กำแพงเมืองสูงถึงเพียงนี้ แต่ยังสามารถยิงจากข้างล่างขึ้นไปได้น่ากลัวเหลือเกิน“ความจริงเป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมและคนอื่น ๆ แทบไม่อยากเชื่อ แต่อีกฝ่ายก็ได้ทำไปแล้ว หากศัตรูถือหน้าไม้ล้อมเมืองเอาไว้ ท่านแม่ทัพก็คงจะไม่ยื่นหน้าออกไป…”การป้องกันเมืองชายแดนแบบนี้สมบูรณ์มาก หากอยู่ในสถานการณ์ปกติ การปิดล้อมเมืองจะใช้เวลานานตัวอย่างเช่น กองทัพของแคว้นอู๋ตะวันตกมีมากกว่าจำนวนนายทหารของปราการเจิ้นเป่ยถึงเท่าตัวอย่างชัดเจน แต่หากจะบุกเข้าไปนั้นไม่ง่ายเลยพวกเขาต้องใช้เวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนเพื่อดูสัญญาณแรกของชัยชนะ แต่แล้วเมืองโม่เฉิงเล่า?ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วยาม อีกฝ่ายก็ยึดเมืองโม่เฉิงได้ทั้งเมืองได้ทั้ง ๆ ที่มีจำนวนคนมากกว่าพวกเขาหลายหมื่นคนแม้แต่ทหารชั้นยอดก็ไม่สามารถเร็วถึงเพียงนั้นได้!“เย่เสวียนถิงเปิดประตูเมืองได้อย่างไร?”“ข้าน้อยก็ไม่ทราบ...ไม่ทราบว่าเรื่องเป็นมาอย่างไรขอรับ จู่ ๆ เหล่าทหารที่อารักเมืองก็หล่นลงมาจากกำแพงเมืองทีละคนในสภาพน้ำลายฟูมปาก แลดูน่ากลัวมาก ข้าน้อยไม่ได้อยู่ด้านบน ตอนนั้นจึงไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น...”ท่าทางของเหยียนจั๋วแข็งทื่อไปเล็กน้อยแม้ในเ
เมื่อพูดถึงกุ้ยเฟย แม้แต่เหยียนจั๋วก็แสดงความกลัวขึ้นมาโชคดีที่อีกฝ่ายแอบมาเข้าฝ่ายเขาและช่วยเหลือเขาในการเป็นฮ่องเต้องค์ต่อไปครั้งนี้ในระหว่างการเดินทางไปยังแคว้นหนานเย่ พี่ชายสองคนของกุ้ยเฟยผู้นั้นได้ถูกส่งมาช่วยเหลือหลังจากได้เห็นความร้ายกาจของปรมาจารย์กู่ที่อยู่ในมือเย่เสวียนถิงแล้ว เหยียนจั๋วก็แทบรอไม่ไหวกับการมาถึงของสองคนนั้นทักษะการใช้กู่ไม่มีผลในสงครามขนาดใหญ่ แต่สามารถมีบทบาทสำคัญในสงครามเล็ก ๆ เช่นหมู่ทหารเป็นพันนายนี้ได้เช่นเดียวกับนักธนูที่เสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุ...แผนนี้ทำให้การสนับสนุนจากกองทัพแนวหลังไม่สามารถมาได้ทันเวลาเมื่อทหารที่ติดตามเหยียนจั๋ว ได้ยินคำพูดของผู้เป็นแม่ทัพ พวกเขาทั้งหมดก็ดูหวาดกลัว และพวกเขาก็เข้าใจถึงความน่าสะพรึงกลัวของสิ่งนี้“ท่านแม่ทัพ ไม่มีวิธีป้องกันเลยหรือขอรับ?”เหยียนจั๋วหลุบตาลง "ใช่ แต่ก็ยังต้องรอ ตอนกลางคืนทุกคนควรระวังตัวและอย่าปล่อยให้แมลงวันตัวไหนบินเข้ามาได้อีก!""ขอรับ!"หลังจากรับคำสั่ง กองทัพทั้งหมดของแคว้นอู๋ตะวันตกจึงทำความสะอาดจัดระเบียบเมืองโม่เฉิงทันทีและเหยียนจั๋วเองก็ร่วมเดินทางไปยังกับเจ้าชายและคนอื่น
ซูชิงอู่กำลังตั้งครรภ์ ทว่าอุ้มท้องมาสามปีกลับไม่เกิดอันใดขึ้นเลยนั่นเพราะทารกตายทั้งกลมไปนานแล้วซูชิงอู่สวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ท้องน้อยนูนป่องมีเลือดปนหนองส่งกลิ่นเน่าเหม็นไหลมิหยุดราวกับสัตว์ประหลาดมีเพียงม่านตาดำขลับคู่นั้นที่ยังคงเด่นชัดสุกสกาว ราวกับน้ำค้างแข็งอันสว่างบริสุทธิ์สุดใต้นภานางเดินพลางใช้สองมือคลึงเคล้าหน้าท้องเบา ๆ พร้อมเสียงแหบฟังไม่รื่นหู“ลูกเอ๋ย แม่มาล้างแค้นให้เจ้าแล้ว”ซูชิงอู่ผู้ถูกจองจำอยู่คุกอันห่างไกลของวังหลวงและต้องกลายเป็นหนูทดลองมาตลอดสามปีเต็มเป็นอิสระแล้ว!ไฟโหมกระหน่ำเบื้องหลังกำลังแผดเผาพระราชวังอันเรืองรองอย่างไม่หยุดยั้ง แสงเพลิงส่องสว่างท่วมฟ้ายามค่ำคืนใบหน้าศพทรมานบิดเบี้ยวนอนราบภายในพระราชวังร่างแล้วร่างเล่า…“ซูชิงอู่ ได้โปรดไว้ชีวิตข้าเถอะ ข้าจะให้เจ้าทุกอย่าง เจ้ามิใช่ว่าชอบพี่อวิ๋นถูหรือ? ข้าจะยกให้เจ้า ข้าจะยกให้เจ้าดีหรือไม่?!”ฮองเฮาซูเชียนหลิงผู้สูงศักดิ์สวมเสื้อคลุมลายหงส์ ศีระซึ่งประดับด้วยปิ่นหงส์โขกกับพื้นอย่างไม่หยุดหย่อน“บุรุษที่เจ้ากำลังพูดถึงน่ะหรือ?”น้ำเสียงซูชิงอู่แหบแห้งฟังไม่รื่นหู ราวกับเส้นเสียงฉีกขาดทั้ง
“พระชายา ยาขับเลือดต้มได้ที่แล้วเพคะ…”เสียงคุ้นเคยระลอกหนึ่งดังข้างหูซูชิงอู่นอนอยู่บนเตียงลืมตาด้วยความตกตะลึง เอียงศีรษะมองไปข้างเตียงอย่างเหลือเชื่อ แม่นมหลินที่ควรจะเสียชีวิตไปนานแล้วกำลังยกยาต้มมาให้นางยันกายลุกขึ้นพลางมองไปรอบตัว ทั่วห้องล้วนเป็นสีแดง บนหน้าต่างแปะอักษรมงคล 'มีสุข' แผ่นใหม่เอี่ยมชุดแต่งงานหลายตัวทิ้งอยู่บนพื้นกระจัดกระจาย ซูชิงอู่รู้กระจ่างได้ทันทีว่าที่นี่คือเรือนหอนางปวดเมื่อยทั้งตัวราวกับโดนหินทับก็มิปานครั้นหวนนึก ความทรงจำในสมองก็ยิ่งปรากฏชัดขึ้นนางย้อนกลับมายังเจ็ดปีก่อน จนวันนี้ที่เพิ่งตบแต่งกับเย่เสวียนถิงไม่นึกฝันว่า…นางจะได้เกิดใหม่!สายตาของซูชิงอู่ทำให้มือที่ยกชามยาของแม่นมหลินสั่นเทาอย่างอดไม่ได้เพราะดวงตาคู่นั้นของนางผิดแผกไปจากเดิม คล้ายสามารถมองทะลุหัวใจนางได้ในพริบตาเดียวแม่นมหลินผืนยิ้มพลางส่งชามยาไปให้ผู้เป็นเจ้านาย “คุณหนู หากยังมิรีบดื่ม ยาจักเย็นนะเจ้าคะ…”ซูชิงอู่มองอย่างไม่ละสายตา ก่อนเอื้อมมือรับชามยาไว้อย่างใจเย็นนางกำลังจะทำบางอย่าง แต่ขณะนั้นเอง ประตูหอนอนก็ถูกคนถีบให้เปิดออกกระทันหัน!ซูชิงอู่เงยหน้ามองก็เห็นช
วันนี้ที่นางได้แต่งงานกับเย่เสวียนถิงเป็นเพราะนางถูกโจรลักพาตัวเมื่อหนึ่งเดือนก่อนหลังถูกช่วยกลับมา จู่ ๆ แต้มพรหมจรรย์ก็หายไปเสียอย่างนั้นฮองเฮาทรงพิโรธหนัก มีพระราชเสาวนีย์ถอนหมั้นนางกับเย่อวิ๋นถูด้วยพระองค์เองทันใดนั้นนางที่เป็นบุตรีภรรยาเอกจากตระกูลผู้ลากมากดีอันเลื่องชื่อแห่งจวนอัครเสนาบดีก็ผันเปลี่ยนกลายเป็นขี้ปากทุกคน…อย่างไรเสียเมื่อนางตกอยู่ในคำครหาเหล่านั้น จู่ ๆ เย่เสวียนถิงก็ขอพระราชโองการอภิเษกสมรส มิรู้ว่าเขาใช้วิธีใดให้ฝ่าบาทผ่อนปรนตกปากรับคำอย่างเหนือความคาดหมายทุกคนในเมืองหลวงต่างทราบว่าองค์ชายใหญ่กับองค์ชายสามคือผู้มีโอกาสเป็นว่าที่ฮ่องเต้ที่สุดส่วนอ๋องเย่อวิ๋นถิง บัดนี้เป็นได้เพียงคนขาพิการ ทั้งยังเป็นคนไร้ค่าที่สูญเสียอำนาจทางการทหารไปอีกด้วยมารดาผู้ให้กำเนิดเขามีฐานะเพียงสนมผู้ต่ำต้อย หากไม่ถูกส่งต่อให้พระชายาตำแหน่งซูเฟยที่ไร้ทายาทตั้งแต่ครั้งวัยเยาว์ เกรงว่าคงไม่อาจเงยหน้าอ้าปากได้ชั่วชีวิต!ซูชิงอู่ยกมือขึ้นพลางไล้ปลายนิ้วไปที่คิ้วตาของเย่อวิ๋นถิงอย่างแผ่วเบา“คนเดียวไม่พอหรอก อนาคตพวกเราจะให้กำเนิดสักสองสามคน ไม่รู้ว่าท่านชอบลูกชายหรือลูกสาว...”
ซูชิงอู่อดรนทนเกี่ยวพันตัวเองกับเย่เสวียนถิงไม่ไหว แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่มานอกประตูหญิงรับใช้คนหนึ่งรายงานอยู่นอกประตู“กราบทูลท่านอ๋องและพระชายา ภายในวังได้จัดเตรียมรถม้าให้แก่ท่านและพระชายาเพื่อเข้าวังร่วมคารวะบรรดาพระสนมยามเช้าเพคะ!”ในชาติก่อน เมื่อคืนในครานั้นนางถูกคนวางยานอนทรมานทั้งคืน ครั้นรุ่งเช้าเกือบดื่มยาหยุดครรภ์คร่าชีวิต เพิ่งแต่งงานวันแรกก็ไม่ได้ไปวังหลวงน้อมคารวะตามประเพณีตามธรรมเนียมในวัง เจ้าสาวของราชวงศ์ที่เพิ่งอภิเษกเข้า วันแรกต้องเยี่ยมเยียน คารวะพระสนมทุกตำหนัก นางไม่เพียงฝ่าฝืนประเพณียังทำให้เย่เสวียนถิงแบกรับแรงกดดันมากโขซูชิงอู่เพิ่งจะลุกขึ้นกลับได้ยินเย่เสวียนถิงเปิดปากตอบ“ประเดี๋ยวข้าจะไปคารวะท่านแม่เอง”นางรับใช้รายงานต่อเนื่อง เย่เสวียนถิงบ่ายหน้ามองยังซูชิงอู่ “อยู่จวนพักผ่อนให้ดี ข้าจะรีบไปรีบกลับ”ซูชิงอู่ฉงนพักหนึ่ง “สุขภาพข้าดีขึ้นแล้ว”เย่เสวียนถิงเงียบลง แต่ยังคงยืนกราน “ในวังมีแต่เรื่องหยุมหยิมยุ่งยาก ข้าไม่อยากให้เจ้ารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ”ถึงอย่างไรชื่อเสียงของซูชิงอู่ก่อนตบแต่งกับเขาก็ถูกทำลายจนไม่เหลือชิ้นดี เข้าวังเที่ยว
ภายในตำหนักจิ้งอี๋ "ท่านอ๋องเสวียนและพระชายาเสวียนเสด็จแล้ว!" ซูเฟยหลินหรงเสวี่ยที่ประทับอยู่ตรงที่นั่งตำแหน่งประธานรอคอยมาได้สักพักแล้ว พยักหน้าเบา ๆ "เรียกให้เข้าเฝ้าได้" คนทั้งสองเดินเข้าประตูมาพร้อมกัน เย่เสวียนถิงได้รับบาดเจ็บสาหัสที่ขาข้างซ้าย ดังนั้นเขาจึงเดินกะโผลกกะเผลกอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้ว่าจะมิได้ส่งผลต่อการเคลื่อนไหว แต่ก็ทำให้เขากลายเป็นคนร่างกายไม่สมประกอบไปเสียแล้ว ซูชิงอู่ที่แต่งกายด้วยชุดของราชสำนักอันงามวิจิตร ช่วยประคองแขนของเย่เสวียนถิงด้วยท่าทีใกล้ชิดสนิทสนม เมื่อมีนางคอยช่วยประคับประคอง ก็ทำให้เย่เสวียนถิงเดินเหินได้สะดวกขึ้นอย่างมาก ยามที่ผู้คนรอบตำหนักเห็นคนทั้งคู่รักใคร่ลึกซึ้งกันเพียงนั้น พวกเขาก็ตะลึงงันไปชั่วครู่ สตรีแต่งกายงดงามทั้งสองนางที่ยืนอยู่ข้างหลังซูเฟย ดวงตาเบิกกว้างด้วยความเหลือเชื่อ ขณะที่ซูชิงอู่เดินเข้ามาในตำหนัก นางก็มองประเมินคนทั้งสองคนที่อยู่ตรงหน้า สตรีวัยกลางคนท่าทางสูงศักดิ์สง่างาม สวมชุดกระโปรงดอกกุหลาบสีแดงพร้อมแถบคาดศีรษะสีทอง ผู้นั่งอยู่ตรงตำแหน่งประธานคือซูเฟย ซึ่งเป็นตำแหน่งพระชายาลำดับที่สอง โดยมีสตรีสองนาง
นางเอ่ยด้วยท่าทีกระชดกระช้อยว่า "ท่านป้าเจ้าคะ โปรดรอสักครู่ เสวี่ยอิ๋งมีเรื่องจะบอกท่าน" การขัดจังหวะระหว่างพิธียกน้ำชานับเป็นเรื่องเสียมารยาท แต่หลินเสวี่ยอิ๋งเป็นบุตรีเพียงคนเดียวของจวนมหาราชาจารย์ มิหนำซ้ำนางยังเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นท่านหญิงมาตั้งแต่เมื่อครั้งเยาว์วัย ดังนั้นนางย่อมมีสิทธิ์ที่จะกระทำเช่นนี้ได้ ซูเฟยเอ่ยถามด้วยความสับสน "ยัยหนู ถ้าหากเจ้ามีอันใดจะพูดก็จงพูดมาเถิด ป้าอย่างข้ายังจะอุดปากเจ้าได้อีกหรือ?" วาจาเพียงแค่ประโยคเดียว ซูชิงอู่ก็รู้ชัดถึงความโปรดปรานที่แฝงอยู่ในวาจา ถึงแม้ว่าซูเฟยจะมิได้ก่อกวนงานมงคลของเย่เสวียนถิง แต่หลังจากรู้ตื้นลึกหนาบางแล้ว ก็เห็นได้ชัดว่าพระนางไม่พอใจในตัวซูชิงอู่ เพราะในสายตาของพระนาง ต่อให้เย่เสวียนถิงจะพิการ แต่เขาก็ยังเป็นถึงท่านอ๋องที่สร้างคุณูปการในสนามรบเอาไว้มากมาย ซูชิงอู่เป็นแค่สตรีท้ายเรือนที่ชื่อเสียงป่นปี้อันแสนจะไร้ค่า ซูชิงอู่ถือถ้วยน้ำชาเอาไว้โดยมิได้ขยับเขยื้อน เพราะนางเองก็อยากจะรู้ว่าท่านหญิงจะเอ่ยวาจาอันใด ถึงแม้ว่าทางด้านของซูเชียนหลิงจะมิได้เอ่ยวาจาใด แต่นางกลับขยิบต
เมื่อพูดถึงกุ้ยเฟย แม้แต่เหยียนจั๋วก็แสดงความกลัวขึ้นมาโชคดีที่อีกฝ่ายแอบมาเข้าฝ่ายเขาและช่วยเหลือเขาในการเป็นฮ่องเต้องค์ต่อไปครั้งนี้ในระหว่างการเดินทางไปยังแคว้นหนานเย่ พี่ชายสองคนของกุ้ยเฟยผู้นั้นได้ถูกส่งมาช่วยเหลือหลังจากได้เห็นความร้ายกาจของปรมาจารย์กู่ที่อยู่ในมือเย่เสวียนถิงแล้ว เหยียนจั๋วก็แทบรอไม่ไหวกับการมาถึงของสองคนนั้นทักษะการใช้กู่ไม่มีผลในสงครามขนาดใหญ่ แต่สามารถมีบทบาทสำคัญในสงครามเล็ก ๆ เช่นหมู่ทหารเป็นพันนายนี้ได้เช่นเดียวกับนักธนูที่เสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุ...แผนนี้ทำให้การสนับสนุนจากกองทัพแนวหลังไม่สามารถมาได้ทันเวลาเมื่อทหารที่ติดตามเหยียนจั๋ว ได้ยินคำพูดของผู้เป็นแม่ทัพ พวกเขาทั้งหมดก็ดูหวาดกลัว และพวกเขาก็เข้าใจถึงความน่าสะพรึงกลัวของสิ่งนี้“ท่านแม่ทัพ ไม่มีวิธีป้องกันเลยหรือขอรับ?”เหยียนจั๋วหลุบตาลง "ใช่ แต่ก็ยังต้องรอ ตอนกลางคืนทุกคนควรระวังตัวและอย่าปล่อยให้แมลงวันตัวไหนบินเข้ามาได้อีก!""ขอรับ!"หลังจากรับคำสั่ง กองทัพทั้งหมดของแคว้นอู๋ตะวันตกจึงทำความสะอาดจัดระเบียบเมืองโม่เฉิงทันทีและเหยียนจั๋วเองก็ร่วมเดินทางไปยังกับเจ้าชายและคนอื่น
กำแพงเมืองสูงถึงเพียงนี้ แต่ยังสามารถยิงจากข้างล่างขึ้นไปได้น่ากลัวเหลือเกิน“ความจริงเป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมและคนอื่น ๆ แทบไม่อยากเชื่อ แต่อีกฝ่ายก็ได้ทำไปแล้ว หากศัตรูถือหน้าไม้ล้อมเมืองเอาไว้ ท่านแม่ทัพก็คงจะไม่ยื่นหน้าออกไป…”การป้องกันเมืองชายแดนแบบนี้สมบูรณ์มาก หากอยู่ในสถานการณ์ปกติ การปิดล้อมเมืองจะใช้เวลานานตัวอย่างเช่น กองทัพของแคว้นอู๋ตะวันตกมีมากกว่าจำนวนนายทหารของปราการเจิ้นเป่ยถึงเท่าตัวอย่างชัดเจน แต่หากจะบุกเข้าไปนั้นไม่ง่ายเลยพวกเขาต้องใช้เวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนเพื่อดูสัญญาณแรกของชัยชนะ แต่แล้วเมืองโม่เฉิงเล่า?ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วยาม อีกฝ่ายก็ยึดเมืองโม่เฉิงได้ทั้งเมืองได้ทั้ง ๆ ที่มีจำนวนคนมากกว่าพวกเขาหลายหมื่นคนแม้แต่ทหารชั้นยอดก็ไม่สามารถเร็วถึงเพียงนั้นได้!“เย่เสวียนถิงเปิดประตูเมืองได้อย่างไร?”“ข้าน้อยก็ไม่ทราบ...ไม่ทราบว่าเรื่องเป็นมาอย่างไรขอรับ จู่ ๆ เหล่าทหารที่อารักเมืองก็หล่นลงมาจากกำแพงเมืองทีละคนในสภาพน้ำลายฟูมปาก แลดูน่ากลัวมาก ข้าน้อยไม่ได้อยู่ด้านบน ตอนนั้นจึงไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น...”ท่าทางของเหยียนจั๋วแข็งทื่อไปเล็กน้อยแม้ในเ
เหยียนจั๋วโกรธจนดวงตาเป็นสีแดง“เป็นฝีมือของใคร ทหารอารักขาเมืองอยู่ที่ไหน?”ทันทีที่เขาตะโกนอย่างดุดัน บุรุษผู้หนึ่งก็วิ่งเข้ามาด้วยความสิ้นหวัง“เรียนท่านแม่ทัพ ทหารอารักขาเมืองระดับสูง ดะ…ได้ตายไปแล้วขอรับ…”สิ้นคำพูด เหยียนจั๋วก็มีสีหน้าโกรธจัดขณะเดียวกัน รถม้าขององค์รัชทายาทก็กำลังเข้ามาใกล้จากด้านหลัง และเสียงพูดแขวะของอู๋ถานก็ดังมาจากด้านใน“แม่ทัพเหยียน หากเจ้าไม่ชะลอการเปิดศึก ไม่พูดว่าเย่เสวียนถิงอยู่ในเมือง แล้วให้มีการสังเกตการณ์การสงบศึกเป็นเวลาสามวัน จะมีการลอบโจมตีจากแนวหลังได้อย่างไร!”คำพูดขององค์รัชทายาทเหมือนเป็นการทุบหัวของเหยียนจั๋ว ซึ่งทำให้เหยียนจั๋วโกรธมากยิ่งขึ้นแต่ถึงอย่างไรคนตรงหน้าก็เป็นองค์รัชทายาท เขาจึงไม่สามารถทำตัวเสียมารยาทอย่างเปิดเผยได้เขากล่าวเสียงทุ้ม “องค์รัชทายาท นี่เป็นแผนการตลบหลังของเย่เสวียนถิง ตราบใดที่เราทิ้งเมืองโม่เฉิงไว้กับคนของเรา เราก็จะถูกโจมตีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความเร็วในการเดินทัพของกองทัพที่แข็งแกร่งสี่แสนนายจะเทียบกับกองทัพที่มีทหารม้าเพียงไม่กี่หมื่นนายได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”องค์รัชทายาทหรี่ตาลง “เถียงข้าง ๆ คู ๆ !
“นะ...นี่มันเกิดอะไรขึ้น แคว้นอู๋ตะวันตกถอนกำลังแล้ว!”เซียวเฝิงเก็บดาบและยืนอยู่บนกำแพงเมือง เขาลูบเลือดที่เลอะไปทั่วใบหน้าของตัวเองพลางหลุบตาลงเล็กน้อยแล้วพูดว่า "จะเป็นเพราะอะไรได้ล่ะ แน่นอนว่าเป็นฝีมือของท่านอ๋องน่ะสิ"เมื่อได้ยินเขาพูดข้อมูลดังกล่าว ทุกคนก็มองหน้ากันขณะเดียวกัน ณ เมืองโม่เฉิงบริเวณชายแดนของแคว้นอู๋ตะวันตกกองทหารอารักขาเมืองถูกกำจัดไปหมดแล้วปราการชายแดนแห่งนี้ตกมาอยู่ในมือของเย่เสวียนถิงอย่างสมบูรณ์เย่เสวียนถิงยืนอยู่ที่ประตูเมืองพร้อมกับหอกในมือ และสั่งให้คนตัดธงของแคว้นอู๋ตะวันตกออกคนผู้หนึ่งที่สวมชุดเกราะทหารธรรมดายืนอยู่ข้างหลังเขา เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น ก็เผยให้เห็นใบหน้าของซูชิงอู่ ซึ่งจงใจทำให้หน้าของตัวเองดำขึ้นมากนางไม่ได้ปลอมตัวเยอะเกินไป เพียงแค่เปลี่ยนลักษณะใบหน้าของนางเพียงเล็กน้อยเท่านั้นซูชิงอู่ไพล่มือไว้ด้านหลังพลางมองลงไปที่กำแพงเมืองด้วยท่าทางที่ค่อนข้างภาคภูมิใจ“ท่านอ๋อง พาข้ามาด้วยมีประโยชน์มากเลยใช่ไหมเล่า”เย่เสวียนถิงหันไปเหลือบมองนาง สายตาของเขาอบอุ่น และเสียงของเขาก็อ่อนโยนอย่างยิ่ง“อาอู่รู้ได้อย่างไรว่ามีทางลัดมาถึงที่นี
การต่อสู้ครั้งนี้ดุเดือดมากหินไฟกำลังทะยาน ลูกธนูถูกยิงออกไป มีเลือดและการสังหารอยู่ทุกหนแห่งเมื่อเวลาผ่านไป ทางปราการเจิ้นเป่ยก็เสียเปรียบรองแม่ทัพบางคนหมดแรงแล้ว เมื่อมองไปที่ศัตรูที่ดูเหมือนจะวิ่งเข้ามาอย่างไม่สิ้นสุด พวกเขาก็ถามด้วยเสียงแหบห้าว “ท่านแม่ทัพเซียว ท่านอ๋องอยู่ที่ใด?”เซียวเฝิงที่ตามตัวเต็มไปด้วยเลือดและเข่นฆ่าศัตรูจนหยุดไม่ได้ เขาเม้มริมฝีปากแน่นและหายใจหอบเล็กน้อยขณะใช้ดาบยาวค้ำกับพื้น“ไม่รู้”คำตอบของเขาทำให้สีหน้าของรองแม่ทัพผู้นั้นแข็งค้าง“ไม่รู้อะไร...ท่านอ๋องอยู่ในค่ายทหารไม่ใช่หรือ? ตอนนี้คนของเรากำลังจะสูญเสียขวัญกำลังใจไปหมดแล้ว รีบไปขอให้ท่านอ๋องช่วยคิดหาวิธีสิ!”กองกำลังศัตรูมีจำนวนมากกว่าสองเท่าแม้การป้องกันเมืองจะง่ายกว่าการโจมตี แต่หากยังฝืนต่อไป พวกเขาก็จะไม่สามารถปกป้องเมืองได้เซียวเฝิงไม่ได้พูดอะไร เพียงมองไปในระยะไกลและหัวเราะทันที “อย่าถามอะไรไร้สาระ ข้าสั่งให้ทำอะไรก็ตั้งใจทำไป”เขาตำหนิรองแม่ทัพ และหลังจากพักแล้วเขาก็นำคนของเขาออกไปสังหารศัตรูอีกครั้งมีบางคนปีนขึ้นไปตามบันไดบนกำแพงและถูกคนด้านบนทุบตีลงอีกครั้ง หมุนเวียนไปซ้ำแล้
เซียวเฝิงขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางมองไปที่รองแม่ทัพที่อยู่ข้าง ๆ "เหตุใดอีกฝ่ายถึงไม่ขยับกัน?"รองแม่ทัพก็มีสีหน้าสับสนเช่นกัน "เป็นไปได้ว่าเขาจงใจวางกับดัก รอให้พวกเราย่ามใจ แล้วบุกฝ่าเข้ามาไปในคราวเดียว!"เมื่อเห็นว่าคำพูดของอีกฝ่ายหนักแน่นมาก เซียวเฟิงก็ไม่สามารถคิดถึงเหตุผลอื่นใดไปได้ชั่วขณะ “แม้จะต้องตื่นตัวเอาไว้ แต่ก็ต้องพักผ่อน จงรออยู่ที่นี่ดูท่าทีอีกฝ่าย ข้าจะสั่งให้มีการผลัดเปลี่ยนเวรยามเพื่อสลับกันพักผ่อน หากมีอะไรเกิดขึ้น ให้รีบรวมตัวกันโดยไว!”"ขอรับ!"หลังจากนั้น ฝ่ายปราการเจิ้นเป่ยทั้งหมดเริ่มผลัดกันเฝ้าประตูเมืองหลังจากเฝ้าระวังเป็นเวลาสามวันติดต่อกัน แต่กองทัพหลักของอีกฝ่ายก็ยังคงนิ่งเฉยทั้งสองฝ่ายต่างสับสนกับคำสั่งสายฟ้าแลบ พวกเขารออย่างวิตกกังวล และพลังของพวกเขาก็ลดลงไปอย่างมากเหตุผลที่เหยียนจั๋วไม่ได้นำคนของเขาเข้าโจมตีทันที เพราะเขาเคยปะทะกับเย่เสวียนถิงมาหลายครั้งแล้ว และรู้จักนิสัยของอีกฝ่ายค่อนข้างดีเขาใช้กลยุทธ์ม่านบังตาเพื่อสร้างความสับสนในการตัดสินของตนเองและผู้อื่น บางทีอาจคาดหวังให้เขาส่งทหารไปตอนนี้แล้วจับเขาโดยไม่ทันระวังตัวหากนายทหารระดับสูงที่
ชายบนหลังม้าตัวสูงและผิวที่เปลือยเปล่าของเขามีสีเข้มเล็กน้อย ใบหน้าของเขาคมคายและดวงตาที่เฉียบแหลม“เคยบอกว่ามีคนในเมืองหลวงเห็นเย่เสวียนถิงด้วยตาของพวกเขาเองไม่ใช่หรือ?”เหยียนจั๋วพูดเสียงเย็นและหลุบตาลงเล็กน้อย“ข้าน้อยก็ไม่ทราบขอรับ...”“หากข่าวที่เจ้าพูดเป็นเรื่องจริง ตอนนี้ก็ว่าเป็นสถานการณ์จั๊กจั่นลอกคราบ ประการแรกคือเย่เสวียนถิงทั้งสองมีหนึ่งคนที่เป็นตัวปลอม ประการที่สองคือข่าวที่พวกเจ้าได้รับมาเป็นข่าวปลอม!”“เรียนท่านแม่ทัพ ข่าวนี้เป็นความจริงอย่างแน่นอนขอรับ!”เหยียนจั๋วพยักหน้าเบา ๆ เขาเข้าใจความจริงของเรื่องนี้แล้วเขาเงยหน้ามองไปยังประตูชายแดน ขณะที่นั่งอยู่ท่ามกลางกองทหารนับหมื่น ม่านตาของเขาหดตัวลงด้านหลังก็มีราชรถถูกลากออกมา และม่านก็ถูกเปิดออกเผยให้เห็นร่างของบุคคลที่อยู่ข้างในองค์รัชทายาทแห่งแคว้นอู๋ตะวันตก สวมเครื่องแบบราชสำนักสีเหลืองสว่างขององค์รัชทายาท ซึ่งแสดงให้เห็นถึงตัวตนของเขา เขามีใบหน้าที่หล่อเหลาอย่างมาก มีรูปร่างผอมเพรียวและผิวค่อนข้างซีดเหยียนจั๋วได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวที่อยู่ข้าง ๆ จึงหันกลับมาทันทีและทำความเคารพอย่างนอบน้อม “องค์รัชทายา
คนผู้นั้นถูกทุบตีจนจมูกช้ำ ใบหน้าบวม เขารู้สึกเสียใจมากคนของเขาเห็นอย่างชัดเจนว่าท่านอ๋องอยู่ที่นี่...ขณะนั้นเอง ทหารผู้นั้นก็ได้ยินเสียงแตรดังมาจากด้านนอกนั่นคือการแจ้งเตือนในค่ายทหารว่ามีการบุกโจมตีจากศัตรู!บรรดารองแม่ทัพที่เพิ่งเดินออกไปไม่นานก็แสดงสีหน้าหวาดกลัว และรีบไปที่ค่ายด้วยความตื่นตระหนก พยายามเปลี่ยนเสื้อผ้าและหยิบอาวุธให้เร็วที่สุดเมื่อพวกเขาออกมา เซียวเฝิงได้รวบรวมทหารทั้งหมดรออยู่ก่อนแล้วพลางมองผู้มาทีหลังด้วยสายตาเย็นชาแต่เขาไม่ได้พูดอะไรมาก เพราะในการฝึกช่วงนี้ ผู้ใต้บังคับบัญชาของรองแม่ทัพเหล่านั้นคุ้นเคยกับการฟังคำสั่งของเขาแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงมารวมตัวกันที่นี่ตั้งแต่แรก“เมื่อครู่หน่วยสอดแนมเพิ่งมารายงานว่ากองทัพใหญ่แคว้นอู๋ตะวันตกกำลังใกล้เข้ามา ตอนนี้พวกเขายังอยู่ห่างออกไปหนึ่งร้อยลี้ ทุกคนจงตามข้ามาเพื่อเตรียมการป้องกัน!”ท่านอ๋องยังไม่กลับมา ดังนั้นจึงไม่ควรออกไปล้างบางตอนนี้ ปราการเจิ้นเป่ยเป็นสถานที่อันตรายที่ป้องกันได้ง่าย แต่โจมตีได้ยาก ท้ายที่สุดแล้ว การโจมตีนั้นยากกว่าการป้องกัน“ท่านแม่ทัพเซียว ทราบหรือไม่ว่าคนเหล่านั้นคือใคร?”เซียวเฝิง
เย่เสวียนถิงตัวแข็งทื่อทันทีม้าของเขาเดินหมุนเป็นวงกลม สีหน้าของเขาแสดงให้เห็นถึงความลังเลอย่างชัดเจนซูชิงอู่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่และพูดว่า "ข้าสัญญากับท่านว่าจะไม่ไปสถานที่อันตราย"เย่เสวียนถิงถอนหายใจ "ค่ายทหารไม่มีกฎให้สตรีเข้าร่วม"ซูชิงอู่ยิ้มเมื่อได้ยินเช่นนั้น "ถ้าอย่างนั้น ข้าจะปลอมตัวเป็นบุรุษ"เย่เสวียนถิง "..."เมื่อนึกถึงทักษะการปลอมตัวอันยอดเยี่ยมของซูชิงอู่ เย่เสวียนถิงก็ลังเลขึ้นมาอีกครั้งด้วยความสามารถของนาง คงไม่มีใครสามารถจับได้ว่านางปลอมตัวเป็นบุรุษ ไม่ว่าจะเป็นการปลอมตัวหรือเปลี่ยนเสียง นางก็ทำได้อย่างสมบูรณ์แบบเย่เสวียนถิงเห็นความกระตือรือร้นในดวงตาของซูชิงอู่ พลางถอนหายใจเล็กน้อย จากนั้นก็มองนางอย่างจนใจและพูดว่า "ก็ได้ แต่เจ้ารับปากข้ามาก่อนว่าจะไม่ปล่อยให้ตัวเองบาดเจ็บ"ทันใดนั้นดวงตาของซูชิงอู่ก็ส่องประกาย "ท่านอ๋อง ไปกันเถอะ"นี่เป็นครั้งแรกที่ซูชิงอู่ไปที่ชายแดนชาติก่อนนางวางตัวเป็นกุลสตรี จึงแทบไม่ได้ออกจากเมืองหลวงเลยผู้คนนับหมื่นในเมืองฉี ก่อนหน้านี้ถูกพวกเขาพาไปอยู่เมืองอื่น และเมื่อเย่เสวียนถิงจากมาก็พาพวกเขามาด้วยอย่างน้อยผู้คนมา