“ใครน่ะหรือ?”ซูชิงอู่หัวเราะเบา ๆ พลางหันไปมองเย่เสวียนถิงด้วยสายตาหยอกล้อถึงอย่างไรเย่เสวียนถิงก็เป็นคนทำให้เรื่องแดงขึ้นมา ใครใช้ให้เขาไม่ยอมเก็บอารมณ์เลยเล่าเขาเหมือนคนที่อดอยากมานานแรมปี วัน ๆ เอาแต่จับนู่นแตะนี่จนทำให้คนจำนวนมากเข้าใจผิดกันหมดนางจงใจพูด “หม่อมฉันไม่จำเป็นต้องรายงานเรื่องนี้ต่อองค์รัชทายาทหรอกกระมังเพคะ?”เย่ชิวหมิงสะอึกเมื่อเขาได้ยินคำพูดนั้น เขาอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะไปชี้นิ้วสั่งการและยุ่งวุ่นวายกับเรื่องของซูชิงอู่ได้จริง ๆ และเย่เสวียนถิงที่ตอนนี้ยังอยู่ที่ชายแดนก็คงไม่รู้เรื่องนี้...เย่ชิวหมิงไม่เคยคิดว่าเย่เสวียนถิงจะมาที่เมืองหลวง และเขาก็ได้รับข้อมูลจากสายข่าวว่าแม้เย่เสวียนถิงพูดว่าจะไปตามหาพระชายา แต่จริง ๆ แล้วเขาไม่ได้ออกจากชายแดนเขายังคงอยู่คอยเฝ้าจับตาหากลุ่มคนที่เป็นต้นตอของอันตรายอยู่ที่ชายแดนเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เย่ชิวหมิงก็ถอนหายใจเบา ๆดู ๆ แล้วเย่เสวียนถิงคงไม่ได้สนใจซูชิงอู่มากนักดังนั้นหากซูชิงอู่จะไปหาบุรุษอื่นก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้...เย่ชิวหมิงแก้ตัวให้กับซูชิงอู่ในใจโดยไม่รู้ตัวเขามองไปรอบ ๆ แ
หัวใจของเย่ชิวหมิงสั่นไหว“การสกัดกั้นโจมตีและลอบสังหารกองกำลังคุ้มกันเสบียงที่จะส่งไปยังชายแดนนั้นถูกสงสัยว่าเป็นการก่อกบฏ ซึ่งถือเป็นความผิดร้ายแรงต้องโทษประหารล้างตระกูล หากดำเนินการตามกฎหมายอย่างเข้มงวด ข้าเกรงว่าทุกคนในตระกูลเจียวจะ…”ซูชิงอู่คลี่ยิ้ม “นั่นไม่จำเป็น หม่อมฉันเพียงแค่อยากให้หัวหน้าตระกูลเจียวรับผิดชอบเพคะ”เย่ซิ่วหมิงรู้สึกโล่งใจอย่างอธิบายไม่ถูกการไม่ต้องตัดหัวทุกคนในตระกูลแลกกับการสังเวยเพียงชีวิตเดียว จู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่ามันคุ้มค่า...“ในอีกสองวัน ข้าจะลงโทษหัวหน้าตระกูลเจียวต่อหน้าขุนนางทุกคน และข้าจะให้คำตอบเจ้าโดยเร็วที่สุด”ซูชิงอู่ไม่ได้พูดอะไรอีก นางหันหลังและเดินมาที่อีกฝั่ง จูงม้ามาและขึ้นไปนั่งบนหลังม้าจู่ ๆ เย่เสวียนถิงก็ขยับขึ้นมานั่งข้างหลังนาง จากนั้นก็กอดเอวของนางรอยยิ้มมุมปากของซูชิงอู่แข็งค้างนางเห็นสายตาทิ่มแทงมาจากรอบตัวทุกทิศทางนางดึงแขนของเย่เสวียนถิงที่รัดนางไว้แน่นแต่ก็ดึงไม่ออกซูชิงอู่จึงค่อย ๆ หันไปกระซิบ “หากท่านยังทำเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าคนทั้งใต้หล้าจะพากันคิดว่าข้านอกใจท่าน!”เย่เสวียนถิงหลุบตาลงและพูดเสียงต่ำที่ข้างหูข
เมื่อนางมาถึงประตูเรือน ดวงตาของซูชิงอู่ก็มีน้ำรื้นออกมา และแก้มของนางก็แดงเล็กน้อยโชคดีที่ตอนนี้เป็นตอนกลางคืนจึงไม่มีใครมองเห็นได้ชัดเมื่ออวิ๋นจื่อและอวิ๋นชิงได้ยินว่าพระชายากลับมาแล้ว พวกนางก็รีบออกมาพร้อมกับอุ้มทารกน้อยคนหนึ่งมาด้วยซูชิงอู่หายตัวไปเป็นเวลาหนึ่งเดือน ซึ่งนั่นทำให้คนในครอบครัวเป็นกังวลอย่างมาก“พระชายา พระชายากลับมาแล้ว!”แสงไฟในจวนอ๋องสว่างไสว ทุกคนที่อยู่ข้างในก็เดินตามอวิ๋นจื่อและอวิ๋นชิงออกมา และทารกน้อยในอ้อมแขนของนางก็คือท่านหญิงน้อยลั่วลั่วซูชิงอู่สบตากับผู้คนที่คุ้นเคยเหล่านี้ แต่เดิมที่นางกำลังรู้สึกร้อนใจอยู่ก็พลันโล่งใจในทันที นางรีบเดินไปหาเสี่ยวลั่วลั่วและบีบแก้มป่อง ๆ ของเด็กน้อย“ช่วงที่แม่ไม่อยู่ เสี่ยวลั่วลั่วอ้วนขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเลยนะ…”หรงหย่ายิ้มและพูดว่า “เป็นเพราะซูเฟยดูแลเป็นอย่างดีเพคะ”“ซูเฟย?”ซูชิงอู่รู้สึกประหลาดใจเมื่อนางเงยหน้าก็เห็นซูเฟยเดินออกมาจากข้างในพร้อมกับสีหน้าประหลาดใจ“ชิงอู่ เจ้ากลับมาแล้วจริง ๆ หรือ?”นางรีบเดินไปหาซูชิงอู่และกุมมืออีกฝ่ายเอาไว้ซูชิงอู่รู้สึกเขินอายเล็กน้อย นางคิดไม่ถึงว่าซูเฟยจะกระตือร
ซูชิงอู่อดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปหอมพวกเขาแต่ละคนทันทีสายตาของนางเต็มไปด้วยความคะนึงหา เมื่อนางได้อุ้มทารกน้อยทั้งสองด้วยมือคนละข้าง นางก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาเหล่าเด็กน้อยอายุเจ็ดแปดเดือนสามารถคลานและนั่งได้แล้ว ทันทีที่ซูชิงอู่เข้ามา ทั้งสองก็คว้าเสื้อผ้าของนางไว้แน่นและไม่ยอมปล่อยไม่ว่าจะดึงแรงเพียงใดก็ตามคนอื่นที่เห็นต่างก็นึกขัน“ดูเหมือนว่าท่านชายทั้งสองจะชอบทำตัวติดกับพระชายานะเพคะ”ซูชิงอู่ยิ้มมุมปาก ทันใดนั้นก็เงยหน้าขึ้น และจ้องมองไปที่เจ้าหนูคนเล็กที่ทำตัวต่างไปจากบรรยากาศรอบข้างเสี่ยวลั่วลั่วเองก็นั่งได้แล้ว แต่นางก็ยังคงเงียบเหมือนตุ๊กตาผ้าตัวหนึ่ง สายตาของนางเลื่อนลอยอีกทั้งยังไม่ค่อยส่งเสียงเด็กคนอื่น ๆ ร้องไห้ แต่นางกลับไม่ร้องเมื่อซูชิงอู่นึกถึงเรื่องนี้ หัวใจของนางก็ปวดร้าวราวกับถูกมีดกรีด นางลุกขึ้นและเดินเข้าไปลูบแก้มขาวเนียนของเสี่ยวลั่วลัวอย่างอ่อนโยนดวงตากลมโตคู่นั้นมองมาที่นางดวงตาสีเข้มสะท้อนเงาของซูชิงอู่นางไม่ตอบสนอง เพียงแค่มองด้วยท่าทางเช่นนี้ ราวกับต้องการจะจดจำภาพของผู้เป็นมารดาเอาไว้ในสมองซูชิงอู่กอดบุตรีของนางพลางถอนหายใจเบา ๆ“แม่ช่าง
นางเดินตามขันทีผู้น้อยขึ้นรถม้าและมุ่งหน้าไปยังพระราชวัง ที่ซึ่งฮ่องเต้เฒ่ากำลังรอนางอยู่ภายในหนึ่งเดือน ฮ่องเต้เฒ่าผอมแห้งราวกับท่อนฟืน ใบหน้าของเขาหมองคล้ำ และดูเหมือนเหลือลมหายใจเพียงเฮือกสุดท้าย“ฝ่าบาท พระชายามาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ขันทีผู้น้อยที่อยู่ข้าง ๆ พูดด้วยความนอบน้อม และฮ่องเต้เฒ่าที่นอนอยู่บนเตียงก็หันมามองซูชิงอู่มุมปากของเขาขยับเปล่งเสียงเบา ๆ ออกมาคำเดียว“ยา…”ซูชิงอู่ถอนหายใจด้วยสีหน้าลำบากใจ“ฝ่าบาทคงจะทรงได้ยินแล้วว่าเดือนนี้หม่อมฉันถูกลักพาตัวไป จะเอาเวลาที่ไหนไปหายาล่ะเพคะ?”“เจ้า…”เมื่อได้ยินสิ่งที่ซูชิงอู่พูด สีหน้าของฮ่องเต้เฒ่าก็ไม่สู้ดีอยู่ครู่หนึ่ง เขายกนิ้วขึ้นแล้วชี้ไปที่นาง น้ำเสียงของเขาสั่นเทาด้วยความโกรธ “สัญญา...หนึ่งเดือน…”“แต่เรื่องเป็นเหตุสุดวิสัยเพคะ หม่อมฉันเองก็ไม่มีทางเลือก เทียบกับพระองค์แล้ว หม่อมฉันอยากได้ยานั้นมากกว่าเสียอีกเพคะ”ฮ่องเต้เฒ่าแทบโกรธควันออกหูเพราะคำพูดของนางเขารีบร้อนมากเสียจนยกทรัพยากรทั้งหมดที่เขามีให้แก่นางและยอมปล่อยให้นางเข้าไปในคลังสมบัติ แต่หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน เขากลับได้รับผลลัพธ์เช่นนี้!ร่างกายขอ
นางพูดเพียงไม่กี่คำ ฮ่องเต้เฒ่าก็โกรธนางจนสิ้นชีพเลยรึนี่แม้ฮ่องเต้เฒ่าเองมีสุขภาพที่ย่ำแย่อยู่แล้ว แต่คำพูดของนางก็เป็นเหมือนสิ่งหนึ่งที่เป็นตัวกระตุ้นให้ทุกอย่างแย่ลงไปอีกซูชิงอู่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับฮ่องเต้เฒ่า ระหว่างทั้งสองเป็นเพียงความสัมพันธ์แบบมีผลประโยชน์ร่วมกัน ดังนั้นเมื่อมีข่าวการสิ้นของเขาออกมา นางจึงไม่รู้สึกเศร้าอะไรไม่มีน้ำตาแม้แต่หยดเดียวส่วนคนที่บอกว่าจะนำนางไปฝังร่วมกับเขานั้น ตอนนี้ใจของซูชิงอู่นึกอยากจะเหยียบศพของฮ่องเต้เฒ่าสักครั้งสองครั้ง!จู่ ๆ ผู้นำในชุดดำก็มีสีหน้าเคร่งขรึม เขาพูดเพียงคำเดียว “ฆ่า!”ทันใดนั้น องครักษ์ลับก็พุ่งเข้าใส่ซูชิงอู่ ขณะที่ซูชิงอู่กำลังจะต่อสู้กลับอย่างไร้ปรานี นางก็ได้ยินเสียงประตูและหน้าต่างรอบตัวพังทลายลงทันทีร่างสวมหน้ากากปรากฏขึ้นต่อหน้านาง ฟาดดาบตัดแขนขององครักษ์ลับที่กำลังจะลงมือ“อ๊าก!”“มีนักฆ่า!”ทันใดนั้น ทุกคนก็มองไปที่เย่เสวียนถิงซึ่งมายืนบังซูชิงอู่เรียบร้อยแล้ว โดยถือดาบไว้ในมือข้างหนึ่งและอีกมือหนึ่งจับมือนาง“ไป”ในห้องมีองครักษ์ลับอยู่ห้าหกคน และมีอีกสิบกว่าคนอยู่ที่นอกประตู คนเหล่านี้ล้วนมีวรยุทธ์
เหล่าองครักษ์ลับแห่งราชวงศ์ถูกองค์รัชทายาทด่าทอจนพูดไม่ออก และคนที่เป็นผู้นำก็รู้สึกท้อใจพวกเขาปฏิบัติตามรับสั่งของฮ่องเต้อย่างเต็มที่ แล้วสุดท้ายพวกเขาจะผิดได้อย่างไร?“แต่…”เมื่อเห็นว่าพวกเขายังคงพยายามจะเถียง สายตาของเย่ชิวหมิงก็เย็นชาขึ้นมา “พวกเจ้าคิดจะเพิกเฉยต่อกษัตริย์แห่งแผ่นดินหนานเย่รึ? หากพวกเจ้ากล้าที่จะฆ่าพระชายา พวกเจ้าก็บอกข้ามาซิว่าอ๋องเสวียนจะทำการก่อกบฏหรือไม่? เมื่อถึงตอนนั้นพวกเจ้าจะให้ข้าสั่งพวกเจ้าไปทำสงครามคุ้มกันชายแดนหรือไม่?” คำพูดขององค์รัชทายาททำให้องครักษ์ลับพูดไม่ออกยิ่งไปกว่านั้น ฮ่องเต้เฒ่าสวรรคตแล้วและองค์รัชทายาทก็นายเหนือหัวคนใหม่ของพวกเขาองครักษ์ลับทั้งหลายหยุดการไล่ฆ่าทันที ทุกคนคุกเข่าลงและทำความเคารพองค์รัชทายาทคนปัจจุบัน “กระหม่อมผิดไปแล้ว ขอองค์รัชทายาทโปรดทรงประทานอภัยให้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”ตอนนี้เย่ชิวหมิงมีเรื่องที่สำคัญกว่าต้องทำ เมื่อเห็นว่าวิกฤตทางฝั่งของซูชิงอู่ได้รับการแก้ไขแล้ว เขาจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกและพูดว่า “ข้าจะไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ พวกเจ้ากลับไปเสีย”“พ่ะย่ะค่ะองค์รัชทายาท”หลังจากองครักษ์ลับจากไป ชั่วขณะนั้นก็มีความเ
พวกนางไม่ได้ร้องไห้ให้กับฮ่องเต้เฒ่า แต่ร้องไห้ให้กับอนาคตที่คาดเดาไม่ได้ของตนซูชิงอู่เหลือบมองเย่เสวียนถิงที่อยู่ข้าง ๆ พลางจับมือของเขาไว้แน่น“เสวียนถิง ท่านจะเสียใจให้กับเขาหรือไม่?”เย่เสวียนถิงส่ายหัวเบา ๆ “ไม่”ทันใดนั้นซูชิงอู่ก็หัวเราะออกมา “ฮ่องเต้เฒ่านี่ช่างน่าเศร้าเสียจริง แม้ยามสิ้นชีพ แต่ก็ไม่มีใครเศร้าโศก ท่านว่าชีวิตชาตินี้ของพระองค์น่าสงสารมากเลยหรือไม่?”เย่เสวียนถิงพูดเสียงเรียบ “พระองค์ทรงทำตัวเองทั้งนั้น”พระคุณเพียงหนึ่งเดียวที่เขาได้รับจากฮ่องเต้เฒ่าในชีวิตชาตินี้คือการที่เขาได้แต่งงานกับซูชิงอู่แต่ถึงแม้จะร้องขอเช่นนั้น เขาก็ต้องแลกด้วยความดีความชอบในการรบและขาหนึ่งข้างเช้าตรู่ในวันรุ่งขึ้น มีพระราชพิธีศพครั้งใหญ่จัดขึ้นที่พระราชวัง ขุนนางบุ๋นบู๊ทั่วราชสำนักแต่งกายไว้ทุกข์เข้าไปในวังเพื่อแสดงความเคารพต่อฮ่องเต้ผู้ล่วงลับเสียงระฆังมรณะดังขึ้นทั่วเมืองหลวง เพิ่มความเศร้าโศกให้กับหัวใจของราษฎรที่อยู่ในเมืองผู้ซึ่งเต็มไปด้วยความไม่สบายใจอยู่เป็นเดิมทุนปัจจุบันเมืองชายแดนอยู่ในภาวะสงคราม อีกทั้งฮ่องเต้ก็เสด็จสวรรคต ดูเหมือนแคว้นหนานเย่กำลังตกอยู่ในอันต