“ใครน่ะหรือ?”ซูชิงอู่หัวเราะเบา ๆ พลางหันไปมองเย่เสวียนถิงด้วยสายตาหยอกล้อถึงอย่างไรเย่เสวียนถิงก็เป็นคนทำให้เรื่องแดงขึ้นมา ใครใช้ให้เขาไม่ยอมเก็บอารมณ์เลยเล่าเขาเหมือนคนที่อดอยากมานานแรมปี วัน ๆ เอาแต่จับนู่นแตะนี่จนทำให้คนจำนวนมากเข้าใจผิดกันหมดนางจงใจพูด “หม่อมฉันไม่จำเป็นต้องรายงานเรื่องนี้ต่อองค์รัชทายาทหรอกกระมังเพคะ?”เย่ชิวหมิงสะอึกเมื่อเขาได้ยินคำพูดนั้น เขาอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะไปชี้นิ้วสั่งการและยุ่งวุ่นวายกับเรื่องของซูชิงอู่ได้จริง ๆ และเย่เสวียนถิงที่ตอนนี้ยังอยู่ที่ชายแดนก็คงไม่รู้เรื่องนี้...เย่ชิวหมิงไม่เคยคิดว่าเย่เสวียนถิงจะมาที่เมืองหลวง และเขาก็ได้รับข้อมูลจากสายข่าวว่าแม้เย่เสวียนถิงพูดว่าจะไปตามหาพระชายา แต่จริง ๆ แล้วเขาไม่ได้ออกจากชายแดนเขายังคงอยู่คอยเฝ้าจับตาหากลุ่มคนที่เป็นต้นตอของอันตรายอยู่ที่ชายแดนเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เย่ชิวหมิงก็ถอนหายใจเบา ๆดู ๆ แล้วเย่เสวียนถิงคงไม่ได้สนใจซูชิงอู่มากนักดังนั้นหากซูชิงอู่จะไปหาบุรุษอื่นก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้...เย่ชิวหมิงแก้ตัวให้กับซูชิงอู่ในใจโดยไม่รู้ตัวเขามองไปรอบ ๆ แ
หัวใจของเย่ชิวหมิงสั่นไหว“การสกัดกั้นโจมตีและลอบสังหารกองกำลังคุ้มกันเสบียงที่จะส่งไปยังชายแดนนั้นถูกสงสัยว่าเป็นการก่อกบฏ ซึ่งถือเป็นความผิดร้ายแรงต้องโทษประหารล้างตระกูล หากดำเนินการตามกฎหมายอย่างเข้มงวด ข้าเกรงว่าทุกคนในตระกูลเจียวจะ…”ซูชิงอู่คลี่ยิ้ม “นั่นไม่จำเป็น หม่อมฉันเพียงแค่อยากให้หัวหน้าตระกูลเจียวรับผิดชอบเพคะ”เย่ซิ่วหมิงรู้สึกโล่งใจอย่างอธิบายไม่ถูกการไม่ต้องตัดหัวทุกคนในตระกูลแลกกับการสังเวยเพียงชีวิตเดียว จู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่ามันคุ้มค่า...“ในอีกสองวัน ข้าจะลงโทษหัวหน้าตระกูลเจียวต่อหน้าขุนนางทุกคน และข้าจะให้คำตอบเจ้าโดยเร็วที่สุด”ซูชิงอู่ไม่ได้พูดอะไรอีก นางหันหลังและเดินมาที่อีกฝั่ง จูงม้ามาและขึ้นไปนั่งบนหลังม้าจู่ ๆ เย่เสวียนถิงก็ขยับขึ้นมานั่งข้างหลังนาง จากนั้นก็กอดเอวของนางรอยยิ้มมุมปากของซูชิงอู่แข็งค้างนางเห็นสายตาทิ่มแทงมาจากรอบตัวทุกทิศทางนางดึงแขนของเย่เสวียนถิงที่รัดนางไว้แน่นแต่ก็ดึงไม่ออกซูชิงอู่จึงค่อย ๆ หันไปกระซิบ “หากท่านยังทำเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าคนทั้งใต้หล้าจะพากันคิดว่าข้านอกใจท่าน!”เย่เสวียนถิงหลุบตาลงและพูดเสียงต่ำที่ข้างหูข
เมื่อนางมาถึงประตูเรือน ดวงตาของซูชิงอู่ก็มีน้ำรื้นออกมา และแก้มของนางก็แดงเล็กน้อยโชคดีที่ตอนนี้เป็นตอนกลางคืนจึงไม่มีใครมองเห็นได้ชัดเมื่ออวิ๋นจื่อและอวิ๋นชิงได้ยินว่าพระชายากลับมาแล้ว พวกนางก็รีบออกมาพร้อมกับอุ้มทารกน้อยคนหนึ่งมาด้วยซูชิงอู่หายตัวไปเป็นเวลาหนึ่งเดือน ซึ่งนั่นทำให้คนในครอบครัวเป็นกังวลอย่างมาก“พระชายา พระชายากลับมาแล้ว!”แสงไฟในจวนอ๋องสว่างไสว ทุกคนที่อยู่ข้างในก็เดินตามอวิ๋นจื่อและอวิ๋นชิงออกมา และทารกน้อยในอ้อมแขนของนางก็คือท่านหญิงน้อยลั่วลั่วซูชิงอู่สบตากับผู้คนที่คุ้นเคยเหล่านี้ แต่เดิมที่นางกำลังรู้สึกร้อนใจอยู่ก็พลันโล่งใจในทันที นางรีบเดินไปหาเสี่ยวลั่วลั่วและบีบแก้มป่อง ๆ ของเด็กน้อย“ช่วงที่แม่ไม่อยู่ เสี่ยวลั่วลั่วอ้วนขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเลยนะ…”หรงหย่ายิ้มและพูดว่า “เป็นเพราะซูเฟยดูแลเป็นอย่างดีเพคะ”“ซูเฟย?”ซูชิงอู่รู้สึกประหลาดใจเมื่อนางเงยหน้าก็เห็นซูเฟยเดินออกมาจากข้างในพร้อมกับสีหน้าประหลาดใจ“ชิงอู่ เจ้ากลับมาแล้วจริง ๆ หรือ?”นางรีบเดินไปหาซูชิงอู่และกุมมืออีกฝ่ายเอาไว้ซูชิงอู่รู้สึกเขินอายเล็กน้อย นางคิดไม่ถึงว่าซูเฟยจะกระตือร
ซูชิงอู่อดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปหอมพวกเขาแต่ละคนทันทีสายตาของนางเต็มไปด้วยความคะนึงหา เมื่อนางได้อุ้มทารกน้อยทั้งสองด้วยมือคนละข้าง นางก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาเหล่าเด็กน้อยอายุเจ็ดแปดเดือนสามารถคลานและนั่งได้แล้ว ทันทีที่ซูชิงอู่เข้ามา ทั้งสองก็คว้าเสื้อผ้าของนางไว้แน่นและไม่ยอมปล่อยไม่ว่าจะดึงแรงเพียงใดก็ตามคนอื่นที่เห็นต่างก็นึกขัน“ดูเหมือนว่าท่านชายทั้งสองจะชอบทำตัวติดกับพระชายานะเพคะ”ซูชิงอู่ยิ้มมุมปาก ทันใดนั้นก็เงยหน้าขึ้น และจ้องมองไปที่เจ้าหนูคนเล็กที่ทำตัวต่างไปจากบรรยากาศรอบข้างเสี่ยวลั่วลั่วเองก็นั่งได้แล้ว แต่นางก็ยังคงเงียบเหมือนตุ๊กตาผ้าตัวหนึ่ง สายตาของนางเลื่อนลอยอีกทั้งยังไม่ค่อยส่งเสียงเด็กคนอื่น ๆ ร้องไห้ แต่นางกลับไม่ร้องเมื่อซูชิงอู่นึกถึงเรื่องนี้ หัวใจของนางก็ปวดร้าวราวกับถูกมีดกรีด นางลุกขึ้นและเดินเข้าไปลูบแก้มขาวเนียนของเสี่ยวลั่วลัวอย่างอ่อนโยนดวงตากลมโตคู่นั้นมองมาที่นางดวงตาสีเข้มสะท้อนเงาของซูชิงอู่นางไม่ตอบสนอง เพียงแค่มองด้วยท่าทางเช่นนี้ ราวกับต้องการจะจดจำภาพของผู้เป็นมารดาเอาไว้ในสมองซูชิงอู่กอดบุตรีของนางพลางถอนหายใจเบา ๆ“แม่ช่าง
นางเดินตามขันทีผู้น้อยขึ้นรถม้าและมุ่งหน้าไปยังพระราชวัง ที่ซึ่งฮ่องเต้เฒ่ากำลังรอนางอยู่ภายในหนึ่งเดือน ฮ่องเต้เฒ่าผอมแห้งราวกับท่อนฟืน ใบหน้าของเขาหมองคล้ำ และดูเหมือนเหลือลมหายใจเพียงเฮือกสุดท้าย“ฝ่าบาท พระชายามาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ขันทีผู้น้อยที่อยู่ข้าง ๆ พูดด้วยความนอบน้อม และฮ่องเต้เฒ่าที่นอนอยู่บนเตียงก็หันมามองซูชิงอู่มุมปากของเขาขยับเปล่งเสียงเบา ๆ ออกมาคำเดียว“ยา…”ซูชิงอู่ถอนหายใจด้วยสีหน้าลำบากใจ“ฝ่าบาทคงจะทรงได้ยินแล้วว่าเดือนนี้หม่อมฉันถูกลักพาตัวไป จะเอาเวลาที่ไหนไปหายาล่ะเพคะ?”“เจ้า…”เมื่อได้ยินสิ่งที่ซูชิงอู่พูด สีหน้าของฮ่องเต้เฒ่าก็ไม่สู้ดีอยู่ครู่หนึ่ง เขายกนิ้วขึ้นแล้วชี้ไปที่นาง น้ำเสียงของเขาสั่นเทาด้วยความโกรธ “สัญญา...หนึ่งเดือน…”“แต่เรื่องเป็นเหตุสุดวิสัยเพคะ หม่อมฉันเองก็ไม่มีทางเลือก เทียบกับพระองค์แล้ว หม่อมฉันอยากได้ยานั้นมากกว่าเสียอีกเพคะ”ฮ่องเต้เฒ่าแทบโกรธควันออกหูเพราะคำพูดของนางเขารีบร้อนมากเสียจนยกทรัพยากรทั้งหมดที่เขามีให้แก่นางและยอมปล่อยให้นางเข้าไปในคลังสมบัติ แต่หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน เขากลับได้รับผลลัพธ์เช่นนี้!ร่างกายขอ
นางพูดเพียงไม่กี่คำ ฮ่องเต้เฒ่าก็โกรธนางจนสิ้นชีพเลยรึนี่แม้ฮ่องเต้เฒ่าเองมีสุขภาพที่ย่ำแย่อยู่แล้ว แต่คำพูดของนางก็เป็นเหมือนสิ่งหนึ่งที่เป็นตัวกระตุ้นให้ทุกอย่างแย่ลงไปอีกซูชิงอู่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับฮ่องเต้เฒ่า ระหว่างทั้งสองเป็นเพียงความสัมพันธ์แบบมีผลประโยชน์ร่วมกัน ดังนั้นเมื่อมีข่าวการสิ้นของเขาออกมา นางจึงไม่รู้สึกเศร้าอะไรไม่มีน้ำตาแม้แต่หยดเดียวส่วนคนที่บอกว่าจะนำนางไปฝังร่วมกับเขานั้น ตอนนี้ใจของซูชิงอู่นึกอยากจะเหยียบศพของฮ่องเต้เฒ่าสักครั้งสองครั้ง!จู่ ๆ ผู้นำในชุดดำก็มีสีหน้าเคร่งขรึม เขาพูดเพียงคำเดียว “ฆ่า!”ทันใดนั้น องครักษ์ลับก็พุ่งเข้าใส่ซูชิงอู่ ขณะที่ซูชิงอู่กำลังจะต่อสู้กลับอย่างไร้ปรานี นางก็ได้ยินเสียงประตูและหน้าต่างรอบตัวพังทลายลงทันทีร่างสวมหน้ากากปรากฏขึ้นต่อหน้านาง ฟาดดาบตัดแขนขององครักษ์ลับที่กำลังจะลงมือ“อ๊าก!”“มีนักฆ่า!”ทันใดนั้น ทุกคนก็มองไปที่เย่เสวียนถิงซึ่งมายืนบังซูชิงอู่เรียบร้อยแล้ว โดยถือดาบไว้ในมือข้างหนึ่งและอีกมือหนึ่งจับมือนาง“ไป”ในห้องมีองครักษ์ลับอยู่ห้าหกคน และมีอีกสิบกว่าคนอยู่ที่นอกประตู คนเหล่านี้ล้วนมีวรยุทธ์
เหล่าองครักษ์ลับแห่งราชวงศ์ถูกองค์รัชทายาทด่าทอจนพูดไม่ออก และคนที่เป็นผู้นำก็รู้สึกท้อใจพวกเขาปฏิบัติตามรับสั่งของฮ่องเต้อย่างเต็มที่ แล้วสุดท้ายพวกเขาจะผิดได้อย่างไร?“แต่…”เมื่อเห็นว่าพวกเขายังคงพยายามจะเถียง สายตาของเย่ชิวหมิงก็เย็นชาขึ้นมา “พวกเจ้าคิดจะเพิกเฉยต่อกษัตริย์แห่งแผ่นดินหนานเย่รึ? หากพวกเจ้ากล้าที่จะฆ่าพระชายา พวกเจ้าก็บอกข้ามาซิว่าอ๋องเสวียนจะทำการก่อกบฏหรือไม่? เมื่อถึงตอนนั้นพวกเจ้าจะให้ข้าสั่งพวกเจ้าไปทำสงครามคุ้มกันชายแดนหรือไม่?” คำพูดขององค์รัชทายาททำให้องครักษ์ลับพูดไม่ออกยิ่งไปกว่านั้น ฮ่องเต้เฒ่าสวรรคตแล้วและองค์รัชทายาทก็นายเหนือหัวคนใหม่ของพวกเขาองครักษ์ลับทั้งหลายหยุดการไล่ฆ่าทันที ทุกคนคุกเข่าลงและทำความเคารพองค์รัชทายาทคนปัจจุบัน “กระหม่อมผิดไปแล้ว ขอองค์รัชทายาทโปรดทรงประทานอภัยให้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”ตอนนี้เย่ชิวหมิงมีเรื่องที่สำคัญกว่าต้องทำ เมื่อเห็นว่าวิกฤตทางฝั่งของซูชิงอู่ได้รับการแก้ไขแล้ว เขาจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกและพูดว่า “ข้าจะไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ พวกเจ้ากลับไปเสีย”“พ่ะย่ะค่ะองค์รัชทายาท”หลังจากองครักษ์ลับจากไป ชั่วขณะนั้นก็มีความเ
พวกนางไม่ได้ร้องไห้ให้กับฮ่องเต้เฒ่า แต่ร้องไห้ให้กับอนาคตที่คาดเดาไม่ได้ของตนซูชิงอู่เหลือบมองเย่เสวียนถิงที่อยู่ข้าง ๆ พลางจับมือของเขาไว้แน่น“เสวียนถิง ท่านจะเสียใจให้กับเขาหรือไม่?”เย่เสวียนถิงส่ายหัวเบา ๆ “ไม่”ทันใดนั้นซูชิงอู่ก็หัวเราะออกมา “ฮ่องเต้เฒ่านี่ช่างน่าเศร้าเสียจริง แม้ยามสิ้นชีพ แต่ก็ไม่มีใครเศร้าโศก ท่านว่าชีวิตชาตินี้ของพระองค์น่าสงสารมากเลยหรือไม่?”เย่เสวียนถิงพูดเสียงเรียบ “พระองค์ทรงทำตัวเองทั้งนั้น”พระคุณเพียงหนึ่งเดียวที่เขาได้รับจากฮ่องเต้เฒ่าในชีวิตชาตินี้คือการที่เขาได้แต่งงานกับซูชิงอู่แต่ถึงแม้จะร้องขอเช่นนั้น เขาก็ต้องแลกด้วยความดีความชอบในการรบและขาหนึ่งข้างเช้าตรู่ในวันรุ่งขึ้น มีพระราชพิธีศพครั้งใหญ่จัดขึ้นที่พระราชวัง ขุนนางบุ๋นบู๊ทั่วราชสำนักแต่งกายไว้ทุกข์เข้าไปในวังเพื่อแสดงความเคารพต่อฮ่องเต้ผู้ล่วงลับเสียงระฆังมรณะดังขึ้นทั่วเมืองหลวง เพิ่มความเศร้าโศกให้กับหัวใจของราษฎรที่อยู่ในเมืองผู้ซึ่งเต็มไปด้วยความไม่สบายใจอยู่เป็นเดิมทุนปัจจุบันเมืองชายแดนอยู่ในภาวะสงคราม อีกทั้งฮ่องเต้ก็เสด็จสวรรคต ดูเหมือนแคว้นหนานเย่กำลังตกอยู่ในอันต
คนขายเนื้อทำสีหน้าหวาดกลัว “คนผู้นี้เลวทรามถึงเพียงนี้เลยรึ?”“เจ้าคอยระวังตัวเอาไว้ก็ไม่เป็นไรแล้ว ทางนั้นตรวจดูเสร็จรึยัง? ไปกันต่อเถิด!”เมื่อกองกำลังทำการค้นหาเสร็จเรียบร้อย คนขายเนื้อก็ยิ้มมุมปากเบา ๆเขาคิดไม่ถึงเลยว่าคนเหล่านี้จะพบเบาะแสทางตะวันตกของเมืองเร็วถึงเพียงนี้หากเขาไม่ได้เตรียมพร้อมมาก่อนหน้านี้และรีบปลอมตัวโดยไว เขาก็คงจะถูกจับได้ไปแล้วคนขายเนื้อรีบเข้าไปยังพื้นที่ด้านในสุดของร้านเขาเหลือบมองหนอนกู่ที่ซ่อนเอาไว้ในตู้ในหนึ่ง และเมื่อเปิดตู้ใบนั้น ดวงตาของเขาก็ฉายแววน่ากลัวออกมาผ่านมาหลายปี ดูเหมือนโลกภายนอกจะลืมความน่ากลัวของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว เริ่มแรกนั้นพวกเขาได้ครอบครองตำแหน่งระดับสูงของราชวงศ์ในแคว้นต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงตำแหน่งในนามแต่มันสามารถแทรกแซงแคว้นนั้น ๆ และพลิกสถานการณ์ได้ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดคือการแอบเข้าไปในพระราชวังเพื่อช่วยเหลือเจียงเฟยเอ๋อร์หากต้องการเข้าไปในพระราชวังมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนาได้ก็ต้องใช้วิธีที่ต่างออกไปบุรุษผู้นั้นออกจากร้านขายเนื้อหมูที่ถูกตรวจค้นเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับปิดประตูร้านแสร้งทำเป็นออกไปทำธุร
หลังจากซูชิงอู่ส่งชิงอวี่ออกไปก็ยังคงตื่นเต้นอยู่เล็กน้อยซูชิงอู่หาคนมาวาดภาพเหมือนเจ้าอาวาสในปีที่แล้วและส่งต่อให้คนอื่น ๆ เพื่อช่วยกันค้นหา ซึ่งมันก็ผ่านมานานมากแล้ว และมีเพียงชิงอวี่เท่านั้นที่นำข่าวที่ได้รับการยืนยันกลับมาแจ้งนางแม้จะยังไม่ได้เจอคนผู้นั้น แต่ก็หมายความว่านางจะได้รู้ความจริงของการตายของท่านแม่เสียทีหลังจากสงบสติอารมณ์ได้ ซูชิงอู่ก็ตัดสินใจเดินทางไปทันทีนางอยากไปเจอจิ้งซินผู้นั้นด้วยตนเองและถามเขาว่าเหตุใดตอนนั้นเขาถึงฆ่าท่านแม่ของนาง!คืนเดียวกันนั้นซูชิงอู่ได้พูดคุยเรื่องนี้กับเย่เสวียนถิงเมื่อเย่เสวียนถิงได้รับรู้เรื่องราวก็พยักหน้าเบา ๆ และตัดสินใจอย่างทันทีว่า “ข้าจะส่งคนไปจับเขามาให้เจ้า”ซูชิงอู่ได้ยินอีกฝ่ายตอบง่าย ๆ และห้วนก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงและหัวเราะ“ได้”ตอนนี้มีศิษย์พี่ของเจียงเฟยเอ๋อร์คอยจับตาดูอยู่ในเมืองหลวง ซูชิงอู่จึงไม่สามารถไปหาคนผู้นั้นพร้อมกับชิงอวี่ได้บรรยากาศในเมืองหลวงเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆแม้แต่ฮ่องเต้เช่นเย่ชิวหมิงก็สังเกตเห็นสัญญาณของเหตุการณ์ร้ายแรงบางอย่างที่กำลังจะตามมาเขาเคยได้ยินซูชิงอู่พูดว่าศัตรูที่ซ่อนตัวอ
ไป๋เฟิงก้มหัวลงอย่างเชื่อฟัง ราวกับมันได้กลายเป็นแมวตัวใหญ่ไปแล้วซูชิงอู่อดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าคงเหนื่อยแย่ วันนี้ทำได้ดีมาก”ในที่สุดก็ได้ใช้ประโยชน์จากไป๋เฟิง สมกับที่เลี้ยงมันมานานไป๋เฟิงยืนขึ้นและอ้าปากหาว ส่วนสิงโตขนทองคำที่อยู่ข้าง ๆ ย่องเข้ามาทางด้านหลังซูชิงอู่ และใช้หัวถูเอวของนางดูเหมือนว่ามันต้องการให้ซูชิงอู่ลูบมันด้วยคนอื่น ๆ มองไปยังซูชิงอู่ที่มีร่างกายบอบบางยืนอยู่ตรงหน้าสัตว์ดุร้ายทั้งสอง พวกเขาทั้งหมดก็พูดไม่ออกอยู่นานนี่มัน...ร้ายกาจเกินไปแล้ว!แม้แต่กลุ่มบุรุษร่างใหญ่เช่นพวกเขาก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้สัตว์ดุร้ายทั้งสองแม้แต่ครึ่งก้าว ทว่าซูชิงอู่กลับสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับพวกมันได้อย่างกลมกลืนเหมือนพวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงของนางเมื่อไม่ถูกยุงกัดและกินยาสมุนไพรที่ผสมไว้แล้ว ม้าทุกตัวในสนามฝึกก็สงบลงและกลับสู่ภาวะปกติทันทีที่ซูชิงอู่กลับมาถึงตำหนัก ก็เห็นหรงหย่าวิ่งเข้ามา“พระชายา เมื่อครู่มีคนมาพบท่านและบอกว่ามีเรื่องด่วนต้องรายงาน”“มีเรื่องด่วนอะไรรึ?”หรงหย่าส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ท่านไปดูก่อนเถิด”ซูชิงอู่สั่งให้คนพาผู้ส่งข่าวเข้ามาทันทีนางจ้อง
เลือดของแมลงวันติดอยู่ที่มือของซูชิงอู่ส่งกลิ่นแปลก ๆ ออกมาเมื่อซูชิงอู่มองชัด ๆ นางก็ได้รู้ว่ามันไม่ใช่แมลงวันแต่เป็น…แมลงมีปีกชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายแมลงวันปากของแมลงมีความคมมาก สามารถเจาะทะลุขนของสัตว์บางชนิดได้ง่าย ทว่าแมลงมีปีกชนิดนี้ไม่สนใจมนุษย์และจะกัดเฉพาะสัตว์เท่านั้นที่แท้นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้สัตว์ในเมืองหลวงบ้าคลั่งในช่วงหลายวันนี้!ซูชิงอู่ยังสังเกตเห็นว่ายุงเหล่านี้ถูกพิษและเมื่อพวกมันแพร่พันธุ์ ในไข่ก็มีสารพิษดังกล่าวติดไปด้วยขอเพียงแมลงเหล่านี้ยังกัดสัตว์ต่อไป สารพิษก็จะค่อย ๆ สะสมทีละน้อยสุดท้ายก็ถึงขั้นทำให้เสียสติ!คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้มีเจตนาชั่วร้ายหากนางไม่ค้นพบสิ่งนี้ก่อน เกรงว่าม้าศึกทั้งหมดจะต้องตายไปด้วยความบ้าคลั่งอีกทั้งยังไม่อาจทราบสาเหตุได้แน่นอนว่าม้าศึกเป็นส่วนสำคัญในกองทัพ หากทหารม้าเสียม้าไป ก็คงไม่ต่างไปจากคนอ่อนแอไร้ค่า...ซูชิงอู่ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว“นำม้าทุกตัวไปไว้ในที่ปิดและหาทางฆ่าแมลงมีปีกเหล่านี้ให้สิ้นเสีย”รองแม่ทัพที่ติดตามนางมารีบจำคำสั่งนี้เอาไว้ทันที“รับทราบพ่ะย่ะค่ะพระชายา!”เขาก็รีบกระจายคำสั่งออก
เมื่อเย่เสวียนถิงได้ยินสิ่งที่ซูชิงอู่พูด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเยือกเย็น “ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบ”ซูชิงอู่ส่ายหัวทันที “ยาพิษนี้คงไม่ได้อยู่ในอาหารสัตว์ อีกทั้งเมื่อมาลองคิดดู สัตว์ป่าจำนวนมากที่อยู่ใกล้เมืองหลวง รวมไปถึงม้าศึกล้วนติดพิษกันหมด มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่ไม่เป็นอะไร นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่มีใครสามารถวางยาพิษม้าศึกในเมืองหลวงได้อย่างเงียบ ๆ ”การวิเคราะห์ของซูชิงอู่นั้นสมเหตุสมผลมาก แม้แต่เย่เสวียนถิงเองก็ขมวดคิ้วขึ้นมาหากหาสาเหตุไม่พบก็แก้ปัญหาไม่ได้แม้จะรักษาม้าหนึ่งในนั้นจนหายขาด แต่ก็จะกลับมามีอาการเดิมในอีกไม่ช้าไม่ไกลกันนักก็มีนายทหารระดับสูงนายหนึ่งวิ่งเข้ามาเขาหอบหายใจและกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ทำการตรวจสอบเสบียงอาหารแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”“น้ำล่ะ?”“ตรวจสอบน้ำแล้วเช่นกัน ไม่มีร่องรอยของการวางยาพิษเลยพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินรายงาน เย่เสวียนถิงก็ขมวดคิ้วหนักกว่าเก่าคราวนี้แย่แล้วสิซูชิงอู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ช่วยทำให้ม้าทุกตัวสงบลงก่อนได้หรือไม่ เดี๋ยวข้าจะเข้าไปดูรางอาหารม้าเอง”“ได้พ่ะย่ะค่ะพระชายา กรุณารอสักครู่ ก
เริ่มแรก เขาสงสัยในเรื่องที่ซูชิงอู่เคยพูดจนเกิดความคิดจินตนาการบางส่วนขึ้นมา เรียกได้ว่าตอนกลางวันก็เอาแต่นึกถึง ตกกลางคืนก็เก็บมาฝันอีกแต่เขาไม่เคยได้ยินซูชิงอู่พูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยจริง ๆเนื่องจากความฝันนั้นมันดูเพ้อเจ้อเกินไป เย่เสวียนถิงจึงไม่พูดออกมา เพราะกลัวว่ามันจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับซูชิงอู่อย่างไม่มีเหตุผลหลายวันมานี้ซูชิงอู่อาศัยอยู่กับลูกน้อยทั้งสามของนางเพื่อชดเชยช่วงเวลาที่นางห่างพวกเขาไปนานเด็ก ๆ ที่เพิ่งจะอายุได้ไม่กี่เดือนแต่กลับต้องห่างจากอ้อมอกของพ่อแม่ นั่นทำให้ซูชิงอู่รู้สึกผิดขึ้นมาดังนั้นนางจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องภายนอกมากนักทันใดนั้นนางก็นึกอะไรออกและถามว่า “เสวียนถิง ช่วงนี้หมาป่าเหล่านั้นที่อยู่ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง?”เย่เสวียนถิงเงยหน้าขึ้นและพูดว่า “ไม่ได้มีเพียงสัตว์ร้าย แต่ยังกระทบไปถึงม้าศึกด้วย ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเริ่มไม่เชื่อฟังคำสั่งกัน”“เดี๋ยวข้าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้เสียหน่อย”ซูชิงอู่รู้สึกได้โดยไม่รู้ตัวว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้เรื่องจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยและไม่มีผลกระทบกับมนุษย์มากนัก แต่นางก็รู้สึกอ
ทันใดนั้นหมอหลวงซุนก็เหมือนจะคิดอะไรออก “เหมือนกับตอนที่พระชายาใช้ดอกไม้ชนิดหนึ่งเพื่อทำให้ม้าพยศคลั่งใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“อืม ทำนองนั้นแหละ”สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่นางพบในเภสัชตำรับ และหากใช้มัน ผลลัพธ์ที่ได้จะน่าทึ่งมากแม้ลงมือไปอย่างกะทันหัน แต่ก็ไม่มีใครจับได้ปรมาจารย์มือวางพิษที่แท้จริงคือผู้ที่วางยาพิษโดยไม่ทิ้งหลักฐานใด ๆ เอาไว้“ขอบพระทัยพระชายาสำหรับคำชี้แนะ หลังจากที่ได้พูดคุยกับท่าน กระหม่อมก็เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ซูชิงอู่ปิดเภสัชตำรับ “ข้าท่องเภสัชตำรับนี้จนจำขึ้นใจ และเข้าใจเนื้อหาด้านในได้คร่าว ๆ เพียงแต่ยังไม่พบวิธีที่จะไขความลับที่อยู่ในนั้น หวังว่าท่านจะช่วยเรื่องนี้ได้”คราวนี้ ทุกคนเชื่อมั่นในคำพูดของซูชิงอู่สิ่งที่พวกเขาไม่ได้สนใจ แต่พระชายากลับนำมาใช้งานได้ถึงขั้นนี้ ยังมีอะไรที่ต้องพูดกันอีกหรือ?ตาแก่เช่นพวกเขาที่อาศัยว่าตนอายุมากทำตัวอาวุโสดูถูกผู้อื่นนั้นเทียบเทียมพระชายาไม่ได้เลย!หลังจากที่ซูชิงอู่อธิบายเรื่องนี้จบ นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและแอบหลบออกมาทางประตูใหญ่นางกลัวว่าคนเหล่านั้นจะถามนางว่านางศึกษาเรียนรู้ทักษะทางการ
หมอหลวงซุนขมวดคิ้วเล็กน้อย“อย่าพูดไร้สาระ นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร? พระชายาไม่จำเป็นต้องโกหกพวกเราเลย โกหกพวกเราไปแล้วนางจะได้ประโยชน์อะไร?”คำพูดนี้ก็ถือว่ามีเหตุผลทุกคนต่างพูดไม่ออกทำได้แค่นั่งเงียบ ๆ แล้วพลิกหน้าอ่านต่อไปพลิกหน้ากระดาษตั้งแต่เช้าจรดค่ำ และอ่านจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้นตำราทั้งเล่มถูกอ่านจนจบอย่างรวดเร็ว ทุกคนในสำนักหมอหลวงไม่ได้นอนมาสองวันสองคืน และตอนนี้ทุกคนดูเหนื่อยและมีสีหน้าทรุดโทรมเมื่ออ่านหน้าจนถึงสุดท้าย แม้แต่หมอหลวงซุนก็ตกอยู่ในความเงียบเพราะเภสัชตำรับเล่มนี้บันทึกเฉพาะโรคและวัตถุดิบยาที่ธรรดาทั่วไปมาก ๆ บางส่วนเท่านั้นข้อแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวคือผู้อาวุโสเช่นพวกเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบยาหลายประเภทและพัฒนาแนวคิดใหม่ ๆแม้จะไม่ไร้ประโยชน์ แต่ความคาดหวังกับผลลัพธ์ก็แตกต่างกันมากเลยทีเดียวถึงขั้นทำให้พวกเขาขาดความมั่นใจและอดไม่ได้ที่จะคิดว่านี่น่ะหรือคือเภสัชตำรับที่ตระกูลฟางเฝ้าหวงแหนมานานหลายปี?ดวงตาของหมอหลวงซุนเต็มไปด้วยสีแดงก่ำที่เกิดจากการอดนอน“ในเมื่อเภสัชตำรับของตระกูลฟางไร้ประโยชน์ เช่นนั้นพระชายาไปเรียนรู้ทักษะด้านการแพทย์มา
“นี่คือวัตถุดิบยาและปริมาณที่คนผู้นั้นทำการวางยา ที่สำนักหมอหลวงของพวกท่านมีสิ่งนี้อยู่แล้ว หากจะทำยาถอนพิษก็คงไม่ใช่เรื่องยากกระมัง”“ไม่ยากพ่ะย่ะค่ะ ไม่ยาก!”หมอหลวงซุนยิ้มร่าราวกับได้รับสมบัติเขามองซูชิงอู่ที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว แต่กลับเก่งกาจกว่าเหล่าคนชราเช่นพวกเขาเมื่อรวมกับเภสัชตำรับของตระกูลฟางที่ซูชิงอู่พูดถึง หมอหลวงเฒ่าก็ดีใจจนเนื้อเต้นหากได้เรียนรู้และกลายเป็นคนที่เก่งกาจเหมือนพระชายา ระดับความรู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นไปด้วยหรือไม่?แต่หมอหลวงซุนไม่เคยรู้เลยว่าทุกสิ่งที่ซูชิงอู่เรียนรู้ไม่ได้มาจากเภสัชตำรับของตระกูลฟางในเภสัชตำรับเล่มนั้นมีความแตกต่างตรงจุดไหน ตัวซูชิงอู่ในตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำแม้ตอนตายไปในชาติก่อน เภสัชตำรับก็ถูกทำลายและไม่มีใครเห็นความลับที่ซ่อนอยู่ในนั้นจุดเด่นเพียงหนึ่งเดียวของเภสัชตำรับเล่มนั้นคือบันทึกข้อมูลวัตถุดิบยาจำนวนมากที่คนทั่วไปไม่ทราบและสรรพคุณลับบางส่วนบรรดาผู้อาวุโสของสำนักหมอหลวงพากันมาช่วยคิดค้นยาถอนพิษเพื่อที่จะได้อ่านเภสัชตำรับนั้นเร็ว ๆในที่สุดเช้าวันรุ่งขึ้นยาที่สามารถฟื้นฟูสติของสัตว์ร้ายได้ก็ถูกส่งมาให้ฮ่องเต้