาต้องเชิญช่างไม้มาซ่อมแซมกระท่อมที่มีลมรั่วรอบด้าน นี่ก็ต้องเลี้ยงข้าวเช่นกันเมื่อนึกถึงเรื่องเหล่านี้ ผังเป่ยก็รู้สึกถึงความกดดันที่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวใช้ชีวิตบนภูเขา เต็มไปด้วยความท้าทายจริงๆ!เช้าตรู่ของวันต่อมา ผังเป่ยลุกขึ้นเตรียมออกเดินทางแม่ส่งเนื้อที่ย่างสุกตั้งแต่เมื่อวานให้เขา ให้เขากินระหว่างทางวันนี้เขาวางแผนจะไปเดินเล่นรอบ ๆ ดูว่าจะหาแหล่งอาหารที่มากขึ้นได้หรือไม่หลังกินข้าวเช้าเสร็จ ผังเป่ยก็รีบมุ่งหน้าไปยังจุดที่ตนวางกับดักเอาไว้ขณะที่เขาเห็นว่าบนกับดักมีกระต่ายตัวหนึ่งมาติด ก็ดีใจราวกับบ้าคลั่ง!นี่เป็นอาหารเลิศรสที่ยากจะได้เชียวนะ!เขารีบไปปลดกระต่ายที่ตายแล้วออกอย่างรวดเร็ว หลังมั

Bab terbaru

  • ย้อนเวลาไปเป็นนักล่ายุคก้าวกระโดด   บทที่ 35

    หลี่ว์ชิงซงตื่นตระหนก เขาไม่คาดคิดว่าจะถูกเดรัจฉานนี้ซุ่มโจมตีเคยได้ยินจากพ่อของตัวเองมาตลอดว่าไอ้เจ้าหมาป่านี้มันดุร้ายและเจ้าเล่ห์นัก แต่ก็ไม่เคยเจอกับตัวมาก่อนแน่นอนว่าถ้าเขาเคยเห็นมาก่อน ก็คงไม่มีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้“ทำไงดี!” เสียงพูดของหลี่ว์ชิงซงสั่นเล็กน้อย แต่เขาก็รีบชักกรวยน้ำแข็งออกมาในทันที ป้องกันไม่ให้หมาป่าที่จะปรากฏตัวขึ้นมาเมื่อไรก็ได้ผังเป่ยกระซิบ "ตอนนี้พวกเราทำได้แค่หาทางถอยกลับไปที่กับดักตรงนั้น ไม่อย่างนั้นเราจะไม่มีทางสู้มันได้!"หลี่ว์ชิงซงพยักหน้า มีกับดักช่วย พวกเขาสองคนก็ยังมีโอกาสรอดตาย ถ้าขืนสู้ไปทั้งอย่างนี้ โอกาสรอดก็เท่ากับศูนย์หลังจากหารือวิธีรับมือแล้ว ชายทั้งสองก็เคลื่อนตัวไปทางกับดักในทันทีแต่จะเคลื่อนไหวเร็วเกินไปไม่ได้ จะให้ฝูงหมาป่ารู้ว่าพวกเขากลัวไม่ได้ดังนั้นต้องไปชิดทางนั้นอย่างระมัดระวังโชคดีที่กับดักอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้หลัก ๆ แล้วผังเป่ยกับหลี่ว์ชิงซงสองคนต้องระแวดระวังขณะถอยไปทางด้านนั้นด้วย แล้วก็ต้องหันหลังให้กัน เพราะกลัวว่าจะถูกลอบโจมตีถึงแม้จะมองไม่เห็น แต่หลี่ว์ชิงซงก็ได้ยินเสียงดังกรอบแกรบที่อยู่รอบตัวแล้วนอกจ

  • ย้อนเวลาไปเป็นนักล่ายุคก้าวกระโดด   บทที่ 34

    หลังจากที่ได้พูดคุยกับตาอยู่พักหนึ่ง ผังเป่ยก็รู้สึกมั่นใจในการล่าสังหารฝูงหมาป่ามากขึ้นการตามล่าราชาหมาป่าก็เป็นศึกสำคัญสำหรับตัวเขาในการรักษาตำแหน่งผู้พิทักษ์ภูเขานี้!ดังนั้นเขาจะต้องชนะเท่านั้น จะแพ้ไม่ได้!แม้ว่ามารดาจะโดนดุอยู่บ้าง แต่โดยรวมแล้วบ้านตาถือว่าใจดีกับพวกเขามากที่นี่ ผังเป่ยสัมผัสได้ถึงความใส่ใจจากครอบครัว แล้วก็ความกลมเกลียวกันของทุกคนในครอบครัวไม่ว่าจะลุงใหญ่หรือยายต่างก็ใจดีกับผังเป่ยมาก แม้ว่าตาเข้มงวดไปสักหน่อย แต่ก็สัมผัสได้ถึงความรักที่กว้างใหญ่ดุจขุนเขาที่ตามีให้ตั้งแต่ยุคโบราณ ลูกสาวกลับบ้านเดิมจะต้องไม่จากไปมือเปล่าคนแก่คนเฒ่ากลัวว่าลูกสาวจะหิวและหนาว จึงจะเตรียมเครื่องนอนและของใช้จำเป็นไว้ให้เมื่อเธอออกเดินทางผังเป่ยกลับบ้านมาพร้อมกับกระเป๋าสัมภาระใบน้อยใหญ่ ในใจเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นดูท่าการพาแม่กลับมาจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว!หลังกลับถึงบ้าน ในตอนที่ผังเป่ยพลิกตัวเข้ามาในลานบ้าน ก็ได้เห็นเข้ากับผังซีที่กำลังเล่นกับสุนัขจิ้งจอกในลานบ้านอยู่พอดีจิ้งจอกนอนเตะขาด้วยท่าทางเจ้าเล่ห์อยู่บนพื้น และมือเล็ก ๆ ของผังซีก็กำลังลูบขนอันนุ่มนิ่

  • ย้อนเวลาไปเป็นนักล่ายุคก้าวกระโดด   บทที่ 33

    ได้รับดาบมา ตอนนี้ผังเป่ยก็ถือว่ามีอาวุธมีพลังทำลายล้างแก่กล้าอยู่อย่างหนึ่งแล้วถึงแม้ดาบซามูไรจะไม่ได้เหมาะกับการล่าสัตว์ แต่เมื่อถึงคราวที่ต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ป่า ก็ยังมีความสามารถพอที่จะใช้ตอบโต้ได้ผังเป่ยเก็บอาวุธเอาไว้ เขารู้ว่านี่ก็นับเป็นมรดกหลังจากเก็บอาวุธแล้ว หลี่ว์หย่วนจงก็มองไปที่ผังเป่ยและพูดด้วยรอยยิ้ม "ไอ้หนู ได้ยินว่าแกอยากจะจัดการกับฝูงหมาป่าใช่ไหม?"ผังเป่ยอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้าตอบ "ใช่ครับ"“รับอันนี้ไป! เดิมทีเดิมนี่ฉันว่าจะเอามันใส่ลงโลงไปด้วย แต่แกคงได้ใช้มัน เพราะงั้นเอาไปเถอะ!”ขณะที่เขาพูดไป ตาก็ส่งสายตาให้ยาย ยายก็ไปเปิดตู้ใหญ่และหยิบชุดคลุมหนังหมีออกมาจากข้างในในทันที!โดยทั่วไปแล้ว พรานจะรวบรวมสิ่งของจำนวนหนึ่งที่ตนได้มาจากการล่าสัตว์ใหญ่ตลอดทั้งชีวิตมาเก็บไว้ ไม่ว่าจะเป็นเขี้ยวหรือหนังยายแย้มยิ้มพร้อมกางหนังหมีออก แล้วสวมให้ผังเป่ยเธอลูบแก้มของผังเป่ยด้วยความเอ็นดูแล้วพูด "เสี่ยวเป่ยใส่แล้วดูเข้ามากจริงๆ!"ในตอนนี้ตาก็ได้ถอดของสิ่งหนึ่งอย่างออกจากคอ แล้วพูด "ไอ้หนู มานี่สิ!"ผังเป่ยเดินเข้าไปอย่างว่าง่าย และหลี่ว์หย่วนจงก็สวมสร้อยคอที

  • ย้อนเวลาไปเป็นนักล่ายุคก้าวกระโดด   บทที่ 32

    สรุปแล้วตาเฒ่ากำลังคิดหาเหตุผลที่จะไปตีอีกฝ่ายในภายภาคหน้าดังนั้นเขาจึงได้เงียบไปผังเป่ยก็พูดขึ้นมาจากด้านข้าง “เรื่องเงินผมจัดการได้ครับ ตาไม่ต้องกังวล”หลี่ว์หย่วนจงพินิจมองผังเป่ย แล้วก็หัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ “เด็กน้อยอย่างแกน่ะ ขนยังขึ้นไม่ครบเลยด้วยซ้ำ ตอนนี้กลับมีฝีมือความสามารถแล้ว ฉันเห็นแล้วว่าแกฆ่าหมาป่ากลับมา ทีแรกฉันนึกว่าทักษะแขนงนี้ของครอบครัวจะหมดสิ้นไปแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าแม้ลูกชายจะทำไม่ได้ แต่หลานชายกลับมารับช่วงต่อ เยี่ยมเลย!”พูดถึงตรงนี้ หลี่ว์หย่วนจงก็เอี้ยวตัวไปเปิดตู้ข้างเตียง และหยิบของจากข้างในออกมาหลายอย่าง สิ่งแรกคือหนังแกะผืนหนึ่งหลี่ว์หย่วนจงส่งหนังแกะให้ผังเป่ยแล้วพูดต่อ “ในเมื่อแกอยู่ในวงการนี้ งั้นก็ต้องรู้จักเส้นทางการกระจายตัวบนภูเขา ที่ไหนน่าจะมีอะไร แผนที่นี้ได้มาจากหยาดเหงื่อแรงกายที่ฉันบากบั่นมาตลอดชีวิต ทีแรกฉันตั้งใจจะให้ลุงใหญ่ของแก แต่เขาไม่เอาไหน ไม่มีฝีมือในการล่าสัตว์ แต่แกมี สิ่งนี้เลยต้องส่งต่อให้แก บนแผนที่นี้ไม่ได้มีแต่เส้นทางกระจายสินค้าเท่านั้น แต่ยังมีสัญลักษณ์อยู่อีกจำนวนหนึ่ง ที่ไหนไปได้ ที่ไหนไปแล้วต้องระวังให้มาก แล้

  • ย้อนเวลาไปเป็นนักล่ายุคก้าวกระโดด   บทที่ 31

    เมื่อเห็นบิดาถือไม้เท้าเดินออกมา หลี่ว์ซิ่วหลันก็ทรุดลงคุกเข่าลงกับพื้นดังปั๊ก"พ่อ!"ชายชรามองดูลูกสาวของตนที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น แล้วถอนหายใจอย่างจนใจ "ลุกขึ้น เดี๋ยวคนอื่นเขาจะหัวเราะเยาะเอา กลับบ้านกับฉัน!"หลี่ว์ซิ่วหลันตะลึงงัน แล้วพี่ใหญ่ก็มาดึงเธอขึ้น “เธอคิดอะไรอยู่ กลับบ้านกับพ่อสิ!”หลี่ว์ซิ่วหลันพยักหน้ารัว ๆ แล้วขานตอบ "อือ!"พอหยัดกายลุกขึ้นแล้ว หลี่ว์ซิ่วหลันก็ลากผังเป่ยเดินไปทางบ้านของตัวเองด้วยกันทันทีที่เขาก้าวเข้าไปในลานเล็ก คุณตาก็นั่งลงอย่างช้า ๆ เขาทำหน้าปั้นปึ่ง ไม่พูดไม่จาบรรยากาศลานเล็กดูอึดอัดมากอย่างชัดเจน หลี่ว์ชิงซงหันซ้านหันขวาแล้วชิงพูดก่อน "พ่อ หลันจื่อเองก็จนปัญญา..."หลี่ว์หย่วนจงมองลูกสาว "แกตั้งใจจะหย่าแล้วงั้นเรอะ?"หลี่ว์ซิ่วหลันพยักหน้า แต่ไม่กล้าปริปากพูดแม้ว่าลูกสาวจะอายุสิบเจ็ดปีแล้ว แต่ในสายตาของบิดา เธอก็ยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง“ตั้งแต่แต่งเข้าไปมันตีแกมาตลอดเลยเหรอ” ชายชราจ้องมองลูกสาวหัวแก้วหัวแหวน สีหน้าอาฆาตแค้นอย่างเห็นได้ชัดในขณะที่หลี่ว์ซิ่วหลันกำลังสับสนอยู่นั้น ผังเป่ยที่อยู่ข้างกันก็เอ่ยปากตอบ "ตีมาตลอด ตั้งแต่ผมจำค

  • ย้อนเวลาไปเป็นนักล่ายุคก้าวกระโดด   บทที่ 30

    “ฉันว่านะคะหัวหน้า เรารายงานไปดีกว่า ถ้ายื่นคำร้องไป เบื้องบนจะต้องไม่อนุมัติแน่ เราก็ฉวยโอกาสนี้บอกว่างั้นเราจะทำเอง แต่เบื้องบนต้องให้เอกสารอนุมัติ บอกว่าได้มอบปืนให้แล้วก็สิ้นเรื่อง!”หลี่ว์ไห่เห็นว่าความคิดนี้มาจากสาวม่ายในหมู่บ้านเขาอดยิ้มไม่ได้ “ผมว่าความคิดของแม่ม่ายไช่ไม่เลวเลยนะ! ทุกคนว่ายังไง!”“วิธีนี้ดีเลย ใครก็มาจับผิดไม่ได้!”ทุกคนได้ฟังแล้วก็พากันเห็นดีเห็นชอบด้วยอย่างเซ็งแซ่ในทันทีเมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หลี่ว์ไห่ก็พูดขึ้น "ถ้าอย่างนั้นกองกำลังจะอนุมัติเอกสารให้นายก่อน แล้วนายก็ไปหาปืนมา นักบัญชีเอ้อร์! เบิกเงินของกองกำลังออกมาให้ผังเป่ยห้าสิบหยวน ส่วนที่เหลือจะให้เมื่อมีเงิน"ผังเป่ยได้ยินว่าให้เงินเขาห้าสิบหยวน! เรื่องนี้มันเยี่ยมไปเลยนี่นา!เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “หัวหน้าพูดจริงเหรอครับ? ห้าสิบหยวนน่าจะซื้อกระสุนได้ไม่ร้อนเลยสิครับ?”หลี่ว์ไห่หัวเราะ "ไอ้หนู เมื่อกี้ยังแสร้งทำเป็นหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีต่อหน้าฉันอยู่เลย!"“ก็นั่นไม่ใช่เพราะขาดเงินขาดกระสุนหรือไง? แต่ผมรับประกัน ขอแค่หาปืนหากระสุนได้ ผมสัญญาว่าจะกำจัดหมาป่าฝูงนี้ให้ทุกคนเอง!”แม่หม้ายไช่กลั้นหัวเราะไม

  • ย้อนเวลาไปเป็นนักล่ายุคก้าวกระโดด   บทที่ 29

    เมื่อเห็นผังโหย่วฝูวิ่งหนีไป หลี่ว์ซิ่วหลันก็รู้สึกแค่ว่าเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก แต่เธอกลับไม่ได้ดีใจนักผังโหย่วฝูจากไปแล้ว และทุกคนก็เริ่มสังเกตเห็นหลี่ว์เอ้อร์จู้ที่ได้รับบาดเจ็บแล้วไหนจะหมาป่าตัวนี้ที่ผังเป่ยถืออยู่ในมืออีกทั้งหมู่บ้านกำลังลือกันว่าผังเป่ยฆ่าหมาป่าสองตัวด้วยตัวเองเพียงลำพัง แต่หลายคนก็ไม่เชื่อครั้งนี้ ผังเป่ยแบกมาให้ได้เห็นกันอีกตัวคราวนี้ทุกคนไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแล้ว!หลี่ว์ไห่เห็นว่าคนในหมู่บ้านออกมาดูความสนุกกันแทบจะทั้งหมู่บ้านดังนั้นจึงถือโอกาสเปิดประชุมใหญ่มันเสียเลย"ฉันว่าทุกคนน่าจะอยู่กันเกือบครบ เรามาประชุมกันตรงนี้สักหน่อยก็แล้วกันนะ"หลี่ว์ไห่พูดประโยคนี้ขึ้นมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ไม่มีใครกล้าพูดอะไร ทำได้เพียงเดินไปในลานของกองกำลังเพื่อรอการประชุมเดิมทีหมู่บ้านก็ไม่ได้ใหญ่โตนัก สถานที่ที่กว้างขวางที่สุดก็คือลานสำนักงานของกองกำลังและภายในลานที่ไม่นับว่าใหญ่โตนี้ก็อัดแน่นไปด้วยผู้คนในพริบตา หลี่ว์ไห่ตะเบ็งเสียง "เหล่าสมาชิกกองกำลังชิงหลงโปรดอยู่ในความสงบสักครู่ ตอนนี้พวกเราจะทำการประชุมกัน จะไม่ทำให้เสียเวลาอาหารของทุกคน ผมจะพูดสั้น ๆ แค

  • ย้อนเวลาไปเป็นนักล่ายุคก้าวกระโดด   บทที่ 28

    สรุปแล้วเธอได้รับอะไรตอบแทนจากความจริงใจของเธอ?คนตระกูลนั้นมีแต่พวกไม่รู้คุณคน!หัวใจของหลี่ว์ซิ่วหลันถูกทำลายจนแตกสลายไปจนหมดเมื่อมีคนมาสนับสนุนเธอพอดี เธอก็พูดไปตามตรงให้มันกระจ่างไปเสียผังโหย่วฝูสับสนมึนงงเขาไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าหลี่ว์ซิ่วหลันจะกล้าหย่าจริงๆ!เพราะอย่างไรเสียในชนบทก็ยังคงมีอคติอยู่ ผู้หญิงที่หย่าร้างก็ยังถูกมองว่าเป็นอัปมงคลอยู่ดีแต่ปัญหาคือหลี่ว์ซิ่วหลันไม่ได้กังวลแต่อย่างใด เธออาศัยอยู่บนเขาอยู่แล้ว และก็ไม่คิดจะมองหาที่อื่นนี่จะมีอะไรไม่มงคลนอกจากนี้สมาชิกทุกคนก็ได้เห็นกันหมดแล้ว ว่าไอ้หมอนี่มันชั่วช้ายังไง!ใครจะว่าอะไรเธอได้?“หน็อยแน่! แก! แกอยากหย่าใช่ไหม? งั้นแกก็คืนสินสอดทองหมั้นของบ้านฉันมา!”เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลี่ว์ชิงซงก็กระวนกระวายใจ "ไอ้ระยำอัปรีย์ สินสอดทองหมั้นของบ้านแกอย่างนั้นเหรอ? แล้วขนสัตว์ที่เราให้เป็นสินเดิมเจ้าสาวล่ะ? คืนมันมาให้หมด! แล้วไหนจะเนื้อที่เราให้ไปตอนนั้นอีก แกคืนมาให้ฉันด้วย!"หลี่ว์ไห่กล่าว "ซิ่วหลันอยู่บ้านแกมาตั้งหลายปี ยอมให้แกโขกสับ แล้วก็ทำงานให้พวกแกทั้งบ้าน ไอ้สวะอย่างแกจ่ายค่าแรงให้บ้างไหม"เมื่อหลี่

  • ย้อนเวลาไปเป็นนักล่ายุคก้าวกระโดด   บทที่ 27

    ณ ลานว่างในหมู่บ้าน คนกลุ่มหนึ่งกำลังล้อมชายรูปร่างผอมแห้งแรงน้อยคนหนึ่งเอาไว้ชายคนนั้นถูกล้อมรอบ ตื่นกลัวจนไม่กล้าเอ่ยปากพูดจาเขาเอาแต่ย้ำว่าตนมาตามหาลูกเมียแต่ชาวบ้านก็มีสีหน้าไม่สู้ดีต่อเขาอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเห็นคนเหล่านี้มองมาด้วยสายตาไม่เป็นมิตร ชายคนนั้นก็โวยวายขึ้นทันใด "หลี่ว์ซิ่วหลัน นังเมียจอมล้างผลาญ โผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี้! แกกินข้าวกินน้ำบ้านฉันแล้วจะมาสะบัดตูดทิ้งกันไปดื้อๆ อย่างนั้นเหรอ? แกยังมียางอายอยู่ไหม?"ชายคนนั้นก่นด่าสาดเสียเทเสีย และด้วยความตื่นกลัว เขาจึงยิ่งใช้ถ้อยคำรุนแรงขึ้นเรื่อยๆในขณะนั้นเอง จู่ ๆ ก็มีคนตะโกนขึ้นมา "ผังโหย่วฝู! ไอ้สารเลว แกตีน้องสาวฉัน แถมยังทำไม่ดีกับหลานชายหลานสาวฉันด้วย ไอ้สวะนี่ แกยังคิดว่าตัวเองถูกอยู่อีกเหรอ!"ชายคนนั้นสั่นสะท้านไปทั้งตัว แล้วหันไปมองหลี่ว์ชิงซงที่ถือขวานเจาะน้ำแข็งอยู่ในมือด้วยสายตาหวาดผวาเดิมทีหลี่ว์ชิงซงก็คับอกคับใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เรื่องที่น้องสาวของเขาถูกรังแก แต่กลับไม่อาจไปเอาเรื่องตัวการได้อย่างไรเสียที่นั่นก็อยู่ห่างออกไปไกลลิบ อีกอย่างถ่อไปก่อเรื่องถึงที่กองกำลังของคนอื่น ตัวเองก็ย่อมจะมีแ

Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status