“โทษอันใดกัน! ข้าเองก็ถูกนางหลอกลวง นางบังคับข้า...ลูกพ่อ เรื่องนี้เจ้ากำลังเข้าใจพ่อผิด” โจวเค่อรีบแก้ต่างให้กับตนเอง แม้ว่าจะขุ่นเคืองบุตรชาย จนแทบอยากจะฉีกเนื้อบุตรชายให้เป็นชิ้นๆ แต่เขาก็ต้องกล้ำกลืน ที่จะเอาใจบุตรชายเอวไว้ก่อน “ฮึ! เลิกที่จะเสแสร้งได้แล้วใต้เท้าโจว ความผิดนี้ข้าย่อมยากให้อภัย และการที่ข้ามาเป็นตัวแทนท่านแม่ นั่นหมายความว่ามารดาข้า มิเคยคิดให้อภัยเดรัจฉานเยี่ยงท่าน ท่านตาโปรดจัดการแทนเรา แม่ลูกด้วยขอรับ” ต้วนอี้หลง ไม่ได้มีท่าทีเห็นถึงสัมพันธ์พ่อลูก เพราะมันไม่เคยมีมาตั้งแต่ต้น ก่อนจะหันไปเอ่ยกับหยางเจิ้ง ให้ช่วยออกหน้าแทนมารดาและตนเองเขาเลือกที่จะพึ่งพาอำนาจหยางเจิ้ง ด้วยตอนนี้มารดายังมิได้แต่งเข้าสกุลเจียง หากจะให้สกุลเจียงออกหน้า ก็ดูจะเห็นแก่ตัวไปสักหน่อย ใช่ว่าเขาอภัยให้แก่สกุลหยาง แต่เพื่อเป้าหมาย เขายินดีแสร้งลืมเลือนไปชั่วขณะได้ การที่เขามาจัดการทางนี้ด้วยตนเอง ก็เพราะรู้ว่ามีหลายฝ่ายกำลังหาหนทาง เล่นงานสกุลเจียงอยู่ซึ่งการปรากฏตัวของทายาทคนเดียว มันนำมาซึ่งคลื่นใต้น้ำในราชสำนัก แม้ว่าการมาเมืองหลวงของท่านลุง มิใช่
จวนสกุลเจียง ลานหน้าประตูจวน สองสามีภรรยาสกุลหยาง เฝ้ารอที่จะได้รับคำตอบ ว่าจะได้พบหลานสาวหรือไม่ ทว่าผ่านมาครู่ใหญ่แล้ว ยังคงไร้วี่แววนั้น สองวัยชราทำเพียงประคองกอดกัน อย่างมีความหวังที่จะได้รับโอกาสสักครั้ง จากหลานสาวที่พวกตนหลงผิดทอดทิ้งนาง “ท่านพ่อท่านแม่” หยางเจิ้งลงจากหลังม้า ก้าวยาวๆ เข้าหาพ่อแม่ ใบหน้าที่เศร้าหมองของทั้งคู่ ทำให้ใจของเขาเริ่มลังเล หลานชายชวนเขามาที่นี่ แต่หลานสาวยังไร้การตอบรับ ที่จะพบพ่อแม่ของเขา แบบนี้แล้วเขาจะต้องทำอย่างไรดีเล่า “ต้วนอี้หลง คารวะท่านตาทวด ท่านยายทวดขอรับ” ต้วนอี้หลง เดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าของชายหญิงชรา ก่อนจะทำความเคารพอย่างนอบน้อม การที่ทั้งคู่ยังมิได้เข้าจวน คงเป็นเพราะข้างในกำลังมีแง่งอนกันเป็นแน่ มารดานั้นแม้จะอยากมอบบทเรียน แก่คนสกุลหยาง ทว่านางก็รู้หลักมารยาท ชอบหรือไม่ก็มิจำเป็นต้องเอ่ย แค่แสดงจุดยืนของตัวเองอย่างชัดเจนเท่านั้นพอ แต่คนที่ยังคงไม่ยินยอม เห็นทีจะเป็นเจ้าของจวน ที่ขุ่นเคืองต่อสกุลหยาง “ไยเจ้าใช้แซ่ต้วนเล่า”ชายชราเอ่ยถามเหลนชายตรงหน้า ด้วยงุนงงที่เด
“ทำไมหรือขอรับ” ม่อเหลียว เอ่ยถามอีกครั้ง เมื่อเห็นอาการของพ่อบ้านชู่ ชายหนุ่มรู้สึกมีบางความคาดหวัง ผุดขึ้นมาในใจ “ชู่จิน” พ่อบ้านชู่พึมพำเบาๆ ก่อนจะละสายตาจากสิ่งของในมือ มองใบหน้าหล่อเหลาของม่อเหลียว ดวงตาที่เริ่มแดงก่ำของชายชรา ทำให้ชายหนุ่ม เริ่มรู้สึกหวาดหวั่นอยู่ภายในใจ “มีจดหมายด้านในนะขอรับ เป็นอักษรที่ปักไว้บนผ้า” ม่อเหลียวบอกชายชรา ด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น ด้วยเขาเริ่มอยากรู้ ว่าชื่อที่พ่อบ้านชู่พึมพำออกมานั้น จะใช้มารดาของเขาหรือไม่พ่อบ้านชู่รีบเปิดถุงหอมออกดู ทว่ามันดูช้าเหลือเกินในความคิดของชายชรา ด้วยมือเขามันควบคุมให้สงบนิ่งมิได้ พ่อบ้านชู่ ดึกผ้าสีทองผืนเล็ก ที่ปักตัวอักษรคล้ายปริศนาเอาไว้ ด้วยดายสีแดง ชายชรากวาดสายตาอ่านเพียงครู่เดียว แล้วรีบเก็บมันเอาไว้ในถุงหอมดังเดิมเขาเงยหน้ามองไปที่ม่อเหลียวอีกครั้ง อักษรนั้น...สำหรับคนที่มิรู้ความนัย ย่อมมองว่ามันคือปริศนา แต่แท้จริงมันคือสิ่งยืนยันชาติกำเนิดของม่อเหลียว เขาไม่คิดว่าการแยกห่างจากน้องสาว มาเกือบตลอดทั้งชีวิต เมื่อรู้ข่าวคราวอีกครั้ง จะเหลือเพียงสายเลือดของนาง
ต้วนอี้หลางเรียกมารดา ด้วยเห็นถึงอาการอึดอัด ของคนที่ร่วมโต๊ะอาหารในวันนี้ มิว่าจะเป็นจางฮูหยินและน้าชายของเขา หรือสกุลต้วนและท่านยายหวัง รวมไปถึงสามพ่อลูกสกุลหยางอาการแบบนี้เขาก็พอเดาได้ ว่านั่นคงเพราะ ทุกคนต่างมีความรู้สึกอันหลากหลาย ทั้งความกรุ่นโกรธ จากท่านตาท่านยาย และท่านยายหวัง ที่มีต่อสกุลหยาง ส่วนแขกที่เหลือก็คงรู้สึกผิด ต่อสิ่งที่ได้กระทำต่อมารดาของเขาในอดีต “แม่รู้ว่าเจ้าจะพูดเรื่องใด แสร้งหลับตาบ้างก็ไม่ผิด หากเราตั้งแง่กับคนที่รู้สำนึกผิด ย่อมเป็นตัวเราที่ไม่รู้จักคิด แม่ใช่จะลบมันจากใจไปได้ แต่แม่ก็จะไม่ทำตัวอย่าง ที่ไม่ดีต่อหน้าพวกเจ้าคิดดูสิ! เราเคยเป็นแค่ขอทาน มีบ้างครั้งที่มารดาเจ้าต้องขโมย ท่านตาท่านยายของพวกเจ้า ยังเลือกที่จะมอบโอกาส ทำไมแม่จะทำแบบนั้นบ้างมิได้เล่า แค่ยังมิต้องรีบร้อนเปิดใจไปทั้งหมดก็เท่านั้น”หญิงสาวอธิบาย พร้อมมอบข้อคิดให้แก่บุตรชายทั้งสอง คนจะเติบโตมาดีหรือไม่ การกระทำของพ่อแม่ ก็เป็นส่วนหนึ่งของพฤติกรรมของลูก “ข้ารู้อยู่แล้ว ว่าท่านแม่เป็นคนรู้วางหมาก” เป็นต้วนอี้หลง ที่เอ่ยชมมารดา มันมิใช่การอภัย แต่มันคือการยืม
ห้าวันถัดมา ณ เรือนริมทะเลสาบ นอกเมืองสตรีผู้มีใบหน้างดงาม เยี่ยงหญิงชนชั้นสูง ผู้ไม่เคยตรากตรำทำงานใดๆ เลย กำลังยืนเผชิญหน้ากับบุรุษ ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน ดวงตาของนางแดงก่ำ จากการร้องไห้มาอย่างหนัก ต่างจากบุรุษที่ยืนใบหน้าดุกร้าว จ้องนางราวกับจะฉีกร่างนาง ออกเป็นชิ้นๆ อย่างไรอย่างนั้น... “ข้าให้เจ้าไม่พออีกหรือ รึ! เจ้าต้องการให้คนที่ตาย เป็นตัวข้าเองใช่ไหม! เจ้าถึงจะพอใจ” ฮ่องเต้เอ่ยถามพระสนม ผู้อยู่ร่วมกันมานานปี ด้วยน้ำเสียงที่ผิดหวังอย่างที่สุด เขาเพิ่งจะเสียพระโอรส ผู้เป็นตัวแทนความรักระหว่างเขากับฮองเฮา สตรีหนึ่งเดียวในใจ ที่เขามิอาจเอ่ยปากบอกให้คนภายนอกรับรู้ได้แต่กระนั้นโอรสของเขา ก็ยังมิอาจรอดชีวิตได้อยู่ดี ซึ่งคนที่อยู่เบื้องหลัง ก็คือสตรีตรงหน้านี้ เรื่องเก่าเขายังมิทันสะสาง นางก็เพิ่มเรื่องใหม่มาให้เขาด้วยการไปสอดแทรก เรื่องภายในสองตระกูล เพื่อหวังโค่นล้มสกุลเจียง ที่ตัวเขาและคนทั้งแผ่นดิน ไม่คิดที่จะแตะต้อง นอกจากผู้ที่จะก้าวสู่บัลลังก์เท่านั้น จึงจะรู้ถึงเหตุผล ว่าทำไมสกุลเจียง จึงสำคัญต่อราชบัลลังก์นักแต่นางกลับอุกอาจนัก ที่จะทำลายสกุลเ
“ท่านตาขอรับ ไยเสียงดังนักเล่าขอรับ ท่านตาอยู่ที่นี่หรือไม่”ทุกสายตาหันไปตามเสียง ก่อนจะเบิกตากว้าง เมื่อเด็กชายแต่งกายดี มิน่าเป็นขอทาน เดินถือเบ็ดเข้ามาภายในห้อง พร้อมมองทุกคนด้วยแววตาสงสัย อีกทั้งใบหน้ายังดูงัวเงีย คล้ายเพิ่งตื่นนอน“เจ้าเป็นใคร เข้ามาที่นี่ได้อย่างไร”องค์ชายสี่รีบถามออกไปเสียงกร้าว ก็ในเมื่อรอบเรือนริมทะเลสาบ ถูกปิดล้อมด้วยคนของเขาเอาไว้แล้ว ไยเด็กคนนี้จึงเข้ามาได้ โดยไม่มีร่องรอยถูกทำร้ายเลยเล่า“ข้าก็เดินเข้ามาสิ! ถามได้”“คุณชายอยากให้ข้าน้อย ทำให้พวกเขาเงียบปากหรือไม่ขอรับ จะได้ตกปลากันต่อ”“ท่านตาอยู่ที่ใดขอรับ หากทำได้ข้าก็ว่าดีนะขอรับ”ฟึ่บ! องค์ชายสี่ ถึงกับดวงตาเบิกกว้าง เมื่อมือของเขา ที่ตั้งใจจะคว้าร่างเด็กชาย กลับพบเพียงความว่างเปล่า ก่อนที่เขาจะตวัดสายตาไปที่เด็กคนนั้นอีกครั้ง“ข้าไม่ชอบให้คนแปลกหน้าแตะเนื้อตัว มันสกปรก!”“ลูกแม่ อย่าได้เสียเวลาต่อคำกับมัน กำจัดมันเสีย”พระนางกุ้ยเฟยเริ่มเห็นถึงความผิดปกติ จึงได้สั่งให้บุตรชายลงมือเสีย นางจะรีรอต่อไปไม่ได้แล้ว สกุลหยางแม้จะยังหาตัวของจางหย่งชางอยู่ แต่ถ้ามีสายไปรายงานเรื่องนี้ขึ้นมา สกุลอู่หรือจะรับ
“เจ้าคือ...” แม้จะรู้ว่าชายหนุ่มผู้มาใหม่คือใคร แต่ฮ่องเต้ก็ยังเลือกที่จะถามให้แน่ใจ “กระหม่อมเจียงกั๋วจ้าน ถวายพระพรฝ่าบาท ขอฝ่าบททรงมีอายุยืนยาวหมื่นปีหมื่นๆ ปีพ่ะย่ะค่ะ” เจียงกั๋วจ้าน ก้าวเข้ามาหยุดต่อหน้าพระพักตร์ ก่อนจะประสานมือคุกเข่าให้แก่บิดาของแผ่นดิน แน่นอนว่าต้วนอี้หลงและพ่อบ้านชู่ ต่างก็ทำเช่นเดียวกับชายหนุ่มทั้งที่สองนายบ่าว รู้ดีว่าคนตรงหน้าคือฮ่องเต้ แต่ทั้งคู่ก็แสร้งไม่รู้จัก และเลือกทำตามเจียงกั๋วจ้านในตอนนี้ เสมือนเพิ่งรู้ว่าชายตรงหน้าเป็นใคร “มิได้พบกันนาน เจ้าเติบโตขึ้นช่างหล่อเหลา เยี่ยงบิดาเจ้ายิ่งนัก” “ขอบพระทัยฝ่าบาท” “พวกเจ้าลุกขึ้นเถอะ มีแต่คนกันเองทั้งนั้น มิต้องมากพิธี” “ขอบพระทัยฝ่าบาท” ทั้งสามต่างพากันลุกขึ้น ก่อนจะขยับถอยไปยืนด้านข้าง เมื่อเสียงหวีดร้องอย่างคนเอาแต่ใจ ของพระนางกุ้ยเฟยดังแทรกขึ้น “มู่ฉือ! ท่านทำกับข้าและลูก เหมือนเราสองแม่ลูก ไม่เคยอยู่ในหัวใจท่านเลย ได้อย่างไรกัน” อู่กุ้ยเฟย ที่ยังถูกพันธนาการด้วยตะขอเบ็ด ยังคงแสดงท่าทีไม่ยินยอม ต้วนอี้หล
“โอรสของข้าหรือ! เจ้าไม่ลองถามแม่เจ้าดูเล่า ว่าบิดาแท้จริงของเจ้าเป็นใคร และถ้าเจ้าคิดว่าข้าโหดร้าย แล้ววันนี้มันคืออะไร! เจ้าคิดสังหารข้า อยู่เบื้องหลังการตายของลูกชายข้า เจ้ายังกล้ามาพูดว่าข้าโหดร้ายอีกหรือ” องค์ชายสี่ หันมองไปที่พระมารดา ซึ่งเอาแต่นิ่งเงียบ ทว่าสองข้างแก้ม กลับอาบไปด้วยน้ำตา ใบหน้างามเชิดสูงอย่างหยิ่งทะนง แม้ว่าความตายได้คืบคลานมาถึงแล้วก็ตาม “เสด็จแม่...” “เจ้าเป็นลูกข้า เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว เรื่องอื่นใดหาได้จำเป็นต้องรู้” เป็นคำตอบที่ชัดเจน โดยไม่ต้องอธิบายให้มากความ องค์ชายสี่ถึงกับแข่งขาอ่อน เมื่อความทะนงตนในฐานะองค์ชายมาตลอด ทว่าวันนี้เขากลับเป็นเพียงกาฝาก ที่หมายช่วงชิงอำนาจ จากสายเลือดแท้จริงของเจ้าผู้ครองแผ่นดิน “ทรงพอพระทัยแล้วใช่หรือไม่ ที่สามารถกำจัดข้าและสกุลอู่ได้ อย่างที่ทรงตั้งใจมาโดยตลอด” “หากพวกเจ้ารู้จักอิ่ม ไม่กระหายจนเกินตัว มีหรือจุดจบจะเป็นเช่นนี้” “ข้าแค่ต้องการความรักจากท่าน” “อย่าหลอกตัวเองอีกเลย เจ้าต้องการเอาชนะข้าและหยางอิงเท่านั้น ทั้งที่ตัวเจ้าก็รู้ดี ว่าน
สองชั่วยามต่อมา ณ เรือนผู้รักษาการ สองสามีภรรยากำลังนั่งกินขนมจิบชา ด้วยความสำราญ หลังจากบทรักเล่าร้อน ได้จบลงไปได้ครู่ใหญ่แล้ว การหยอกเย้ากันของทั้งคู่ ยังคงมีเป็นปกติ ราวกับพวกเขายังคงเป็นหนุ่มสาว เช่นในวันวานก็มิปาน “เรียนนายท่าน มีของขวัญมาส่งขอรับ” เสียงรายงานจากด้านหน้าประตู ทำให้สองสามีภรรยา ขยับนั่งตัวตรงอย่างมีสง่า “เข้ามา” สวี่เทียนเอ่ยปากอนุญาต ให้คนด้านนอกเข้ามาข้างในได้ เพียงบ่าวชายก้าวพ้นประตูเข้ามา สายตาของเขาก็จับจ้องไปที่กล่องไม้ในมือของบ่างผู้นั้นทันทีใครกันที่ส่งของขวัญมาให้เขากัน ด้วยในช่วงเวลานี้ หาได้มีวันสำคัญ หรือเทศกาลใด ที่ต้องมอบของขวัญของกำนัลต่อกัน หากจะเป็นคนจากภายนอกหุบเขา ก็ไม่น่าจะมีใครส่งมา โดยไม่แจ้งล่วงหน้าถึงการมาเยือน “เป็นของขวัญที่ไม่ทราบที่มาขอรับ ข้าน้อยคิดจะเปิดดู แต่...มิกล้าทำโดยพลการขอรับ” บ่าวชายรีบชี้แจง ต่อการที่เขาไม่อาจบอกถึงสิ่งของข้างในได้ เพราะเคยมีคนเปิดดูของขวัญ เพื่อตรวจสอบก่อนจะนำมาส่งมอบให้แก่ผู้เป็นนาย ผลก็คือบ่าวคนนั้น ได้สิ้นใจภายใต้คมดาบของท่านผู้รักษาการ
“แต่ข้ามีข้อเสนอที่ดีกว่านั้น หากเจ้าตอบรับมัน ข้าจะมิถือสาเรื่องเมื่อครู่นี้” เมื่อมีสิ่งอื่นที่ดึงดูดใจ มากกว่าการที่นางสามหาวต่อบิดา สวี่หวางจึงยื่นข้อเสนอในทันที หญิงสาวตรงหน้าอาจเพียงแค่ อยากเรียกร้องความสนใจจากเขา หาไม่แล้วมีหรือหัวหน้าผู้คุ้มกัน จะพาเขามาที่นี่ “ข้อเสนอ...คนเยี่ยงเจ้า มีข้อเสนอใดกับข้าเช่นนั้นรึ!” น้ำเสียงปนเย้ยหยันของหญิงสาว ทำให้สวี่หวางจำต้องข่มกลั้นเอาไว้ก่อน ในเมื่อหมากกระดานนี้ นางอยากควบคุม เขาก็จะยินยอมเล่นไปกับนางสักหน่อย ค่อยจบมันในหมากตัวสุดท้าย “เป็นอนุของข้า แล้วเรื่องเมื่อครู่ข้าจะปล่อยผ่านไป” “อยากฟังข้อเสนอของข้าบ้างไหม” หญิงสาวย่อนถามกลับ ด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่จริงจังเท่าใดนัก “ว่ามาสิ! ข้าคือบุตรชายของประมุขแห่งหุบเขานี้ ไม่มีสิ่งใดที่จะหามิได้” สวี่หวางตบตนเอง พร้อมประกาศให้รู้ถึงอำนาจในมือ เขาคือบุตรชายคนโต ภายหน้าเขาก็คือประมุขผู้มั่งคั่ง เจ้าของหุบเขาแห่งนี้ แค่สตรีต่างถิ่นคนหนึ่ง มีหรือเขาจะเลี้ยงดูนางไม่ได้ “จริงหรือ...บิดาเจ้าแซ่สวี่ ไหนเลยจะเป็นประมุขได้” เมื่อได้ยินพูดของหญิงสาวตรงหน้า สวี่หวางถึงกับหน้าถอดสี หรือนี่จะ
“ข้าน้อยเพียงจะมาแจ้ง ให้ท่านผู้รักษาการทราบ ว่าตอนนี้...มีคนพบเห็น ท่านประมุขน้อยแล้วขอรับ” “ที่ไหน!” สวี่หวางรีบถามด้วยความตื่นเต้น หากวันนี้เขาสามารถทำให้อวี๋มู่หลง หายไปจากโลกนี้เสีย อนาคตของเขา ก็จะได้ไม่ต้องอยู่ภายใต้เงาผู้ใดอีก มารดาที่เป็นภรรยาแรก กลับกลายเป็นได้เพียงอนุ ที่รับเข้าสู่บ้านเท่านั้น ไม่อาจก้าวขึ้นทัดเทียมอดีตประมุข และเขาก็เป็นได้เพียงแค่ลูกที่บิดา ไม่อาจเชิดชูออกหน้าได้แม้คนเหล่านี้ จะให้ความนอบน้อมต่อเขา แต่ความเป็นจริงแล้วพวกมัน ก็ไม่เคยเห็นเขาในสายตาจริงๆ สักครั้ง หากเทียบกับอวี๋มู่หลง เจ้าสวะไร้ค่านั่น! “ในป่าท้อทิศตะวันออกของหุบเขาขอรับ” หัวหนาผู้ดูแล ตอบไปตามหน้าที่ แม้ว่าใจเขามิได้ชื่นชอบอนุและลูกๆ ของนาง ที่อาจหาญทำตัวทัดเทียมท่านประมุขน้อย แต่เขาก็ยังไม่มีอำนาจมากพอ ที่จะต่อกรกับผู้รักษาการได้ จนกว่าท่านประมุขน้อย จะก้าวขึ้นสู่อำนาจอย่างแท้จริง “พาข้าไป!” “แต่...” หัวหน้าผู้คุ้มกัน คิดที่จะปฏิเสธ ทว่า... “ฮึ! หรือเจ้าคิดจะปกป้องคนไร้ค่านั่น” สวี่หวาง พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเ
สิบห้าวันถัดมา ณ เรือนผู้รักษาการ เมืองหยินกวง เพล้ง! เสียงจอกสุรา ถูกปาลงพื้นจนแตกกระจาย ทำให้สาวใช้หลายนางที่ยืนรอรับใช้อยู่ พากันสะดุ้งจนสุดตัว เมื่อผู้เป็นนายกำลังมีโทสะ ก่อนที่สตรีผู้เป็นอนุของท่านผู้รักษาการ จะเดินเข้ามา แล้วส่งสัญญาให้บรรดาสาวใช้ออกไปเสีย “ท่านพี่ ไยต้องมีโทสะด้วยเจ้าคะ” ฉินชวงเดินไปยืนด้านหลังสามี ก่อนจะวางมือบนไหล่หนา แล้วออกแรงบีบนวด เพื่อให้สามีรู้สึกผ่อนคลาย แม้ว่าการอยู่อย่างไรเกียรติของนาง จะมิใช่สิ่งที่วาดฝัน แต่นางก็ยังอยากให้บุตรชายคนโต เป็นผู้สืบทอดเมืองแห่งนี้ “มีคนพามันหนีไปได้ จนตอนนี้! ข้ายังหามันไม่พบเลย” สวี่เทียนกำหมัดแน่น ยิ่งเมื่อนึกถึงตอนที่บุตรชายคนเล็ก หนีไปพร้อมกับคนแปลกหน้า มันทำให้เขาราวกับถูกตบหน้า นี่มิใช่ครั้งแรก ที่บุตรชายรอดพ้นเงื้อมือเขาไปได้อย่างหวุดหวิดเพราะนับตั้งแต่บุตรชาย ล่วงรู้ความจริงหลายอย่าง ความสัมพันธ์พ่อลูกก็ยิ่งห่างไกล แล้วอย่างไรเล่า ก็ในเมื่อสิ่งที่เขาต้องการ ไม่ใช่ความเป็นพ่อลูก แต่เขาต้องการตราประทับเท่านั้น “อาจเป็นเหล่าผู้อาวุโส ที่แอบช่วยเขาลับหลัง แต่อย่า
“ว๊าย!!! พรู๊ด!!”หญิงสาวถึงกับพ่นชาในปากออกมา เมื่อความร้อนของชาในถ้วย ทำให้นางปากแทบพอง นางลืมไปว่ามันร้อนอยู่ “เจ็บมากหรือไม่!” ม่อเหลียวรีบถามด้วยน้ำเสียงรนราน ก่อนจะล่วงเอาขวดยาเล็กๆ ออกมาจากอกเสื้อ แล้วป้อนเข้าปากหญิงสาว “คราวหน้าต้องระวังให้มากเข้าใจหรือไม่” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างอ่อนโยน ซึ่งหากถ้าเป็นสตรีอื่น เขาไม่แม้แต่จะมองเลยด้วยซ้ำ เรื่องนี้ถือว่าเป็นสิ่งคุ้นชิน สำหรับคนทั้งสาม เว้นแต่อวี๋มู่หลงเท่านั้น ที่ยังไม่รู้ถึงเรื่องของหนุ่มสาวคู่นี้ แต่จากสายตาแล้วอวี๋มู่หลงเอง ก็พอจะคาดเดาได้แล้ว ว่าคนทั้งสองนั้น ต้องมีความรู้สึกลึกซึ้งต่อกัน แต่อาจด้วยหลายสิ่งอย่าง ทำให้ทั้งคู่ยังไม่แต่งงาน หรือสานสัมพันธ์รักไปมากกว่านี้ “พี่สาม”เมื่อเห็นพี่สาวไม่ได้เอ่ยสิ่งใดกับตนเองเลย นับตั้งแต่ก้าวเข้ามาถึงกระท่อม อี้หยางจึงเรียกผู้เป็นพี่ ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ใช่เขาริษยาพี่ม่อเหลียว แต่เขาทั้งดีใจและน้อยใจปนกัน ก็ในเมื่อเขายืนหัวโด่อยู่ตรงนี้ พี่สาวก็มองเพียงพี่ม่อเหลียวคนเดียว “เจ้าเป็นผู้นำสกุลเจียงคนต่อไป แค่นี้จะมีน้ำตาได้อย่า
“ไม่คิดว่าจะพบคนจากแดนหนาน” ผู้คุ้มกันเมืองหยินกวง เอ่ยกับชายวันกลางคน ที่ยืนประจันหน้ากับเขาอยู่ในตอนนี้ ซึ่งการที่เขารู้ว่าคนกลุ่มนี้มาจากที่ไหน ก็เพราะการแต่งกาย และใบหน้าที่บ่งบอกเชื้อสายเผ่าพันธุ์ “พวกข้าเป็นเพียงพ่อค้า ที่ต้องการหาสินค้า เพื่อสร้างรายได้ การเข้ามาที่หุบเขา ก็มิได้ผิดต่อกฎของที่นี่แม้แต่ข้อเดียว” คนจากแคว้นหนาน เอ่ยกับผู้คุ้มกันเมือง ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าเวลานี้ ผู้รักษาการแทนประมุข ได้คิดเปลี่ยนแปลงการปกครอง และคิดจะแทรกซึมเข้าสู่แคว้นต่างๆ เพื่อหวังผลที่ยิ่งใหญ่กว่า การเป็นแค่ผู้ปรุงยาแก้พิษ และขายสมุนไพรล้ำค่าเท่านั้น “พวกข้าก็ไม่ได้คิดจะกล่าวหาสิ่งใดพวกท่าน แค่อยากตรวจดูผู้คนเข้าออก เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีกบฏ ที่กำลังหลบหนีซ่อนตัวอยู่ในคณะของพวกท่าน” คำพูดของผู้คุ้มกันเมือง ทำให้อวี๋มู่หลง ที่ซ่อนตัวอยู่ไม่ไกล กำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน เขาคือประมุขที่แท้จริง แต่ไยเวลานี้กลายเป็นเพียงกบฏคนหนึ่งไปได้ “ตามสบาย” ชายผู้นั้นผายมือให้แก่เหล่าผู้คุ้มกันเมือง ก่อนจะชำเลืองมองไปที่ผู้ติดตามของตน ทุกคนจึงขย
“น้องชายเจ้ากับอู๋หยาง ทำรางส่งน้ำมาไว้ห้องข้างๆ นี่เอง เจ้าต้องแช่ยาทุกสามชั่วยาม ในช่วงห้าวันแรกของการรักษา อี้หยางดูแลเจ้าไม่ห่างไปไหน อ่อ...วางใจได้ ไม่มีใครได้เห็นในสิ่งไม่ควรทั้งสิ้น”แน่นอนว่าคนที่จัดการทุกอย่างให้แก่พี่สาว ย่อมต้องเป็นเจียงอี้หยาง เด็กน้อยคนนี้ชำนาญนักในการทำแผล ดังนั้นต่อให้หลับตา เขาก็สามารถเปลี่ยนผ้าพันแผลได้อย่างไม่ผิดพลาด และยังมีหลากหลายวิธี ในการเปลี่ยนเสื้อผ้าของคนป่วย โดยไม่เห็นสัดส่วนของคนเจ็บได้การเรียนรู้เหล่านี้ มารดาล้วนสอนพวกนางสี่พี่น้อง และฝึกฝนจนชำนาญ แต่หากเทียบกับอี้หยางแล้ว สามแฝดนับว่าฝีมือห่างชั้นกับน้องชายคนเล็กมากทีเดียว“เช่นนั้นรบกวนท่านปู่ ส่งข้าที่ห้องนั้นได้หรือไม่นะเจ้าคะ”หญิงสาวยิ้มน้อยๆ ด้วยเรี่ยวแรงตอนนี้ มันหดหายไปเกินครึ่งที่มีเลยทีเดียว แม้แต่หายใจยังรู้สึกเหนื่อยตลาดเมืองหยินกวง หุบเขาพิษ ม่อเหลียวที่นั่งดื่มชาอยู่ ชะงักมือเล็กน้อย ก่อนจะหันมองไปยังกลุ่มคนที่ยืนเลือกสิ่งของอยู่ ชายหนุ่มวางถ้วยชาลง ก่อนจะส่งสัญญาณเรียกเจ้าของร้าน เพื่อมาคิดเงินค่าชา ที่เขาดื่มไปเมื่อครู่ ชายหนุ่มจ่ายเงินเรียบร้อย ก็ลุกข
ใบหน้างามที่ชื้นเหงื่อ ส่ายไปมาน้อยๆ เมื่อรู้สึกได้ถึงความเย็นที่สัมผัสกับใบหน้า ทว่าดวงตานั้นยังคงปิดสนิทอยู่“อี้หลิง”ชายชราเรียกหญิงสาวด้วยความดีใจ กว่ายี่สิบวัน ที่ศิษย์รักของเขาสิ้นสติไป และการมีสติรับรู้ของนางในวันนี้ นับว่าสมุนไพรในกระท่อมลับแห่งนี้ ทรงคุณค่ายิ่งนัก“น้ำ...ขอน้ำ”น้ำเสียงแหบโหยร้องขอน้ำดื่ม ด้วยคอของนางแห้งผาด ราวทะเลทรายอันแห้งแล้ง ทว่าดวงตานั้นยังคงปิดสนิท มีเพียงเปลือกตาที่ขยับน้อยๆ ก่อนจะค่อยๆ เปิดขึ้น แล้วปิดลงอย่างรวดเร็วอีกครั้ง เมื่อสายตาของนาง มิอาจสู้แสงได้อย่างกะทันหัน“นี่...น้ำจากต้นไผ่ มันจะช่วยให้เจ้ารู้สึกชุ่มคอขึ้น”ฮั่วเจ๋อ เอ่ยอย่างใจเย็น รอให้ดวงตาคู่งามของหญิงสาว เปิดขึ้นอีกครั้ง ในฐานะหมอคนหนึ่ง การที่ทำให้คนไข้ พ้นจากมือมัจจุราชได้ นับว่าเป็นความสำเร็จอีกขั้นเมื่อสิบกว่าวันก่อน เขากับอู๋หยางได้ตื่นขึ้นมา ทว่ารอบกายกลับไร้เงาของศิษย์รักทั้งสอง ทำให้เขาสองคนที่อาการยังหนักอยู่ ร้อนใจยิ่งนักยิ่งเมื่อมองสำรวจโดยรอบที่พัก สัมภาระที่ยังเหลือติดตัวของทุกคน ยังคงอยู่ที่เดิม นั่นยิ่งทำให้เขาสองคน ไม่อาจนิ่งดูดายได้ ฝืนกินยาต้องห้าม ที่จะมีฤทธิ์
ภายในงานเลี้ยง ฉลองวันครบรอบห้าขวบของคุณชายอวี๋มู่หลง มีความบันเทิงมากมายจากหลายสกุล ที่นำมาร่วมแสดง สองแม่ลูกสกุลอวี๋นั่งจับมือกันนิ่ง สายตามองตรงไปยังลานกว้าง ที่มีการแสดงจากสกุลผู้อาวุโส จนเมื่อเสียงดนตรีหยุดลง หญิงสาวยังคงฝืนข่มกลั้นอาการเจ็บร้าวในร่างกายเอาไว้ แล้วลุกขึ้นจูงบุตรชาย ออกไปยืนต่อหน้าทุกคน เพื่อทำให้สิ่งที่นางจะทำได้ ตอนยังหายใจอยู่ “ข้าขอขอบคุณทุกท่าน ที่มาร่วมยินดีกับมู่หลงในวันนี้ และข้าก็ถือโอกาส มอบของขวัญที่ล้ำค่าแก่เขา บุตรชายเพียงคนเดียวของข้าอวี๋เมี่ยว” เด็กชายเงยหน้ามองมารดา แม้เขาจะยังเด็กอยู่ แต่ก็พอรู้ว่ามารดานั้นกำลังเจ็บป่วย และเขาได้จดจำ ทุกคำสอนของนางเอาไว้เป็นอย่างดี เขาคือผู้นำคนต่อไป อย่าได้แสดงทุกความรู้สึกออกมา เหมือนนาง...จนนำพาครอบครัวพังพินาศ แม้เขาจะยังไม่เข้าใจมากนัก ว่าอะไรคือคำว่าพินาศ แต่ก็ไม่เคยคิดที่จะละเลยคำกล่าวของมารดา ยิ่งตอนนี้เขาเห็นเด็กชายหญิง ที่อายุมากกว่าตนเอง ได้รับความสนใจจากบิดา เขาจึงยิ่งต้องการมารดาคอยปลอบขวัญ “ข้าก็เป็นสตรีผู้หนึ่ง ที่ได้มีโอกาสให้กำเนิดบุตร ซึ่งข้ายอมรับอย่า