เฉียวลู่หันมาคำนับให้เว่ยอ๋องและพระชายาทั้งสองจากนั้นจึงเอ่ยเบาๆ“หม่อมฉันสอบถามนางเสร็จแล้วเพคะ”เสี่ยวเหมยเห็นท่าทีนิ่งเฉยของเฉียวลู่ในใจของนางก็นึกหวาดกลัว จึงเอาแต่ก้มหน้าร้องไห้เพราะเกรงว่าท่านอ๋องจะถามตนไปมากกว่านี้“ทุกท่านที่อยู่ที่นี่คงได้ยินคำตอบของนางแล้วใช่หรือไม่ นางสารภาพออกมาด้วยตนเองว่านางเป็นคนนำเครื่องประดับเหล่านั้นออกไปจากห้องของพระชายารอง ข้าไม่รู้ว่านางต้องการสิ่งใดจากข้าเพราะข้าไม่เคยมีความแค้นใดต่อนาง ดังนั้นข้าจึงไม่รู้ว่าเหตุใดนางถึงได้คิดใส่ร้ายข้าเช่นนี้”ทุกคนต่างหันไปสบตากันเหมือนรู้ความนัย มีใครไม่รู้บ้างว่าสาวใช้มาใหม่นางนี้พึ่งมาทำงานได้เพียงวันเดียวก็ไปก่อเรื่องที่เรือนของพระชายารอง วันต่อมาก็ยังใช้ตะหลิวทุบตีคุณชายทั้งสองของจวนเว่ยอ๋องอีก หากจะบอกว่าไม่มีความแค้นต่อกันนั่นก็พูดได้ไม่เต็มปากเท่าใดนัก“เจ้าพูดเหลวไหลอะไรข้าไปรับสารภาพตั้งแต่เมื่อใดกัน”เสี่ยวเหมยเลิกร้องไห้ นางหันมาถลึงตาใส่เฉียวลู่ทั้งยังตวาดออกมาเสียงดัง เฉียวลู่ไม่สนใจท่าทีเกรี้ยวกราดของสาวใช้นางนี้ ที่นางสนใจคือคำตัดสินของผู้เป็นใหญ่ที่สุดของจวนเว่ยอ๋องต่างหาก“เอาตัวนางไปโบยห้าสิบ
หลังจากผ่านเรื่องเศร้าในใจไปได้ทั้งสองคนกลับมาทำงานของตนเองจนเสร็จเฉียวลู่ก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ทุกครั้งที่นางไปช่วยซูหลีตักน้ำเพื่อรดต้นไม้ นางนึกแปลกใจว่าในบ่อที่พวกนางใช้นั้นเหตุใดมีท่อนไม้ไผ่ยาวโผล่ออกมาและมีน้ำไหลอยู่ตลอด เฉียวลู่เดินตามไปดูจนกระทั่งเห็นมันถูกส่งออกด้านนอกกำแพงด้านหลังจวน นางคิดว่าบางทีพวกเขาอาจทำการต่อจากแหล่งน้ำด้านนอกเข้ามาที่จวนแห่งนี้เพื่อเอาไว้ใช้ในช่วงหน้าร้อนก็เป็นได้และก็เป็นอย่างที่เฉียวลู่คิด ด้านหลังจวนเว่ยอ๋องเป็นแม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลผ่านแคว้นเว่ยไปสู่แคว้นเซียวและแคว้นฉี เมื่อต้องการเดินทางไปสู่ทั้งสองแคว้นการเดินทางโดยเรือจะสะดวกกว่า เฉียวลู่เก็บรวบรวมข้อมูลของแคว้นเว่ยแห่งนี้เล็กน้อยจากซูหลี เพราะบางทีในอนาคตนางอาจต้องใช้มัน“อย่างไรวันนี้เราทั้งสองคนก็ได้หยุดพร้อมกันเช่นนั้นข้ามีความคิดดีๆ บางอย่างเจ้าอยากจะลองทำดูกับข้าหรือไม่”ซูหลีไม่รู้ว่าไอ้ความคิดดีๆ ที่เฉียวลู่พูดถึงนั้นมันคือสิ่งใด แต่นางเชื่อใจสหายผู้นี้นัก ครึ่งปีที่อยู่ด้วยกันมาทั้งสองปกป้องกันและกันจากการถูกกลั่นแกล้ง จนซูหลีคิดว่าสวรรค์ส่งเฉียวลู่ให้มาอยู่เป็นเพื่อนและช่วยปกป้อ
เฉียวลู่และซูหลีมีวันหยุดสองวัน ดังนั้นวันนี้พวกนางจึงกลับมาที่แม่น้ำด้านหลังจวนเว่ยอ๋องอีกครั้ง เมื่อวานซูหลีติดใจในรสชาติของปลาหลีฮื้อเปรี้ยวหวานที่เฉียวลู่ทำ วันนี้จึงอยากที่จะทานมันอีกครั้งเฉียวลู่ที่ไร้ความทรงจำกลับสามารถรังสรรค์อาหารออกมาได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุดโดยที่นางเองก็ไม่รู้ตัว บางครั้งในความรู้สึกของนางเหมือนกำลังมีบางอย่างคอยควบคุมความคิดของตนอยู่ เฉียวลู่รู้สึกไม่สบายใจถ้าหากว่าตนเองยังคงสูญเสียความทรงจำอยู่อย่างนี้“มาแล้วหรือนางหนู ข้ามารอเจ้าตั้งแต่เช้าแล้ว เหตุใดถึงได้มาสายนัก”ชายชรารีบวิ่งตรงมาที่พวกนางทั้งสองที่กำลังจัดเตรียมสถานที่ตกปลาอีกครั้ง เฉียวลู่เลิกคิ้วมองเขาเล็กน้อยจากนั้นจึงเดินผ่านชายชราไปราวกับเขาเป็นเพียงสายลม ชายชรายังคงไม่ยอมแพ้เขาตามติดเฉียวลู่เหมือนหางน้อยๆ ของนาง ซูหลีที่เตรียมอาหารและน้ำชาอยู่ใต้ต้นหลิวริมน้ำ มองการกระทำของทั้งสองด้วยความประหลาดใจ“นี่นางหนู ที่เจ้าไม่ยอมรับข้าเป็นอาจารย์เพราะเจ้าอาจจะยังไม่รู้ว่าข้าเป็นใคร ดังนั้นวันนี้ข้าจึงจะมาบอกเจ้าว่าข้าผู้นี้นั้นมีชื่อเสียงโด่งดังและมีผู้นับถือทั่วทั้งดินแดน ชื่อของข้าคือฮั่วอี้หมอเทวด
เฉียวลู่และซูหลีตรงไปหาฝูมามาที่ทำหน้าที่ดูแลสาวใช้ทั้งหมดของจวนเว่ยอ๋อง พวกนางยื่นเจตจำนงในการไถ่ถอนตัว สำหรับเฉียวลู่ที่มาอยู่ที่นี่โดยไร้สัญญาซื้อขายนั้นย่อมไร้ปัญหา แต่ซูหลีที่ยังติดสัญญาทาสอยู่นั้นนางไม่แน่ใจว่า สัญญาของซูหลีที่ทำเอาไว้ก่อนที่นางจะมาอยู่ที่จวนเว่ยอ๋องนั้นต้องใช้เวลากี่ปี ถึงจะสามารถไถ่ถอนตัวออกไปจากจวนเว่ยอ๋องได้“พวกเจ้าแน่ใจหรือว่าต้องการเช่นนี้”ฝูมามาถามหญิงสาวทั้งสองที่ยืนข้างกันเพื่อความแน่ใจ ทั้งเฉียวลู่และซูหลีต่างก็พยักหน้าพร้อมกัน แสดงความต้องการตามที่นางได้บอกไปก่อนหน้านี้ฝูมามาถอนหายใจออกมาเบาๆ พวกนางอยู่ที่นี่มีอาหารเสื้อผ้าให้ทุกปี มีคนคอยดูแลคุ้มครองปกป้อง แล้วเหตุใดถึงได้คิดออกไปเผชิญชะตากรรมที่ไม่รู้ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นในอนาคตด้านนอกจวน ช่างเป็นเด็กสาวที่ดื้อรั้นยิ่งนักฝูมามาพาพวกนางทั้งสองไปที่เรือนของพระชายาเอก หลังจากที่แจ้งมามาคนสนิทของพระชายาซู่หนี่เรื่องของสาวใช้ทั้งสองแล้ว นางจึงกลับเข้าไปเพื่อรายงานนายหญิงของตน“เจ้าบอกว่าเด็กสาวที่ชื่อซูเม่ยต้องการจะไปจากที่นี่อย่างนั้นหรือนางได้บอกหรือไม่ว่าเพราะเหตุใด ข้าคิดว่านางความจำเสื่อมเสียอีก”
เฉียวลู่นั้นรู้ตั้งนานแล้วว่ามีคนติดตามพวกนางมา แต่นางไม่ได้เปิดโปงพวกขาเพราะคิดในแง่ดีว่าบางทีอาจเป็นคนที่กำลังเดินทางเหมือนกับพวกตน แต่ตั้งแต่ที่พวกนางหยุดพักที่วัดร้างแห่งนี้คนพวกนั้นเองก็ไม่ได้เคลื่อนไหวไปไหนเลย แสดงว่าเป้าหมายที่พวกเขาต้องการตามคือพวกนางนางยังไม่รู้จุดประสงค์ของคนพวกนั้นแต่นางก็ไม่อยากเอาเรื่องนี้มาเสี่ยงให้ทุกคนบาดเจ็บโดยเฉพาะซูหลีที่ดูเหมือนจะช่วยเหลือตนเองไม่ได้ในยามนี้เฉียวลู่คว้าท่อนฟืนที่กำลังมีไฟลุกโหมอยู่ขึ้นมา ชี้ไปที่ผู้มาใหม่ที่กำลังก้าวเข้ามาในวัดร้างแห่งนั้น เมื่อนางได้เห็นใบหน้าพวกเขาชัดๆ เฉียวลู่ก็รู้แล้วว่าเป็นผู้ใด“เป็นเจ้านี่เองมู่อาเสิ่น ถึงขั้นติดตามข้ามาถึงที่นี่หมายความว่าเจ้าคงจะมีสายอยู่ในจวนเว่ยอ๋องสินะ”ดวงตาแข็งกร้าวของนางจ้องมองไปชายฉกรรจ์ทั้งหกอย่างไม่เกรงกลัว“ซูหลีตาเฒ่าถอยออกไปก่อน”ทั้งสองคนพยักหน้าทำตามที่เฉียวลู่สั่งอย่างว่าง่าย เพราะพวกเขารู้ถึงพละกำลังของนางดี ถึงจะเป็นห่วงแต่ก็ไม่อยากอยู่เป็นตัวถ่วงของนาง“อาเม่ยระวังตัวให้ดีนะ”ซูหลี่เอ่ยออกมาเบาๆ ก่อนถอยออกให้ห่างจากระยะการต่อสู้ ชายชราเองก็เป็นห่วงลูกศิษย์ที่พึ่งได้มาขอ
คืนนี้เป็นคืนไร้ดวงดาวและจันทรา ท้องฟ้าทั่วทั้งปฐพีมืดมิดราวกับมัจจุราชที่พยายามกลืนกินจิตใจผู้คน ร่างสูงโปร่งยืนอยู่ท่ามกลางกองซากศพ สีหน้าล้ำลึกยากหยั่งถึงไม่ปรากฏอารมณ์ใดใด มีเพียงดวงตาที่เปล่งประกายคมกล้าเหมือนดั่งว่ากำลังใช้ความคิดเกี่ยวกับบางสิ่ง ความมืดมิดที่ไร้ของเขตกำลังห้อมล้อมรอบตัวเขาแม้ว่ารอบกายจะเต็มไปด้วยกลิ่นคาวโลหิต แต่ก็มีความสง่างามยามอยู่ในชุดสีดำราวกับมัจจุราชหน้าหยกที่พร้อมพรากชีวิตของผู้ใดก็ตามที่กล้าเข้ามาเป็นศัตรูกับเขาเกือบสามปีแล้วที่เขาเฝ้าตามหานางไปทั่วทุกแว่นแคว้น สตรีเพียงผู้เดียวที่ยังคงอยู่ภายในจิตใจของเขา แม้ฉีหมิงเยี่ยนจะไม่เคยแสดงออกให้ผู้ใดเห็นแต่ผู้ใต้บัญชาล้วนแต่มองออกว่าเขานั้นทุกข์ระทมกับการตามหาพระชายายิ่งนัก บุตรชายทั้งสองที่เคยร่าเริงตอนนี้กลับกลายเป็นเงียบขรึม ทั้งที่เป็นเพียงเด็กอายุแค่หกขวบเท่านั้นทั้งบิดาและบุตรต่างก็มีสภาพไม่ต่างกันเท่าใดนัก สิ่งที่ทำให้พวกเขาสามารถลืมความเศร้าโศกที่ต้องสูญเสียนางอันผู้เป็นที่รักไปคือการสังหารผู้ที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้พวกเขาพลัดพราก ใช้เลือดของพวกมันช่วยปลอบประโลมจิตใจของเขาให้คงอยู่ไม่แตกสลายก่อนที่จ
หลังจากที่เจ้าหน้าที่พาหมอกำมะลอจากไป เฉียวลู่ก็หันกลับมาจัดการกับความใจร้อนของซูหลีทันที“เจ้าควรใจเย็นให้มากกว่านี้ ที่นี่หาใช่สถานที่ที่เราจะกระทำตามใจได้อย่างเช่นแต่ก่อน”เฉียวลู่เอ่ยเพียงเท่านั้นนางก็เดินไปจ่ายค่าเสียหายที่ซูหลีทำเอาไว้ ซูหลีพยักหน้ารับคำตักเตือนของนาง ท่าทางคอตกของสหายทำเอาเฉียวลู่อ่อนใจ ผ่านไปสองปีนางอายุมากขึ้นแต่เหตุใดถึงรู้สึกว่าสหายผู้นี้กลับมีนิสัยมุทะลุยิ่งกว่าเดิม“ไปเถอะ”เฉียวลู่เดินนำซูหลีออกจากเหลาอาหารไป สายตาของใครบางคนมองตามร่างบางไปจนสุดสายตา เขาที่เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่เริ่มต้นแสดงท่าทางครุ่นคิดเหมือนกำลังวิเคราะห์บางอย่างดวงตาที่ลึกล้ำของเขาเฝ้ามองอิริยาบถของสตรีทั้งสองตลอดเวลา ถึงแม้เขาจะมองไม่เห็นใบหน้าภายใต้ผ้าโปร่งบางผืนนั้น แต่การกระทำของพวกนางกลับทำให้เขาสนใจยิ่งกว่าเดิมครั้งนี้เฉียวลู่และซูหลีออกเดินทางมาที่แคว้นฉีเพียงลำพังไม่มีอาจารย์ที่คอยติดตามพวกนางดั่งเช่นสองปีที่ผ่านมา แม้ว่าทั้งสองจะได้เป็นลูกศิษย์ของหมอเทวดาผู้โด่งดัง แต่ยังต้องผ่านการฝึกฝนอย่างหนักทั้งวิชาการรักษาและวรยุทธ ที่เขาทำเช่นนั้นก็เพื่อพวกนางทั้งสองคน ในอนาคตหากเขาจาก
เฉียวลู่เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้น และได้ฟังบทสนทนาของบุรุษชุดดำและเด็กชายอายุราวห้าหกขวบทั้งหมด ใบหน้าด้านข้างของเขาซ่อนอยู่ในเงามืด มีเพียงแววตาที่ไม่หวั่นเกรงที่นางมองเห็นได้อย่างชัดเจน ความรู้สึกบางอย่างของนางมันประเดประดังเข้ามาไม่หยุดนางรู้สึกคุ้นเคยกับเด็กน้อยผู้นี้ยิ่งนัก แต่นางกลับจำไม่ได้ว่านางเคยพบเขาที่ไหนมาก่อน ความรู้สึกและจิตใต้สำนึกของนางร่ำร้องบอกนางว่าวันนี้เด็กคนนั้นจะต้องปลอดภัย ก่อนที่สมองของนางจะทันได้ประมวลผล ร่างกายของนางก็ทะยานออกไปตามสัญชาตญาณ เมื่อเห็นชายชุดดำพุ่งกระบี่ตรงไปที่เด็กคนนั้นเสียงปะทะของโลหะดัง เคร้ง!!จนเกิดประกายไฟ ทำให้ชายชุดดำหันกลับมามองผู้ที่ยื่นเท้าเข้ามาสอดเรื่องของตน ร่างงามระหงในชุดสีฟ้ามีผ้าโปร่งบางปิดบังใบหน้าเอาไว้ ทะยานลงมาจากหลังคาหยุดยืนตรงหน้าพวกเขาอย่างเงียบเชียบอวี้หลงแม้จะมองเห็นเพียงแผ่นหลังอันบอบบางของนาง แต่ความรู้สึกแรกที่เขาสัมผัสได้คืออบอุ่นหัวใจ บรรยากาศรอบกายของสตรีชุดสีฟ้านางนี้ทำให้อวี้หลงรู้สึกคุ้นเคยอย่างแปลกประหลาด แม้ตอนนั้นจะเป็นยามราตรีแต่ผ้าโปร่งบางผืนนั้นที่มันสะบัดพลิ้วเล็กน้อยทำให้เขาที่ตัวเล็กกว่ามองเห็นใบห
ฉีหมิงเยี่ยนกลับมาพร้อมชัยชนะหลังจากนั้นหนึ่งเดือน คนตระกูลเสิ่นและผู้ที่เข้าร่วมก่อการกบฏต่างก็ถูกตัดหัวแขวนประจานเอาไว้ทุกหัวเมืองที่ถูกยึดคืนกลับมาได้ แต่ชัยชนะครั้งนี้กลับไม่ได้มีการเฉลิมฉลองเพราะฉีอ๋องต้องสูญเสียพระชายาอันเป็นที่รักไปอย่างกะทันหัน เขาขังตัวเองเอาไว้ในห้องที่มีโลงใส่ศพของนาง อาจารย์ของเฉียวลู่เองก็ไม่คิดว่าตนเองจะต้องสูญเสียลูกศิษย์ของตนไปถึงสองคนพร้อมกัน เขาได้ใช้น้ำแข็งพันปีมรดกตกทอดของเจ้าสำนักเซียนแพทย์แช่ร่างของเฉียวลู่เอาไว้รอสามีของนางกลับมา“อาลู่เจ้าลืมตาขึ้นมาเถิด เจ้าอย่าได้ล้อข้าเล่นเช่นนี้เลย สามีของเจ้าตกใจรู้หรือไม่”ฉีหมิงเยี่ยนร้องไห้ออกมาปานจะขาดใจ ปากก็พร่ำเพ้อหานางไม่หยุด ร่างบางที่เหมือนนอนหลับอยู่ภายในโลกไม้ที่ถูกทำขึ้นอย่างประณีตไม่ขยับไหวติงแม้เพียงนิดเขาทำทั้งหมดนี้ไปเพื่ออะไรกัน เขาอุตส่าห์เปลี่ยนแปลงอนาคตทุกอย่างแล้ว คนตระกูลเสิ่นที่เป็นสาเหตุการตายของนางเขาก็สังหารจนสิ้น แต่แล้วเหตุใดนางถึงยังจากเขาไปอีกเล่า สวรรค์ท่านช่างใจร้ายกับข้านัก ท่านคิดที่จะทำลายหัวใจของข้าอีกกี่ครั้งกันท่านถึงจะพอใจเสียงร้องโหยหวนดั่งสัตว์ป่าที่กำลังบาดเจ็บ
ไม่นานหลังจากนั้น ทหารจากค่ายวิหคทมิฬพบสองพี่น้องที่หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งโดยบังเอิญ พวกเขาตามรอยของกั๋วจื่อชางเข้าไปในป่า แต่ต้องคลาดกันเพราะมีน้ำป่าไหลทะลักบนภูเขา จึงต้องย้อนกลับมาที่หมู่บ้านที่อยู่ไม่ห่างจากร่องรอยสุดท้ายที่หาเจอ เพราะเหตุนั้นจึงได้พบนายน้อยของตำหนักชินอ๋องทั้งสองคนเกือบครึ่งเดือนที่พวกเขาถูกจับตัวไป เพราะไม่ค่อยได้ทานอาหารสองพี่น้องจึงดูซูบผอมไปเล็กน้อย เฉียวลู่ที่ได้ข่าวจากคนของค่ายวิหคทมิฬนางเร่งเดินทางมาที่หมู่บ้านโดยเร็ว“ลูกแม่!!”นางกอดร่างเล็กทั้งสองเอาไว้ในอ้อมแขน พลางลูบหลังพวกเขาอย่างปลอบโยน อวี้หลงและอวี้ชิงที่เคยฝึกอยู่ในค่ายวิหคทมิฬอย่างหนักไม่เคยแม่แต่จะหลั่งน้ำตาสักหยด แต่เมื่อเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนอันอบอุ่นของมารดา เสียงร้องไห้เล็กๆ สองเสียงก็ดังประสานขึ้นก้องกังวานทั่วหมู่บ้านเหล่าทหารจากค่ายวิหคทมิฬที่รู้จักเด็กชายทั้งสองมองพวกเขาด้วยความแปลกใจ นึกว่าบุตรชายของมัจจุราชฉีจะกลายเป็นเหล็กกล้าเหมือนดั่งบิดาเสียอีก ไม่นึกว่าจะยังมีมุมน่ารักดั่งเด็กน้อยเมื่อยามที่อยู่กับมารดาเฉียวลู่ที่ถูกพรากบุตรชายจากอกไปหลายวัน นางเองก็ขวัญเสียไม่แพ้กัน สองแม่ลูกก
“อยู่ให้ห่างจากน้องชายของข้านะ”อวี้หลงวิ่งเข้าไปคิดที่จะทำร้ายนาง แต่หญิงใบ้กลับหลบได้อย่างง่ายดาย เขาวิ่งมาขวางนางอีกครั้งแต่ถูกหญิงใบ้จับโยนจนร่างเล็กลอยละลิ่วไปไกล นางใช้มือคลำไปที่ใบหน้าและลำคอของอวี้ชิงเบาๆ จากนั้นจึงหยิบยาออกมาจากแขนเสื้อแล้วยัดเข้าไปในปากของเขา นางบีบจมูกของอวี้ชิงเพื่อให้เขากลืนยาลูกกลอนลงไป อวี้หลงคิดว่านางวางพิษน้องชายตนเอง เขากรีดร้องออกมาทั้งน้ำตาด้วยความเจ็บปวด“อ๊ากกกก!!!ข้าจะสู้ตายกับเจ้า”เด็กชายที่สูงเพียงอกของนางพยายามต่อสู้กับหญิงใบ้สุดกำลัง ดวงตาเฉยเมยมองเด็กน้อยที่กำลังวิ่งเข้าหานาง เขาแกว่งหมัดไปที่หลายทีแต่นางก็ไม่ได้สู้กลับ นางทำเพียงพลิกเท้าหลบไปมาเหมือนกำลังเย้าแหย่สัตว์ตัวเล็กๆเด็กตัวเล็กที่พยายามต่อสู้กับผู้ใหญ่ผ่านไปนานสุดท้ายก็ยังไร้ผล อวี้หลงหอบหายใจแรงเพราะเรี่ยวแรงของเขาหมดไปจากการที่เขาแบกน้องชายเดินเป็นเวลานาน“พะ...พี่ชาย”เสียงเล็กๆ ที่ดังขึ้นเหมือนน้ำทิพย์ชโลมจิตใจของเขา อวี้หลงเลิกสนใจหญิงใบ้รีบวิ่งไปดูน้องชายของตนทันที“ชิงเอ๋อเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”อวี้หลงแตะไปที่หน้าผากของเขา ตัวที่ร้อนดังไฟตอนนี้ได้เย็นลงเล็กน้อย ใบหน้าแดงก่ำ
อวี้หลงและอวี้ชิงฟื้นขึ้นมาหลังจากที่ถูกลักพาตัวโดยชายชุดดำหลายสิบคน ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้วที่พวกเขาถูกจับตัวมา ท่านแม่และท่านพ่อจะต้องเป็นห่วงพวกเขามากแน่ๆตลอดทางที่รถม้าวิ่งพวกเขาถูกจับกรอกยาบางอย่างทำให้ไร้เรี่ยวแรงและหลับไป ทหารที่ทำหน้าที่คุ้มกันรถม้ากลับขึ้นมาดูพวกเขาเป็นระยะ สองพี่น้องฝาแฝดแสร้งหลับเพื่อไม่ให้ถูกกรอกยาอีกอวี้หลงใช้เท้าสะกิดน้องชายเบาๆ อวี้ชิงหรี่ตามองพี่ชายเล็กน้อย ทั้งสองพยักหน้าให้กันเป็นการสื่อสารที่เหมือนจะมีแค่พวกเขาที่เข้าใจ“เป็นอย่างไรบ้างพวกเขาตื่นขึ้นมาบ้างหรือไม่”เสียงหวานที่คุ้นหูทำให้นึกถึงสตรีผู้หนึ่งที่ท่านแม่แนะนำว่านางคือสหาย นางกล้าหักหลังท่านแม่แล้วจับตัวพวกเขามาหรือ ช่างน่าตายนัก“หลายวันมานี้พวกเขาฟื้นขึ้นมาไม่กี่ครั้งขอรับ ตอนนี้ยังคงหลับอยู่เพราะข้ากรอกยาสลายพลังไปแล้ว”ซูหลีพยักหน้า จากนั้นจึงเดินกลับขึ้นรถม้าคันที่อยู่ด้านหน้าพร้อมกับกั๋วจื่อชาง ไม่มีใครเอะใจเรื่องนี้เลยว่าพวกเขาจะแสร้งหลับเพราะคิดว่าเป็นเพียงเด็กหกขวบที่ไร้เล่ห์เหลี่ยมเท่านั้น หลังจากที่ดื่มยาสลายพลังไปสองสามครั้งดูเหมือนฤทธิ์ยาจะค่อยๆ ไร้ผลและไม่สามารถทำอันใด
หลังงานเลี้ยงที่วังหลวง เหล่าราชทูตที่มาร่วมงานต่างทยอยเดินทางกลับแคว้นของตน องค์หญิงเซียวหมิ่นเองก็เช่นเดียวกัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ต่างออกไปเล็กน้อยคือ นางกลับไปที่แคว้นเซียวในครั้งนี้มีเว่ย หลี่หมิงตามนางกลับไปด้วย ส่วนทางด้านเว่ยอ๋องก็ต้องกลับไปเตรียม ของหมั้นและสินสอดเพื่อแต่งสะใภ้เข้าจวน“ข้าขอให้พวกท่านเดินทางปลอดภัย หากมีโอกาสข้าจะไปร่วมงานแต่งของท่านทั้งสอง”“ข้าไปก่อนนะพี่อาลู่ท่านอย่าลืมแวะมาหาข้าเล่า”เฉียวลู่ออกมาส่งขบวนราชทูตจากแคว้นเซียวและแคว้นเว่ยที่นอกเมือง องค์หญิงเซียวหมิ่นยังมีท่าทางอาลัยอาวรณ์ต่อนาง และไม่อยากกลับแคว้นเซียว“รีบออกเดินทางเถอะสายมากแล้ว”ทหารอารักขาให้สัญญาณ ขบวนรถม้าจากแคว้นเซียวจึงเริ่มเคลื่อนตัว“ข้าขอขอบคุณเว่ยอ๋องที่ช่วยเหลือและดูแลข้ามาถึงหนึ่งปี ในอนาคตหากท่านมีเรื่องเดือดร้อนใด ทั้งข้าและสำนักเซียนแพทย์จะเข้าช่วยเหลือท่านอย่างเต็มกำลัง”นางหันมาขอบคุณเว่ยอ๋องที่กำลังออกเดินทางเช่นเดียวกัน“ไม่เป็นไรมิได้ ที่ข้าช่วยพระชายาก็ถือว่าเราทั้งสองแคว้นมีวาสนาต่อกัน ในอนาคตหากข้ามีเรื่องเดือดร้อนข้าจะมาขอความช่วยเหลือจากเจ้าแน่นอน”เว่ยอ๋องเอ่ยลาจากนั
นางกำนัลที่พาเฉียวลู่มาที่ห้องรับรองครั้งแรกย่องกลับมาดูสถานการณ์ เมื่อได้ยินเสียงน่าบัดสีดังขึ้นข้างในนางจึงรีบกลับไปที่งานเลี้ยงทันที ผ่านไปไม่นานนางกำนัลกลับมาพร้อมราชทูตและขุนนางมากมาย รวมทั้งชินอ๋องผู้ที่จะมาเป็นพยานสำคัญในเรื่องนี้เสียงครางกระเส่าของบุรุษยังคงดังอย่างต่อเนื่อง แต่เสียงของสตรีนั้นร้องครางออกมาอย่างเจ็บปวดช่างฟังแล้วให้ความรู้สึกขัดกันยิ่งนัก“นี่มันเรื่องอันใดกัน ในงานเลี้ยงวันพระราชสมภพของฝ่าบาท ใครช่างใจกล้าทำเรื่องบัดสีเช่นนี้”ผู้ที่เอ่ยขึ้นคือราชครูเสิ่นบิดาของเสิ่นชิงหยุน ทุกคนที่ตามมาดูเรื่องสนุกต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย“ผู้ที่อยู่ในห้องนั้นคือ....”นางกำนัลมองไปที่ฉีหมิงเยี่ยนก่อนจะก้มหน้าลงด้วยความหวานกลัว“ผู้ใดกันเหตุใดถึงไม่ยอมพูดออกมา ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด หากกระทำผิดย่อมต้องได้รับโทษเท่าเทียมกันไม่ว่าจะเป็นเชื้อพระวงศ์หรือขุนนาง”ราชครูเสิ่นจ้องไปที่นางกำนัลอย่างไม่วางตา เพื่อกดดันให้นางเอ่ยชื่อผู้ที่กำลังแสดงฉากร่วมรักอยู่ภายในห้องออกมา“พระชายาชินอ๋องเจ้าค่ะ บ่าวทำหน้าที่นำทางพระชายาชินอ๋องให้มารอที่ห้องนี้ แต่ไม่คิดว่านางจะ...”ทุกคนต่างหันกลับมามองฉี
หลังอาบน้ำเสร็จสองสามีภรรยานอนกอดกันอยู่บนเตียง ฉีหมิงเยี่ยนลูบหลังนางเบาๆ พร้อมทั้งเอ่ยบางอย่างจนทำให้เฉียวลู่ที่กำลังเคลิ้มใกล้หลับต้องตื่นเต็มตา“ข้าให้คนไปสืบเรื่องของซูหลีมาแล้ว บุรุษที่นางติดพันในช่วงนี้คือคุณชายตระกูลกั๋ว คนผู้นี้พึ่งมีตัวตนเมื่อไม่กี่ปีก่อน ได้ยินมาว่าใต้เท้ากั๋วมีบุตรชายที่หายสาบสูญไปพึ่งจะหาพบ อาลู่เขายังเป็นคนที่เสิ่นฮองเฮามีความสัมพันธ์ด้วย ข้าเกรงว่าแม้แต่องค์ชายใหญ่ก็คงจะไม่ใช่พระโอรสของฮ่องเต้ เจ้าควรจะเตือนเรื่องนี้แก่นาง”เฉียวลู่ถอนหายใจออกมาเบาๆ เตือนนางหรือ อย่าว่าแต่เตือนนางเลยแม้แต่ใบหน้าของนางข้ายังไม่ได้พบแล้วจะพูดเรื่องนี้กับนางได้อย่างไร เฉียวลู่คิดอย่างปวดหัวสามวันต่อมา งานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพของฮ่องเต้ฉีเหวินจิ้ง เฉียวลู่เข้าร่วมในฐานะพระชายาของชินอ๋อง เหล่าขุนนางและราชทูตที่มาร่วมอวยพรต่างให้ความสนใจทั้งสองคน พระชายาชินอ๋องผู้นี้ไม่ค่อยได้เข้าร่วมงานเลี้ยงเท่าใดนักงานนี้ถือว่าเป็นงานแรกอย่างเป็นทางการสำหรับนางก็ว่าได้ อีกอย่างที่พวกเขาให้ความสนใจในตัวนางก็เพราะฉีหมิงเยี่ยน ก่อนหน้านี้ระดมทหารหลายพันนายออกกวาดล้างโจรสลัดเพื่อแก
องค์หญิงเซียวหมิ่นหลังจากที่กลับมาที่พักรับรองของราชทูตแคว้นเซียวนางก็ขังตนเองเอาไว้ภายในห้อง เจ็ดวันแล้วที่นางไม่ยอมออกไปไหน ทั้งๆ ที่ผ่านมานางดีอกดีใจที่ตนเองได้พบกับเฉียวลู่อีกครั้ง แต่ตอนนี้เหมือนนางจะมีเรื่องยุ่งยากบางอย่างภายในใจ นางกำนัลคนสนิทของนางไม่เคยเห็นองค์หญิงของตนเป็นเช่นนี้มาก่อนนางจึงรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก“องค์หญิง หลายวันนี้อุดอู้อยู่แต่ในห้อง พระองค์ออกไปเดินเล่นสักหน่อยดีหรือไม่เพคะ”องค์หญิงเซียวหมิ่นถอนหายใจออกมาเบาๆ ท่าทางเศร้าสร้อยนั้นทำให้นางกำนัลรู้สึกเป็นห่วง องค์หญิงเซียวหมิ่นรู้ว่านางกำนัลเป็นห่วงตนจึงยอมทำตามที่พวกนางขอร้อง“ก็ได้ ไปเถอะ”องค์หญิงเซียวหมิ่นเดินนำหน้านางกำนัลออกจากเรือนรับรองไป นางเดินเล่นในอุทยานที่มีดอกไม้ที่ถูกปลูกเอาไว้มากมาย กลิ่นหอมของมันทำให้นางรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาเล็กน้อย เหล่าผีเสื้อสีสันสดใสบินรอบๆ ตัวนาง องค์หญิงเซียวหมิ่นหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างพอใจ“ที่นี่ถูกดูแลเป็นอย่างดีเชียวเจ้าดูดอกไม้พวกนั้นสิ แม้แต่ที่แคว้นเซียวก็ยังไม่งดงามเท่านี้เลย”นางชี้ชวนให้นางกำนัลผู้ติดตามดูดอกไม้ที่อยู่ไม่ไกล เพราะเอาแต่มองดอกไม้พวกนั้นทำให้น
“ผู้ร้องทุกข์เป็นผู้ใด”ผู้พิพากษาเอ่ยถาม เสิ่นชิงหยุนที่ปกติทำตัวเย่อหยิ่ง แต่ครั้งนี้กลับคุกเข่าลงอย่างหาได้ยาก นางร้องไห้น้ำตานองหน้า แสร้งทำท่าอ่อนแอให้ผู้คนสงสาร“ข้าคือเสิ่นชิงหยุน บุตรสาวคนเล็กของราชครูเสิ่น ที่ข้ามาวันนี้เพื่อต้องการร้องเรียนเอาผิด พระชายาของชินอ๋องเพราะนางทำร้ายร่างกายของข้าอย่างไร้เหตุผล”ชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่องต่างมองมาที่เฉียวลู่เป็นตาเดียว ใครไม่รู้บ้างว่าคุณหนูเสิ่นนั้นหลงรักปักใจในชินอ๋องมานานถึงขั้นไม่ยอมแต่งงานออกเรือน อาจเป็นเพราะพระชายาได้ยินเรื่องนี้เข้าจึงลงมือทำร้ายคุณหนูเสิ่นใช่หรือไม่เสียงวิพากษ์วิจารณ์จากชาวเมืองดังเซ็งแซ่ แต่เฉียวลู่ไม่สะดุ้งสะเทือนนางไม่แม้แต่จะกะพริบตา นางรอดูว่าเสิ่นชิงหยุนจะเล่นลูกไม้อันใดอีก หากมีเพียงเท่านี้นั่นก็ทำให้นางรู้สึกผิดหวังยิ่งนักที่นางเล่นใหญ่แต่กลับทำอะไรไม่ได้เลยองค์หญิงเซียวหมิ่นทำท่าจะลุกขึ้นตีนางอีกครั้ง นางโตจนป่านนี้แล้วไม่เคยเห็นผู้ใดหน้าด้านเท่าสตรีผู้นี้มาก่อน เฉียวลู่ดึงนางให้นั่งลง นางส่ายหน้าให้องค์หญิงเซียวหมิ่นสงบใจ องค์หญิงเซียวหมิ่นได้แต่ทำท่าฮึดฮัดอย่างขัดใจ หากเป็นที่แคว้นเซียวสตรีอย่างเส