แม่นมหยางตอบกลับ “ฮูหยินเดินเหนื่อยแล้ว กำลังพักผ่อนอยู่ด้านใน เจ้าอย่าเข้าไปรบกวน”ป้าชุ่ยยู่ตอบ “ได้ ข้าเพียงแต่อยู่ในป่าไผ่ขุดหน่อไม้ ใช่แล้ว ได้ยินมาว่าแม่นมชื่นชอบหน่อไม้เป็นพิเศษ ข้าขุดส่งไปให้ที่เรือนเซี่ยจื่อหย่วนสักหน่อนึงหรือไม่?”แม่นมหยางหันกลับไปมองยังนาง ใจสั่นหวั่นไหวเล็กน้อย “มีหน่อไม้รึ?”“มีเจ้าค่ะ เป็นหน่อไม้ที่อร่อยเป็นพิเศษ วันนี้มาได้ถูกเวลานัก อย่างนั้นแม่นมก็ไปขุดกับข้าไหม?” ป้ายชุ่ยยู่เอ่ยชวนแม่นมหยางชอบหน่อไม้ เป็นฮูหยินผู้เฒ่ารู้เข้าโดยบังเอิญในตอนที่เข้าวังไปถวายพระพร นางชื่นชอบมากเป็นพิเศษ เพื่อที่จะได้กินมัน นางถึงกับไปขุดมาจากหนานซานด้วยตนเองแม่นมหยางหันไปมองที่ห้องพักครู่นึง “แต่ว่าฮูหยินยังอยู่ที่นี้”“มิมีผู้ใดมารบกวนฮูหยินที่นี่หรอก ทุกคนต่างก็อยู่ในสวนดอกไม้ด้านหน้า” ป้าชุ่ยยู่เอ่ยออกมา“งั้นก็ได้” แม่นมหยางมิได้ลังเลอีกต่อไป จึงลุกขึ้นยืนป้าชุ่ยยู่เผยยิ้มมองไปยังนาง เดินไปยังป้าไผ่พร้อมกัน มือขวาที่กวัดแกว่งอยู่ด้านหลัง ส่งสัญญาณให้ทหารยามสองนายที่แอบอยู่หลังศาลาออกไปหากว่าป้าชุ่ยยู่มิอาจแยกแม่นมหยางออกมาได้แล้วน
ฮูหยินผู้เฒ่าหันกลับไปมองแล้วมองอีก ใบหน้ามิยินดี “ใยจึงไม่รู้เรื่องรู้ราวกัน? หม่อมฉันจะให้พวกนางออกไปนะเพคะ”ชุยไท่เฟยมองไปยังด้านหน้า โบกมือ “ช่างเถอะ ท่านเสนาบดีก็นำใต้เท้าทั้งหลายมาแล้ว ตายกัน นั่นใช่มิใช่อ๋องเหลียงหรอกรึ?”ฮูหยินผู้เฒ่าตกใจ มองกลับไป เป็นอ๋องเหลียงที่นำพระชายารองหลี่มาด้วย “ใช่แล้ว เป็นอ๋องเหลียงเพคะ!”เหล่าไท่จวินเอ่ย “อ๋องเหลียงช่างใจกว้างจริง ๆ เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นแล้ว ยังมาอวยพรวันเกิดให้แก่ฮูหยินผู้เฒ่า ดูท่าแล้วข่าวลือด้านนอกพวกนั้นคงจะเชื่อมิได้”ในใจฮูหยินผู้เฒ่านั้นรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ถึงแม้ว่าบัตรเชิญจะถูกส่งให้แก่อ๋องเหลี่ยง แต่หากว่ากันตามมารยาทแล้ว อ๋องเหลียงวันนี้มาเพื่ออวยพรหรือมาก่อเรื่อง นางเองก็ไม่อาจรู้ได้โดยเฉพาะวันนี้ เซี่ยจื่ออันนางคนชั้นต่ำที่ยังเคยรักษาไข้ให้แก่อ๋องเหลี่ยง อ๋องเหลี่ยงจะแก้ไขปัญหาระหว่างนางแล้วก่อนหน้าหรือไม่? แต่ว่านางกลับคิดว่าตนเองกังวลมากเกินเหตุ ครั้งนี้สิ่งสำคัญคือต้องจัดการกับหยวนซื่อ มิเกี่ยวข้องกับเซี่ยจื่ออัน อย่างนั้นก็ไม่กระทบถึงการรักษาอ๋องเหลียง และไม่ล่วงเกินถึงผู
ป้าหลานยู่เดินไปข้างหน้าต้องการที่จะเปิดประตูห้องพักนั้น กลับพบว่าประตูห้องนั้นโดนปิดจากด้านในป้าหลานยู่ตกใจเล็กน้อย จึงเอ่ยกับฮูหยินผู้เฒ่า “ฮูหยินผู้เฒ่า ประตูห้องปิดอยู่ มีคนอยู่ด้านในเจ้าค่ะ”ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยอย่างสงสัย “เป็นไปได้อย่างไร? ห้องพักนี้ปกติแล้วก็มิมีผู้ใดมา” “มิใช่ฮูหยินอยู่ด้านในนี้หรอกหรือ?” ป้าหลานยู่เอ่ยคาดเดาฮูหยินหลิงหลงและเซี่ยหว่านเอ๋อนำกลุ่มหญิงสาวกลุ่มนึงมา เซี่ยหว่านเอ๋อได้ยินจึงเอ่ยออกมาว่าหยวนซื่ออาจจะอยู่ด้านใน แล้วหันกลับไปถามชู่อวี่ “เจ้านี้อย่างไรกัน? ทั้ง ๆ ที่เจ้ารู้ว่าฮูหยินบาดเจ็บอยู่ ทำไมถึงไม่ติดตามดูแลนางให้ดี ๆ”ชู่อวี่กล่าวร้องทุกข์ “คุณหนูรอง เป็นฮูหยินที่เอ่ยออกมาอย่างเย็นชา ให้บ่าวกลับไปเอาเสื้อคลุม”“แต่เจ้าก็มิอาจปล่อยให้นางอยู่ที่นี่ผู้เดียวได้” เซี่ยหว่านเอ๋อเอ่ยอย่างโกรธเคืองชู่อวี่เอ่ย “มิใช่อยู่เพียงผู้เดียว เฉินเอ้อร์เองก็อยู่ในนี้เจ้าค่ะ ฮูหยินกับเฉินเอ้อร์รู้จักกันมาหลายปีแล้ว เฉินเอ้อร์เองก็ชอบมาที่เรือนเซี่ยจื่อหย่วนเหมือนกันกับพ่อบ้านเซี่ยฉวน ดังนั้นบ่าวเลยขอร้องให้เฉินเอ้อร์ช่วยดูแลฮูหยิน บ่าวก็เลยกลับไปเอาเสื้อคลุ
ฝูงชนทั้งหลายก็กรูกันเข้าไป พบเพียงเสื้อคลุมตกอยู่ เมื่อทุกคนก็เจอสถานการณ์นี้เข้า ต่างก็พอจะเข้าใจโอ้ สวรรค์ หยวนซื่อกล้าที่ลักลอบมีความสัมพันธ์กับผู้อื่นในที่นี้!ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธจนหน้าเขียวคล้ำ “ใครก้ได้เข้ามา นำคนออกมาให้ข้า!”ชั่วครู่นึงก็มีผู้คุมกฎของบ้านพากันเข้าไปในห้อง สองคนบนเตียงนั้นดูไม่เรียบร้อยมากนัก ไม่รู้ว่าตอนนี้ได้มีคนบุกเข้ามาแล้วเมื่อตอนที่ผู้คุมกฎของบ้านลากขึ้นมานั้น เฉินเอ้อร์และหลิวซื่อถึงได้มีสติขึ้นมา หวาดกลัวจนราวกับวิญญาณจะหลุดออกจากร่างผู้คุมกฎของบ้านใช้ผ้าห่มห่อร่างของทั้งสองเอาไว้ ยกออกไปแล้วโยนลงบนพื้นฝูงชนนึกว่าจะได้เห็นหยวนซื่อ กลับคาดไม่ถึงว่าจะเป็นฮูหยินของคุณชายรองตระกูลเซี่ยหลิวซื่อ ต่างพากันประหลาดใจคุณชายรองตระกูลเซี่ยมีปฏิกิริยาตอบกลับเป็นคนแรก พุ่งเข้าไปตบตีหลิวซื่อ และเฉินเอ้อร์อย่างรุนแรงฮูหยินผู้เฒ่าใบหน้าซีดขาว ราวกับไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตาพบเห็น ทำไมถึงได้เป็นหลิวซื่อ? หยวนซื่อเล่า?ฮูหยินหลิงหลงเองก็ตื่นตกใจเช่นกัน ขาสองข้างอ่อนแรง ไม่มีทางเป็นไปได้ ทั้ง ๆ ที่วางแผนไว้ดีแล้ว ทำไมหลิวซื่อถึงได้มาอยู่ที่นี้ได้? และต่อให้ห
เรื่องอื้อฉาวครั้งนี้ใหญ่เหลือเกิน ฝูงชนจึงห้ามใจให้ไม่มองมิได้สองพี่น้องนี้กลับถูกชายผู้นี้สวมเขา ยิ่งไปกว่านั้นนั่นคือเซี่ยหว่านเอ๋อว่าที่พระชายาในองค์รัชทายาทท่านนี้ อาจจะมิใช่บุตรีของมหาเสนาบดีเซี่ย เซี่ยหว่านเอ๋อพบว่ามหาเสนาบดีเซี่ยจ้องมองยังฮูหยินหลิงหลง ภายในใจนางนั้นรู้สึกกลัว เอ่ยถามออกไป “ท่านพ่อ ท่านคงมิได้เชื่อคำพูดของหญิงบ้านางนี้หรอกใช่ไหมเจ้าคะ?”อ๋องเหลียงเองใบหน้าดูราวกับหวังดี ทรงตรัสขึ้น “ใช่แล้ว ท่านมหาเสนาบดี เรื่องนี้มิใช่เรื่องเล็ก ๆ คำพูดที่เชื่อมิได้ของผู้อื่นนั้น ทางที่ดีแล้วควรจะตรวจสอบให้ชัดเจนสักหน่อย”เขาคิดว่าในเมื่อจื่ออันได้วางแผนการเอาไว้เยี่ยงนี้แล้วนั้น คงจะต้องมีหลักฐานที่จะยืนยันเรื่องนี้ได้ ดังนั้นพระองค์จึงทรง “จิตใจดี” ช่วยมหาเสนาบดียืนยันสักหน่อยฝูงชนเมื่อได้ยินคำของอ๋องเหลียงแล้วนั้น ต่างก็ทยอยแสดงความ “จิตใจดี” ขยั้นขยอให้มหาเสนาบดีเซี่ยตรวจสอบให้ชัดเจน ใบหน้าของมหาเสนาบดีเซี่ยนั้นถึงกับพูดมิออก คำพูดพวกนั้น หากมิใช่ว่ามีผู้คนมากมายเหล่านี้อยู่ด้วยแล้ว จิตใจที่ต้องการฆ่าเฉินเอ้อร์และฮูหยินหลิงหลงก็คงจะมีแล้วภรรยาของเฉินเอ้อร์
เดิมทีดูจากสีหน้าเหล่าไท่จวินแล้วคิดว่านางจะดุเฉินหลิวหลิ่วที่กล่าววาจาหยาบคายออกมา กลับนึกไม่ถึงว่านางจะพูดอย่างเย็นเยียบ “เหตุใดข้าต้องละอาย ไม่ใช่ฮูหยินของข้าเสียหน่อย"สายตาที่ค่อนข้างจะเย็นชาของนางกวาดมองไปบนใบหน้าของจื่ออัน และจื่ออันก็รู้ว่าเรื่องนี้ไม่อาจปิดบังเหล่าไท่จวินได้ ครั้งนี้แม้ว่านางจะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม แต่นางก็ได้ดึงเฉินหลิวหลิ่วมาเป็นพยานแล้ว ซึ่งถือได้ว่าเป็นการใช้ประโยชน์จากหลิวหลิ่วใบหน้าของเหล่าไท่จวินแลดูฉุนเฉียวเล็กน้อย เพราะว่านางมองออกเพียงแต่ว่าเหล่าไท่จวินไม่ได้ต่อต้านจื่ออันซะทีเดียว ตามหลักแล้วก็เป็นเพราะเหล่าฟูเหรินหากนางคาดเดาไม่ผิดล่ะก็ ตามที่เหล่าไท่จวินได้พูดที่บริเวณด้านหน้าสวนดอกไม้ก่อนหน้านี้ก็พอจะสรุปได้ว่า เนื้อเรื่องเดิมก็คือ น่าจะเจอหยวนซื่อกับเฉินเอ้อร์ที่นี่ ซึ่งวันนี้ก็เป็นงานเลี้ยงฉลองวันเกิด ดังนั้นฉากจบสำคัญก็เลยอยู่ที่นี่ใช้เรื่องการฉลองวันเกิดเพื่อเชิญทุกคนให้มาที่นี่ แต่ทั้งหมดมันก็เป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น แม้ว่าผู้คนในเมืองหลวงจะยุ่งมาก แต่ว่าคนที่จำได้ว่าเหล่าฟูเหรินไม่ได้เกิดในช่วงฤดูร้อนก็มีไม่น้อยเลยทีเดียวเหล่าไท่จวิน
ป้าหลานยู่รู้ดีว่าทุกอย่างเป็นกลอุบายของพวกนาง แต่เนื่องจากไม่มีหลักฐาน ทำได้เพียงจ้องมองอย่างสิ้นหวังเท่านั้นแม่นมหยางเมื่อเห็นว่าชุยไท่เฟยและฮูหยินผู้เฒ่าก็อยู่ด้วย นางจึงพูดกับหยวนซื่อว่า “นายหญิงเจ้าคะ ชุยไท่เฟยกับเหล่าไท่จวินก็อยู่ที่นี่ด้วยเจ้าค่ะ”หยวนซื่อมีท่าทีที่ตื่นตัวขึ้น และรีบกล่าวว่า "เร็วเข้าพยุงข้าเข้าไปคำนับเสด็จท่าน จะเสียมารยาทไม่ได้”แม่นมหยางตอบรับและช่วยพยุงตัวหยวนซื่อเข้าไป โดยเสียงของนางได้ดังไปถึงทิศทางที่ชุยไท่เฟยกับเหล่าไท่จวินยืนอยู่หยวนซื่อโค้งคำนับให้พระนางทั้งสอง "หยวนฉุ่ยยวี่ถวายบังคมไท่เฟย คำนับไท่จวินเพคะ"ชุยไท่เฟยที่เพิ่งจะได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าเล่า ก็รู้สึกไม่พอใจหยวนซื่อเป็นอย่างมาก แม้จะบอกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ไม่เกี่ยวอะไรกับหยวนซื่อ แต่ฮูหยินผู้เฒ่าเล่าว่านางไม่ให้ความเคารพและหยิ่งผยองยิ่งนัก เรื่องที่ว่านางกระโดดลงมาจากรถม้านั้น ชุยไท่เฟยไม่ได้รู้ว่าความจริงเป็นเช่นไร ตอนนี้พอได้เจอนางก็เลยกล่าวอย่างเย็นชา "ฮูหยินช่างสูงส่งยิ่งนัก ขนาดวันเกิดแม่สามีของท่าน ยังเชิญให้ท่านมาไม่ได้เลย ท่านช่างเป็นนักปราชญ์หญิงที่มีพรสวรรค์มีชื่อเสียง
ป้าชุ่ยยู่ยังไม่ฟื้นขึ้นมา ดังนั้นจึงไม่สามารถกล่าวหาแม่นมหยางได้ มันทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าหงุดหงิดมาก "เจ้าพวกไร้ค่า เอาซุปล้างพิษกรอกลงปากไปอีก"กรอกซุปลงไปเพิ่มอีกสองถ้วยแล้ว แต่ไม่เกิดผลอะไร ลมหายใจของนางยิ่งอ่อนลงไปทุกทีมีคนในที่เกิดเหตุแนะนำขึ้นมาว่า เซี่ยจื่ออันรู้ทักษะทางการแพทย์ไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงไม่ให้นางรักษาป้าชุ่ยยู่?แต่ฮูหยินผู้เฒ่าไม่อนุญาต นางคิดว่าหากให้เซี่ยจื่ออันรักษาให้ป้าชุ่ยยู่ ผลลัพธ์ที่ได้จะมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น นั่นก็คือความตาย!เซี่ยจื่ออันหญิงสาวที่มีพิษสงเช่นนี้คงจะไม่ยอมปล่อยคนข้างกายของนางไปอย่างง่ายดายเป็นแน่เมื่อหมอมาถึง ป้าชุยยู่ยังคงมีลมหายใจอยู่ โชคของนางยังดีที่หมอบังเอิญเอายารักษาพิษงูมาด้วย ถึงแม้งูที่กัดจะเป็นงูพิษ แต่พิษไม่ได้รุนแรงมากนัก ยังสามารถช่วยชีวิตได้อยู่ เพียงแต่นางอาจฟื้นขึ้นมาช้าสักหน่อยมหาเสนาบดีเซี่ยไม่พอใจที่หมอจะรักษาป้าซุ่ยยู่ก่อน เพราะเขาต้องการให้หมอรีบยืนยันว่ากลิ่นที่อยู่ภายในห้องนี้ใช่กลิ่นของกระดังงาหรือไม่อย่างที่ทราบกันดีว่าเมื่อผงกระดังงาถูกเผาแล้วจะทำให้เกิดความอุ่นขึ้น ตราบใดที่หมอยืนยันว่ากลิ่นในห้องนี้เป
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว