เห็นเพียงเซี่ยซางขวางหน้านางกะทันหัน สายตาที่จ้องนางเยือกเย็นราวจะกินคน ไม่พูดกับนางสักคำหันหลังจากไปทันทีดวงตาเจียงเฟิ่งหัวไร้เดียงสา อยากพูดบางอย่างแต่สุดท้ายกลับไม่พูดสิ่งใดเห็นเพียงซูถิงหว่านรีบตามไปทันที “ท่านอ๋อง ท่านเสร็จธุระแล้ว! พวกเราไปท่องทะเลสาบกันดีกว่าเพคะ!”“อืม” เขาไม่หันหลัง สำหรับคำขอของซูถิงหว่านเขาล้วนรับปากทั้งสิ้น อีกทั้งไม่อยากกลับจวนเร็วขนาดนั้น พอดีเจียงเฟิ่งหัวอยู่ที่นี่ด้วยเดิมทีเขามีเรื่องบางอย่างอยากถามเจียงเฟิ่งหัว แต่เมื่อเห็นนางยักคิ้วหลิ่วตาให้ชายอื่น ทำให้เขาไม่อยากสนใจนาง เจียงเฟิ่งหัวไม่รู้ว่าตัวเองคือหญิงที่มีสามีแล้วหรือ?เจ้าคนแซ่เซียวนั่นมีสิทธิ์อะไรมายืนขวางนางแก้ปัญหาให้นาง เขารู้จักกับพี่ใหญ่ของนาง สนิทกับสกุลเจียงด้วยหรือไม่ พวกเขารู้จักกันแต่แรกแล้วหรือ...ขณะนี้ในหัวของเซี่ยซางเต็มไปด้วยคำถาม ซูถิงหว่านเดินมาขวงแขนเขา เขาก็ยังไม่รู้สึกตัวเมื่อเห็นพวกเขาเดินออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ ทันใดนั้นเจียงเฟิ่งหัวเดินย้อนไปอีกทาง ในไม่ช้านางหายไปท่ามกลางฝูงชนรอให้เซี่ยซางรู้สึกตัวหันกลับมาดูว่าเจียงเฟิ่งหัวตามไม่ทันก็สายไปเสียแล้วกำลังจะเอ่
หงซิ่วกับเหลียนเย่รีบเข้าไปประคอง เมื่อเห็นแผ่นหลังอวิ๋นฟางวิ่งหนีอย่างลนลาน มุมปากนางยิ้มเย็น ปากของกลุ่มชายเมาเหล้าร้องตะโกนตลอด “คนงาม เจ้าหนีทำไมเล่า มาให้พวกพี่ชายเอ็นดูเจ้าดี ๆ สักทีเถอะ!”ทันใดนั้นเมื่อเห็นความงามของเจียงเฟิ่งหัวก็ไม่อยากตามหญิงคนเมื่อครู่ไปอีก กลุ่มชายเมาเหล้าหันไปพูดจาหยาบโลนกับเจียงเฟิ่งหัวแทน “เหล่าสหาย ที่นี่มีสาวงามอีกสามคน”แววตาเจียงเฟิ่งหัวมีแต่ความผวาและหวาดกลัว หงซิ่วและเหลียนเย่ปกป้องนางไว้ด้านหลังพร้อมตะโกน “พวกเจ้าหลีกไป อย่าเข้ามานะ คุณหนู รีบหนีเร็วเจ้าค่ะ”เสียงของพวกนางดึงดูดความสนใจของผู้คนรอบข้าง แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วย กลุ่มชายฉกรรจ์ที่ดื่มเหล้าเมามาย ใครก็ไม่อยากข้องเกี่ยว เพราะไม่มีใครอยากหาเรื่องใส่ตัวเจียงเฟิ่งหัวเองก็วิ่งไปทางทะเลสาบร้อยบุปผา เมื่อเห็นเซี่ยซางอยู่ด้านหน้า นางจึงล้มลงทันใด ดวงตาแดงก่ำมีน้ำตาไหลรินออกมาไม่หยุด ร่างกายหมอบลงกับพื้นและสั่นงก ๆ เซี่ยซางที่รีบมาเห็นภาพเจียงเฟิ่งหัวอ่อนแอบอบบางเข้าพอดี เขาโกรธแค้นมาก ดวงตาราวกับจะมีไฟลุกโชน เขารีบเดินดุ่มเข้าไปตรงหน้าเจียงเฟิ่งหัวพร้อมเรียกขานเสียงค่อย “หรวนหร่วน”
หลังขึ้นรถม้า ซูถิงหว่านกล่าวเสียงค่อย “พระชายางดงามเพียงนั้น หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกหมายปอง โชคดีที่ไม่เกิดเรื่องราวใหญ่โต หม่อมฉันกับท่านอ๋องเป็นห่วงแทบแย่ คราวหน้าพระชายาจะไปที่ใดต้องแจ้งพวกเราก่อน ท่านจากไปโดยพลการเช่นนี้อันตรายเกินไปเพคะ”ความหมายแฝงคือต้องโทษเจียงเฟิ่งหัวที่งดงามเกินไปจึงทำให้ผู้คนหวังผลจากนาง เตือนสติเซี่ยซางว่าเจียงเฟิ่งหัวมีความคลุมเครือกับชายอื่น นางหนีไปโดยพลการจึงพบกับชายเมาเหล้า ทุกอย่างล้วนเป็นความผิดของเจียงเฟิ่งหัวเจียงเฟิ่งหัวจ้องซูถิงหว่านกะทันหัน พร้อมสอบถาม “ความหมายของพระชายารองซูคือข้าผิดที่เกิดมางาม ทุกอย่างล้วนเป็นความผิดข้าหรือ”ซูถิงหว่านชะงักไป ก่อนจะรีบอธิบาย “หม่อมฉันไม่ได้หมายความเช่นนั้น พระชายาอย่าโกรธเคือง หม่อมฉันไม่ทันได้คิด ใจร้อนชั่วขณะจึงพูดออกไป ไม่ได้ตั้งใจ...”เจียงเฟิ่งหัวไล่ต้อนอย่างไม่ลดละ “พระชายารองซูช่างไร้เดียงสายิ่ง แค่คำว่าไม่ตั้งใจก็ทำให้ผู้อื่นตกสู่หุบเหวลึกไม่เห็นก้น พระชายารองซูเองก็เป็นสตรี เจ้าควรรู้ว่าชื่อเสียงสำคัญมากเพียงใดต่อสตรีคนหนึ่ง”“วันนี้ท่านอ๋องช่วยข้าไว้ ถือเป็นบุญของข้า แต่เหล่าหญิงสาวที่ถูกทำ
เซี่ยซางไม่สนใจ ข้อมือของเจียงเฟิ่งหัวถูกเขาจับไว้แน่น แรงของเขาเยอะมาก คล้ายจะดึงจนข้อมือนางหลุด นางดิ้นไม่หลุด จึงเสียงดังใส่เขา “ท่านอ๋อง ท่านทำให้หม่อมฉันเจ็บนะเพคะ มือหม่อมฉันจะขาดอยู่แล้ว”เซี่ยซางไม่สนใจ ดึงนางเข้าไปในหอสุราที่อยู่ด้านข้างทันที “เสี่ยวเอ้อร์ เปิดห้องที่ดีที่สุดหนึ่งห้อง”หลินอวี่ยืนอยู่กลางห้องโถง มองดูทุกสิ่งจนอ้าปากค้าง สาวใช้สองคนก็ตามอยู่ด้านหลังโดยไม่รู้เรื่อง คืนนี้เหิงอ๋องกินยาใดผิดจึงได้บ้าบอเช่นนี้ พวกนางก็ไม่กล้าเข้าไปยุ่งวุ่นวาย จึงได้แต่ตามอยู่ด้านหลังอย่างนอบน้อมท่าทางบอบบางของพระชายาช่างน่าสงสาร เหตุใดท่านอ๋องจึงไม่รู้จักทะนุถนอมกันสักนิด พวกนางเองก็รู้ว่านายหญิงตัวเองมีแผนการ จึงได้แกล้งโง่ยืนอยู่ด้านข้างเห็นเพียงเจียงเฟิ่งหัวราวกับถูกฉุดกระชากขึ้นไปชั้นบน เสี่ยวเอ้อร์รีบตามขึ้นไปเช่นกัน จากนั้นพาพวกเขาไปยังห้องที่ดีและใหญ่ที่สุด “ท่านลูกค้ายังต้องการสิ่งใดหรือไม่ขอรับ?”“ไม่ต้องการ ไสหัวออกไป”เมื่อประตูปิดสนิท เซี่ยซางเกี่ยวตัวเจียงเฟิ่งหัวที่บอบบางขึ้นแล้วโยนไปบนเตียง จากนั้นคร่อมนางเอาไว้ แล้วจูบริมฝีปากนางอย่างบ้าคลั่ง เขาทำราวกับระบา
นางจัดแจงเสื้อผ้าจนเรียบร้อย พร้อมกล่าวเสียงอ่อนโยน “ก่อนกลับจวน หม่อมฉันมีเรื่องอยากถามท่านอ๋อง คืนนั้นที่บอกว่าจะตรึกตรองเรื่องชอบหม่อมฉันอย่างจริงจัง ยังเชื่อถือได้หรือไม่?”เซี่ยซางหันมองนาง วันนี้ตอนอยู่ในวังเมื่อเขารู้ว่าเจียงเฟิ่งหัวลงชื่อในหนังสือคำร้อง ใจเขารู้สึกตื้นตัน วินาทีนั้นเขาร้อนใจอยากพบนางเหลือเกินมีคนคนหนึ่งยืนสนับสนุนเขาอยู่ท่ามกลางฝูงชนเงียบ ๆ ในใจเขารู้สึกอบอุ่นกระนั้น เมื่อเขาเห็นนางถูกชายอื่นปกป้องอยู่ด้านหลังบนสะพาน ตัวเขาราวกับถูกราดด้วยน้ำเย็น ในใจเขาทั้งโกรธทั้งแค้น เจียงเฟิ่งหัวที่งดงามเพียงนั้นดึงดูดสายตาของชายอื่น ทำให้เขาริษยาจนแทบคลั่งเมื่อเห็นนางถูกชายเมาเหล้ารังแก เขาแทบอยากจะสังหารพวกมันทันที นางบอบบางน่าสงสาร เขาอยากปกป้องนางทุกปฏิกิริยาของเขาแสดงให้เห็นอย่างหนึ่งว่าเขาสนใจเจียงเฟิ่งหัว ไม่ใช่เพียงเพราะนางเป็นพระชายาของเขาจิตใจของเขาว้าวุ่น เขาเกิดความรู้สึกอื่นต่อนาง หนำซ้ำยังยากจะควบคุมเขาไม่อยากยอมรับว่าตัวเองเปลี่ยนใจแล้ว ไม่อยากยอมรับว่าตัวเองผิดต่อคำสาบานที่ให้ไว้กับซูถิงหว่าน ยามนั้นเขากล่าวอย่างฮึกเฮิมว่าจะชอบสตรีอย่างซูถิงหว่า
มือของซูถิงหว่านที่จู่ ๆ ก็ลูบคลำอยู่บนร่างของเขา ทำให้เขาแข็งทื่อทันใด แล้วพลิกตัวลุกขึ้นนั่งเขาเอ่ยกะทันหัน “หวานหว่าน...”แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยวาจา ซูถิงหว่านก็เป็นฝ่ายจูบริมฝีปากของเขา “ท่านอ๋อง หวานหว่านอยากเป็นของท่าน...”ในใจเซี่ยซางรู้สึกคลื่นไส้กะทันหัน จึงผลักนางออกไป “หวานหว่าน อย่าทำเช่นนี้”ซูถิงหว่านไม่ทันตั้งตัวกับการกระทำของเขา ในแววตาเต็มไปด้วยความสงสัย “อาซาง ท่านไม่รักข้าแล้วหรือ”ทันใดนั้นเซี่ยซางโผเข้าหานางราวกับคนบ้า เขาอยากจูบซูถิงหว่านโดยไม่สนใจสิ่งใด จูบนางโดยไม่ต้องรู้สึกถึงภาระทางใจ เขาอยากยืนยันว่าจะชอบนางเพียงคนเดียวแววตาซูถิงหว่านเต็มไปด้วยความปรารถนา นางนึกว่าสุดท้ายนางจะกลายเป็นคนของเขา กลายเป็นสตรีที่เหิงอ๋องรักมากที่สุด ทว่าจู่ ๆ ข้างหูกลับมีเสียงไร้เรี่ยวแรงของเซี่ยซางดังขึ้น “หวานหว่าน ขอโทษ ข้าทำไม่ได้”“อาซาง ท่านเป็นอะไร?” ในใจซูถิงหว่านรู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดีบางอย่างเห็นเพียงเขาพลิกตัวลงจากเตียงกะทันหัน แล้วหาเสื้อผ้าตัวเองมาสวม ไม่รู้ทำไมเขาจึงไม่มีความปรารถนาในตัวซูถิงหว่านสักนิด เมื่อสัมผัสนาง ภายในหัวมีแต่ใบหน้าของเจียงเฟิ่งหัว
เซี่ยซางออกมาจากเรือนถานเซียงแล้วมุ่งหน้าไปที่หอหล่านเยว่ เมื่อเห็นแสงเทียนในห้องนางดับกะทันหัน เขาก็หยุดฝีเท้าทันทีเขายืนอยู่สักครู่แต่ไม่ได้เปิดประตูเข้าไป ต่อมาหันหลังไปหอทิงเสวี่ยภายในห้อง เจียงเฟิ่งหัวกำลังนั่งฝึกลมหายใจเข้าออกฝึกร่างกายอยู่บนเตียงเหลียนเย่มองเห็นเซี่ยซางจากไปผ่านหน้าต่างจึงกล่าว “ทั้งที่ท่านอ๋องกำลังจะเดินเข้ามา พระชายาท่านดับไฟทำไมเพคะ! นี่เป็นโอกาสเลยนะเพคะ!”“ทั้งที่เขาไปถึงเรือนถานเซียงแต่กลับไม่ค้างคืน เพราะอะไรกัน?” ดวงตาเจียงเฟิ่งหัวมีแววเจ้าเล่ห์แวบผ่าน“ท่านอ๋องไม่ชอบพระชายารองซูแล้วเพคะ”เจียงเฟิ่งหัวยิ้มอ่อน “คนเรามักจะลืมคนแรกที่ชอบได้ยากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง ความรักครั้งแรกมักจะดีงามที่สุดเสมอ ต่อให้เขาหลงรักคนอื่น แต่ในใจเขายังคงนึกถึงความดีงามของรักแรก ความรักเช่นนี้เกิดถ่านไฟเก่าได้ง่ายที่สุด”“ในเมื่อตอนนี้ในใจเซี่ยซางมีเงาของพระชายาอย่างข้าแล้ว ข้าจะเริ่มเป็นฝ่ายโจมตี ตอนนี้ต้องบีบให้ซูถิงหว่านลงมือ เขาจะได้เห็นความชั่วของนาง แล้วลืมความดีของนางซะ”เหลียนเย่เอ่ยถาม “พระชายามีคนแรกที่ชอบหรือไม่เพคะ อย่างเช่นคุณชายเซียว...”นา
หลังกล่าวจบพ่อบ้านเฉิงเข้าไปใกล้พร้อมกระซิบ “บ่าวคิดว่าที่พระชายากล่าวถูกต้อง ท่านอ๋องเพิ่งรับตำแหน่งผู้ดูแลเขตเมืองหลวง ซ้ำยังเพิ่งปิดคดีใหญ่ ราษฎรย่อมตื้นตันใจ ต่างชื่นชมว่าท่านอ๋องเป็นขุนนางดีที่ทำเพื่อประชาชน หากตอนนี้เก็บโต๊ะพวกนั้นกลับมา บ่าวเกรงชาวบ้านจะคิดว่าท่านอ๋องแค่ทำเอาหน้าไปอย่างนั้น ท่านอ๋อง ได้ใจชาวบ้านสำคัญมากนะพ่ะย่ะค่ะ”เซี่ยซางหันมองเจียงเฟิ่งหัว ในดวงตาเป็นประกาย “คำพูดเหล่านี้นางเป็นคนพูดหรือ”พ่อบ้านเฉิงพยักหน้า แสดงให้เห็นว่าพระชายาเป็นพระชายาที่ดี คิดแทนท่านอ๋องจริง ๆแววตาที่เซี่ยซางมองเจียงเฟิ่งหัวก็เปลี่ยนไปเช่นกัน เข้าไปรับมือเจียงเฟิ่งหัวเอาไว้ “ขึ้นรถเถอะ เสด็จพ่อน่าจะรอจนร้อนใจแล้ว”เจียงเฟิ่งหัวเข้าใจ เซี่ยซางคือบุรุษที่ภายหน้าจะก้าวไปสู่จุดสูงสุด เขาไม่ต้องการพระชายาที่มีเพียงรูปโฉมงดงามนั้น จากนี้นางจะฉีกหน้าซูถิงหว่านอย่างแรงเซี่ยซางจะพิจารณาใหม่ ชาติที่แล้วนางก้าวขึ้นไปสู่ตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาทเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่ตอนแต่งตั้งฮองเฮา เซี่ยซางกลับลดฐานะนาง ไม่ว่านางจะทำดีเพียงใด เขากลับมองไม่เห็นความดีของนางแม้แต่น้อยอีกด้านหนึ่ง ซูถิ
เจียงเฟิ่งหัวออกจากตำหนักคุนหนิงก็ตรงไปยังตำหนักเฉินซีทันที ในตอนนั้น เห็นนางกำนัลคนหนึ่งท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ ก็โพล่งเสียงตำหนิออกไป “ใคร” อ้าวเสวี่ยตั้งรับทันที ไม่รอให้นางเดินเข้าไปใกล้ อวิ๋นฟางก็เดินงก ๆ เงิ่น ๆ มาหยุดเบื้องหน้าเจียงเฟิ่งหัว “บ่าวคารวะเพคะพระชายา” เจียงเฟิ่งหัวเห็นนางชัดถนัดตาแล้วก็แอบคิดเงียบ ๆ ในใจ นางมีฝีมือไม่เบาเลยทีเดียว แอบลอบกลับวังมาได้ ทว่าด้วยสถานการณ์ของนางตอนนี้ ซูถิงหว่านไม่มีทางปล่อยนางไปแน่ นางจนตรอกไม่มีทางถอยแล้ว จำต้องวิ่งเข้ามาหลบในวังถึงจะไม่ถูกคนไล่ล่า อ้าวเสวี่ยและเหลียนเย่เองก็ชะงักงันไปแล้วเช่นกัน อวิ๋นฟางช่างกล้าหาญยิ่งนัก กล้ากลับเข้ามาในวังหลวงอีก พวกนางคิดว่าหลังจากอวิ๋นฟางหนีไปทางประตูหลังของเขตเมืองหลวงแล้ว นางจะหนีออกไปจากเมืองเซิ่งจิง อย่างน้อยก็ต้องหนีให้ห่างไกลจากเรื่องวุ่นวาย ปกป้องชีวิตไว้เป็นสำคัญ “เข้ามาเถิด!” เจียงเฟิ่งหัวกล่าว อวิ๋นฟางตามเข้าไปในตำหนักเฉินซี นางกำนัลได้ต้มน้ำร้อนเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว ภายในห้องอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง ภายใต้แสงตะเกียงสว่างรุบรู่ อวิ๋นฟางก็เริ่มขะมักเขม้นทำงานสารพัดทั้งยกน้ำเทน้ำ นางยังกระตือ
เฉิงฮองเฮาเปิดเปลือกตา ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบว่า “มาแล้ว จัดการเรื่องข้างนอกวังเรียบร้อยดีแล้วหรือยัง? ออกจากวังไปครึ่งเดือนแล้วมิใช่หรือ!” เจียงเฟิ่งหัวท่าทางมิได้หยิ่งยโสเกินควรแต่ก็มิได้ถ่อมตัวจนเกินเหตุ “ทูลเสด็จแม่ จัดการเหมาะสมเรียบร้อยดีแล้วเพคะ” “ข้าได้ยินว่าเมื่อสิบวันก่อนสินค้าและวัตถุดิบถูกส่งไปหมดแล้ว” แม่สามีของนางก็ดูจะวางมาดขึ้นเช่นกัน ราวกับต้องการให้นางยอมเชื่อฟังคำสั่งสอน เหมือนกับเมื่อชาติก่อนไม่มีผิด “เพคะ เพียงแต่ของที่ส่งออกไปเมื่อสิบวันก่อนเป็นแค่ชุดแรกเพคะ เพราะมีจำนวนมากเกินไป ชุดต่อไปจะต้องทยอยลำเลียงออกไปเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวอย่างละเอียด มองแล้วอ่อนโยนนอบน้อม สงบเสงี่ยมเรียบร้อยมารยาทเพียบพร้อมไร้ที่ติ แม้แต่เฉิงฮองเฮายังมิอาจหาจุดใส่ไฟได้เลย “ลุกขึ้นมานั่งเถิด” น้ำเสียงของเฉิงฮองเฮาฟังดูดีขึ้นเล็กน้อย “ซางเอ๋อร์มีสกุลซูคอยจุนเจือ บัดนี้เด็กในครรภ์ของเจ้าสำคัญเหนือสิ่งใด อย่ามัวเพ่นพ่านด้านนอกมากนัก อย่าไปข้องเกี่ยวกับสตรีในหมู่ขุนนางราชสำนักมากเกินไป ที่สำคัญจงอย่าได้มัวละโมบใฝ่หาความดีความชอบจนลำดับความสำคัญผิดไป” เจียงเฟิ่งหัวคิดในใจ ตอนอ
“เพคะ สะใภ้รับบัญชา”จากนั้น เจียงเฟิ่งหัวก็วางหมากลงไปตัวหนึ่ง “เสด็จพ่อ ทรงแพ้แล้วเพคะ”ฮ่องเต้เหลือบมองกระดานหมากคราหนึ่ง เริ่มจากความตกตะลึง ตามด้วยสีหน้ามืดครึ้มที่มองไม่ออก จากนั้นก็ทรงหัวเราะออกมาว่า “ดูเหมือนเราไม่อาจไม่ตกรางวัลนี้แล้ว มาเล่นอีกตา หากเจ้าชนะเราอีก เราก็จะมอบรางวัลให้อีกครั้ง”เจียงเฟิ่งหัวเก็บหมากบนกระดานขึ้นมาอย่างเยือกเย็น ไร้ความลนลาน “ลูกก็ชนะมาได้อย่างหวุดหวิดเพคะ ต้องเป็นเพราะเมื่อครู่เสด็จพ่อทรงฟังลูกพูดเพลิน จึงได้ออมมือให้ลูกแน่เลยเพคะ”“เจ้าคงไม่รู้สินะ หลายวันมานี้เรามีราชโองการเรียกตัวบิดาของเจ้าเข้าวังมาเดินหมากเป็นเพื่อนเราทุกวัน เขากลับไม่เคยชนะเราเลยสักตา ช่างน่าเบื่อนัก แต่เขาบอกว่าบุตรสาวของเขาเป็นยอดฝีมือในการเดินหมาก เรายังคิดว่าเขาพูดเกินจริงเสียอีก แต่วันนี้ หลังได้เดินหมากไปกระดานหนึ่งเราก็เชื่อแล้ว”“ท่านพ่อก็เหมือนยายหวังขายแตง ที่ชอบขายเองชมเองเพคะ ต่อให้บุตรสาวของท่านจะทำสิ่งใดไม่เป็นเลย ท่านก็รู้สึกว่าดีอยู่ดีเพคะ”“ยังถ่อมตัวเข้าเสียแล้ว เมื่อมาเป็นลูกสะใภ้ของราชวงศ์เรา แค่การถ่อมตนอย่างเดียวไม่พอหรอกนะ ในอนาคตยังต้องช่วยซางเอ
เมื่อเจียงเฟิ่งหัวกลับวังก็ถูกฮ่องเต้เรียนตัวไปที่ห้องทรงอักษร หลังนางรายงานเรื่องภารกิจที่ฮ่องเต้มอบหมายให้นาง ก็วางแผนจะกลับตำหนักคุนหนิงไปคารวะฮองเฮาแต่จู่ๆ ฮ่องเต้ก็ตรัสขึ้นมาว่า “ได้ยินว่าพระชายาของเหิงอ๋องชำนาญการวางหมาก เราอยากหาคนมาเล่นด้วยสักตาพอดี ว่าอย่างไร จะอยู่เล่นเป็นเพื่อนเราสักตาหรือไม่”เจียงเฟิ่งหัวคารวะลงรอบหนึ่งด้วยมารยาที่พอเหมาะ ไม่ถ่อมตัวไม่เย่อหยิ่ง แล้วกล่าวอย่างเคารพว่า “เคารพมิสู้เชื่อฟัง สะใภ้ย่อมทำตามพระบัญชาของเสด็จพ่อเพคะ แต่หากเสด็จพ่อทรงเป็นฝ่ายปราชัย ลูกจะขอรางวัลจากเสด็จพ่อสักอย่างได้ไหมเพคะ”ฮ่องเต้ตรัสว่า “อยากได้อะไรก็พูดมาได้เลย หากเจ้าเอาชนะข้าได้ ก็ถือเป็นรางวัลที่เจ้ามีผลงานใดการทำคดี แต่หากพ่ายแพ้ รางวัลก็จะไม่มีแล้วนะ”เจียงเฟิ่งหัวแอบคิดว่า “ฮ่องเต้ยังคงเป็นพวกที่ไม่ยอมเสียเปรียบ ถึงกับเอารางวัลของนางมาใช้เดิมพันหมาก หากนางชนะหมากควรนับเป็นรางวัลพิเศษไม่ใช่หรือ!”“เพคะ” นางตอบอย่างว่าง่ายเพราะในท้องของเจียงเฟิ่งหัวมีเด็กอยู่ เพื่อดูแลเด็กในท้องของนาง จึงให้หัวหน้าขันทีเฉายกโต๊ะที่สูงขึ้นเล็กน้อยเข้ามาตัวหนึ่งมาใช้แก้ขัด และยังเตรียม
คนทั้งสองเท้าสะเอวหัวเราะขึ้นมา “คนที่คิดจะช่วยคุณหนูหลินของเราไถ่ตัวมีเต็มไปหมด ท่านต่อแถวไม่ทันหรอก อีกอย่าง ท่านก็ไม่มีคุณสมบัตินั้นด้วย อย่าได้เพ้อฝันอีกเลย” คุณหนูหลินไม่ขาดแคลนเงินทอง ทั่วทั้งหออี๋ชุนล้วนอยู่ใต้การตัดสินใจของนาง ไม่จำเป็นต้องไถ่ตัวเพราะนางไม่มีสัญญาขายตัว“ข้าจะต้องแต่งนางเป็นภรรยาให้ได้ พวกเจ้ารอก่อนเถอะ” กัวเซี่ยวตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะแต่งกับหลินอวี่ให้ได้ในบรรดาเหล่าคุณชายตระกูลใหญ่ กัวเซี่ยวก็พอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง เขาหน้าตาไม่เลว ชาติตระกูลก็ไม่เลว เขาจึงคิดว่าหลินอวี่ไม่มีทางปฏิเสธแน่ได้ยินเขาพูดเช่นนั้น จื่อฮุ่ยจึงเอ่ยบ้างว่า “หากคิดจะแต่งกับคุณหนูของข้า นอกเสียจากว่าท่านจะเป็นจอหงวน นั่นอาจพอมีโอกาสบ้าง ไม่เช่นนั้นก็อย่าได้เสียเวลาอีกเลย”กัวเซี่ยวตะลึงงันไปแล้ว ที่เขาไม่ชอบที่สุดก็คือการอ่านตำรานี่แหละเห็นเขายังคงไม่ยอมจากไปอีก พวกนางก็ไม่อยากเปลืองน้ำลายกับเขาแล้ว จึงตีกัวเซี่ยวจนสลบแล้วโยนเขาออกไปนอกหออี๋ชุนเสียเลย “ช่างน่ารำคาญเหลือเกิน คนที่อยากแต่งงานกับคุณหนูของข้าตอนนี้ต่อแถวไปถึงนอกประตูเมืองนู่นแล้ว ค่อยๆ ไปต่อแถวเถอะ” พวกนางย่อมไม่เห็น
“แม่นางหลิน เจ้าดื่มช้าๆ หน่อย” กัวเซี่ยวไม่เหลือท่าทางเสเพลไร้ความสำรวมในอดีตอีก เขาเอ่ยห้ามปรามว่า “แม่นางหลิน เจ้าอารมณ์ไม่ดีหรือ!”“ผู้ใดบอกว่าข้าอารมณ์ไม่ดีกัน” หลินอวี่กล่าวต่อว่า “สุรานี้เจ้าเป็นคนออกเงินซื้อ ท่านจะดื่มไม่ดื่ม?” กัวเซี่ยวรีบเทเหล้าออกมาอีกจอกแล้วดื่มลงไปจนหมดในอึกเดียว “ข้าดื่ม” ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะได้ดื่มสุรากับนาง แน่นอนว่าต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ให้มั่นสุราผ่านไปสามรอบ กัวเซี่ยวก็ดื่มจนหน้าแดงก่ำแล้ว แม้แต่นั่งก็นั่งไม่มั่น “ดื่มอีก ข้ายังดื่มได้…ดื่ม…แม่นาง…แม่นางหลิน เจ้าช่างงามนัก”สีหน้าของหลินอวี่ยิ่งเปล่งปลั่งแดงระเรื่อ จู่ๆ นิ้วเรียวงามทั้งสิบของนางก็สัมผัสลงบนแก้มของเขา คนที่อยู่เบื้องหน้าราวกับได้กลายเป็นผู้ที่อยู่ในใจนางไปแล้ว นางพึมพำว่า “คุณชายน้อย ดื่มสุราสิ”กัวเซี่ยวถูกอารมณ์รักทำให้เลอะเลือนไปแล้ว เขาคว้ามือนางไว้แล้วดึงนางเข้าสู่อ้อมกอด “แม่นางหลิน ข้าชอบเจ้า”หลินอวี่หัวเราะอย่างหยาดเยิ้ม ตั้งแต่เด็กนางก็เรียนรู้ทักษะการล่อลวงบุรุษพวกนั้นกับเจียงเฟิ่งหัว ยามนี้นำมาใช้กับกัวเซี่ยวก็เกินจะพอ อาศัยเพียงยิ้มเดียวของนางก็ทำให้กัวเซี่ยวมัวเมาลุ่มห
ไม่รอให้ชายฉกรรจ์ตอบสนอง หลินอวี่ก็เอ่ยเสียงหนักว่า “นำสุรามา คืนนี้พี่ชายจะออกเงินครั้งละร้อยตำลึงได้มากเท่าใด ข้าก็จะดื่มเป็นเพื่อนท่านมากเท่านั้น ว่าอย่างไร?”ม่านตาของชายฉกรรจ์หดแคบลง สุราเช่นนี้พวกเขาดื่มไม่ไหวดอก ทันใดนั้น คนทั้งสองก็ห่อเหี่ยวลงทันทีหลินอวี่ลุกขึ้นมา กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้าว่าสองท่านคงไม่ได้คิดมาดื่มสุราหาความสำราญ แต่เหมือนจะมาก่อเรื่องในหออี๋ชุนของข้ามากกว่า”“ผู้ใดบอกว่าไม่ได้มาดื่มสุรากัน” บุรุษหนึ่งในนั้นลุกขึ้นมา ชี้จมูกหลินอวี่ได้ก็ด่าออกมาทันทีว่า “หอสุราเน่าๆ อะไรของพวกเจ้ากัน เหล้าจอกละร้อยตำลึง ทำไมพวกเจ้าไม่ไปปล้นเสียเลยล่ะ”พูดจบเขาก็คิดจะเริ่มทำลายข้าวของ สุราอาหารกับจอกสุราถูกเขาพลิกโต๊ะจนล้มคว่ำหลินอวี่ทนไม่ไหวอีกต่อไป แต่ไม่ทันที่นางจะลงมือ ในเวลานั้นเอง ที่หน้าประตูก็มีบุรุษผู้หนึ่งบุกเข้ามาปกป้องอยู่เบื้องหน้าของนางอย่างสง่างามน่าเกรงขาม “ข้ามาแล้ว เป็นไอ้ลูกเต่าลูกตะพาบตัวไหนกล้ามาก่อเรื่องที่หออี๋ชุนกัน”“แม่นางหลินวางใจเถอะ มีข้าอยู่ไม่มีใครกล้ามาสร้างความวุ่นวายที่นี่แน่” ใบหน้ากัวเซี่ยวเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นหลินอวี่ถอ
หิมะตกแล้ว หิมะที่ตกหนักและปลิวไสวดุจขนห่าน ทำให้เมืองหลวงอันเรืองรองประดุจปกคลุมไปด้วยอาภรณ์สีเงิน ทัศนียภาพที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะนี้ก็ดูงดงามมีเอกลักษณ์ไปอีกแบบไม่ว่าสงครามที่ชายแดนจะรบกันหนักหน่วงเพียงใด ล้วนไม่อาจส่งผลกระทบต่อเมืองหลวง ที่ยังคงคึกคักและรุ่งเรืองเช่นเดิมเจียงเฟิ่งหัวสวมเสื้อคลุมอันหรูหราที่มีหมวกคลุมศีรษะยืนอยู่ข้างหน้าต่างพลางทอดสายตาออกไปไกล ความคิดของนางล่องลอยออกไปไกลแสนไกล แววตาที่ลึกล้ำดุจบึงน้ำอันหนาวเหน็บสาดประกายเย็นเยียบออกมาคิดไม่ถึงว่าจะจัดการกับจีเฉินได้รวดเร็วเช่นนี้ ในชาติก่อน จีเฉินเป็นแรงหนุนคนสำคัญของซูถิงหว่าน พวกเขาคนหนึ่งอยู่ในวังคนหนึ่งอยู่นอกวัง ในนอกเสริมประสาน การกำจัดเขาทิ้งในเวลานี้จึงถือเป็นการกำจัดศัตรูคู่แค้นที่สำคัญไปได้คนหนึ่ง“เจ้าต้องกลับวังอีกแล้วสินะ! ข้าจะไม่ได้เห็นเจ้าอีกหลายเดือนอีกแล้วใช่หรือไม่ หวังจริงว่า ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าตอนเจ้าคลอดลูกได้ คนอื่นล้วนบอกว่า การคลอดลูกเป็นด่านความเป็นตายของผู้หญิงที่เท้าข้างหนึ่งก้าวไปอยู่ในตำหนักมัจจุราช” หลินอวี่ยืนอยู่ข้างนาย มองตามสายตาของนางไปยังควันที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ไกลออกไป
เนื่องจากสายสัมพันธ์กับซูฮองเฮา บัดนี้ อำนาจของซูไทเฮาจึงเหนือล้ำเฉิงฮองเฮาไปแล้วดังนั้น ฝูลู่จึงไม่กล้าล่วงเกินฮองเฮาเช่นกัน เพราะไม่ว่าอย่างไรยามอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ ตำแหน่งแห่งที่ของเขาก็ยังไม่มั่นคงนัก ขันทีผู้หนึ่งแบบเขาจะไปช่วยใครได้ เขาช่วยผู้ใดไม่ได้ทั้งนั้นยังคงยุ่งเรื่องผู้อื่นให้น้อยลงจะดีกว่า!“คืนนี้ ฝ่าบาทจะทรงพลิกป้ายของพระสนมท่านใดพ่ะย่ะค่ะ?”ฮ่องเต้กล่าวว่า “ไม่พลิกป้ายแล้ว ช่วงนี้ข้างานราชกิจรัดตัว ไม่ต้องจัดนางสนมมาปรนนิบัติแล้ว ตรงไปที่ห้องทรงอักษรเลยเถอะ!”“พ่ะย่ะค่ะ” ฝูลู่กล่าว นับตั้งแต่ฮ่องเต้กลายเป็นองค์รัชทายาท มีวันใดที่ทรงไม่ยุ่งบ้าง เหล่าพระสนมในวังล้วนได้ไทเฮาดูแลทั้งนั้น ก็น่าจะทรงไปทำความรู้จักบ้างเฮ้อ! สถานที่ที่ฮ่องเต้ไปมากที่สุดยังคงเป็นตำหนักคุนหนิงของฮองเฮา ดูท่าเสียนเฟยคงไม่มีโอกาสแล้ว ยังดีที่นางมีลูกสองคนจึงยังรักษาตำแหน่งเสียนเฟยไว้ได้เมื่อจีเฉินที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าเห็นฉากนี้ ในใจก็ยิ่งตื่นเต้น อย่างนั้นก็แปลว่าในอนาคตเจียงเฟิ่งหัวจะไม่ได้เป็นฮองเฮา และเซี่ยซางก็ไม่ได้ชอบนางด้วยแต่ไม่ถูกสิ!ลูกก็คลอดออกมาแล้ว เหตุใดพวกเขาสองคนจึงยังดู