การต่อสู้ครั้งนี้ดุเดือดมากหินไฟกำลังทะยาน ลูกธนูถูกยิงออกไป มีเลือดและการสังหารอยู่ทุกหนแห่งเมื่อเวลาผ่านไป ทางปราการเจิ้นเป่ยก็เสียเปรียบรองแม่ทัพบางคนหมดแรงแล้ว เมื่อมองไปที่ศัตรูที่ดูเหมือนจะวิ่งเข้ามาอย่างไม่สิ้นสุด พวกเขาก็ถามด้วยเสียงแหบห้าว “ท่านแม่ทัพเซียว ท่านอ๋องอยู่ที่ใด?”เซียวเฝิงที่ตามตัวเต็มไปด้วยเลือดและเข่นฆ่าศัตรูจนหยุดไม่ได้ เขาเม้มริมฝีปากแน่นและหายใจหอบเล็กน้อยขณะใช้ดาบยาวค้ำกับพื้น“ไม่รู้”คำตอบของเขาทำให้สีหน้าของรองแม่ทัพผู้นั้นแข็งค้าง“ไม่รู้อะไร...ท่านอ๋องอยู่ในค่ายทหารไม่ใช่หรือ? ตอนนี้คนของเรากำลังจะสูญเสียขวัญกำลังใจไปหมดแล้ว รีบไปขอให้ท่านอ๋องช่วยคิดหาวิธีสิ!”กองกำลังศัตรูมีจำนวนมากกว่าสองเท่าแม้การป้องกันเมืองจะง่ายกว่าการโจมตี แต่หากยังฝืนต่อไป พวกเขาก็จะไม่สามารถปกป้องเมืองได้เซียวเฝิงไม่ได้พูดอะไร เพียงมองไปในระยะไกลและหัวเราะทันที “อย่าถามอะไรไร้สาระ ข้าสั่งให้ทำอะไรก็ตั้งใจทำไป”เขาตำหนิรองแม่ทัพ และหลังจากพักแล้วเขาก็นำคนของเขาออกไปสังหารศัตรูอีกครั้งมีบางคนปีนขึ้นไปตามบันไดบนกำแพงและถูกคนด้านบนทุบตีลงอีกครั้ง หมุนเวียนไปซ้ำแล้
“นะ...นี่มันเกิดอะไรขึ้น แคว้นอู๋ตะวันตกถอนกำลังแล้ว!”เซียวเฝิงเก็บดาบและยืนอยู่บนกำแพงเมือง เขาลูบเลือดที่เลอะไปทั่วใบหน้าของตัวเองพลางหลุบตาลงเล็กน้อยแล้วพูดว่า "จะเป็นเพราะอะไรได้ล่ะ แน่นอนว่าเป็นฝีมือของท่านอ๋องน่ะสิ"เมื่อได้ยินเขาพูดข้อมูลดังกล่าว ทุกคนก็มองหน้ากันขณะเดียวกัน ณ เมืองโม่เฉิงบริเวณชายแดนของแคว้นอู๋ตะวันตกกองทหารอารักขาเมืองถูกกำจัดไปหมดแล้วปราการชายแดนแห่งนี้ตกมาอยู่ในมือของเย่เสวียนถิงอย่างสมบูรณ์เย่เสวียนถิงยืนอยู่ที่ประตูเมืองพร้อมกับหอกในมือ และสั่งให้คนตัดธงของแคว้นอู๋ตะวันตกออกคนผู้หนึ่งที่สวมชุดเกราะทหารธรรมดายืนอยู่ข้างหลังเขา เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น ก็เผยให้เห็นใบหน้าของซูชิงอู่ ซึ่งจงใจทำให้หน้าของตัวเองดำขึ้นมากนางไม่ได้ปลอมตัวเยอะเกินไป เพียงแค่เปลี่ยนลักษณะใบหน้าของนางเพียงเล็กน้อยเท่านั้นซูชิงอู่ไพล่มือไว้ด้านหลังพลางมองลงไปที่กำแพงเมืองด้วยท่าทางที่ค่อนข้างภาคภูมิใจ“ท่านอ๋อง พาข้ามาด้วยมีประโยชน์มากเลยใช่ไหมเล่า”เย่เสวียนถิงหันไปเหลือบมองนาง สายตาของเขาอบอุ่น และเสียงของเขาก็อ่อนโยนอย่างยิ่ง“อาอู่รู้ได้อย่างไรว่ามีทางลัดมาถึงที่นี
เหยียนจั๋วโกรธจนดวงตาเป็นสีแดง“เป็นฝีมือของใคร ทหารอารักขาเมืองอยู่ที่ไหน?”ทันทีที่เขาตะโกนอย่างดุดัน บุรุษผู้หนึ่งก็วิ่งเข้ามาด้วยความสิ้นหวัง“เรียนท่านแม่ทัพ ทหารอารักขาเมืองระดับสูง ดะ…ได้ตายไปแล้วขอรับ…”สิ้นคำพูด เหยียนจั๋วก็มีสีหน้าโกรธจัดขณะเดียวกัน รถม้าขององค์รัชทายาทก็กำลังเข้ามาใกล้จากด้านหลัง และเสียงพูดแขวะของอู๋ถานก็ดังมาจากด้านใน“แม่ทัพเหยียน หากเจ้าไม่ชะลอการเปิดศึก ไม่พูดว่าเย่เสวียนถิงอยู่ในเมือง แล้วให้มีการสังเกตการณ์การสงบศึกเป็นเวลาสามวัน จะมีการลอบโจมตีจากแนวหลังได้อย่างไร!”คำพูดขององค์รัชทายาทเหมือนเป็นการทุบหัวของเหยียนจั๋ว ซึ่งทำให้เหยียนจั๋วโกรธมากยิ่งขึ้นแต่ถึงอย่างไรคนตรงหน้าก็เป็นองค์รัชทายาท เขาจึงไม่สามารถทำตัวเสียมารยาทอย่างเปิดเผยได้เขากล่าวเสียงทุ้ม “องค์รัชทายาท นี่เป็นแผนการตลบหลังของเย่เสวียนถิง ตราบใดที่เราทิ้งเมืองโม่เฉิงไว้กับคนของเรา เราก็จะถูกโจมตีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความเร็วในการเดินทัพของกองทัพที่แข็งแกร่งสี่แสนนายจะเทียบกับกองทัพที่มีทหารม้าเพียงไม่กี่หมื่นนายได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”องค์รัชทายาทหรี่ตาลง “เถียงข้าง ๆ คู ๆ !
กำแพงเมืองสูงถึงเพียงนี้ แต่ยังสามารถยิงจากข้างล่างขึ้นไปได้น่ากลัวเหลือเกิน“ความจริงเป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมและคนอื่น ๆ แทบไม่อยากเชื่อ แต่อีกฝ่ายก็ได้ทำไปแล้ว หากศัตรูถือหน้าไม้ล้อมเมืองเอาไว้ ท่านแม่ทัพก็คงจะไม่ยื่นหน้าออกไป…”การป้องกันเมืองชายแดนแบบนี้สมบูรณ์มาก หากอยู่ในสถานการณ์ปกติ การปิดล้อมเมืองจะใช้เวลานานตัวอย่างเช่น กองทัพของแคว้นอู๋ตะวันตกมีมากกว่าจำนวนนายทหารของปราการเจิ้นเป่ยถึงเท่าตัวอย่างชัดเจน แต่หากจะบุกเข้าไปนั้นไม่ง่ายเลยพวกเขาต้องใช้เวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนเพื่อดูสัญญาณแรกของชัยชนะ แต่แล้วเมืองโม่เฉิงเล่า?ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วยาม อีกฝ่ายก็ยึดเมืองโม่เฉิงได้ทั้งเมืองได้ทั้ง ๆ ที่มีจำนวนคนมากกว่าพวกเขาหลายหมื่นคนแม้แต่ทหารชั้นยอดก็ไม่สามารถเร็วถึงเพียงนั้นได้!“เย่เสวียนถิงเปิดประตูเมืองได้อย่างไร?”“ข้าน้อยก็ไม่ทราบ...ไม่ทราบว่าเรื่องเป็นมาอย่างไรขอรับ จู่ ๆ เหล่าทหารที่อารักเมืองก็หล่นลงมาจากกำแพงเมืองทีละคนในสภาพน้ำลายฟูมปาก แลดูน่ากลัวมาก ข้าน้อยไม่ได้อยู่ด้านบน ตอนนั้นจึงไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น...”ท่าทางของเหยียนจั๋วแข็งทื่อไปเล็กน้อยแม้ในเ
เมื่อพูดถึงกุ้ยเฟย แม้แต่เหยียนจั๋วก็แสดงความกลัวขึ้นมาโชคดีที่อีกฝ่ายแอบมาเข้าฝ่ายเขาและช่วยเหลือเขาในการเป็นฮ่องเต้องค์ต่อไปครั้งนี้ในระหว่างการเดินทางไปยังแคว้นหนานเย่ พี่ชายสองคนของกุ้ยเฟยผู้นั้นได้ถูกส่งมาช่วยเหลือหลังจากได้เห็นความร้ายกาจของปรมาจารย์กู่ที่อยู่ในมือเย่เสวียนถิงแล้ว เหยียนจั๋วก็แทบรอไม่ไหวกับการมาถึงของสองคนนั้นทักษะการใช้กู่ไม่มีผลในสงครามขนาดใหญ่ แต่สามารถมีบทบาทสำคัญในสงครามเล็ก ๆ เช่นหมู่ทหารเป็นพันนายนี้ได้เช่นเดียวกับนักธนูที่เสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุ...แผนนี้ทำให้การสนับสนุนจากกองทัพแนวหลังไม่สามารถมาได้ทันเวลาเมื่อทหารที่ติดตามเหยียนจั๋ว ได้ยินคำพูดของผู้เป็นแม่ทัพ พวกเขาทั้งหมดก็ดูหวาดกลัว และพวกเขาก็เข้าใจถึงความน่าสะพรึงกลัวของสิ่งนี้“ท่านแม่ทัพ ไม่มีวิธีป้องกันเลยหรือขอรับ?”เหยียนจั๋วหลุบตาลง "ใช่ แต่ก็ยังต้องรอ ตอนกลางคืนทุกคนควรระวังตัวและอย่าปล่อยให้แมลงวันตัวไหนบินเข้ามาได้อีก!""ขอรับ!"หลังจากรับคำสั่ง กองทัพทั้งหมดของแคว้นอู๋ตะวันตกจึงทำความสะอาดจัดระเบียบเมืองโม่เฉิงทันทีและเหยียนจั๋วเองก็ร่วมเดินทางไปยังกับเจ้าชายและคนอื่น
ตามที่พวกเขาคาดไว้ ใช้เวลาไม่นานก่อนที่ม้าหลายหมื่นตัวจะปรากฏตัวที่พื้นราบ พวกเขาค่อย ๆ เข้าใกล้เมืองชายแดนผ่านขอบฟ้าและแสงสลัวดวงตาของเซียวเฝิงเป็นประกาย เขาตะโกนเสียงดัง “เปิดประตูเมือง!"ทุกคนต่างลงไปต้อนรับ เมื่อพวกเขาเห็นเย่เสวียนถิงอยู่บนหลังม้า พวกเขาทั้งหมดดูเหมือนได้พบกับเสาหลักที่พึ่ง และหัวใจที่หวาดหวั่นก็กลับมาสู่สภาวะปกติในสายตาของคนกลุ่มนี้ การดำรงอยู่ของเย่เสวียนถิงคือการสนับสนุนทางจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ของพวกเขา บุคคลที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาได้กลายเป็นเทพเจ้าแห่งสงครามที่มีอำนาจทุกอย่างและอยู่ยงคงกระพันในใจพวกเขาน่าเสียดายที่พวกเขาไม่รู้ว่าเย่เสวียนถิงอดทนต่อความกดดันมากเพียงใด และยากเพียงใดที่จะก้าวไปทีละก้าวตั้งแต่อายุยังน้อยมาจนถึงจุดที่เขาอยู่ทุกวันนี้เขาเป็นเพียงมนุษย์ ไม่ใช่พระเจ้ามิฉะนั้นเขาคงไม่สูญเสียขาข้างหนึ่งไปด้วยน้ำมือของศัตรูเพราะถูกทรยศจากคนที่ไว้ใจทว่าคนหนุ่มที่เคยแพ้พ่ายก็กลับมาสู่สนามรบอย่างยืนหยัดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน“กระหม่อมขอถวายความเคารพท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ!”เซียวเฝิงเป็นคนแรกที่ก้าวไปข้างหน้า พลางถอนหายใจด้วยความโล่งอกและพูดว่า "ภารกิ
หลังจากความเงียบงัน ไม่รู้ว่าใครเริ่มตะโกนขึ้นมาท่ามกลางฝูงชน“ท่านอ๋องผู้เกรียงไกร!”เสียงตะโกนที่เต็มไปด้วยความยินดีทำให้ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นพูดตามกันไปทันที และสีหน้าที่ตึงเครียดของคนเหล่านั้นก็ค่อย ๆ ผ่อนคลายลงหลังจากที่เซียวเฝิงและคนอื่น ๆ กลับมาที่เมือง เย่เสวียนถิงก็พูดคุยสั้น ๆ เกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของทางแคว้นอู๋ตะวันตก“ตอนนี้กองทัพแคว้นอู๋ตะวันตกกำลังขาดเสบียง จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่พวกเขาจะมุ่งเน้นไปที่การหาเสบียงให้กับของกองทัพ จงส่งคนไปเฝ้าคลังเสบียงเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้หน่วยสอดแนมของแคว้นอู๋ตะวันตกลอบเข้ามาโจมตี”ดวงตาของเซียวเฝิงเป็นประกาย เขายอมรับงานสำคัญนี้ทันที“ท่านอ๋องโปรดวางใจ กระหม่อมจะนำคนไปเฝ้าคลังเสบียงทั้งกลางวันและกลางคืนเลยพ่ะย่ะค่ะ”เย่เสวียนถิงพยักหน้าเบา ๆ "ทหารม้านับหมื่นที่ข้าพามานั้นล้วนมาจากเมืองฉี เจ้าจงจัดการรวมพวกเขาเข้ากองทัพโดยเร็วที่สุด"เซียวเฝิงรับคำสั่งและออกไปพร้อมกับคนอื่น ๆเย่เสวียนถิงสั่งให้ทุกคนออกไป เหลือเพียงซูชิงอู่ที่อยู่ข้างหลังตน เขาพานางเข้าไปในกระโจมทหาร ทันทีที่หันไปมอง นางก็เห็นสภาพแวดล้อมโดยรอบพร้อมกับเบิกตาก
นางยังคงสวมเสื้อผ้าของทหารธรรมดา และใบหน้าปลอมของนางยังไม่ได้ถูกถอดออก ทันใดนั้นก็มีเสียงมาจากนอกประตู "รายงาน!"เสียงนั้นหยุดอยู่นอกประตูกระโจมทหาร "ท่านอ๋อง เมื่อครู่สืบทราบข้อมูลมาว่าทางกองทัพของแคว้นอู๋ตะวันตกได้รื้อค้นบ้านทั้งหมดของราษฎรในเมืองโม่เฉิงเพื่อนำมาเป็นเสบียงพ่ะย่ะค่ะ"เมื่อซูชิงอู่ได้ยินเช่นนั้น นางก็ปล่อยเย่เสวียนถิงทันทีและรีบยืนตัวตรงเย่เสวียนถิงพูดจากในกระโจมทหาร "ข้าเข้าใจแล้ว"เมื่อเสียงฝีเท้าค่อย ๆ เคลื่อนออกไป ซูชิงอู่ก็ถามขึ้น "ไม่ค่อยต่างจากที่ข้าคาดไว้ หลังจากที่เสบียงหมดลง ทางแคว้นอู๋ตะวันตกจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้อาหารมา"เย่เสวียนถิงเคาะนิ้วเบา ๆ บนโต๊ะ และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "หากข้าคือเหยียนจั๋ว สิ่งเดียวที่จะทำได้ตอนนี้คือขโมยเสบียงจากแคว้นหนานเย่"ซูชิงอู่กะพริบตา "จะขโมยมันได้อย่างไร? จะต่อสู้กับพวกเราโดยตรงหรือ?"เย่เสวียนถิงส่ายหัวเบา ๆ "ทำเช่นนี้ย่อมล่าช้าเกินไป"ซูชิงอู่นั่งอยู่บนโต๊ะตรงหน้าเย่เสวียนถิงด้วยความสับสน“ท่านอ๋องบอกข้าทีว่าพวกเขาจะใช้วิธีการใด?”เมื่อเห็นสีหน้าขอคำแนะนำของซูชิงอู่ เย่เสวียนถิงก็เม้มริมฝีปากบางเล็กน้อย ดวงต
คนขายเนื้อทำสีหน้าหวาดกลัว “คนผู้นี้เลวทรามถึงเพียงนี้เลยรึ?”“เจ้าคอยระวังตัวเอาไว้ก็ไม่เป็นไรแล้ว ทางนั้นตรวจดูเสร็จรึยัง? ไปกันต่อเถิด!”เมื่อกองกำลังทำการค้นหาเสร็จเรียบร้อย คนขายเนื้อก็ยิ้มมุมปากเบา ๆเขาคิดไม่ถึงเลยว่าคนเหล่านี้จะพบเบาะแสทางตะวันตกของเมืองเร็วถึงเพียงนี้หากเขาไม่ได้เตรียมพร้อมมาก่อนหน้านี้และรีบปลอมตัวโดยไว เขาก็คงจะถูกจับได้ไปแล้วคนขายเนื้อรีบเข้าไปยังพื้นที่ด้านในสุดของร้านเขาเหลือบมองหนอนกู่ที่ซ่อนเอาไว้ในตู้ในหนึ่ง และเมื่อเปิดตู้ใบนั้น ดวงตาของเขาก็ฉายแววน่ากลัวออกมาผ่านมาหลายปี ดูเหมือนโลกภายนอกจะลืมความน่ากลัวของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว เริ่มแรกนั้นพวกเขาได้ครอบครองตำแหน่งระดับสูงของราชวงศ์ในแคว้นต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงตำแหน่งในนามแต่มันสามารถแทรกแซงแคว้นนั้น ๆ และพลิกสถานการณ์ได้ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดคือการแอบเข้าไปในพระราชวังเพื่อช่วยเหลือเจียงเฟยเอ๋อร์หากต้องการเข้าไปในพระราชวังมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนาได้ก็ต้องใช้วิธีที่ต่างออกไปบุรุษผู้นั้นออกจากร้านขายเนื้อหมูที่ถูกตรวจค้นเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับปิดประตูร้านแสร้งทำเป็นออกไปทำธุร
หลังจากซูชิงอู่ส่งชิงอวี่ออกไปก็ยังคงตื่นเต้นอยู่เล็กน้อยซูชิงอู่หาคนมาวาดภาพเหมือนเจ้าอาวาสในปีที่แล้วและส่งต่อให้คนอื่น ๆ เพื่อช่วยกันค้นหา ซึ่งมันก็ผ่านมานานมากแล้ว และมีเพียงชิงอวี่เท่านั้นที่นำข่าวที่ได้รับการยืนยันกลับมาแจ้งนางแม้จะยังไม่ได้เจอคนผู้นั้น แต่ก็หมายความว่านางจะได้รู้ความจริงของการตายของท่านแม่เสียทีหลังจากสงบสติอารมณ์ได้ ซูชิงอู่ก็ตัดสินใจเดินทางไปทันทีนางอยากไปเจอจิ้งซินผู้นั้นด้วยตนเองและถามเขาว่าเหตุใดตอนนั้นเขาถึงฆ่าท่านแม่ของนาง!คืนเดียวกันนั้นซูชิงอู่ได้พูดคุยเรื่องนี้กับเย่เสวียนถิงเมื่อเย่เสวียนถิงได้รับรู้เรื่องราวก็พยักหน้าเบา ๆ และตัดสินใจอย่างทันทีว่า “ข้าจะส่งคนไปจับเขามาให้เจ้า”ซูชิงอู่ได้ยินอีกฝ่ายตอบง่าย ๆ และห้วนก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงและหัวเราะ“ได้”ตอนนี้มีศิษย์พี่ของเจียงเฟยเอ๋อร์คอยจับตาดูอยู่ในเมืองหลวง ซูชิงอู่จึงไม่สามารถไปหาคนผู้นั้นพร้อมกับชิงอวี่ได้บรรยากาศในเมืองหลวงเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆแม้แต่ฮ่องเต้เช่นเย่ชิวหมิงก็สังเกตเห็นสัญญาณของเหตุการณ์ร้ายแรงบางอย่างที่กำลังจะตามมาเขาเคยได้ยินซูชิงอู่พูดว่าศัตรูที่ซ่อนตัวอ
ไป๋เฟิงก้มหัวลงอย่างเชื่อฟัง ราวกับมันได้กลายเป็นแมวตัวใหญ่ไปแล้วซูชิงอู่อดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าคงเหนื่อยแย่ วันนี้ทำได้ดีมาก”ในที่สุดก็ได้ใช้ประโยชน์จากไป๋เฟิง สมกับที่เลี้ยงมันมานานไป๋เฟิงยืนขึ้นและอ้าปากหาว ส่วนสิงโตขนทองคำที่อยู่ข้าง ๆ ย่องเข้ามาทางด้านหลังซูชิงอู่ และใช้หัวถูเอวของนางดูเหมือนว่ามันต้องการให้ซูชิงอู่ลูบมันด้วยคนอื่น ๆ มองไปยังซูชิงอู่ที่มีร่างกายบอบบางยืนอยู่ตรงหน้าสัตว์ดุร้ายทั้งสอง พวกเขาทั้งหมดก็พูดไม่ออกอยู่นานนี่มัน...ร้ายกาจเกินไปแล้ว!แม้แต่กลุ่มบุรุษร่างใหญ่เช่นพวกเขาก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้สัตว์ดุร้ายทั้งสองแม้แต่ครึ่งก้าว ทว่าซูชิงอู่กลับสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับพวกมันได้อย่างกลมกลืนเหมือนพวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงของนางเมื่อไม่ถูกยุงกัดและกินยาสมุนไพรที่ผสมไว้แล้ว ม้าทุกตัวในสนามฝึกก็สงบลงและกลับสู่ภาวะปกติทันทีที่ซูชิงอู่กลับมาถึงตำหนัก ก็เห็นหรงหย่าวิ่งเข้ามา“พระชายา เมื่อครู่มีคนมาพบท่านและบอกว่ามีเรื่องด่วนต้องรายงาน”“มีเรื่องด่วนอะไรรึ?”หรงหย่าส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ท่านไปดูก่อนเถิด”ซูชิงอู่สั่งให้คนพาผู้ส่งข่าวเข้ามาทันทีนางจ้อง
เลือดของแมลงวันติดอยู่ที่มือของซูชิงอู่ส่งกลิ่นแปลก ๆ ออกมาเมื่อซูชิงอู่มองชัด ๆ นางก็ได้รู้ว่ามันไม่ใช่แมลงวันแต่เป็น…แมลงมีปีกชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายแมลงวันปากของแมลงมีความคมมาก สามารถเจาะทะลุขนของสัตว์บางชนิดได้ง่าย ทว่าแมลงมีปีกชนิดนี้ไม่สนใจมนุษย์และจะกัดเฉพาะสัตว์เท่านั้นที่แท้นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้สัตว์ในเมืองหลวงบ้าคลั่งในช่วงหลายวันนี้!ซูชิงอู่ยังสังเกตเห็นว่ายุงเหล่านี้ถูกพิษและเมื่อพวกมันแพร่พันธุ์ ในไข่ก็มีสารพิษดังกล่าวติดไปด้วยขอเพียงแมลงเหล่านี้ยังกัดสัตว์ต่อไป สารพิษก็จะค่อย ๆ สะสมทีละน้อยสุดท้ายก็ถึงขั้นทำให้เสียสติ!คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้มีเจตนาชั่วร้ายหากนางไม่ค้นพบสิ่งนี้ก่อน เกรงว่าม้าศึกทั้งหมดจะต้องตายไปด้วยความบ้าคลั่งอีกทั้งยังไม่อาจทราบสาเหตุได้แน่นอนว่าม้าศึกเป็นส่วนสำคัญในกองทัพ หากทหารม้าเสียม้าไป ก็คงไม่ต่างไปจากคนอ่อนแอไร้ค่า...ซูชิงอู่ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว“นำม้าทุกตัวไปไว้ในที่ปิดและหาทางฆ่าแมลงมีปีกเหล่านี้ให้สิ้นเสีย”รองแม่ทัพที่ติดตามนางมารีบจำคำสั่งนี้เอาไว้ทันที“รับทราบพ่ะย่ะค่ะพระชายา!”เขาก็รีบกระจายคำสั่งออก
เมื่อเย่เสวียนถิงได้ยินสิ่งที่ซูชิงอู่พูด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเยือกเย็น “ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบ”ซูชิงอู่ส่ายหัวทันที “ยาพิษนี้คงไม่ได้อยู่ในอาหารสัตว์ อีกทั้งเมื่อมาลองคิดดู สัตว์ป่าจำนวนมากที่อยู่ใกล้เมืองหลวง รวมไปถึงม้าศึกล้วนติดพิษกันหมด มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่ไม่เป็นอะไร นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่มีใครสามารถวางยาพิษม้าศึกในเมืองหลวงได้อย่างเงียบ ๆ ”การวิเคราะห์ของซูชิงอู่นั้นสมเหตุสมผลมาก แม้แต่เย่เสวียนถิงเองก็ขมวดคิ้วขึ้นมาหากหาสาเหตุไม่พบก็แก้ปัญหาไม่ได้แม้จะรักษาม้าหนึ่งในนั้นจนหายขาด แต่ก็จะกลับมามีอาการเดิมในอีกไม่ช้าไม่ไกลกันนักก็มีนายทหารระดับสูงนายหนึ่งวิ่งเข้ามาเขาหอบหายใจและกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ทำการตรวจสอบเสบียงอาหารแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”“น้ำล่ะ?”“ตรวจสอบน้ำแล้วเช่นกัน ไม่มีร่องรอยของการวางยาพิษเลยพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินรายงาน เย่เสวียนถิงก็ขมวดคิ้วหนักกว่าเก่าคราวนี้แย่แล้วสิซูชิงอู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ช่วยทำให้ม้าทุกตัวสงบลงก่อนได้หรือไม่ เดี๋ยวข้าจะเข้าไปดูรางอาหารม้าเอง”“ได้พ่ะย่ะค่ะพระชายา กรุณารอสักครู่ ก
เริ่มแรก เขาสงสัยในเรื่องที่ซูชิงอู่เคยพูดจนเกิดความคิดจินตนาการบางส่วนขึ้นมา เรียกได้ว่าตอนกลางวันก็เอาแต่นึกถึง ตกกลางคืนก็เก็บมาฝันอีกแต่เขาไม่เคยได้ยินซูชิงอู่พูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยจริง ๆเนื่องจากความฝันนั้นมันดูเพ้อเจ้อเกินไป เย่เสวียนถิงจึงไม่พูดออกมา เพราะกลัวว่ามันจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับซูชิงอู่อย่างไม่มีเหตุผลหลายวันมานี้ซูชิงอู่อาศัยอยู่กับลูกน้อยทั้งสามของนางเพื่อชดเชยช่วงเวลาที่นางห่างพวกเขาไปนานเด็ก ๆ ที่เพิ่งจะอายุได้ไม่กี่เดือนแต่กลับต้องห่างจากอ้อมอกของพ่อแม่ นั่นทำให้ซูชิงอู่รู้สึกผิดขึ้นมาดังนั้นนางจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องภายนอกมากนักทันใดนั้นนางก็นึกอะไรออกและถามว่า “เสวียนถิง ช่วงนี้หมาป่าเหล่านั้นที่อยู่ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง?”เย่เสวียนถิงเงยหน้าขึ้นและพูดว่า “ไม่ได้มีเพียงสัตว์ร้าย แต่ยังกระทบไปถึงม้าศึกด้วย ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเริ่มไม่เชื่อฟังคำสั่งกัน”“เดี๋ยวข้าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้เสียหน่อย”ซูชิงอู่รู้สึกได้โดยไม่รู้ตัวว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้เรื่องจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยและไม่มีผลกระทบกับมนุษย์มากนัก แต่นางก็รู้สึกอ
ทันใดนั้นหมอหลวงซุนก็เหมือนจะคิดอะไรออก “เหมือนกับตอนที่พระชายาใช้ดอกไม้ชนิดหนึ่งเพื่อทำให้ม้าพยศคลั่งใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“อืม ทำนองนั้นแหละ”สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่นางพบในเภสัชตำรับ และหากใช้มัน ผลลัพธ์ที่ได้จะน่าทึ่งมากแม้ลงมือไปอย่างกะทันหัน แต่ก็ไม่มีใครจับได้ปรมาจารย์มือวางพิษที่แท้จริงคือผู้ที่วางยาพิษโดยไม่ทิ้งหลักฐานใด ๆ เอาไว้“ขอบพระทัยพระชายาสำหรับคำชี้แนะ หลังจากที่ได้พูดคุยกับท่าน กระหม่อมก็เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ซูชิงอู่ปิดเภสัชตำรับ “ข้าท่องเภสัชตำรับนี้จนจำขึ้นใจ และเข้าใจเนื้อหาด้านในได้คร่าว ๆ เพียงแต่ยังไม่พบวิธีที่จะไขความลับที่อยู่ในนั้น หวังว่าท่านจะช่วยเรื่องนี้ได้”คราวนี้ ทุกคนเชื่อมั่นในคำพูดของซูชิงอู่สิ่งที่พวกเขาไม่ได้สนใจ แต่พระชายากลับนำมาใช้งานได้ถึงขั้นนี้ ยังมีอะไรที่ต้องพูดกันอีกหรือ?ตาแก่เช่นพวกเขาที่อาศัยว่าตนอายุมากทำตัวอาวุโสดูถูกผู้อื่นนั้นเทียบเทียมพระชายาไม่ได้เลย!หลังจากที่ซูชิงอู่อธิบายเรื่องนี้จบ นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและแอบหลบออกมาทางประตูใหญ่นางกลัวว่าคนเหล่านั้นจะถามนางว่านางศึกษาเรียนรู้ทักษะทางการ
หมอหลวงซุนขมวดคิ้วเล็กน้อย“อย่าพูดไร้สาระ นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร? พระชายาไม่จำเป็นต้องโกหกพวกเราเลย โกหกพวกเราไปแล้วนางจะได้ประโยชน์อะไร?”คำพูดนี้ก็ถือว่ามีเหตุผลทุกคนต่างพูดไม่ออกทำได้แค่นั่งเงียบ ๆ แล้วพลิกหน้าอ่านต่อไปพลิกหน้ากระดาษตั้งแต่เช้าจรดค่ำ และอ่านจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้นตำราทั้งเล่มถูกอ่านจนจบอย่างรวดเร็ว ทุกคนในสำนักหมอหลวงไม่ได้นอนมาสองวันสองคืน และตอนนี้ทุกคนดูเหนื่อยและมีสีหน้าทรุดโทรมเมื่ออ่านหน้าจนถึงสุดท้าย แม้แต่หมอหลวงซุนก็ตกอยู่ในความเงียบเพราะเภสัชตำรับเล่มนี้บันทึกเฉพาะโรคและวัตถุดิบยาที่ธรรดาทั่วไปมาก ๆ บางส่วนเท่านั้นข้อแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวคือผู้อาวุโสเช่นพวกเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบยาหลายประเภทและพัฒนาแนวคิดใหม่ ๆแม้จะไม่ไร้ประโยชน์ แต่ความคาดหวังกับผลลัพธ์ก็แตกต่างกันมากเลยทีเดียวถึงขั้นทำให้พวกเขาขาดความมั่นใจและอดไม่ได้ที่จะคิดว่านี่น่ะหรือคือเภสัชตำรับที่ตระกูลฟางเฝ้าหวงแหนมานานหลายปี?ดวงตาของหมอหลวงซุนเต็มไปด้วยสีแดงก่ำที่เกิดจากการอดนอน“ในเมื่อเภสัชตำรับของตระกูลฟางไร้ประโยชน์ เช่นนั้นพระชายาไปเรียนรู้ทักษะด้านการแพทย์มา
“นี่คือวัตถุดิบยาและปริมาณที่คนผู้นั้นทำการวางยา ที่สำนักหมอหลวงของพวกท่านมีสิ่งนี้อยู่แล้ว หากจะทำยาถอนพิษก็คงไม่ใช่เรื่องยากกระมัง”“ไม่ยากพ่ะย่ะค่ะ ไม่ยาก!”หมอหลวงซุนยิ้มร่าราวกับได้รับสมบัติเขามองซูชิงอู่ที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว แต่กลับเก่งกาจกว่าเหล่าคนชราเช่นพวกเขาเมื่อรวมกับเภสัชตำรับของตระกูลฟางที่ซูชิงอู่พูดถึง หมอหลวงเฒ่าก็ดีใจจนเนื้อเต้นหากได้เรียนรู้และกลายเป็นคนที่เก่งกาจเหมือนพระชายา ระดับความรู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นไปด้วยหรือไม่?แต่หมอหลวงซุนไม่เคยรู้เลยว่าทุกสิ่งที่ซูชิงอู่เรียนรู้ไม่ได้มาจากเภสัชตำรับของตระกูลฟางในเภสัชตำรับเล่มนั้นมีความแตกต่างตรงจุดไหน ตัวซูชิงอู่ในตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำแม้ตอนตายไปในชาติก่อน เภสัชตำรับก็ถูกทำลายและไม่มีใครเห็นความลับที่ซ่อนอยู่ในนั้นจุดเด่นเพียงหนึ่งเดียวของเภสัชตำรับเล่มนั้นคือบันทึกข้อมูลวัตถุดิบยาจำนวนมากที่คนทั่วไปไม่ทราบและสรรพคุณลับบางส่วนบรรดาผู้อาวุโสของสำนักหมอหลวงพากันมาช่วยคิดค้นยาถอนพิษเพื่อที่จะได้อ่านเภสัชตำรับนั้นเร็ว ๆในที่สุดเช้าวันรุ่งขึ้นยาที่สามารถฟื้นฟูสติของสัตว์ร้ายได้ก็ถูกส่งมาให้ฮ่องเต้