Share

บทที่ 3

Penulis: วิถีมารไร้ขอบเขต
ผังเป่ยหิ้วกระต่ายไว้ ต้องบอกเลยว่าเจ้ากระต่ายตัวนี้ตัวใหญ่ไม่น้อยทีเดียว

กระต่ายป่ามักจะตัวไม่ใหญ่เท่ากระต่ายที่เลี้ยงกันในบ้าน ทว่าเจ้าตัวที่อยู่ในมือตัวนี้ อย่างน้อย ๆ ก็หนักสักสามกิโลครึ่งได้

นี่มันกินอะไรเข้าไปถึงได้ตัวใหญ่ขนาดนี้กันนะ?

ผังเป่ยสนเท่ห์นัก กระต่ายตัวผู้ที่ตัวใหญ่ขนาดนี้ เขาหิ้วมันกลับบ้าน เด็กน้อยก็จดจ้องอยู่กับกระต่ายไม่ละสายตามาตลอดทาง

น้ำลายสอมาอยู่ในปากตลอดเวลา เธอไม่กล้าปล่อยให้มันไหลออกมา เพราะมันจะทำให้มุมปากถูกความเย็นกัดเอาได้ง่าย ๆ

ที่อยู่ของผังเป่ยในตอนนี้ คือกระท่อมไม้หลังเล็ก ๆ หลังหนึ่งบนภูเขา

บ้านหลังนี้เป็นบ้านที่ตาของผังเป่ยทิ้งไว้ตอนขึ้นมาพิทักษ์เขา แต่หลายปีมานี้แค่จะลงจากเตียงเขาก็ต้องเปลืองแรงไปมาก ขึ้นมาล่าสัตว์บนภูเขาไม่ได้แล้ว

เรื่องล่าสัตว์ ไม่ใช่เรื่องที่ใคร ๆ ก็ทำได้ โดยส่วนใหญ่แล้ว เพราะถ้าคนมากเกินไป พวกเหยื่อตัวเล็กๆ ก็จะพากันหลบหนีออกไปด้านนอก หากไม่มีเหยื่อให้ล่า พวกสัตว์ดุร้ายก็จะหันเป้าหมายไปที่หมู่บ้านเป็นอันดับแรก

เมื่อก่อน ในป่าเขาล้วนอุดมไปด้วยสัตว์นักล่าทุกหนแห่ง ในหมู่บ้านจึงจำเป็นต้องมีคนมาคอยพิทักษ์เขาหนึ่งคน

โดยปกติแล้วจะเป็นพรานมือดีที่สุดในหมู่บ้าน พวกเขาจะไม่อาศัยอยู่ในหมู่บ้าน แต่จะใช้ชีวิตอยู่บนเขา

และคนพิทักษ์เขานั้น ก็จะเหมือนกับเทพพิทักษ์ของหมู่บ้าน คอยปกป้องรักษาความสงบสุขรอบ ๆ หมู่บ้านอยู่ตลอดเวลา

ทันทีที่สัตว์นักล่าเข้าหมู่บ้าน สร้างความเสียหายแก่ไร่นา แบบนั้นในหมู่บ้านก็ถึงคราวแย่แล้ว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคสมัยนี้ ผังเป่ยมักจะได้ยินคนเฒ่าคนแก่พูดถึงคำเรียกที่เกี่ยวกับยุคสมัยนี้คำหนึ่ง

ซึ่งคำนั้นก็คือ ‘ยุคตกต่ำ’

นี่เป็นเรื่องราวในตอนที่โซเวียตถอนตัวผู้เชี่ยวชาญกลับไป แล้วเรียกร้องให้ประเทศจีนชดใช้หนี้ แม้ว่าจะมีพืชพรรณธัญญาหารในท้องทุ่งแต่ก็กินไม่ได้ เพราะล้วนต้องนำไปใช้หนี้ทั้งสิ้น

ช่วงเวลาในยุคตกต่ำ ทุกคนหิวโหยเสียจนอย่าว่าแต่พืชป่าเลย กระทั่งเปลือกไม้ก็ถูกลอกออกมากินจนเกลี้ยง

ทว่าในป่าลึก โดยส่วนใหญ่แล้วไม่ได้รับผลกระทบอะไร เพียงแต่มาตรฐานปริมาณธัญญาหารของสมาชิกในชุมชนนั้นลดลงไปถึงขั้นที่ในแต่ละวันทุกคนจะได้ธัญญาหารเพียงหนึ่งร้อยกรัมเท่านั้น

น้อยนิดแค่หนึ่งร้อยกรัม จะไปกินอิ่มเสียที่ไหน?

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมสามอยู่สามปี ชีวิตจึงยิ่งลำบากยากแค้นเข้าไปใหญ่

และในตอนนี้ บอกตามตรงเลยว่า คนที่ยังใช้ชีวิตอยู่ดีได้ ก็คือพรานที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าเขา

ส่วนทำไมจะต้องซ่อนตัวอยู่ในป่าเขานั้น

นั่นก็เป็นเพราะหากไม่ห่างไกลผู้คน แบบนั้นคุณก็รอถูกตัดสินข้อหา “ครอบครองสาธารณสมบัติของชาติโดยพลการ” ได้เลย!

เพราะคนที่ถูกจับเพราะแค่เด็ดผลไม้เล็กๆ น้อยๆ ในป่าก็มีให้เห็นมาแล้ว

โชคดีที่สถานที่ที่ผังเป่ยอยู่นั้นตั้งอยู่แม่น้ำเกินเหอซึ่งอยู่กลางเทือกเขาต้าซิ่งอันหลิ่ง สถานที่แห่งนี้เพิ่งได้รับการจัดตั้งเป็นนครระดับจังหวัดได้ไม่นาน

ดังนั้นบริเวณนี้จึงกว้างใหญ่ร้างผู้คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณธารน้ำชิงหลงที่เขาอาศัยอยู่ ซึ่งเป็นป่าเก่าแก่ในเขาลึก เป็นซอกหลืบที่แทบจะถูกผู้คนลืมเลือน

ขอแค่อยู่บนภูเขา ส่วนใหญ่แล้วก็จะไม่มีใครมายุ่ง

ตอนนั้น คนที่ทำผิดหลายคนล้วนหนีขึ้นเขา เมื่อขึ้นเขาไปได้ก็นับว่าปลอดภัยแล้ว

ดังนั้น ผังเป่ยคิดแล้วว่าการล่าสัตว์อยู่ในเขาจึงเป็นทางรอดเพียงหนึ่งเดียวในตอนนี้ เพียงแต่ว่าจะทำอย่างไรถึงจะได้รับอนุญาตจากหัวหน้าในชุมชนนี่สิ

ผู้พิทักษ์เขาไม่กินธัญญาหารส่วนรวม แต่ยังต้องทำงานให้ชุมชน ดังนั้นเขาจึงได้รับการอนุญาตให้เก็บเกี่ยวและล่าสัตว์บนภูเขาได้เป็นการตอบแทน

ขอแค่คุณปฏิบัติตามหน้าที่ โดยส่วนใหญ่แล้วจึงไม่มีใครยุ่มย่ามไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตาม

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในยุคสมัยนั้นที่ยังไม่มีกฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า

ขอแค่คุณไม่ไปหักร้างถางพงทำการเพาะปลูกอยู่บนเขา ก็ไม่มีปัญหาอะไร

ล่าสัตว์บนเขา เป็นวิธีเดียวในตอนนี้ที่จะทำให้แม่กับน้องสาวได้กินอิ่มท้อง

หิ้วกระต่ายกลับบ้าน ที่นอกกระท่อมซึ่งล้อมไปด้วยรั้วผุพัง ผังเป่ยเห็นแม่กำลังเขย่งเท้ารอลูกชายลูกสาวกลับบ้าน

พอเห็นแม่ ผังซีก็วิ่งซอยเท้าไปหาด้วยความตื่นเต้นดีใจ “แม่! แม่! แม่ดูสิ พี่จับกระต่ายกลับมาละ! ตอนเย็นจะได้กินเนื้อแล้ว!”

หลี่ว์ซิ่วหลันผู้เป็นแม่เห็นลูกชายกลับมาแล้ว ก็ถึงกับน้ำตาไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

ภูเขาที่พวกเขาอาศัยอยู่ แม้แต่พรานเฒ่าในหมู่บ้านก็ยังไม่กล้าเข้ามา

เพราะทุกคนล้วนเล่าลือกันว่า บนเขาลูกนี้มีเทพเจ้าแห่งภูเขาสถิตอยู่ เมื่อขึ้นภูเขาจะทำให้เทพเจ้าแห่งภูเขาไม่พอใจ เมื่อเข้าไปแล้วจึงไปแล้วไปลับไม่หวนกลับคืน

แต่ลูกชายกับลูกสาวกลับกลับออกมาอย่างปลอดภัย แถมยังนำเนื้อกลับมาด้วย?

“แกไม่เป็นอะไรนะ? แม่ไม่ให้พวกแกไป แกก็รั้นแต่จะไปให้ได้ เมื่อกี้นี้ลุงใหญ่ของแกแอบเอาแป้งข้าวโพดมาให้พวกเราหนึ่งโล พวกแกเข้าไปในป่าเขาน่ะมันอันตรายแค่ไหนรู้ไหม?”

ลุงใหญ่ของผังเป่ยมีชื่อว่าหลี่ว์ชิงซง

เขาเองก็เป็นพรานในหมู่บ้านเช่นกัน แต่เกือบจะได้รับหน้าที่ให้ไปอยู่ในเขา

ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าขึ้นเขาอีก

เดิมทีลุงใหญ่กับหัวหน้าล้วนเป็นลูกศิษย์ของตาทั้งคู่ พวกเขาล้วนต้องรับหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ภูเขา ทว่านับตั้งแต่ที่หัวหน้าได้เป็นหัวหน้าของชุมชน เขาก็ไม่มีเวลาขึ้นเขาอีก

ส่วนลุงใหญ่นั้นในใจยังคงมีความหวาดผวา ไม่กล้าเข้าป่าเขาเลย

ต่อมาในหมู่บ้านก็มีหลายคนที่หมายตาบริเวณนี้ ทว่าสุดท้ายก็สิ้นลมหายใจกันไปเสียหมด

ส่วนตาก็อายุมากแล้ว ไม่อาจเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในป่าเขาตามลำพังได้อีก

ดังนั้น นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ชุมชนจึงไม่มีผู้พิทักษ์ภูเขาอีก

และสาเหตุที่ต้องแอบนำของมาส่งให้ ก็เพราะว่าตายังไม่รู้ว่าลูกสาวถูกคนขับออกมาแล้ว

กลัวก็แต่ว่าถ้าตาได้รู้นิสัยใจคอของเขาเข้า จะต้องคว้าปืนล่าสัตว์ไปเอาเรื่องกับเขาสุดชีวิตแน่

ตอนนั้นให้ลูกสาวแต่งกับเขา แต่สุดท้ายกลับปฏิบัติกับลูกสาวคนอื่นเขาแบบนี้

ส่วนแป้งข้าวโพดที่พูดถึง ปีนั้นสินสมรสที่ตาให้นั้นมีไม่น้อย ทั้งฟูกหนังสัตว์ ผ้านวม ไหนยังจะเสื้อคลุมหนังอีก ล้วนเป็นของที่คนเขาส่งไปให้ แต่ย่าของผังเป่ยกลับยึดเอาของพวกนี้ไว้เสียเอง ปากก็เอาแต่พร่ำว่าพวกเขาใช้แป้งข้าวโพดซื้อตัวแม่มา พูดเสียจนเจ้าตัวหลงเชื่อ คราวนี้พอกลับมาแล้ว หลี่ว์ซิ่วหลันถึงได้รู้ ว่าปีนั้นพี่ใหญ่ส่งของไปให้พวกเขาก่อนที่ตัวเธอเองจะแต่งงานออกไปเสียอีก

แบบนี้ อีกฝ่ายถึงได้ส่งแป้งข้าวโพดกลับมาห้าสิบกิโลกรัม

ผังเป่ยยิ้มแป้นพลางส่งกระต่ายให้แม่ จากนั้นก็ยิ้มกริ่มแล้วพูดว่า “แม่เอากระต่ายไปตุ๋นแกงเถอะ ผมหิวแล้ว ไว้กินอิ่มแล้วผมค่อยทำกับดักเพิ่มอีกสักสองสามอัน ลองดูว่าจะจับกระต่ายได้มากขึ้นหน่อยไหม อย่างน้อยพวกเราก็ไม่ถึงขั้นอดตาย แถมยังพิสูจน์ได้ว่าพวกเรามีชีวิตดีกว่าเมื่อก่อนอีกไม่ใช่เหรอ? อย่างน้อยพวกเราก็มีเนื้อกินเชียวนา!”

กระต่ายที่รับมาจากมือของผังเป่ยนั้น ยังมีเลือดสด ๆ ไหลอยู่เลย

หลี่ว์ซิ่วหลันหิ้วกระต่ายไว้ ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้สะอึกสะอื้นออกมา

เพื่อตัวเธอเองแล้ว ลูกถึงได้ก้าวออกมาต่อปากต่อคำอยู่สองประโยค สุดท้ายสามีกลับยกเรื่องตอนที่ใช้แป้งข้าวโพดห้าสิบกิโลกรัมมาแต่งงานกับตัวเธอขึ้นมา

แถมยังใช้เก้าอี้ฟาดใส่หัวเธอด้วย

และสาเหตุของเรื่องทั้งหมดนี้ ก็เพราะว่าตัวเธอเองกับข้าวให้พ่อแม่สามีช้าไป

ที่ทำกับข้าวช้าก็ไม่ได้มีสาเหตุมาจากตัวเธอเองด้วยซ้ำ มันเป็นเพราะฟืนในบ้านหมดแล้ว ทั้งลูกชายคนโตกับลูกสาวคนรองในบ้านก็ขี้เกียจตัวเป็นขน ไม่ยอมขยับตัวทำอะไร

สองคนนี้ไม่ใช่ลูกที่เกิดจากหลี่ว์ซิ่วหลัน และพ่อแม่สามีก็เอาแต่ถือหางพวกเขา เพราะถึงอย่างไรแล้วก็เป็นหลานคนโต

ดังนั้น พวกเขาจึงทำใจให้หลานคนโตที่อายุยี่สิบกว่าปีแล้วทำงานไม่ได้ เลยคอยเรียกใช้งานหลี่ว์ซิ่วหลันทั้งวัน แค่มีอะไรไม่พอใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็จะลงไม้ลงมือด่าทอ

เพราะเรื่องนี้ ผังเป่ยถึงได้ทะเลาะกับคนในบ้าน

เห็นลูกชายจับกระต่ายกลับมา ในที่สุดน้ำตาของหลี่ว์ซิ่วหลันก็หลั่งรินออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

เธอร้องไห้ไป พูดไปว่า “ได้ ถ้าหิวแล้ว แม่จะตุ๋นแกงกระต่ายให้แกเอง!”

ผังเป่ยยิ้มพลางกล่าวว่า “แม่ หั่นน่องกระต่ายทั้งสองข้างไว้ต่างหากนะ อีกเดี๋ยวจะเอาไปย่างกิน ย่างกินแล้วอร่อยสุดๆ!”

หลี่ว์ซิ่วหลันเช็ดน้ำตา จากนั้นจึงพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ได้ เดี๋ยวแม่จะทำให้แกเอง!”

ผังเป่ยอุ้มผังซีขึ้นมา หัวเราะพลางกล่าวว่า “เสี่ยวซี ได้ยินไหม? ตอนเย็นจะมีเนื้อกินแล้วนะ!”

“อื้อ! ได้กินเนื้อแล้ว! ได้กินเนื้อแล้ว!”

แม้ว่าบนเขาจะหนาว ทั้งยังลำบาก

แต่พอเห็นท่าทางเบิกบานใจของลูกชายกับลูกสาว จู่ ๆ หลี่ว์ซิ่วหลันก็รู้สึกว่าตัวเองทำแบบนี้นั้นถูกต้องแล้ว

เพียงแต่ว่า ครั้งนี้ลูกชายจับกระต่ายกลับมาได้ แล้วต่อไปล่ะ?

หนนี้โชคดีกลับมาได้อย่างปลอดภัย แต่ไม่ได้หมายความว่าหลังจากวันนี้ก็จะเป็นแบบนี้อีก!

แต่เธอไม่มีเวลาให้มาคิดมากเรื่องพวกนี้ หวังเพียงแค่ว่าตอนนี้จะทำของอร่อย ๆ ออกมาให้ลูก ๆ ได้กิน

ปกติแล้ว ถ้ามีเนื้อจริง ๆ ผังเป่ยกับผังซีก็ไม่ได้กินอยู่ดี

โดยส่วนใหญ่แล้วจะต้องเอาให้พ่อแม่สามีกินก่อน จากนั้นก็สามี แล้วค่อยไปถึงลูกชายลูกสาวทั้งสองของเขา

ตอนที่มาถึงพวกเขา แม้แต่น้ำแกงก็ไม่มีเหลือแล้ว

ผังซีอายุสี่ขวบแล้ว แต่ยังไม่เคยรู้มาก่อนว่าเนื้อรสชาติเป็นอย่างไร

ทันทีที่นึกถึงเรื่องนี้ ในใจของหลี่ว์ซิ่วหลันก็ปวดร้าวไปหมด

เธอรีบจัดการทำอาหารทันที สาเหตุที่สร้างกระท่อมอยู่ที่นี่ก็เพราะว่าที่นี่มีน้ำ แต่ว่าต้องไปเจาะน้ำแข็งกลับมาละลายเป็นน้ำเอง

ตอนที่ผังเป่ยกับผังซีออกไป เธอก็จัดการละลายน้ำในบ้าน

เห็นแม่กำลังยุ่ง ผังเป่ยเลยนั่งยอง ๆ อยู่ข้าง ๆ คอยช่วยไปพลาง ยิ้มไปพลางแล้วกล่าวว่า “แม่ พรุ่งนี้ผมกะว่าจะทำกับดักอีกสองอัน นั่งรอกระต่ายอยู่ในหิมะมันอันตรายเกินไป”

หลี่ว์ซิ่วหลันหยุดมือที่กำลังจัดการกับกระต่าย เธอมองผังเป่ย แล้วพูดออกไปด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง “เสี่ยวเป่ย แกฟังแม่นะ อย่าเข้าไปอีกเลย พรุ่งนี้แม่จะลงเขาไปดูว่าจะหางานทำที่ชุมชนได้ไหม ต่อให้ต้องซักผ้าให้พวกเขาก็ได้ทั้งนั้น”

“แกรับปากกับแม่สิ ว่าจะไม่เข้าป่าเขาอีก!” หลี่ว์ซิ่วหลันพูดประโยคนี้ ทั้งยังจับข้อมือของผังเป่ยแน่น

ผังเป่ยกลับยิ้มอ่อนโยน “แม่ ผมไม่ได้เข้าไปในป่าลึกหรอก แล้วผมเองก็ไม่มีปืนล่าสัตว์ด้วย ถ้าเกิดไปเจอสัตว์ดุร้ายเข้าจะทำยังไง? อีกอย่าง แม่ก็สบายใจได้ ผมน่ะยังพอเอาตัวรอดในป่าได้ ถ้าสู้ไม่ไหว ก็ยังหนีได้ไม่ใช่เหรอ? แล้วก็แค่ดักจับกระต่ายป่าอยู่รอบ ๆ นี้เอง”

“อีกอย่างนะแม่ พวกเราสามคนต้องใช้ชีวิต ผมเองก็โตแล้ว ปีหน้าก็จะเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ถ้าผมไม่หางานทำสักหน่อย วันข้างหน้า... จะแต่งงานมีครอบครัวได้ยังไง? แม่ไม่อยากอุ้มหลานเหรอ?”

ผังเป่ยจงใจพูดจาเอาใจแม่ เพราะทันทีที่ผังเป่ยพูดถึงหาภรรยา เธอก็ถึงกับชะงักไป

จากนั้นก็ยิ้มแย้มดีใจ “เด็กอย่างแกนี่นะ ขนยังไม่ทันขึ้นครบก็คิดจะหาภรรยาแล้ว ได้ๆๆ ถ้าแกมีความตั้งใจแบบนั้น งั้นก็ไปหาลุงใหญ่กับตาแกบ่อย ๆ แล้วเรียนรู้เรื่องพวกนี้ แต่แกต้องรับปากแม่ว่า ถ้าแกเรียนแล้วยังไม่เป็น ห้ามเข้าป่าลึกเด็ดขาด! เข้าใจไหม!”

ผังเป่ยพยักหน้าพลางกล่าวว่า “เข้าใจแล้ว ผมจะกลับมาทุกวัน ไม่เข้าป่า!”

“แม่รีบทำเนื้อเถอะ ท้องผมนี่ร้องจ๊อก ๆ แล้ว นี่ถ้าผมหิวจนไส้กิ่วแล้ว ต่อไปจะไปเอาใจภรรยาได้ยังไง?”

หลี่ว์ซิ่วหลันอดขำพรืดออกมาอย่างสุขใจไม่ได้ “ได้ๆๆ จะทำให้แกเดี๋ยวนี้แหละ เจ้าเด็กตะกละ!”

ขณะที่หลี่ว์ซิ่วหลันกำลังจะเตรียมทำงาน จู่ ๆ ผังเป่ยก็ยื่นมือออกมา “แม่ เอาของนั่นให้ผมเถอะ! ผมได้ใช้มันแน่!”

เห็นมือเล็ก ๆ ที่ยื่นออกมาของผังเป่ยแล้ว หลี่ว์ซิ่วหลันพลันชะงักงัน “ของอะไร?”

“แม่เอาของมาห่อหนึ่ง ยาเบื่อหนูใช่ไหม?”

หลี่ว์ซิ่วหลันหลุดยิ้มออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ เธอลุกขึ้นแล้วหยิบห่อกระดาษออกมา จากนั้นก็ส่งให้ผังเป่ย “เอ้า แกเอาไปเลย ต่อไปไม่มีเกลือกิน ก็อย่ามาร้องทีหลังแล้วกัน!”

ผังเป่ยชะงักไป เขาเปิดห่อกระดาษ แล้วจึงเห็นของสีขาว ๆ ด้านในห่อกระดาษ

เขาลองชิมเล็กน้อย แล้วก็เบิกตากว้าง บนดวงหน้าเองก็ฉายไปด้วยความเขินอาย “เกลือเหรอ?”

แม่หัวเราะหึ ๆ แล้วจึงลูบผมผังเป่ยอย่างเบามือ “แม่แค่ไม่อยากทำให้ตาแกลำบากใจ หรือทำให้เขาโทษตัวเอง แล้วจากฐานะของบ้านเราก็ใช่ว่าจะอยู่รอดไม่ได้ แม่โง่ถึงขนาดที่จะพาพวกแกไปหาความตายงั้นเหรอ?”
Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terkait

  • ย้อนเวลาไปเป็นนักล่ายุคก้าวกระโดด   บทที่ 4

    ตอนที่แม่กำลังถลกหนังกระต่าย เขาก็เห็นเข้ากับแผลที่ถูกความเย็นกัดบนมือของแม่เข้าพอเห็นแผลของแม่ ผังเป่ยก็เริ่มคิดไตร่ตรองอยู่ในหัวขึ้นมาทันทีแม่กับน้องสาวแล้วก็ตัวเขาเอง ล้วนไม่มีของที่ไว้ป้องกันความหนาวได้เลย ต่อให้ใช้ชีวิตต่อไปได้ชั่วคราว แต่นี่ยังไม่ถึงช่วงสามเก้าวัน[1]เลย ถ้าถึงช่วงสามเก้าวันที่หนาวเย็นที่สุดแล้ว มีเพียงแค่เสื้อผ้าบนตัวของเธอแบบนี้ เกรงว่าจะต้องหนาวตายทั้งเป็นแน่โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับสภาพอากาศบนภูเขาที่หนาวเย็นว่าด้านล่างภูเขาหลายเท่าตัวแน่นอนว่าช่วงฤดูร้อนก็เปลี่ยนเป็นเย็นสบายดูท่าแล้ว ก็คงจะต้องเตรียมเสื้อผ้าป้องกันความหนาวไว้ด้วย แต่ในตอนนี้ฝ้ายเป็นของหายาก หากจะทำเสื้อผ้าหน้าหนาว ก็จำเป็นต้องใช้ตั๋วผ้านี่มันขัดกับความเป็นจริงในตอนนี้เลย ดูท่าแล้ววิธีที่ดีที่สุดคงจะเป็นขนสัตว์ ขนสัตว์ก็ป้องกันความเย็นได้ แต่ว่าจำเป็นต้องเป็นขนจากสัตว์ขนาดใหญ่สัตว์ใหญ่อย่างพวกหมาใน หมาป่า เสือโคร่ง เสือดาวอะไรพวกนี้ ไม่มีทางเป็นไปได้แน่ เขาไม่ได้มีความสามารถขนาดนั้น คิดจะทำเรื่องพวกนี้ก็คือไปหาเรื่องตายเพราะหนึ่งเขาไม่มีปืน สองคือร่างกายและจิตใจเขายังไม่พร้อม ตอนนี

  • ย้อนเวลาไปเป็นนักล่ายุคก้าวกระโดด   บทที่ 5

    แม้ว่าคำพูดที่ผังเป่ยพูดออกมานั้นจะไม่ผิด แต่หลี่ว์ซิ่วหลันก็ยังคิดว่าลูกชายทำแบบนี้ออกจะสุดโต่งเกินไปถ้าไม่สนใจละก็ ต่อไปอาจจะเสียเปรียบเอาก็ได้แต่พอลองคิดถึงเรื่องนี้ในทางกลับกันดูแล้ว ถ้าลูกชายไม่ทำแบบนี้ เธอจะมีวันที่ได้กินเนื้อกับเขาเหรอ?ไม่มีทางแน่นอน!ดังนั้นเมื่อลองคิดดูแล้ว คำพูดพวกนั้นที่คิดจะสั่งสอนผังเป่ย ก็ถูกหลี่ว์ซิ่วหลันกลืนกลับไปหลังจากผังตงกลับไปแล้ว หลี่ว์ซิ่วหลันก็กินน่องกระต่ายข้างหนึ่งกับผังซี ส่วนผังเป่ยก็กินเองอีกน่องทั้งสามคนกินจนค่อนข้างอิ่ม พอได้กินเนื้อ ร่างกายก็เริ่มอุ่นนี่เทียบไม่ได้กับช่วงที่อยู่ในบ้านเลย ตอนที่อยู่ในบ้านนั้นไม่เคยได้กินข้าวอิ่มแบบนี้เมื่อกินดื่มกันจนอิ่มหนำ เสี่ยวซีก็ช่วยเก็บชามและตะเกียบด้วยกันกับแม่อย่างว่าง่าย ส่วนผังเป่ยก็เตรียมไปหาหัวหน้าเขาเก็บข้าวของเล็กน้อยก็ลุกขึ้น แล้วพูดว่า “แม่ ผมลงเขาไปคุยกับหัวหน้าหน่อยนะ ผังตงพูดถูก อีกเดี๋ยวอากาศก็จะเย็นลงแล้ว บนตัวของพวกเรามีแค่เสื้อผ้าเก่า ๆ แบบนี้ทนไม่ไหวหรอก ผมว่าจะไปขอยืมปืนล่าสัตว์แล้วลงเขาไปหาที่ยิงกวางโรสักสองสามตัว”“อะไรนะ? แกจะยืมปืนเหรอ?”หลี่ว์ซิ่วหลันร้อนร

  • ย้อนเวลาไปเป็นนักล่ายุคก้าวกระโดด   บทที่ 6

    เมื่อได้รับคำสัญญาของหัวหน้า ในใจผังเป่ยก็ดีใจมากไม่เพียงได้รับตำแหน่งผู้พิทักษ์ภูเขา ยังช่วยหาปืนได้อีกด้วยสิ่งนี้สำหรับเขาแล้ว เท่ากับจะได้ล่าเหยื่อได้เยอะ ๆเพียงแต่ ตอนนี้ลูกกระสุนไม่มาก ผังเป่ยคิดจะตัดเสื้อผ้าให้แม่ น้องสาวและตัวเอง แม้จะยิงลูกกระสุนห้าดาวตรงเป้าทุกนัด ก็ใช่ว่าจะแก้ปัญหาได้เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ผังเป่ยยังต้องคิดหาวิธีอีกยิงร้อยครั้งถูกร้อยครั้ง บอกได้ถึงอัตราความแม่นยำ ทว่าระเบิดหัวทุกนัดนั่นมันไร้สาระชัด ๆระเบิดหัวได้ทุกนัดจริง ๆ คงมีแต่ในทีวีแล้วยังไงสัตว์ก็เป็นสิ่งมีชีวิต ไม่ได้มีวิถีที่ตายตัว และพวกมันยังหลบได้อีกด้วยฉะนั้น หากต้องการใช้กระสุนห้านัดยิงกวางโรตะวันออกห้าตัว นั่นยากมากจริง ๆ ผังเป่ยที่เคยผ่านการรบจริงเข้าใจจุดนี้เป็นอย่างดีคิดจะล่ากวางโรตะวันออก ยังต้องใช้สมองอีกหน่อยดังนั้นเมื่อกลับบ้าน ผังเป่ยก็เริ่มเตรียมข้าวของ เขารื้อรั้วที่ล้มลงไปแล้วมาสองสามอัน จากนั้นเลือกท่อนไม้ที่นับว่ายังแข็งแรงอยู่จากในนั้นมาสองสามอันแล้วก็เหลาท่อนไม้พวกนี้ก่อนจะหาปืนมาได้ อุปกรณ์อย่างอื่นที่ทำได้นิดหน่อย อย่างไรก็ต้องทำสักหน่อยถึงยังไง ตอนที่เข

  • ย้อนเวลาไปเป็นนักล่ายุคก้าวกระโดด   บทที่ 7

    หลี่ว์ซิ่วหลันและผังเป่ยช่วยกันตรวจดูเหยื่อบนพื้น จากนั้นช่วยลูกชายมัดเหยื่ออย่างช่ำชองผังเป่ยใช้มือข้างหนึ่งแบกเหยื่อขึ้นมาอย่างสบาย ๆ ส่วนมืออีกข้างจูงผังซี พร้อมลากเหยื่อจากการล่ากลับบ้านไปเต็มไม้เต็มมือเนื่องจากผืนป่าอยู่ในส่วนลึกของภูเขา พวกเขาจึงต้องมุ่งหน้าไปยังกระท่อมพิทักษ์ภูเขาของบ้านตนก่อน แล้วค่อยกลับหมู่บ้านเมื่อกลับมาถึงกระท่อม สามแม่ลูกก็เข้าสู่งานอันเคร่งเครียดทันทีหลี่ว์ซิ่วหลันหั่นเนื้อเป็นชิ้นใหญ่ด้วยความชำนาญ ขณะเดียวกันก็ถลกหนังออกอย่างคล่องแคล่ว เตรียมดำเนินการขั้นจัดการแปรรูปเนื่องจากทรัพยากรบนภูเขามีจำกัด พวกเขาคิดจะนำหนังสดใหม่แช่ลงไปในน้ำอุ่น จากนั้นก็ใช้ไฟรมควัน เพื่อสะดวกต่อการสวมใส่อุ่นร่างกายโดยเร็วที่สุดตอนเด็ก ๆ หลี่ว์ซิ่วหลันมักจะตามพ่อไปเรียนงานฝีมือทำเครื่องหนัง เนื่องด้วยเหตุนี้เมื่อจัดการขึ้นมาจึงง่ายดายระหว่างกระบวนการจัดการเนื้อ ผังเป่ยเลือกเนื้อคุณภาพดีมาประมาณสี่สิบห้าสิบชั่อย่างพิถีพิถัน แล้วใช้เชือกฟางมัดอย่างแน่นหนาเขาคิดจะส่งเนื้อส่วนนี้และปืนล่าสัตว์ให้พร้อมกัน ถือเป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจเนื้อที่เหลือ หลี่ว์ซิ่วหลันคิดจะใช้ต

  • ย้อนเวลาไปเป็นนักล่ายุคก้าวกระโดด   บทที่ 8

    เช้าตรู่วันต่อมา ผังเป่ยรีบลุกลี้ลุกลนกินซุปเล็กน้อย ก่อนจะถือบ่วงดักสัตว์และกับดักจับสัตว์รุดหน้าไปบนเขา ไปติดตั้งกับดักอื่นขณะเดียวกัน หลี่ว์ซิ่วหลันและผังซีอยู่ที่บ้าน ลงมือเย็บเสื้อหนังให้ผังเป่ยขณะผังเป่ยง่วนอยู่กับการติดตั้งกับดักในป่าเขา หลี่ว์ซิ่วหลันก็นำเนื้อกวางโรตะวันออกสดใหม่สองสามชิ้น ไปเยี่ยมหลี่ว์ชิงซงผู้เป็นลุงใหญ่ทีแรก ลุงใหญ่ไม่อยากรับเนื้อไว้ ทว่าหลี่ว์ซิ่วหลันยืนกรานยื่นให้เขา พร้อมบอกข่าวดีกับเขาว่าผังเป่ยกลายเป็นผู้พิทักษ์ภูเขาแล้วหลี่ว์ชิงซงได้ยินดังนั้นก็ดีใจกับเรื่องที่อยู่เหนือความคาดหวัง เขาถามด้วยความตื่นเต้นว่า “จริงเหรอ? เสี่ยวเป่ยล่าสัตว์ได้แล้ว?”หลี่ว์ซิ่วหลันยิ้มพลางพยักหน้ายืนยัน “ใช่ ตอนนี้เขาล่าสัตว์ได้แล้ว!”หลังหลี่ว์ชิงซงดีอกดีใจ เขาก็หมุนตัวเข้าไปหยิบเข็มกับด้ายออกมา พร้อมกับหอกปลายพู่แดงที่ตนได้รับขณะอยู่หน่วยเยาวชนตอนเด็ก ๆ มามอบให้หลี่ว์ซิ่วหลันเมื่อเห็นหอกปลายพู่แดงนั้นอีกครั้ง หลี่ว์ซิ่วหลันก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ นี่เป็นของที่พี่ชายรักที่สุด อย่ามองแค่ว่าเป็นหอกปลายพู่แดง ที่จริงแล้วมันคือหอกสั้นที่เคยอยู่ในมือพ่อ หลังจากนั้น เ

  • ย้อนเวลาไปเป็นนักล่ายุคก้าวกระโดด   บทที่ 9

    ผังเป่ยเพิ่งแบกฟืนกำลังจะเข้าประตูบ้าน ก็เห็นคนคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาเขาชำเลืองไปเห็นเสื้อคลุมทหารที่ถูกปะหนาเตอะ ที่อีกฝ่ายสวมใส่อยู่ตัวนั้น ในใจก็ผุดความคิดขึ้นมาเสื้อคลุมตัวนั้นเป็น ‘สมบัติสืบทอด’ ในสกุลของพวกเขา แม้จะขาดรุ่งริ่งและเก่า ทว่าสืบทอดต่อกันมาสองชั่วอายุคน จนถึงรุ่นเขาเป็นรุ่นที่สามแล้วคนในครอบครัวผลัดกันสวมใส่มัน ตอนแต่งงานในปีนั้น ปู่มอบเสื้อคลุมตัวนี้ให้พ่อ กันลม กันหิมะ และกันความหนาวในตอนนี้ ผู้ที่สวมเสื้อคลุมอยู่ก็คือพี่สาวคนรองของเขา ผังหนานความรู้สึกที่ผังเป่ยมีต่อพี่สาวคนรองคือรังเกียจเธอมักแสวงหาความรู้สึกอยู่เหนือกว่าผู้อื่นในบ้านเสมอ แม้ว่าการถูกปฏิบัติของเธอจะแย่กว่าพี่ใหญ่มาก ทว่าเนื่องจากมีแม่ น้องสาว และตนในฐานะคนที่ถูกเปรียบเทียบ เธอจึงดูเหมือนจะค้นพบความพึงพอใจได้เสมอเธอมีนิสัยชอบพูดจาเหน็บแนมและจิตใจอำมหิต แม้จะมีหน้าตาโดดเด่น แต่มักให้ความรู้สึกเข้าถึงยากอย่างหนึ่งกับคนเมื่อผังหนานเห็นผังเป่ยแบกฟืนกลับมา ก็รีบเปิดโหมดการเย้ยหยันของเธอทันที “อ้าว นี่มันกรรมกรของบ้านเรานี่? ขยันขนาดนี้ทำไมไม่กลับไปช่วยที่บ้านล่ะ? ลงไม้ลงมือกับพี่ใหญ่ นายนี

  • ย้อนเวลาไปเป็นนักล่ายุคก้าวกระโดด   บทที่ 10

    ผังเป่ยรู้ดีว่า การซ่อมบ้านไม่เพียงต้องใช้วัสดุไม้ในปริมาณมาก แต่ยังใช้กำลังคนอีกด้วยเขาตรึกตรอง แม้ว่าทรัพย์สินจะน้อย แต่ก็ต้องเลี้ยงเนื้อผู้คนเพื่อแสดงความขอบคุณคิดจะใช้ชีวิตอยู่อย่างมั่นคงบนภูเขา กำแพงลานบ้านต้องแข็งแรงพอจะต้านทานการบุกรุกของฝูงหมาป่าได้แม้ไม่จำเป็นต้องเหมือนกำแพงไม้ที่สร้างขึ้นอย่างแข็งแรงอย่างที่ประชาคม แต่ความแข็งแรงของรั้วกั้นก็สำคัญนอกจากนี้ เขาต้องเชิญช่างไม้มาซ่อมแซมกระท่อมที่มีลมรั่วรอบด้าน นี่ก็ต้องเลี้ยงข้าวเช่นกันเมื่อนึกถึงเรื่องเหล่านี้ ผังเป่ยก็รู้สึกถึงความกดดันที่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวใช้ชีวิตบนภูเขา เต็มไปด้วยความท้าทายจริงๆ!เช้าตรู่ของวันต่อมา ผังเป่ยลุกขึ้นเตรียมออกเดินทางแม่ส่งเนื้อที่ย่างสุกตั้งแต่เมื่อวานให้เขา ให้เขากินระหว่างทางวันนี้เขาวางแผนจะไปเดินเล่นรอบ ๆ ดูว่าจะหาแหล่งอาหารที่มากขึ้นได้หรือไม่หลังกินข้าวเช้าเสร็จ ผังเป่ยก็รีบมุ่งหน้าไปยังจุดที่ตนวางกับดักเอาไว้ขณะที่เขาเห็นว่าบนกับดักมีกระต่ายตัวหนึ่งมาติด ก็ดีใจราวกับบ้าคลั่ง!นี่เป็นอาหารเลิศรสที่ยากจะได้เชียวนะ!เขารีบไปปลดกระต่ายที่ตายแล้วออกอย่างรวดเร็ว หลังมั

  • ย้อนเวลาไปเป็นนักล่ายุคก้าวกระโดด   บทที่ 11

    ผังเป่ยลากแพะภูเขาวิ่งกลับบ้านโดยไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับไปมองตลอดทาง แม้จะไม่หนาวแล้ว แต่อุปกรณ์ก็ทั้งหนาและหนัก เสื้อหนังสัตว์ตัวนี้หนักจริง ๆแม้วิ่งห้ออยู่บนพื้นหิมะ แต่ผังเป่ยข้ามเวลามาอยู่ที่นี่ นี่เป็นครั้งแรกที่เหงื่อท่วมตัวบนพื้นหิมะผังเป่ยลากแพะภูเขากลับมาถึงบ้านอย่างเหน็ดเหนื่อย ฟ้าก็ค่อย ๆ มืดลงแล้วฤดูหนาว พื้นที่ในละติจูดสูงฟ้าจะมืดเร็ว แม่ยืนรอผังเป่ยอยู่หน้าประตูกระทั่งเห็นเงาของลูกชาย ความเป็นกังวลของเธอถึงได้คลี่คลายลง“แม่ แม่ดูสินี่คืออะไร!”ผังเป่ยลากแพะภูเขากลับมาพร้อมยิ้มแย้ม เมื่อเห็นลูกชายนำแพะภูเขากลับมาตัวหนึ่ง แม่ก็ยิ้มไม่หุบ “นี่แกไปล่ามาจากไหน?”แพะภูเขาตัวใหญ่ขนาดนี้ ลูกชายพกติดตัวไปแค่ธนูและหอกสั้น ก็ล่ากลับมาได้แล้ว!เห็นศพของแพะภูเขาแช่แข็งเอาไว้แล้ว ไหนจะบาดแผลบนตัว เห็นได้ชัดว่าเป็นบาดแผลที่เกิดจากธนูและหอกสั้น“แหะ ๆ โชคดีน่ะครับที่หาเจ้านี่เจอ แล้วก็ผมยังไปเจอของแช่แข็งที่ฝูงหมาป่าเก็บเอาไว้ด้วย เป็นแพะภูเขาไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ต้องรอให้ฝูงหมาป่าไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน ตอนนี้ไม่กล้าเข้าใกล้!”เมื่อหลี่ว์ซิ่วหลันได้ยินดังนั้นก็ขนลุกซู่ “อะไรน

Bab terbaru

  • ย้อนเวลาไปเป็นนักล่ายุคก้าวกระโดด   บทที่ 35

    หลี่ว์ชิงซงตื่นตระหนก เขาไม่คาดคิดว่าจะถูกเดรัจฉานนี้ซุ่มโจมตีเคยได้ยินจากพ่อของตัวเองมาตลอดว่าไอ้เจ้าหมาป่านี้มันดุร้ายและเจ้าเล่ห์นัก แต่ก็ไม่เคยเจอกับตัวมาก่อนแน่นอนว่าถ้าเขาเคยเห็นมาก่อน ก็คงไม่มีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้“ทำไงดี!” เสียงพูดของหลี่ว์ชิงซงสั่นเล็กน้อย แต่เขาก็รีบชักกรวยน้ำแข็งออกมาในทันที ป้องกันไม่ให้หมาป่าที่จะปรากฏตัวขึ้นมาเมื่อไรก็ได้ผังเป่ยกระซิบ "ตอนนี้พวกเราทำได้แค่หาทางถอยกลับไปที่กับดักตรงนั้น ไม่อย่างนั้นเราจะไม่มีทางสู้มันได้!"หลี่ว์ชิงซงพยักหน้า มีกับดักช่วย พวกเขาสองคนก็ยังมีโอกาสรอดตาย ถ้าขืนสู้ไปทั้งอย่างนี้ โอกาสรอดก็เท่ากับศูนย์หลังจากหารือวิธีรับมือแล้ว ชายทั้งสองก็เคลื่อนตัวไปทางกับดักในทันทีแต่จะเคลื่อนไหวเร็วเกินไปไม่ได้ จะให้ฝูงหมาป่ารู้ว่าพวกเขากลัวไม่ได้ดังนั้นต้องไปชิดทางนั้นอย่างระมัดระวังโชคดีที่กับดักอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้หลัก ๆ แล้วผังเป่ยกับหลี่ว์ชิงซงสองคนต้องระแวดระวังขณะถอยไปทางด้านนั้นด้วย แล้วก็ต้องหันหลังให้กัน เพราะกลัวว่าจะถูกลอบโจมตีถึงแม้จะมองไม่เห็น แต่หลี่ว์ชิงซงก็ได้ยินเสียงดังกรอบแกรบที่อยู่รอบตัวแล้วนอกจ

  • ย้อนเวลาไปเป็นนักล่ายุคก้าวกระโดด   บทที่ 34

    หลังจากที่ได้พูดคุยกับตาอยู่พักหนึ่ง ผังเป่ยก็รู้สึกมั่นใจในการล่าสังหารฝูงหมาป่ามากขึ้นการตามล่าราชาหมาป่าก็เป็นศึกสำคัญสำหรับตัวเขาในการรักษาตำแหน่งผู้พิทักษ์ภูเขานี้!ดังนั้นเขาจะต้องชนะเท่านั้น จะแพ้ไม่ได้!แม้ว่ามารดาจะโดนดุอยู่บ้าง แต่โดยรวมแล้วบ้านตาถือว่าใจดีกับพวกเขามากที่นี่ ผังเป่ยสัมผัสได้ถึงความใส่ใจจากครอบครัว แล้วก็ความกลมเกลียวกันของทุกคนในครอบครัวไม่ว่าจะลุงใหญ่หรือยายต่างก็ใจดีกับผังเป่ยมาก แม้ว่าตาเข้มงวดไปสักหน่อย แต่ก็สัมผัสได้ถึงความรักที่กว้างใหญ่ดุจขุนเขาที่ตามีให้ตั้งแต่ยุคโบราณ ลูกสาวกลับบ้านเดิมจะต้องไม่จากไปมือเปล่าคนแก่คนเฒ่ากลัวว่าลูกสาวจะหิวและหนาว จึงจะเตรียมเครื่องนอนและของใช้จำเป็นไว้ให้เมื่อเธอออกเดินทางผังเป่ยกลับบ้านมาพร้อมกับกระเป๋าสัมภาระใบน้อยใหญ่ ในใจเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นดูท่าการพาแม่กลับมาจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว!หลังกลับถึงบ้าน ในตอนที่ผังเป่ยพลิกตัวเข้ามาในลานบ้าน ก็ได้เห็นเข้ากับผังซีที่กำลังเล่นกับสุนัขจิ้งจอกในลานบ้านอยู่พอดีจิ้งจอกนอนเตะขาด้วยท่าทางเจ้าเล่ห์อยู่บนพื้น และมือเล็ก ๆ ของผังซีก็กำลังลูบขนอันนุ่มนิ่

  • ย้อนเวลาไปเป็นนักล่ายุคก้าวกระโดด   บทที่ 33

    ได้รับดาบมา ตอนนี้ผังเป่ยก็ถือว่ามีอาวุธมีพลังทำลายล้างแก่กล้าอยู่อย่างหนึ่งแล้วถึงแม้ดาบซามูไรจะไม่ได้เหมาะกับการล่าสัตว์ แต่เมื่อถึงคราวที่ต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ป่า ก็ยังมีความสามารถพอที่จะใช้ตอบโต้ได้ผังเป่ยเก็บอาวุธเอาไว้ เขารู้ว่านี่ก็นับเป็นมรดกหลังจากเก็บอาวุธแล้ว หลี่ว์หย่วนจงก็มองไปที่ผังเป่ยและพูดด้วยรอยยิ้ม "ไอ้หนู ได้ยินว่าแกอยากจะจัดการกับฝูงหมาป่าใช่ไหม?"ผังเป่ยอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้าตอบ "ใช่ครับ"“รับอันนี้ไป! เดิมทีเดิมนี่ฉันว่าจะเอามันใส่ลงโลงไปด้วย แต่แกคงได้ใช้มัน เพราะงั้นเอาไปเถอะ!”ขณะที่เขาพูดไป ตาก็ส่งสายตาให้ยาย ยายก็ไปเปิดตู้ใหญ่และหยิบชุดคลุมหนังหมีออกมาจากข้างในในทันที!โดยทั่วไปแล้ว พรานจะรวบรวมสิ่งของจำนวนหนึ่งที่ตนได้มาจากการล่าสัตว์ใหญ่ตลอดทั้งชีวิตมาเก็บไว้ ไม่ว่าจะเป็นเขี้ยวหรือหนังยายแย้มยิ้มพร้อมกางหนังหมีออก แล้วสวมให้ผังเป่ยเธอลูบแก้มของผังเป่ยด้วยความเอ็นดูแล้วพูด "เสี่ยวเป่ยใส่แล้วดูเข้ามากจริงๆ!"ในตอนนี้ตาก็ได้ถอดของสิ่งหนึ่งอย่างออกจากคอ แล้วพูด "ไอ้หนู มานี่สิ!"ผังเป่ยเดินเข้าไปอย่างว่าง่าย และหลี่ว์หย่วนจงก็สวมสร้อยคอที

  • ย้อนเวลาไปเป็นนักล่ายุคก้าวกระโดด   บทที่ 32

    สรุปแล้วตาเฒ่ากำลังคิดหาเหตุผลที่จะไปตีอีกฝ่ายในภายภาคหน้าดังนั้นเขาจึงได้เงียบไปผังเป่ยก็พูดขึ้นมาจากด้านข้าง “เรื่องเงินผมจัดการได้ครับ ตาไม่ต้องกังวล”หลี่ว์หย่วนจงพินิจมองผังเป่ย แล้วก็หัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ “เด็กน้อยอย่างแกน่ะ ขนยังขึ้นไม่ครบเลยด้วยซ้ำ ตอนนี้กลับมีฝีมือความสามารถแล้ว ฉันเห็นแล้วว่าแกฆ่าหมาป่ากลับมา ทีแรกฉันนึกว่าทักษะแขนงนี้ของครอบครัวจะหมดสิ้นไปแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าแม้ลูกชายจะทำไม่ได้ แต่หลานชายกลับมารับช่วงต่อ เยี่ยมเลย!”พูดถึงตรงนี้ หลี่ว์หย่วนจงก็เอี้ยวตัวไปเปิดตู้ข้างเตียง และหยิบของจากข้างในออกมาหลายอย่าง สิ่งแรกคือหนังแกะผืนหนึ่งหลี่ว์หย่วนจงส่งหนังแกะให้ผังเป่ยแล้วพูดต่อ “ในเมื่อแกอยู่ในวงการนี้ งั้นก็ต้องรู้จักเส้นทางการกระจายตัวบนภูเขา ที่ไหนน่าจะมีอะไร แผนที่นี้ได้มาจากหยาดเหงื่อแรงกายที่ฉันบากบั่นมาตลอดชีวิต ทีแรกฉันตั้งใจจะให้ลุงใหญ่ของแก แต่เขาไม่เอาไหน ไม่มีฝีมือในการล่าสัตว์ แต่แกมี สิ่งนี้เลยต้องส่งต่อให้แก บนแผนที่นี้ไม่ได้มีแต่เส้นทางกระจายสินค้าเท่านั้น แต่ยังมีสัญลักษณ์อยู่อีกจำนวนหนึ่ง ที่ไหนไปได้ ที่ไหนไปแล้วต้องระวังให้มาก แล้

  • ย้อนเวลาไปเป็นนักล่ายุคก้าวกระโดด   บทที่ 31

    เมื่อเห็นบิดาถือไม้เท้าเดินออกมา หลี่ว์ซิ่วหลันก็ทรุดลงคุกเข่าลงกับพื้นดังปั๊ก"พ่อ!"ชายชรามองดูลูกสาวของตนที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น แล้วถอนหายใจอย่างจนใจ "ลุกขึ้น เดี๋ยวคนอื่นเขาจะหัวเราะเยาะเอา กลับบ้านกับฉัน!"หลี่ว์ซิ่วหลันตะลึงงัน แล้วพี่ใหญ่ก็มาดึงเธอขึ้น “เธอคิดอะไรอยู่ กลับบ้านกับพ่อสิ!”หลี่ว์ซิ่วหลันพยักหน้ารัว ๆ แล้วขานตอบ "อือ!"พอหยัดกายลุกขึ้นแล้ว หลี่ว์ซิ่วหลันก็ลากผังเป่ยเดินไปทางบ้านของตัวเองด้วยกันทันทีที่เขาก้าวเข้าไปในลานเล็ก คุณตาก็นั่งลงอย่างช้า ๆ เขาทำหน้าปั้นปึ่ง ไม่พูดไม่จาบรรยากาศลานเล็กดูอึดอัดมากอย่างชัดเจน หลี่ว์ชิงซงหันซ้านหันขวาแล้วชิงพูดก่อน "พ่อ หลันจื่อเองก็จนปัญญา..."หลี่ว์หย่วนจงมองลูกสาว "แกตั้งใจจะหย่าแล้วงั้นเรอะ?"หลี่ว์ซิ่วหลันพยักหน้า แต่ไม่กล้าปริปากพูดแม้ว่าลูกสาวจะอายุสิบเจ็ดปีแล้ว แต่ในสายตาของบิดา เธอก็ยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง“ตั้งแต่แต่งเข้าไปมันตีแกมาตลอดเลยเหรอ” ชายชราจ้องมองลูกสาวหัวแก้วหัวแหวน สีหน้าอาฆาตแค้นอย่างเห็นได้ชัดในขณะที่หลี่ว์ซิ่วหลันกำลังสับสนอยู่นั้น ผังเป่ยที่อยู่ข้างกันก็เอ่ยปากตอบ "ตีมาตลอด ตั้งแต่ผมจำค

  • ย้อนเวลาไปเป็นนักล่ายุคก้าวกระโดด   บทที่ 30

    “ฉันว่านะคะหัวหน้า เรารายงานไปดีกว่า ถ้ายื่นคำร้องไป เบื้องบนจะต้องไม่อนุมัติแน่ เราก็ฉวยโอกาสนี้บอกว่างั้นเราจะทำเอง แต่เบื้องบนต้องให้เอกสารอนุมัติ บอกว่าได้มอบปืนให้แล้วก็สิ้นเรื่อง!”หลี่ว์ไห่เห็นว่าความคิดนี้มาจากสาวม่ายในหมู่บ้านเขาอดยิ้มไม่ได้ “ผมว่าความคิดของแม่ม่ายไช่ไม่เลวเลยนะ! ทุกคนว่ายังไง!”“วิธีนี้ดีเลย ใครก็มาจับผิดไม่ได้!”ทุกคนได้ฟังแล้วก็พากันเห็นดีเห็นชอบด้วยอย่างเซ็งแซ่ในทันทีเมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หลี่ว์ไห่ก็พูดขึ้น "ถ้าอย่างนั้นกองกำลังจะอนุมัติเอกสารให้นายก่อน แล้วนายก็ไปหาปืนมา นักบัญชีเอ้อร์! เบิกเงินของกองกำลังออกมาให้ผังเป่ยห้าสิบหยวน ส่วนที่เหลือจะให้เมื่อมีเงิน"ผังเป่ยได้ยินว่าให้เงินเขาห้าสิบหยวน! เรื่องนี้มันเยี่ยมไปเลยนี่นา!เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “หัวหน้าพูดจริงเหรอครับ? ห้าสิบหยวนน่าจะซื้อกระสุนได้ไม่ร้อนเลยสิครับ?”หลี่ว์ไห่หัวเราะ "ไอ้หนู เมื่อกี้ยังแสร้งทำเป็นหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีต่อหน้าฉันอยู่เลย!"“ก็นั่นไม่ใช่เพราะขาดเงินขาดกระสุนหรือไง? แต่ผมรับประกัน ขอแค่หาปืนหากระสุนได้ ผมสัญญาว่าจะกำจัดหมาป่าฝูงนี้ให้ทุกคนเอง!”แม่หม้ายไช่กลั้นหัวเราะไม

  • ย้อนเวลาไปเป็นนักล่ายุคก้าวกระโดด   บทที่ 29

    เมื่อเห็นผังโหย่วฝูวิ่งหนีไป หลี่ว์ซิ่วหลันก็รู้สึกแค่ว่าเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก แต่เธอกลับไม่ได้ดีใจนักผังโหย่วฝูจากไปแล้ว และทุกคนก็เริ่มสังเกตเห็นหลี่ว์เอ้อร์จู้ที่ได้รับบาดเจ็บแล้วไหนจะหมาป่าตัวนี้ที่ผังเป่ยถืออยู่ในมืออีกทั้งหมู่บ้านกำลังลือกันว่าผังเป่ยฆ่าหมาป่าสองตัวด้วยตัวเองเพียงลำพัง แต่หลายคนก็ไม่เชื่อครั้งนี้ ผังเป่ยแบกมาให้ได้เห็นกันอีกตัวคราวนี้ทุกคนไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแล้ว!หลี่ว์ไห่เห็นว่าคนในหมู่บ้านออกมาดูความสนุกกันแทบจะทั้งหมู่บ้านดังนั้นจึงถือโอกาสเปิดประชุมใหญ่มันเสียเลย"ฉันว่าทุกคนน่าจะอยู่กันเกือบครบ เรามาประชุมกันตรงนี้สักหน่อยก็แล้วกันนะ"หลี่ว์ไห่พูดประโยคนี้ขึ้นมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ไม่มีใครกล้าพูดอะไร ทำได้เพียงเดินไปในลานของกองกำลังเพื่อรอการประชุมเดิมทีหมู่บ้านก็ไม่ได้ใหญ่โตนัก สถานที่ที่กว้างขวางที่สุดก็คือลานสำนักงานของกองกำลังและภายในลานที่ไม่นับว่าใหญ่โตนี้ก็อัดแน่นไปด้วยผู้คนในพริบตา หลี่ว์ไห่ตะเบ็งเสียง "เหล่าสมาชิกกองกำลังชิงหลงโปรดอยู่ในความสงบสักครู่ ตอนนี้พวกเราจะทำการประชุมกัน จะไม่ทำให้เสียเวลาอาหารของทุกคน ผมจะพูดสั้น ๆ แค

  • ย้อนเวลาไปเป็นนักล่ายุคก้าวกระโดด   บทที่ 28

    สรุปแล้วเธอได้รับอะไรตอบแทนจากความจริงใจของเธอ?คนตระกูลนั้นมีแต่พวกไม่รู้คุณคน!หัวใจของหลี่ว์ซิ่วหลันถูกทำลายจนแตกสลายไปจนหมดเมื่อมีคนมาสนับสนุนเธอพอดี เธอก็พูดไปตามตรงให้มันกระจ่างไปเสียผังโหย่วฝูสับสนมึนงงเขาไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าหลี่ว์ซิ่วหลันจะกล้าหย่าจริงๆ!เพราะอย่างไรเสียในชนบทก็ยังคงมีอคติอยู่ ผู้หญิงที่หย่าร้างก็ยังถูกมองว่าเป็นอัปมงคลอยู่ดีแต่ปัญหาคือหลี่ว์ซิ่วหลันไม่ได้กังวลแต่อย่างใด เธออาศัยอยู่บนเขาอยู่แล้ว และก็ไม่คิดจะมองหาที่อื่นนี่จะมีอะไรไม่มงคลนอกจากนี้สมาชิกทุกคนก็ได้เห็นกันหมดแล้ว ว่าไอ้หมอนี่มันชั่วช้ายังไง!ใครจะว่าอะไรเธอได้?“หน็อยแน่! แก! แกอยากหย่าใช่ไหม? งั้นแกก็คืนสินสอดทองหมั้นของบ้านฉันมา!”เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลี่ว์ชิงซงก็กระวนกระวายใจ "ไอ้ระยำอัปรีย์ สินสอดทองหมั้นของบ้านแกอย่างนั้นเหรอ? แล้วขนสัตว์ที่เราให้เป็นสินเดิมเจ้าสาวล่ะ? คืนมันมาให้หมด! แล้วไหนจะเนื้อที่เราให้ไปตอนนั้นอีก แกคืนมาให้ฉันด้วย!"หลี่ว์ไห่กล่าว "ซิ่วหลันอยู่บ้านแกมาตั้งหลายปี ยอมให้แกโขกสับ แล้วก็ทำงานให้พวกแกทั้งบ้าน ไอ้สวะอย่างแกจ่ายค่าแรงให้บ้างไหม"เมื่อหลี่

  • ย้อนเวลาไปเป็นนักล่ายุคก้าวกระโดด   บทที่ 27

    ณ ลานว่างในหมู่บ้าน คนกลุ่มหนึ่งกำลังล้อมชายรูปร่างผอมแห้งแรงน้อยคนหนึ่งเอาไว้ชายคนนั้นถูกล้อมรอบ ตื่นกลัวจนไม่กล้าเอ่ยปากพูดจาเขาเอาแต่ย้ำว่าตนมาตามหาลูกเมียแต่ชาวบ้านก็มีสีหน้าไม่สู้ดีต่อเขาอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเห็นคนเหล่านี้มองมาด้วยสายตาไม่เป็นมิตร ชายคนนั้นก็โวยวายขึ้นทันใด "หลี่ว์ซิ่วหลัน นังเมียจอมล้างผลาญ โผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี้! แกกินข้าวกินน้ำบ้านฉันแล้วจะมาสะบัดตูดทิ้งกันไปดื้อๆ อย่างนั้นเหรอ? แกยังมียางอายอยู่ไหม?"ชายคนนั้นก่นด่าสาดเสียเทเสีย และด้วยความตื่นกลัว เขาจึงยิ่งใช้ถ้อยคำรุนแรงขึ้นเรื่อยๆในขณะนั้นเอง จู่ ๆ ก็มีคนตะโกนขึ้นมา "ผังโหย่วฝู! ไอ้สารเลว แกตีน้องสาวฉัน แถมยังทำไม่ดีกับหลานชายหลานสาวฉันด้วย ไอ้สวะนี่ แกยังคิดว่าตัวเองถูกอยู่อีกเหรอ!"ชายคนนั้นสั่นสะท้านไปทั้งตัว แล้วหันไปมองหลี่ว์ชิงซงที่ถือขวานเจาะน้ำแข็งอยู่ในมือด้วยสายตาหวาดผวาเดิมทีหลี่ว์ชิงซงก็คับอกคับใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เรื่องที่น้องสาวของเขาถูกรังแก แต่กลับไม่อาจไปเอาเรื่องตัวการได้อย่างไรเสียที่นั่นก็อยู่ห่างออกไปไกลลิบ อีกอย่างถ่อไปก่อเรื่องถึงที่กองกำลังของคนอื่น ตัวเองก็ย่อมจะมีแ

Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status