เซี่ยซางตกใจทันที เจ็บแปลบในอกเล็กน้อย แต่เขารู้ดีว่าหญิงสาวจากตระกูลใหญ่อย่างเช่นเจียงเฟิ่งหัวนั้น รู้จักประพฤติตนอยู่ในกรอบ รักษาจารีตยิ่งกว่าใครหลินเฟิงกล่าวอีกว่า “ท่านอ๋องไม่อยากรู้หรือว่าชายใดเป็นคนมอบให้? คิดดูแล้วท่านอ๋องก็ไม่ได้อยากรู้ ถ้าเช่นนั้นก็ช่างเถิด” กระหม่อมไม่เชื่อหรอกว่าท่านไม่หวั่นไหวกับพระชายาแม้แต่นิดเดียว ค่อย ๆ เดาไปก็แล้วกันนะพ่ะย่ะค่ะ!เดินมาถึงประตูเรือนแล้ว เซี่ยซางก็กลับลำ หวานหว่านยังคงรอเขาอยู่ เขาควรไปที่เรือนถานเซียง ไม่ใช่มาที่เรือนของเจียงเฟิ่งหัวขณะที่เตรียมจะเดินจากไปนั้นเอง ทันใดนั้นก็มีเสียงเฮดังมาจากในลาน “พระชายาเก่งจริงๆ”เขาก็หันกลับมา มองเข้าไปด้านในเงียบ ๆที่ริมศาลา จู่ ๆ ก็มีซุ้มไม้ซุ้มหนึ่งเพิ่มเข้ามา ที่ซุ้มไม้มีผ้าไหมสีสันสดใสหลากสีหลายแถบผูกอยู่ เจียงเฟิ่งหัวสวมชุดผ้าบางเบา ทั้งตัวของนางดูอ่อนนุ่มดุจผ้าไหม ห้อยอยู่บนผ้าไหมที่มีสีสันสวยงามแขนเรียวเล็กของนางดึงแถบผ้าไหมหลากสีไว้ขณะที่นางหมุนตัวจากบนลงล่างสู่พื้น ร่างกายของนางดูเบาเหมือนผีเสื้อ ตัวอ่อนเหมือนไร้กระดูก อาศัยพลังของผ้าไหมหลากสีเต้นรำตามใจปรารถนาที่ยิ่งน่าอัศจรรย์
ทันใดนั้น ก็มีกลิ่นหอมโชยมา จู่ ๆ ท้องเซี่ยซางก็ร้องดังจ๊อก ๆ สีหน้าเขาก็ดูเคอะเขินขึ้นมาเจียงเฟิ่งหัวขมวดคิ้ว แววตาใส ๆ อันงดงามเหลือบมองที่ท้องของเขา “ท่านอ๋องยังไม่ได้เสวยหรือเพคะ?”เซี่ยซางหิวมาก และนึกถึงที่หลินเฟิงบอกว่าเจียงเฟิ่งหัวทำอาหารอร่อยอีกด้วย เขานึกถึงว่าคราวก่อนเขาได้กินอาหารที่เรือนของนางครั้งหนึ่งและยังกินไม่อิ่ม คิดถึงอยู่ไม่น้อยนางรุกก่อน รอยยิ้มอันแสนหวานปรากฏที่แก้ม “ท่านอ๋องเชิญหม่อมฉันดื่มชาแล้ว หม่อมฉันก็เชิญท่านอ๋องเสวยพระกระยาหารดีไหมเพคะ? ท่านอ๋องไม่ต้องเขินหรอกเพคะ ถึงอย่างไร…”นางหยุดพูดในทันใดเซี่ยซางก็ไม่ได้พูดเปิดเผยเจตนาของนาง รู้อยู่แล้วว่านางเตรียมอาหารไว้ตั้งนานแล้ว “ข้าคงต้องรับคำเชิญอย่างไม่เกรงใจแล้ว”ข้าเองก็อยากดูซิว่าเจ้ายังจะใช้อุบายอะไรอีกในช่วงหลายวันนั้นที่เขาพักอยู่ที่ที่ทำการ นางก็เห็นใจว่าเขาไม่ได้กินอาหารดี ๆ ที่นั่น จึงให้พ่อบ้านเฉิงส่งอาหารเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปให้เขาบ่อย ๆที่ทำการก็ไม่มีอะไรอร่อย ๆ ให้กินจริง ๆ เขาจึงกินดูเล่น ๆ นิดหน่อย ได้ชิมแล้วจึงเพิ่งรู้สึกว่าอร่อยมาก เขาเหมือนจะดื่มด่ำกับความรู้สึกอย่างนี้มากเขากล่าว
นางชี้ไปที่โต๊ะ ตาจ้องที่เจียงเฟิ่งหัว “นี่ก็คือไม่ได้ทำอะไรอย่างนั้นหรือ? ใครอธิบายให้ข้าฟังหน่อยซิ”“ข้า…” เจียงเฟิ่งหัวอยากจะพูดแต่ก็หยุดไว้ สวามีของตัวเองกินข้าวมื้อหนึ่งที่เรือนของนางกลับถูกต่อว่าเช่นนี้ ความเสียใจที่มีอยู่เต็มอกไม่มีทางจะบอกเล่าได้ นางกล่าวเบา ๆ ว่า “ก็ถือเสียว่าเป็นความผิดของข้าเถอะ”“ดูสิ ในที่สุดท่านก็ยอมรับแล้ว ข้ารู้อยู่แล้วว่าไม่มีทางหรอกที่ท่านจะไม่ชอบอาซาง ยังเสแสร้งทำเป็นเสียอกเสียใจต่อหน้าเขา ทำเหมือนว่ามีคนรังแกท่าน…”จู่ ๆ เซี่ยซางก็นึกถึงภาพตอนที่องค์ชายรองดูถูกเหยียดหยามเขา เย้ยหยันว่าเขาชอบสาวน้อยขาดการอบรมที่พูดจาไร้มารยาทหวานหว่านเรียนมารยาทมาครึ่งเดือน กลับไม่มีการพัฒนาเลยสักนิด เขาขึ้นเสียงดุทีหนึ่ง “เจ้าโวยวายพอแล้วหรือยัง?”“ท่านตะโกนใส่ข้า…” นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพูดเสียงดังใส่ซูถิงหว่าน นางได้แต่รู้สึกน้อยใจอยู่เต็มอก เมื่อนึกถึงว่าพวกเขาอยู่ด้วยกันตามลำพัง เจียงเฟิ่งหัวงดงามถึงเพียงนี้ และยังจงใจยั่วยวนอีกด้วย นางโมโหจนควบคุมไม่อยู่ “ท่านไม่เห็นหรือว่านางเสแสร้งมาตลอด? นางยั่วยวนท่าน…”“ออกไป” เซี่ยซางกำหมัดแน่น แววตาเย็นยะเยือกเข้า
เขาก้าวขึ้นมาข้างหน้าหนึ่งก้าว เข้ามากอดนางไว้จากด้านข้าง เจียงเฟิ่งหัวขัดขืน เบือนหน้าหนี ไม่อยากเข้าใกล้เขา ยิ่งนางขัดขืนเขายิ่งกอดแน่น ชุดขาวทั้งตัวของเขาเปื้อนคราบสกปรกบนตัวนาง ทำให้ทั้งสองเลอะเทอะเปรอะเปื้อนเกินทนหงซิ่วกับเหลียนเย่และคนอื่น ๆ เฝ้าอยู่นอกประตู ตัวสั่นงันงก เห็นว่าพระชายาได้รับความไม่เป็นธรรมขนาดนี้ พวกนางไม่กล้าพูดปกป้องสักแอะ แววตาเต็มไปด้วยความสงสารเซี่ยซางกอดเจียงเฟิ่งหัวไว้ หันไปทางบรรดาสาวใช้ พูดเสียงเข้มว่า “นิ่งทำอะไรกันอยู่ ยังไม่รีบมาเก็บกวาดให้เรียบร้อยอีก ไปหาเสื้อผ้าสะอาด ๆ มาให้พระชายาของพวกเจ้าสิ”ทุกคนแยกย้ายกันเหมือนฝูงนกฝูงสัตว์แตกรัง ไม่กล้าชักช้าแม้แต่วินาทีเดียวพูดจบเขาก็อุ้มเจียงเฟิ่งหัวเข้าห้องนอนที่อยู่ในห้องด้านข้าง เดิมทีหอหล่านเยว่ก็คือที่อยู่ของเซี่ยซาง เขาย่อมรู้ตำแหน่งการจัดวางต่าง ๆ ในนี้เป็นอย่างดี ในห้องด้านข้างมีน้ำร้อนอยู่ตลอด มีแม้กระทั่งห้องน้ำเขาวางนางไว้บนม้านั่งด้านข้าง นำน้ำมาวางด้วยตัวเอง และลองดูความร้อนเย็นของน้ำ ท่าทางอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่งก็ได้เห็นว่าเจียงเฟิ่งหัวร้องไห้จนตาบวมแล้ว ใบหน้าก็แดงก่ำ นางจับกระโปรงตั
ขาเรียวยาวอันงดงามกระจ่างใสเปล่งประกาย ขาวเนียนละเอียด นางขัดถูร่างกายตัวเองอย่างแช่มช้อย ผิวของนางขาวยิ่งกว่าหิมะ ดูราวกับเครื่องเคลือบ ไม่ว่าเซี่ยซางได้เห็นวันใดก็ต้องถูกนางดึงดูดอันที่จริงเมื่อครู่อีกแค่ก้าวเดียวนางก็จะได้ตัวเขาไว้ แต่ได้ตัวแล้วสามารถทำอะไรได้เล่า เขาก็เพียงแค่ลุ่มหลงในรูปโฉมโนมพรรณ ไม่ได้ร่วมอภิรมย์กับนางเพราะรักนาง เช่นนี้แล้วจะยั่งยืนได้อย่างไรกันหากนางมีอะไรกับเขา ก็เพียงแต่ทำให้เซี่ยซางรู้สึกว่าเขาได้ทำหน้าที่ของสามีเต็มที่แล้ว มิหนำซ้ำยังเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดต่อซูถิงหว่านซูถิงหว่านก็ไม่ได้โง่ รู้ว่านางกำลังให้ท่าเขา หากคืนนี้ยั่วยวนสำเร็จจริง ๆ ไม่ใช่ยิ่งทำให้เซี่ยซางสงสัยในตัวนางหรอกหรือผู้ชายก็เหมือนกันทั้งเพ ยิ่งอยากได้แต่ไม่ได้มาเขาก็ยิ่งอยากได้ หากอยากได้ แล้วให้เขาได้ไปอย่างง่ายดาย เขากลับไม่เห็นคุณค่าเซี่ยซางกลับไปแล้วชะรอยจะนอนไม่หลับ เขาชอบนางหรือไม่ เกรงว่าตัวเขาเองก็สับสน ยิ่งสับสนยิ่งดี ผู้ครองบัลลังก์จะมีผู้หญิงเพียงคนเดียวในชีวิตได้อย่างไร เพียงแต่ว่านางอยากเป็นผู้หญิงที่สำคัญที่สุดของเขาตอนนี้ยังมีเรื่องสำคัญอีกเรื่องต้องจัดการ คดี
ในฝัน เขากลับไปตอนอายุสิบห้าปีอีกครั้ง เสด็จพ่อตำหนิเขาว่า “ไม่รู้จักลำดับความสำคัญก่อนหลัง”เขาหลบอยู่หลังภูเขาจำลองในสวนบุปผชาติของวังหลวง ร้องไห้ด้วยความเสียใจเป็นอย่างมาก ทันใดนั้นเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่คลุมผ้าบังหน้าก็เดินมาที่หน้าเขา “กิ๊ว ๆ ๆ โตขนาดนี้แล้วยังร้องไห้แง ๆ เจ้าไม่อายหรือไง”เซี่ยซางเงยหน้าขึ้น เด็กผู้หญิงมีดวงตาอันงดงาม ดำสนิทเปล่งประกาย เขามองเห็นสภาพน่าเวทนาของตัวเองในลูกตาของนางเขาพูดกับนางด้วยความโกรธขึ้ง “เจ้าเป็นใคร วิ่งเข้ามาวังได้อย่างไรกัน”“ข้ามาพร้อมท่านพ่อท่านแม่ของข้าไง แคว้นต้าโจวของเราได้รับชัยชนะในสงคราม ฝ่าบาทจึงทรงจัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลองชัยชนะ” น้ำเสียงของเด็กผู้หญิงไพเราะเสนาะหูเหมือนเสียงกระดิ่งเมื่อได้ยินว่าชนะสงครามเขาก็ยิ่งโมโห เห็นชัด ๆ อยู่ว่าเป็นความดีความชอบของเขา เสด็จพ่อกลับด่าว่าเขาไม่รู้จักลำดับความสำคัญก่อนหลัง เขากระชากผ้าคลุมหน้าของนางออก ก็เห็นเพียงว่านางฟันหลอ ไม่มีฟันหน้าด้านบน น่าเกลียดถึงขีดสุด ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะ “ยัยอัปลักษณ์” เด็กผู้หญิงถลึงตา ‘เพียะ’ ตบหน้าเขาหนึ่งฉาด “เจ้าคือไอ้ขี้แย”นิ้วมือนางเปื้อนน้ำตาของเข
ขายาวๆ ของเซี่ยซางก้าวออกไปข้างนอก คิดถึงว่าวันนี้ไม่ได้สนใจนางตลอดช่วงบ่าย นางจะต้องรู้สึกแย่มากเป็นแน่ครั้นมาถึงเรือนถานเซียง เซี่ยซางผลักประตูเข้าไปก็เห็นว่าซูถิงหว่านเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน เขี้ยวเล็บของนางราวกับถูกคนลับจนสูญคม นั่งตั้งใจคัดอักษรอยู่ที่โต๊ะหนังสืออย่างเรียบๆ ร้อยๆ บนโต๊ะเต็มไปด้วยกระดาษที่คัดอักษรเสร็จแล้ว ตัวอักษรไม่นับว่าบรรจง กระทั่งยังหวัดอยู่บ้าง ขนาดตัวอักษรก็ใหญ่เล็กไม่เสมอกันลายมือเจียงเฟิ่งหัวพลันปรากฏขึ้นในความคิดของเขา มุมปากเขาโค้งขึ้นน้อยๆซูถิงหว่านคัดอักษรต่อไปโดยแสร้งเป็นมองไม่เห็นเขา เซี่ยซางอ่านความคิดของนางออกจึงทำทีจะเดินจากไป ซูถิงหว่านรีบร้อนลุกขึ้นแล้วเอ่ยเสียงอ่อนหวาน “ท่านอ๋อง ช้าก่อนเพคะ”เซี่ยซางหยุดชะงักซูถิงหว่านวางพู่กันลงแล้วลุกขึ้นเดินมาแสดงคารวะตรงหน้าเขาอย่างนอบน้อม “หม่อมฉันคารวะท่านอ๋อง ท่านอ๋องอย่ากริ้วหม่อมฉันนะเพคะ หม่อมฉันสำนึกผิดแล้ว ไม่ควรไปก่อความวุ่นวายที่เรือนของพระชายา”เซี่ยซางเหมือนจะฟังผิดไป เห็นนางแต่งกายอย่างพิถีพิถัน ทั้งยังลดท่าทีลงยอมรับว่าตนเองผิดไปแล้ว เขากล่าว “ได้ยินสาวใช้บอกว่าเจ้าไม่ได้กินข้าวมา
ภายในหอหล่านเยว่เจียงเฟิ่งหัวจัดการงานในมือเสร็จก็ส่งสมุดบัญชีให้หงซิ่วพร้อมทั้งกำชับว่า “บอกผู้ดูแลหลินว่านางทำได้ดีมาก เดือนหน้าก็พยายามต่อไป เงินรางวัลที่ควรให้ก็ต้องให้ตามที่สมควรได้รับ บอกนางว่าอย่าตระหนี่เกินไป ทุกคนล้วนทำงานหนัก” หลินอวี่เป็นคนขี้เหนียว“ผู้ดูแลหลินใจกว้างมากแล้วเพคะ พระชายาต่างหากที่จ่ายหนักเกินไป” หงซิ่วพูดจบก็กอดสมุดบัญชีวิ่งออกไปทันทีเจียงเฟิ่งหัวบิดเอวอย่างเกียจคร้าน จากนั้นก็เริ่มยืดเหยียดร่างกาย นางรู้ว่าเป็นสตรีนั้นลำบากนัก ขณะเดียวกันก็ตระหนักถึงความสำคัญของการหาเงิน ดังนั้นสิบปีนี้นางจึงหาเงินเข้ากระเป๋าตนเองไม่น้อย ทั้งยังมีคลังสมบัติน้อยๆ ของตนเองเหลียนเย่รู้มาว่าเซี่ยซางกับพระชายารองซูกำลังเดินเล่นอยู่ในสวนก็เดินเข้ามาอย่างโมโหฟึดฟัด “ชกต่อยเป็นเก่งกาจนักหรือไร ก็แค่ทักษะพื้นๆ ที่หาประโยชน์ไม่ได้เหมือนงานปักลายผ้านั่นแหละ”เจียงเฟิ่งหัวรู้ว่าเหลียนเย่มีนิสัยเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา จะต้องเป็นเพราะซูถิงหว่านกับเซี่ยซางทำอะไรอีกแล้วเป็นแน่“พระชายา พวกเราไปฝึกในสวนกันเถอะเพคะ”“ดึกดื่นป่านนี้ เอาตัวไปป้อนยุงในสวนอย่างนั้นรึ?” เจียงเฟิ่งหัวกลัวยุง
เขาดูเหมือนขาดคนเอาใจใส่และขาดความรักเป็นอย่างมากตอนเด็กเขายังร้องห่มร้องไห้เพราะไม่ได้รับการยอมรับจากฮ่องเต้ น้ำตาไหลพรั่งพรูไปหมดเจียงเฟิ่งหัวเก็บกวาดจนสะอาดแล้วก็ไปที่ห้องครัวอีก เซี่ยซางกลับไปที่โต๊ะ ทำงานที่ยังค้างไว้ต่อ และก็เป็นเพราะดึกเกินไปแล้ว เขาจึงไม่ได้ไปที่ห้องหนังสือ เวลานี้ จู่ ๆ เขาก็มีความคิดขึ้นมา เริ่มเขียนหนังสืออย่างรวดเร็วเพียงไม่นานนางก็กลับมา เมื่อครู่นางเหมือนจะแอบเห็นว่าเนื้อหาบนกระดาษเกี่ยวข้องกับคดีสุสานหลวงถูกปล้นพี่ใหญ่บอกว่าเขาสืบได้ข้อมูลจากแหล่งข่าวที่ไม่เป็นทางการมาจากช่องทางพิเศษ เซี่ยซางอารมณ์ไม่ดีเพราะคดี เพราะฉะนั้นเมื่อครู่เขากำลังหงุดหงิดเรื่องคดีหรอกหรือ?นางจำได้ว่าชาติที่แล้วต่อให้สุสานหลวงถูกปล้น สิบกว่าปีหลังจากนั้นก็ไม่มีเรื่องใหญ่โตอะไรเกิดขึ้น อย่างมากก็แค่อัญมณีและเครื่องหยกที่ฝังพร้อมพระศพในสุสานหายไปบ้างเท่านั้นแต่ดูท่าทางของเซี่ยซางในตอนนี้แล้ว นางรู้ว่ามีของอย่างหนึ่งที่สำคัญเป็นอย่างมากหายไปอย่างแน่นอน“เจ้าไปนอนก่อนเถอะ ข้ายังมีเรื่องบางอย่างต้องสะสาง” เซี่ยซางเห็นนางกลับมา กล่าวเสียงอ่อนโยนนางไม่ได้พูดอะไร “ตอนนี้ดึ
เซี่ยซางกลับขยับเว้นที่ให้นางเองอย่างมีไหวพริบ ถังอาบน้ำในหอหล่านเยว่ใหญ่มาก รองรับสองคนแล้วยังมีที่ว่างเหลือเจียงเฟิ่งหัวเห็นว่าเขานอนพาดอยู่นิ่ง ๆ กับขอบถังอาบน้ำ ขณะที่นางเตรียมจะลุกขึ้น ทันใดนั้นเซี่ยซางก็ฉุดข้อเท้าของนางไว้ “อาบด้วยกัน”เจียงเฟิ่งหัวอยากจะบอกว่าอาบไปแล้ว แต่เซี่ยซางพูดด้วยทีท่าหนักแน่น นางจึงหยิบผ้าขึ้นมาถูหลังให้เขาเบา ๆ ล้างแขน ลงไปด้านล่างเรื่อย ๆ …นางทำอย่างเบามือ อ่อนโยน เหมือนกำลังลูบไล้สัตว์เลี้ยง ตอนนี้นางก็มองเขาเป็นสัตว์เลี้ยงแล้ว ไม่เช่นนั้นนางเกรงว่าตัวเองคงไม่มีความอดทนพอที่จะอาบเขาให้เสร็จได้ผมของนางตั้งแต่ไหล่ลงไปเปียกหมดแล้ว ลอยอยู่บนผิวน้ำ นางดูแล้วมีเสน่ห์เย้ายวนน่าหลงใหลแต่เซี่ยซางกลับไม่หวั่นไหว ทั้งสองคนเหมือนสามีภรรยาทั่วไปที่อาบน้ำให้กัน นางถึงขั้นสระผมให้เขา สระจนสะอาด น้ำก็เริ่มเย็นแล้ว เขาก็ยังไม่คิดจะลุกขึ้นนางกล่าว “ท่านอ๋อง” วันนี้ดูเหมือนเขาจะไม่มีอารมณ์ และยังอารมณ์ไม่ดีอีกด้วย“ข้าเริ่มเหนื่อยแล้ว เจ้าลุกขึ้นก่อนเถอะ!” เซี่ยซางว้าวุ่นในใจ ร้อนรุ่ม อยู่ไม่สุข แต่เขาคุมอารมณ์ได้เป็นอย่างดี ยิ่งไม่มีทางทำอะไรกับนางในน้ำอย่า
เมื่อเห็นเซี่ยซางแช่อยู่ในน้ำ เปลือยแขนและท่อนบน ทันใดนั้นนางก็รู้สึกเมตตาสงสารขึ้นมา ต่อให้เป็นหมาแมวตกน้ำ นางก็ต้องไปช่วยหน่อยมิใช่หรือ ยิ่งไปกว่านั้นเขาดื่มจนเมาขนาดนี้ หากไถลลงไปจมน้ำตาย ฝันของนางที่จะเป็นฮองเฮามิต้องสลายไปหรอกหรือนางคิดว่าต่อให้ตอนนี้จะเข้าสู่ฤดูร้อนเต็มที่แล้ว แม้ไม่จมน้ำตาย แต่กลางคืนหลับไปแบบนี้ก็จะเป็นหวัดได้ง่าย ๆนางฝืนใจยกน้ำแกงสร่างเมาไปทางเรือนด้านข้าง “ท่านอ๋อง ตื่นเถอะเพคะ” นางเรียกข้างหูเขาเบา ๆ หนึ่งทีเซี่ยซางเหมือนจะหลับไปแล้ว ไม่มีการเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย นอกจากว่าเขาคออ่อน มารยาทในการดื่มของเขายังถือว่าใช้ได้ อย่างน้อยไม่โหวกเหวกโวยวายนางใช้ช้อนตักน้ำแกงสร่างเมา ค่อย ๆ ป้อนใส่ปากเขา “ดื่มสักหน่อยนะเพคะ ไม่เช่นนั้นพรุ่งนี้เช้าตื่นมาจะรู้สึกไม่สบายตัวนะเพคะ”เซี่ยซายยังคงไม่ขยับ หายใจสม่ำเสมอ หลับลึกมาก เหมือนเหนื่อยสุดขีด เจียงเฟิ่งหัวป้อนเขานิดเดียวอย่างใจเย็น แต่กลับไหลเปรอะเปื้อนเต็มปากไปหมด นางก็ขี้เกียจจะป้อนแล้ว เมื่อครู่อาเจียนในเรือนไปแล้ว ในท้องเขาไม่น่าจะมีเหล้าหลงเหลืออยู่เจียงเฟิ่งหัวย่อมย้ายตัวเขาไม่ได้อยู่แล้ว เมื่อเห็นกล้าม
เซี่ยซางเห็นเจียงเฟิงหัวยืนอย่างงดงามอ่อนช้อยอยู่ที่ประตู ก็ยื่นมือไปทางนาง กล่าวเสียงเข้มว่า “มานี่…”“อ๊อก!” เขายังพูดไม่จบ เซี่ยซางก็เริ่มอาเจียนออกมาอย่างรุนแรงทันที เวลานี้ท่าทางของเขาน่าสมเพชเวทนามาก ไม่เหลือมาดท่านอ๋องแม้แต่นิดเดียวเจียงเฟิ่งหัวปิดปากและจมูกไว้ มองดูเรือนที่นางจัดตกแต่งอย่างตั้งอกตั้งใจแล้วก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวดใจหลินเฟิงรู้สึกผิดไม่น้อย วันนี้ท่านอ๋องน่าขายหน้ามากจริง ๆ อาเจียนได้อย่างไรกัน?แล้วก็ได้ยินเจียงเฟิ่งหัวสั่งสาวใช้ว่า “เตรียมน้ำอุ่นให้ท่านอ๋อง ให้ท่านอาบน้ำ สวีหมัวมัว วานท่านไปห้องครัว ต้มน้ำแกงสร่างเมามาหน่อย”รอจนเขาอาเจียนน้ำเหลือง ๆ ออกมาจากในท้อง หลินเฟิงกับพ่อบ้านเฉิงจึงค่อยย้ายเซี่ยซางไปเรือนด้านข้าง วางเขาลงในถังอาบน้ำอันที่จริงเจียงเฟิ่งหัวอยากให้หลินเฟิงเอาเขาไปส่งหอทิงเสวี่ยหลินเฟิ่งช่วยถอดเสื้อผ้าของเซี่ยซางออก เหลือไว้เพียงกางเกงชั้นในบนตัวเขา เขาลองหยั่งเชิงว่า “เช่นนั้นแล้วข้าน้อยก็จะออกไปแล้ว?”เจียงเฟิ่งหัวขมวดคิ้ว อยากจะพูดว่าเจ้ามาอาบน้ำล้างตัวเขาให้สะอาดก่อนค่อยไปสิ!แต่หลินเฟิงไหนเลยจะให้โอกาสนางได้พูด พูด “ข้าน้อย
ซูถิงหว่านกล่าว “ท่านก็เห็นว่าเขาจ้องเจียงเฟิ่งหัวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักและไม่อยากจากลา คนก็จากไปแล้ว ลูกตาเขายังจ้องจนแทบจะออกมานอกเบ้า”“ข้าหมายถึงว่าต้องการหลักฐานที่แน่นหนา”ซูถิงหว่านก็เริ่มหงุดหงิดเล็กน้อย “คราวก่อนก็เป็นเขาที่มาช่วยนางไว้ ท่านอ๋องเห็นกับตาอยู่ชัด ๆ ว่าเขากับเจียงเฟิ่งหัวมีความสัมพันธ์คลุมเครือ แต่ท่านอ๋องกลับไม่ถือสาหาความ วันนี้ก็เป็นเขาอีกแล้ว ท่านพูดถูก ไม่มีหลักฐานเป็นชิ้นเป็นอัน อาซางไม่มีทางเชื่อแน่”“พระชายารองรู้จักคนคนนี้ตั้งนานแล้วหรือ?” อวิ๋นฟางถาม“ไม่รู้จักได้อย่างไร เหมือนจะชื่อเซียวอวี้ เป็นดาวเด่นคนใหม่ในเมืองเซิ่งจิ่ง มีชื่อเสียงอยู่พอสมควร” ซูถิงหว่านอธิบาย ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธ “คนพวกนี้ชอบดัดจริตเป็นที่สุด ทำตัวเป็นผู้ดีมีรสนิยม เรียนหนังสือเก่งแล้วมีอะไรดีเล่า ถ้าไม่ได้ทหารเหล่านั้นที่ปกป้องประเทศชาติอยู่ชายแดน พวกเขาจะได้เดินเตร่ในหอโคมเขียว ดื่มเหล้าอย่างสบายอารมณ์เช่นนี้ไหม? ทั้งสกุลซูของข้าพิทักษ์รักษาบ้านเมือง เป็นขุนนางที่มีความดีความชอบของแคว้นต้าโจว แม้แต่ฝ่าบาทยังต้องให้ความเคารพสกุลซูของข้าอยู่ไม่น้อย เหตุใดท่านป้าจึง
อีกฝั่งหนึ่ง เจียงเฟิ่งหัวหนีออกมาจากหออี๋ชุนแล้วก็ไม่กล้ากลับไปอีก กลัวจะเจอเซี่ยซางเข้าเซียวอวี้เห็นนางสวมหน้ากาก ก็ลองถามดูว่า “คุณหนูสามหรือ?”เจียงเฟิ่งหัวได้สติกลับมา เปิดหน้ากากออก กล่าวว่า “คุณชายเซียวรู้ได้อย่างไรว่าเป็นข้า?”เซียวอวี้หน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย ตอบตามตรงว่า “เมื่อก่อนไปหาท่านครูที่จวนสกุลเจียงอยู่บ่อย ๆ บ้านสกุลเจียงมักจะมีเสียงพิณลอยออกมา ข้าเลยรู้ว่าคุณหนูสามสกุลเจียงดีดพิณอยู่”เมื่อเขาได้ยินท่วงทำนองอันคุ้ยเคยที่หออี๋ชุนอีกครั้ง เขาก็ตกใจตาค้าง วินาทีนั้นเอง เขาก็กล้าฟันธงว่านางคือเจียงเฟิ่งหัว เพราะว่าคุ้นเคยเป็นอย่างดี“ที่แท้คุณชายเซียวฟังเสียงดนตรีก็รู้ตัวคนเล่น ดูท่าคุณชายเซียวก็เป็นคนที่ชื่นชอบเสียงดนตรีเช่นกัน” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวเซียวอวี้ตอบ “ก็แค่พอรู้เรื่องบ้าง ไม่ได้เสี้ยวของคุณหนูสามหรอก”“คุณชายเซียวถ่อมตัวไปแล้ว ท่านพ่อของข้ามักจะบอกว่าในบรรดานักเรียนของท่านทั้งหมด มีเพียงเซียวอวี้ที่เฉลียวฉลาดเกินใคร ต่อไปจะต้องเป็นใหญ่เป็นโตแน่นอน” เจียงเฟิ่งหัวไม่ได้โกหก ราชครูเจียงเป็นคนที่เห็นคุณค่าของคนมีความสามารถจริง ๆ ดังนั้นจึงมักกล่าวถึงเขาอยู่บ
เวลานี้เอง เจียงจิ่นเหยียนก็มาถึงเวทีเช่นกัน เขาอยากจะพาเจียงเฟิ่งหัวไป แต่กลับคว้ามือของชายอีกคนหนึ่งไว้ในความมืดมิด เจียงเฟิ่งหัวยื่นมือไปคว้ามือของพี่ใหญ่ของนางไว้ แต่กลับคลำเจอฝ่ามือใหญ่ ๆ คู่หนึ่งที่มีแผ่นหนังด้าน ๆ นางรู้ว่านี่ไม่ใช่มือของพี่ใหญ่แน่ ถ้าเช่นนั้นก็เป็นคนอื่น จะเป็นใครเล่า?นางคิดอยากสะบัดมือของอีกฝ่ายออก แต่อีกฝ่ายกลับกำมือนางไว้แน่นไม่ยอมปล่อยทันใดนั้น ฝั่งตรงข้ามก็ดึงนางเข้าไปใกล้ นางจึงเพิ่งได้กลิ่นที่คุ้นเคย นางสับสนวุ่นวายในใจ เป็นเซี่ยซางได้อย่างไรกันเจียงเฟิ่งหัวรีบหุบปากไว้ ไม่กล้าส่งเสียงแม้แต่แอะเดียว กลัวว่าเขาจะจำเสียงได้เนื่องจากนางใส่หน้ากากปกปิดไว้ทั้งหน้า เซี่ยซางเห็นลักษณะของคนที่อยู่เบื้องหน้าไม่ชัด รู้สึกเพียงว่านิ้วมือของคนผู้นี้เรียว เนียนละเอียด เหมือนมือผู้หญิง วินาทีนั้นที่เขาเข้าโอบเอวคนผู้นี้ ก็รู้สึกได้ว่าเอวบางเหมือนกิ่งหลิว และหน้าอกของคนผู้นี้นุ่มนิ่มเขารู้ตัวแล้วว่าที่แท้เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง…ขณะที่เขากำลังลังเลนั้นเอง เจียงเฟิ่งหัวเหยียบหลังเท้าเขาอย่างแรง นางใช้กำลังทั้งหมดที่มีจึงหลุดออกมาจากมือเขาได้ นางก็ไม่มีเวลาสนใจอะ
ในหออี๋ชุนมีทั้งร้องทั้งเต้น เสียงปรบมือโห่ร้องดังทั่วหอ แล้วก็ได้ยินพิธีกรเอ่ยว่า “ขอเชิญคุณชายไร้เทียมทานขึ้นเวที”ฝูงชนเมื่อได้ยินว่าคุณชายไร้เทียมทาน ทุกคนก็ตกใจ พากันวิพากษ์วิจารณ์ “นี่คือการประกวดคัดเลือกนางคณิกา จะมีผู้ชายขึ้นเวทีได้อย่างไร หรือว่าผู้ชายก็อยากชิงตำแหน่งยอดนางคณิกาด้วยหรือ”“ก็ใช่น่ะสิ คณิกาชายมาจากไหนกัน พวกเราต้องการแต่ผู้หญิง ไม่เอาผู้ชาย” ทันใดนั้นกัวเซี่ยก็ขึ้นเสียงด่าทอ “ให้คุณชายไร้เทียมทานอะไรนั่นไสหัวลงไป”มีคนผสมโรงไปด้วยอีก “ข้าน่ะมาใช้เงินเพื่อดูสาว ๆ แก้เบื่อ ผู้ชายมีอะไรน่าดูกัน พวกเจ้าทำบ้าอะไรเนี่ย ให้แม่นางเพียนเพียนเมื่อครู่ออกมาร้องอีกเพลงซิ ข้ามีเงินเยอะแยะ พวกนี้ก็ตบรางวัลนางให้หมด”ในชั่วพริบตา ชายคนนั้นควักทองตำลึงออกมาหลายก้อน “ตำแหน่งยอดคณิกาคืนนี้เป็นใครไปไม่ได้นอกจากแม่นางเพียนเพียน ให้นางออกมา”“เพียนเพียน!”ไม่นาน ทั้งหอก็ตะโกนเรียกชื่อของเพียนเพียนหลินอวี่ในชุดกระโปรงยาวเข้ารูปอันประณีตเดินอย่างอ่อนช้อยไปที่เวที นางยิ้มมุมปากอย่างเย้ายวน ริมฝีปากแดงระเรื่อ กล่าวเสียงหนักแน่นว่า “ทุกท่านมาสนับสนุนงานนี้ที่หออี๋ชุนของข้า ก็เป็น
เจียงจิ่นเหยียนเห็นว่าในแววตานางมีความกังวลซ่อนอยู่ “ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ที่เจ้าแต่งกับเหิงอ๋อง เขาทำอะไรเจ้าหรือ ถึงได้ห่วงหน้าพะวงหลัง ข้าแทบจะจำเจ้าไม่ได้แล้ว เจียงเฟิ่งหัวที่มีการวางแผนชัดเจนอยู่ในใจ มีความมั่นใจเต็มเปี่ยมไปอยู่ที่ไหนแล้ว”“เมื่อก่อนข้าเข้าออกหออี๋ชุนมีพี่ใหญ่คอยปกปิดให้ข้า แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ข้าทำตามอำเภอใจไม่ได้อีกต่อไป” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบเจียงจิ่นเหยียนรู้ว่านางคือพระชายาเหิงอ๋อง ยิ่งรู้ดีว่าเซี่ยซางผูกสมัครรักใคร่กับหญิงอื่นมานานแล้ว แต่หรวนหร่วนอยากจะแต่งเอง เขาก็ห้ามไม่ได้ เขาเพียงแค่หวังว่าน้องสาวจะทำใจให้สบาย ไร้ทุกข์ไร้กังวลในใจเขาสงสัยมาตลอดว่า หรือว่าหรวนหร่วนจะมีใจให้เหิงอ๋องมาตั้งแต่เด็ก เขาถามว่า “หรวนหร่วน พี่ใหญ่รู้ว่าเจ้ามีแผนการอันซับซ้อนอยู่ในใจมาตั้งแต่เด็ก พี่ใหญ่หวังว่าเจ้าจะไม่ลืมความเป็นตัวเอง ทำให้ตัวเองต้องเป็นทุกข์เพื่อเรื่องบางอย่างหรือคนบางคนที่ไม่ควรค่า เจ้าต้องจำไว้ว่าความสุขสำคัญที่สุด ถ้าเขาทำให้เจ้ามีความสุขไม่ได้ ทำให้เจ้าไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง เจ้าจะแต่งงานกับเขาไปทำไม”เจียงจิ่นเหยียนรู้ว่านางแตกต่าง