เมื่อรุ่งอรุณของวันใหม่มาเยือน ครอบครัวหลินก็ตื่นขึ้นมาด้วยความหวังและความตื่นเต้น วันนี้เป็นวันที่พวกเขาจะขึ้นเขาไปตรวจสอบเตาเผาถ่านที่พวกเขาได้สร้างไว้เมื่อสามวันก่อน พวกเขาหวังว่าการเผาถ่านครั้งแรกนี้จะเป็นไปด้วยดี และพวกเขาจะได้ถ่านที่มีคุณภาพดีไว้ใช้ในช่วงฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง
หลินอ้ายตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่ เพื่อเตรียมอาหารเช้าให้กับทุกคนในครอบครัว นางทำข้าวต้มร้อนๆ และผักดองรสชาติดี เพื่อให้ทุกคนได้รับประทานก่อนที่จะออกเดินทาง
หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จ ทุกคนก็ช่วยกันเตรียมของสำหรับการขึ้นเขา หลินฉางหยูตรวจสอบอุปกรณ์ต่างๆ เช่น ขวาน จอบ เสียม และเชือก ส่วนหลินฉิงอันตรวจสอบผ้าเช็ดหน้าและถุงมือ เพื่อป้องกันความเย็น
หลินฉิงเฉิงและหลินฉิงหยางกระตือรือร้นเป็นพิเศษ พวกเขาอยากจะขึ้นเขาไปดูเตาเผาถ่านและช่วยพ่อแม่ทำงาน พวกเขาช่วยกันเก็บกิ่งไม้เล็กๆ และใบไม้แห้งใส่ตะกร้า เพื่อใช้สำหรับก่อไฟ
เมื่อทุกอย่างพร้อม หลินฉางหยูก็นำครอบครัวออกเดินทางขึ้นเขาอีกครั
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลินฉางหยูและหลินอ้ายก็ถึงกับนิ่งอึ้งไป พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าหลินฉิงอันจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมา เพราะการส่งลูกชายไปเรียนหนังสือต้องใช้เงินทองจำนวนมาก ซึ่งพวกเขาไม่เคยมีมาก่อน แต่สำหรับหลินฉิงเฉิงและหลินฉิงหยาง เมื่อได้ยินพี่สาวพูดถึงเรื่องการเรียนหนังสือ ดวงตาของพวกเขาก็เป็นประกายขึ้นมาทันที ความปรารถนาที่ซ่อนไว้ในใจมานานแสนนานกำลังจะกลายเป็นจริงความจริงแล้ว หลินฉิงเฉิงและหลินฉิงหยางมีความใฝ่ฝันที่จะได้เรียนหนังสือมานานแล้ว หลังจากที่พวกเขาได้เห็นจูไห่เฟิง ลูกพี่ลูกน้องของพวกเขาได้เข้าไปเรียนหนังสือในอำเภอตั้งแต่ยังเด็ก พวกเขาก็ยิ่งอยากที่จะได้เรียนรู้และศึกษาเช่นกัน พวกเขาอยากที่จะสอบเข้ารับราชการเป็นขุนนาง เพื่อที่จะได้มีตำแหน่งและอำนาจ ซึ่งจะสามารถดูแลและสนับสนุนครอบครัวของพวกเขาให้มีความสุขสบายมากยิ่งขึ้น“จริงหรือขอรับพี่ใหญ่! พวกเราจะได้ไปเรียนหนังสือจริงๆ หรือขอรับ!” หลินฉิงเฉิงถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น“จริงสิ ฉิงเฉิง ฉิงหยาง พี่ใหญ่พูดจ
หลินฉิงอันและหลินฉางหยูมองหน้ากันด้วยความกังวล พวกเขารู้ว่าพวกเขาต้องช่วยเหลือชายหนุ่มคนนี้“เราต้องพาเขากลับบ้าน” หลินฉิงอันกล่าว“แต่เขาบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ เราจะพาเขากลับบ้านได้อย่างไร?” หลินฉางหยูถามด้วยความกังวลหลินฉิงอันคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะตัดสินใจ“เราจะช่วยกันประคองเขากลับไปที่บ้านของเราก่อน แล้วค่อยคิดหาทางช่วยเหลือเขาต่อไป” หลินฉิงอันกล่าวหลินฉางหยูพยักหน้าเห็นด้วย พวกเขาจึงช่วยกันประคองชายหนุ่มกลับไปยังบ้านของพวกเขาอย่างช้าๆ หลังจากที่หลินฉิงอันและหลินฉางหยูช่วยกันประคองชายหนุ่มที่บาดเจ็บมาได้ระยะหนึ่ง ในที่สุดพวกเขาก็เดินทางกลับมาถึงบ้านเล็กๆ ของตนจนได้ แสงตะวันเริ่มอ่อนแสงลง บรรยากาศรอบๆ เริ่มมืดครึ้มเมื่อหลินอ้ายเห็นสองพ่อลูกประคองชายหนุ่มที่อยู่ในสภาพอิดโรยและมีเลือดเปรอะเปื้อนมา นางก็ตกใจเป็นอย่างมาก นางรีบเข้ามาช่วยเหลือและสอบถามถึงเหตุกา
เช้าวันรุ่งขึ้น หลินฉางหยูและหลินฉิงอันก็เดินทางไปยังโรงหมออีกครั้งตามที่ได้ให้สัญญาไว้กับท่านหมอ พวกเขาอยากจะทราบอาการของชายหนุ่มและดูว่าเขาฟื้นคืนสติหรือยังเมื่อมาถึงโรงหมอ พวกเขาก็ตรงไปยังห้องพักของผู้ป่วย ชายหนุ่มยังคงนอนอยู่บนเตียง แต่สีหน้าของเขาดูสดใสขึ้นกว่าเมื่อวานเล็กน้อยเมื่อเห็นสองพ่อลูกเข้ามาในห้อง ผู้ช่วยหมอก็เข้ามาทักทายและบอกว่าชายหนุ่มเพิ่งจะฟื้นคืนสติได้ไม่นาน“เมื่อครู่เขาก็เพิ่งจะฟื้นขึ้นมาได้ไม่นาน พวกท่านมาได้ถูกเวลาพอดี” ผู้ช่วยหมอกล่าวหลินฉางหยูและหลินฉิงอันเดินเข้าไปใกล้เตียง ชายหนุ่มมองมาที่พวกเขาด้วยสายตาที่อ่อนแรง แต่ก็มีแววขอบคุณอยู่ในนั้น“ท่าน… ท่านเป็นคนช่วยข้าไว้หรือ?” ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้งหลินฉางหยูพยักหน้าและยิ้มให้ชายหนุ่ม“ใช่แล้ว พวกเราเป็นคนพบท่านในป่า” หลินฉางหยูกล่าว
เมื่อแสงเงินแสงทองเริ่มทอประกายบนท้องฟ้า หลินฉางหยูและหลินฉิงอันก็ตื่นขึ้นมาด้วยภารกิจที่ต้องทำ พวกเขาต้องดูแลเหิงจิ้งกั๋วและเตรียมตัวเดินทางไปส่งปลาและถั่วงอกที่โรงเตี๊ยมไห่ถังแม้จะเป็นเวลากลางยามอิ๋น (ประมาณ 03:00-05:00 น.) ซึ่งถือว่าเช้าตรู่มาก แต่สองพ่อลูกก็ต้องรีบปลุกเหิงจิ้งกั๋วขึ้นมา เพื่อทำแผลและเปลี่ยนผ้าพันแผลตามคำแนะนำของท่านหมอหลินฉิงอันเข้าไปในห้องพักของเหิงจิ้งกั๋วอย่างเงียบ ๆ นางเห็นว่าเขายังคงหลับสนิทอยู่ จึงค่อยๆ ปลุกเขาอย่างอ่อนโยน“คุณชายเหิง… คุณชายเหิง ได้เวลาทำแผลแล้วเจ้าค่ะ” หลินฉิงอันกระซิบเบาๆเหิงจิ้งกั๋วค่อยๆ ลืมตาขึ้น เมื่อเห็นว่าเป็นหลินฉิงอัน เขาก็พยักหน้าและพยายามลุกขึ้นนั่ง หลินฉิงอันจึงเข้าไปช่วยพยุงเขาอย่างระมัดระวัง หลินฉางหยูเตรียมน้ำอุ่นและผ้าสะอาดไว้พร้อมแล้ว เขาร่วมมือกับหลินฉิงอันทำความสะอาดบาดแผลของเหิงจิ้งกั๋วอย่างเบามือ และเปลี่ยนผ้าพันแผลใหม่“บาดแผลดูดีขึ
หลังจากที่หลินฉางหยูและหลินฉิงอันออกเดินทางขึ้นเขาไปแล้ว เหิงจิ้งกั๋วก็ได้รับประทานข้าวต้มที่หลินอ้ายเตรียมไว้ให้จนหมดชาม เขารู้สึกว่าร่างกายมีเรี่ยวแรงขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังคงอ่อนเพลียอยู่มากหลังจากที่หลินอ้ายเก็บชามข้าวต้มไปแล้ว หลินฉิงเฉิงและหลินฉิงหยางก็เข้ามาในห้องพักของเหิงจิ้งกั๋ว พวกเขานั่งลงบนเก้าอี้เล็กๆ สองตัวที่อยู่ข้างเตียง และจ้องมองเหิงจิ้งกั๋วด้วยสายตาใคร่รู้และสำรวจเหิงจิ้งกั๋วรู้สึกได้ถึงสายตาของเด็กทั้งสอง เขายิ้มเล็กน้อยและมองตอบเด็กแฝดทั้งสองจ้องมองเหิงจิ้งกั๋วอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะหันมาพยักหน้าให้กันอย่างเห็นพ้องต้องกัน“ท่านหน้าตาดีกว่าทุกคนในหมู่บ้านของเราอีกนะขอรับ” หลินฉิงเฉิงเอ่ยขึ้นอย่างตรงไปตรงมา“ใช่แล้ว แม้แต่ท่านพ่อที่พวกเราคิดว่าหน้าตาดีแล้ว เมื่อเทียบกับท่านก็ยังห่างกันมาก” หลินฉิงหยางเสริมเหิงจิ้งกั๋วถึงกับหัวเราะเบาๆ กับคำพูดที่ตรงไปตร
เมื่อแสงแรกของวันใหม่สาดส่องลอดหน้าต่างเข้ามาในบ้าน หลินฉางหยูและหลินฉิงอันก็ตื่นขึ้นมาเตรียมตัวสำหรับการเดินทางไปอำเภอ พวกเขาต้องพาเหิงจิ้งกั๋วไปตรวจอาการที่โรงหมอตามที่ท่านหมอกำชับไว้หลังจากที่ทุกคนรับประทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว หลินฉิงอันก็เข้าไปในห้องพักของเหิงจิ้งกั๋วพร้อมกับอุปกรณ์ทำแผล นางทำความสะอาดบาดแผลและเปลี่ยนผ้าพันแผลให้เขาอย่างเบามือ“อาการของท่านดูดีขึ้นมากแล้ว บาดแผลไม่บวมแดงเหมือนเมื่อวาน” หลินฉิงอันกล่าวขณะที่ทำแผลเหิงจิ้งกั๋วพยักหน้าและยิ้มเล็กน้อย เขารู้สึกขอบคุณในความเอื้อเฟื้อของครอบครัวหลินเป็นอย่างมาก เมื่อทำแผลเสร็จ หลินฉางหยูก็เตรียมเกวียนลาสำหรับการเดินทาง เขาช่วยพยุงเหิงจิ้งกั๋วขึ้นเกวียนอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนบาดแผล“เดินทางดีๆ นะเจ้าคะท่านพี่ ดูแลตัวเองด้วย” หลินอ้ายกล่าวลาสองพ่อลูกด้วยความเป็นห่วงหลินฉางหยูและหลินฉิงอันพยักหน้าและกล่าวลาหลินอ้ายและเด
หลังจากที่หลินอ้ายและหลินฉิงอันได้เตรียมวัตถุดิบต่างๆ สำหรับหม้อไฟเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองก็ช่วยกันยกถ้วยชาม จาน และวัตถุดิบต่างๆ ไปวางบนโต๊ะอาหารอย่างเป็นระเบียบหลินอ้ายนำผักสดต่างๆ ที่ล้างสะอาดแล้วใส่จาน วางเรียงรายอย่างสวยงาม ส่วนหลินฉิงอันก็นำเนื้อหมู เนื้อวัวและเนื้อปลาที่หั่นเตรียมไว้ใส่จานเช่นกันในขณะเดียวกัน หลินฉางหยูก็ได้ไปเตรียมเตาถ่านขนาดเล็กและหม้อดินสำหรับทำหม้อไฟ เขาจุดไฟในเตาถ่านจนไฟลุกโชนดีแล้ว จึงนำหม้อดินที่ใส่น้ำซุปปรุงรสแล้ววางลงบนเตาเมื่อทุกอย่างพร้อม หลินฉิงอันก็เชิญทุกคนมานั่งล้อมโต๊ะอาหาร เหิงจิ้งกั๋วได้รับการประคองมานั่งที่เก้าอี้อย่างระมัดระวัง ส่วนหลินฉิงเฉิงและหลินฉิงหยางนั่งอยู่ข้างๆ เขาด้วยความตื่นเต้น“เอาล่ะ ทุกคน มาลองทานหม้อไฟกัน” หลินฉิงอันกล่าวด้วยรอยยิ้มทุกคนมองดูหม้อดินที่กำลังเดือดปุดๆ ด้วยความสงสัย แต่ก็เต็มใจที่จะลองอาหารใหม่นี้ หลินฉิงอันเริ่มต้นด้วยการแนะนำวิธีการร
พวกเขาล้างมือล้างไม้ที่เปื้อนดินเปื้อนถ่านจนสะอาด ก่อนที่จะเข้าไปในบ้าน ขณะที่หลินฉางหยูกำลังเดินเข้าไปในบ้าน เขาก็สังเกตเห็นถังเพาะถั่วงอกที่วางเรียงรายอยู่ด้านข้างของครัว ถังเหล่านั้นวางอยู่กลางแจ้ง โดนแดดโดนน้ำค้าง ทำให้คุณภาพของถั่วงอกอาจไม่ดีเท่าที่ควรหลินฉางหยูขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาคิดว่าหากมีห้องเก็บของก็จะสามารถเก็บถังถั่วงอกเหล่านี้ได้อย่างมิดชิด ป้องกันแดดฝน และรักษาคุณภาพของถั่วงอกได้เป็นอย่างดี เขาจึงหันไปพูดกับหลินฉิงอันถึงเรื่องนี้“ฉิงเออร์ พรุ่งนี้หลังจากที่เราส่งปลาและถั่วงอกเสร็จแล้ว พ่อจะขอให้ผู้ใหญ่บ้านช่วยเรียกชาวบ้านมาช่วยกันสร้างห้องเก็บของให้เราสักหน่อย” หลินฉางหยูกล่าวหลินฉิงอันพยักหน้าเห็นด้วย นางก็คิดเช่นเดียวกันว่าการมีห้องเก็บของจะเป็นประโยชน์อย่างมาก“ข้าก็เห็นด้วยเจ้าค่ะท่านพ่อ ถ้ามีห้องเก็บของ เราก็จะสามารถเก็บถั่วงอกและสิ่งของอื่นๆ ได้อย่างเป็นระเบียบ และป้องกันแดดฝนรวมถึงหิมะได้” หลินฉิงอันกล่าว
อีกสองสัปดาห์จะเข้าหน้าหนาวอย่างเต็มตัวแล้ว หลินฉิงอันนึกถึงอากาศที่หนาวเย็นในปีที่แล้วขึ้นมา นางจึงคิดที่จะสร้างเกือกม้าและอานม้า รวมทั้งชุดม้า ลา สำหรับให้พวกมันใส่เพื่อป้องกันความหนาวเย็นด้วยหลินฉิงอันใช้เวลาว่างถึงสามวันวาดแบบออกมาเท่าที่นางจำได้ จากนั้นจึงนำแบบไปปรึกษากับเฉียนซื่อและเฉินกังก่อนให้พวกเขานำเงินไปสั่งทำที่ร้านตีเหล็กในเมือง นางไม่รู้ว่าราคาจะแพงมากหรือไม่จึงให้เงินพวกเขาไป 100 ตำลึงเผื่อเอาไว้ก่อน ส่วนหนังสัตว์ที่นางต้องการนำมาให้ท่านแม่กับพี่สาวหลิงฟางเย็บให้นั้นก็สั่งให้พวกเขาซื้อมาด้วยจำนวนมาก นางให้เงินพวกเขาไปอีก 100 ตำลึงเช่นกันจะได้ไม่เสียเวลากลับมานำเงินไปซื้อของหลายครั้งหลินอ้ายไม่ได้ทักท้วงอะไรที่เห็นหลินฉิงอันใช้เงินจำนวนมากในครั้งนี้ นางรู้ดีว่าบุตรสาวทำสิ่งใดก็ล้วนแล้วแต่เพื่อประโยชน์ของคนในบ้านทั้งนั้น เรื่องชุดในบ้านที่นางเองจะมอบให้บ่าวรับใช้ก็เสร็จครบทั้งหมดแล้ว หลินอ้ายนึกถึงเสื้อคลุมกันหนาวขึ้นมาได้ นางจึงคิดจะส่งโจวซานไปสอบถามราคาที่ร้านค้าดูก่อน หากราคาแพงเกินไป นางค
สองวันต่อมา หลินฉิงอันเข้าเมืองกับชุนจินเพื่อไปรับหยกพกที่นางสั่งทำไว้ก่อนหน้านี้ หลินฉิงอันจ่ายเงินที่เหลือก่อนจะรับหยกพกมาตรวจสอบดู รูปแบบหยกที่สลักออกมาทำได้อย่างสวยงามตามที่นางวาดภาพเอาไว้ให้ช่างแกะสลัก ซึ่งหลินฉิงอันให้ช่างแกะสลักเป็นรูปผลไม้ต่าง ๆ รอบตัวหยก ตรงกลางมีคำว่า “林” สลักเอาไว้อย่างสวยงาม หยกพกของบ่าวทั้งหมดเหมือนกัน ส่วนหยกพกอีกห้าอันสำหรับคนในครอบครัวนั้น หลินฉิงอันใช้รูปเมฆมงคลและศาลากลางน้ำหลังเล็กโดยตรงกลางสลักคำว่า “หลิน” เช่นกัน เพิ่มเติมเพียงด้านหลังจะมีชื่อเจ้าของหยกแต่ละอันสลักเอาไว้ สีของหยกยังเป็นหยกมันแพะสีขาวนวล แตกต่างจากสีหยกของบ่าวในเรือนที่เป็นหยกสีเขียวธรรมดาหลังจากรับของมาทั้งหมดแล้ว หลินฉิงอันนำถุงหยกทั้งสองถุงเก็บเอาไว้ในรถม้าอย่างดี ก่อนที่นางจะไปยังร้านขายของชำเพื่อซื้อเครื่องปรุงรสเพิ่มเติม รวมทั้งข้าวสาร อาหารแห้ง ถั่วเขียว ถั่วเหลืองเพิ่มด้วย ถึงแม้เมื่อวานทางร้านจะนำไปส่งที่บ้านนางจำนวนมาก แต่หลินฉิงอันก็ยังคงเผื่อเหลือเอาไว้อีกนิดหน่อย นางรู้ดีว่าการเ
คืนนั้นหลินฉิงอันใช้เวลาครึ่งค่อนคืนเพื่อเขียนรายการสิ่งของจำเป็น เสบียงอาหารที่จะต้องซื้อในปีนี้ให้พอเพียงกับคนจำนวนมากที่เพิ่มขึ้นในครอบครัว นางคิดด้วยว่าปีที่แล้วนางชวนครอบครัวกินหม้อไฟไปแล้ว ปีนี้นางอยากให้พวกเขาได้ลองกินหมูกระทะดูบ้าง หลินฉิงอันจึงร่างแบบหม้อสำหรับทำหมูกระทะตามความทรงจำในภพก่อนออกมา ด้วยคนจำนวนมากในบ้าน หลินฉิงอันคิดจะสั่งทำหม้อสัก 50 ใบเผื่อเอาไว้ก่อน ส่วนเตานั้นนางก็จะต้องซื้อเพิ่มมาด้วยเพื่อให้พอเพียงสำหรับวางหม้อหมูกระทะที่นางต้องการหลังอาหารเช้าวันต่อมา หลินฉิงอันอ่านรายการสิ่งของจำเป็นต่าง ๆ พร้อมกับเสบียงอาหารจำนวนมากให้หลินอ้ายและหลินฉางหยูฟังเป็นเวลานาน หลินอ้ายและหลินฉางหยูยังบอกรายการสิ่งของเพิ่มเติมสำหรับการนำมาเป็นเสบียงอาหารในปีนี้ด้วย พวกเขาคิดว่าคนจำนวนมากจะต้องได้กินอิ่มนอนหลับในขณะที่อยู่ร่วมกันกับพวกเขาที่หมู่บ้านหลินฉิงอันไม่ได้ปฏิเสธรายการต่าง ๆ ที่พ่อและแม่นางเสนอ หลินฉิงอันทำเพียงแค่เพิ่มรายการต่าง ๆ เข้าไปในกระดาษเท่านั้น“ลูกค
หลินฉิงอันเดินทางไปขายเก๋ากี้ทั้งหมดที่ร้านขายยาก่อน วันนี้นางได้รับเงินมากถึง 20 ตำลึง จากจำนวนเก๋ากี้ที่ทุกคนช่วยกันเก็บได้เมื่อวานนี้ นางยังบอกเถ้าแก่ด้วยว่าช่วงหน้าหนาวนางคงไม่ได้มาส่งอีก ก่อนที่หลินฉิงอันจะให้ชุนจินพาไปยังร้านขายผลไม้แช่อิ่มเพื่อนำผลไม้แช่อิ่มทั้ง 30 กระสอบไปส่งเมื่อไปถึงหน้าร้านนางก็เห็นมีลูกค้าบ้างประปราย หลินฉิงอันจึงให้ชุนจินขับเกวียนเข้าไปด้านข้างร้านเพื่อลงของแทน หลี่หมิงที่ตาไวเห็นคุณหนูของเขามาถึงจึงบอกกับหวังไห่ทันที หวังไห่จึงปล่อยให้คนอื่น ๆ เฝ้าร้านแทนและนำสมุดบัญชีไปส่งให้หลินฉิงอันตรวจสอบระหว่างที่จ้าวหลงกับชุนจินช่วยกันยกกระสอบผลไม้แช่อิ่มเข้าไปเก็บไว้ในคลังของร้าน หลินฉิงอันก็นั่งตรวจดูบัญชีย้อนหลัง นางพบว่าการค้าถึงแม้จะไม่เฟื่องฟูเท่ากับช่วงแรก ๆ แต่ก็นับว่าได้กำไรไม่น้อยเช่นเคย“พี่ชายหวัง ข้าตรวจสอบเสร็จแล้วเจ้าค่ะ ท่านอย่าลืมลงจำนวนผลไม้แช่อิ่มที่นำมาครั้งนี้อีก 30 กระสอบด้วยนะเจ้าคะ”“ขอรับ
สิบวันต่อมา เสนาบดีเซี่ยกับขุนนางทั้งสี่ที่เตรียมฎีกาต่าง ๆ เพื่อถวายให้กับฮ่องเต้เกี่ยวกับความรู้ทั้งหมดที่พวกเขาได้รับจากหลินฉิงอันเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็ไปบอกลาเหิงอันโหวก่อนจะเดินทางกลับในเวลาต่อมาก่อนที่พวกเขาจะกลับไป หลินฉิงอันยังมอบผลไม้แช่อิ่มให้พวกเขานำกลับไปด้วยถึงสิบกระสอบเพื่อกินระหว่างทางและนำไปฝากครอบครัวด้วย ชาวบ้านในหมู่บ้านเองก็นำเกาลัดคั่วที่พวกเขาทำมอบให้ไปไม่น้อยเช่นเดียวกัน เสนาบดีหลี่รู้ว่าพวกชาวบ้านนำสิ่งของเหล่านี้ไปขายในเมืองกันนานแล้ว ท่านจึงมอบเงินให้กับผู้ใหญ่บ้านหลี่นำไปแจกจ่ายให้ชาวบ้านเป็นการตอบแทนเจ้าเมืองเติ้งที่ทราบข่าวว่าเสนาบดีเซี่ยกำลังจะเดินทางกลับก็มาส่งพวกเขาออกจากหมู่บ้านต้าไห่เช่นเดียวกัน เสนาบดีเซี่ยยังกล่าวอีกว่าหากมีเรื่องใดที่ต้องการคำแนะนำจากหลินฉิงอัน เขาจะส่งม้าเร็วมาส่งข่าวให้ถึงหมู่บ้านต้าไห่หลินฉิงอันที่วันนี้แต่งตัวด้วยชุดขุนนางเต็มยศรับปากว่านางจะรอและยังส่งมอบเอกสารเรื่องการปรับปรุงน้ำเพื่อให้เข้าถึงพื้นที่เ
สายวันต่อมา หลินฉิงอันนำเอกสารทั้งหมดที่เขียนเอาไว้เมื่อคืนไปให้กับเสนาบดีเซี่ยตรวจสอบดู เนื้อหาภายในอธิบายถึงวิธีการปรับปรุงดินแบบต่าง ๆ ตามลักษณะดินที่เสนาบดีเซี่ยบอกหลินฉิงอันเอาไว้เมื่อวานนี้ โดยนางได้แบ่งเนื้อหาให้แยกออกเป็นส่วน ๆ เพื่อที่จะได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ดินเหนียวนั้นนางให้ข้อแนะนำในการปรับปรุงโดยให้เติมทราย ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก หรือเศษใบไม้เพื่อทำให้ดินมีการระบายน้ำได้ดีขึ้น อีกวิธีหนึ่งคือการปลูกพืชหมุนเวียนเช่นพืชตระกูลถั่วสลับกับพืชหลักเพื่อปรับปรุง ซึ่งอาจใช้เวลานานกว่าวิธีการแรกที่นางแนะนำดินทราย หลินฉิงอันแนะนำให้ปรับปรุงดินโดยการเติมดินเหนียว ปุ๋ยหรือเศษใบไม้เพื่อให้ดินมีความหนาแน่นมากขึ้นและอุ้มน้ำได้ รวมถึงการปลูกพืชคลุมดินเพื่อเพิ่มความหนาแน่นของดินทรายได้อีกด้วยดินกรด ให้ปรับปรุงดินโดยการเติมปูนขาวหรือปุ๋ยเพื่อให้ดินมีธาตุอาหารสำหรับพืชผักได้ ซึ่งปูนขาวจะช่วยปรับค่าความเป็นกรดในดินให้ลดลงดินเค็ม ให้ปรับปรุงดินโดยการล้างดินให้สะอา
ช่วงบ่าย หลินฉิงอันปล่อยให้เสนาบดีเซี่ยกับขุนนางทั้งสี่อยู่ในโรงงานผลิตตามที่พวกเขาต้องการ ส่วนนางแยกตัวออกมาและไปยังเรือนพักเพื่อคิดเรื่องที่จะทำอย่างไรให้การเกษตรในแคว้นพัฒนาไปมากกว่านี้หลินฉิงอันนำกระดาษและพู่กันมานั่งเขียนแผนผังการพัฒนาที่ดินในรูปแบบต่างๆ โดยคำนึงถึงลักษณะของดินเป็นหลัก นางอยากให้ชาวบ้านรู้จักใช้ที่ดินให้เป็นประโยชน์มากกว่านี้ เพราะส่วนใหญ่พวกเขายังมีความคิดล้าหลังและไม่คิดที่จะพัฒนาที่ดินรกร้างเพื่อทำการเกษตรเลยแม้แต่นิดเดียวช่วงสายของวันต่อมา หลินฉิงอันพาเสนาบดีเซี่ยและพวกขึ้นเขาไปดูว่าเตาเผาถ่านที่ปล่อยเอาไว้เป็นอย่างไรบ้าง ครั้งนี้ยังคงเป็นหัวหน้าองครักษ์เหลียงกับจ้าวหลงที่เดินทางตามไปด้วย เมื่อพวกเขาไปถึงเตาเผาถ่านก็เห็นว่าควันที่เคยมีมากมายตอนเริ่มเผานั้นหายไปแล้ว เหลือเพียงไอร้อนที่ยังคงแผ่ออกมาตามช่องทางที่ทำเอาไว้สำหรับระบายควันเท่านั้น“ข้าคิดว่าเตาเผาน่าจะได้ที่แล้วเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวให้จ้าวหลงเป็นคนเปิดหน้าเตาเพื่อความปลอดภัยก็แล้วกันนะเจ้าคะ
กว่าที่คนทั้งหมดจะลงจากเขา ก็เป็นเวลาก่อนอาหารเย็นเกือบหนึ่งชั่วยามแล้ว หลินฉิงอันขอตัวไปเข้าครัวตามที่นางตั้งใจ โดยมีจ้าวหลงสะพายตะกร้าปลาที่จับมาได้จนเต็มตามหลังไปติด ๆ ส่วนเสนาบดีเซี่ยกับคนอื่น ๆ แยกย้ายกันไปเปลี่ยนชุดที่เลอะเทอะออกก่อนจะมานั่งสนทนากับเหิงอันโหวที่ลานหน้าบ้านรอทานอาหารเย็นที่หลินฉิงอันกับบ่าวกำลังทำกันอยู่“พวกเจ้าขึ้นเขาไปเป็นอย่างไรบ้างเล่า”“เรียนท่านโหว วันนี้พวกเราได้ทดลองทำเตาเผาถ่านด้วยตัวเองขอรับ นับว่าการมาครั้งนี้พวกเราได้รับความรู้เพิ่มขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว”“นั่นก็ดีแล้ว แม่หนูฉิงอันของข้ามีความสามารถมากใช่ไหมเล่า พวกเข้าก็เรียนรู้จากนางให้มาก ๆ ต่อไปจะได้นำไปพัฒนาบ้านเมืองช่วยฝ่าบาท”“ขอรับ ท่านโหว” ทั้งห้าตอบรับเสียงดังจนเหิงอันโหวได้แต่ทำตาเขียวใส่“พวกเจ้าจะเสียงดังให้คนอื่นได้ยินหรืออย่างไร ฮึ่ย!”&ldqu
เย็นวันนั้นหลินฉิงอันร่วมโต๊ะกับเสนาบดีเซี่ยและขุนนางทั้งสี่พร้อมกับคนในครอบครัวเช่นเคย ส่วนทหารทั้งหมดที่กำลังสร้างที่พักอยู่ก็ได้รับการดูแลจากบ่าวในเรือนพักฝั่งตรงข้าม ตอนนี้การก่อสร้างคืบหน้าไปอย่างรวดเร็วจนสามารถสร้างเรือนพักไปได้ถึงห้าหลังแล้ว เหลือเรือนพักอีกหนึ่งหลังก็สามารถให้ทุกคนที่มาพักผ่อนกันได้โดยไม่แออัด เพราะเรือนพักหลังหนึ่งสามารถเข้าพักได้ถึงยี่สิบคน ห้องน้ำต่าง ๆ ก็ถูกสร้างขึ้นมาประจำเรือนพักทั้งห้าหลังด้วยเช่นกัน นางต้องขอบคุณการควบคุมการก่อสร้างของนายช่างหวังจึงทำให้การก่อสร้างเป็นไปอย่างรวดเร็ว อีกทั้งทหารที่มายังมีวรยุทธ์สูงส่ง การทำงานที่ชาวบ้านธรรมดาต้องใช้เวลานานจึงแตกต่างจากทหารเหล่านี้ที่สามารถลดเวลาการทำงานได้มากกว่าครึ่งหลังอาหารเย็นสองชั่วยาม เสนาบดีเซี่ยกับขุนนางทั้งสี่ที่ยังคุยกันอยู่ที่ห้องโถงรับแขกเรือนหลักก็ขอตัวลาไปพักผ่อนยังเรือนพักของที่ดินอีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งเครื่องนอนต่าง ๆ ทหารที่มาจำนวนหนึ่งนำเกวียนลาของบ้านหลินไปซื้อมาจากในเมืองไห่ตงก่อนเวลาอาหารเย็นแล้ว อีกทั้งทางร้านยังจัดส่งตามมาให้จนครบจำนวน