อย่างไรก็ตาม นางประเมินอ๋องเยี่ยต่ำไปจริง ๆ เมื่อลูกธนูมากมายถูกยิงเข้ามาราวกับแหฟ้าตาข่ายดิน อ๋องเยี่ยก็ใช้วิชาตัวเบากระโดดขึ้นในอากาศและเคลื่อนตัวฝ่าห่าธนูไปอย่างง่ายดายราวกับนกนางแอ่น หลังจากเข้าประชิดตัวอีกฝ่ายแล้ว เขาก็เอื้อมมือออกไปคว้าคอเสื้อขององค์ชายเจ็ดด้วยมือเดียวสนมอี้กระโดดขึ้นไปในอากาศโดยใช้เท้าข้างเดียว พลางคว้าเสื้อขององค์ชายเจ็ด และพาเขาหลบหนีไปด้วย ก่อนซ่อนตัวเขาเอาไว้ด้านหลัง ทันใดนั้นองครักษ์ของวังอี๋หลานก็กรูกันเข้ามาปิดล้อมอ๋องเยี่ยสนมอี้กระโดดลงพื้นอย่างนุ่มนวลก่อนพาองค์ชายเจ็ดหนีออกจากกลุ่มฝูงชน ฝีมือของนางเก่งกาจยิ่งนัก ไม่ว่าจะทำอะไรก็ง่ายดายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก หลังจากเท้าแตะพื้น นางก็รีบวิ่งเข้าไปในห้องโถงด้านในทันทีทันใดนั้นกระบี่ยาวเล่มหนึ่งก็พุ่งเฉียดลำคอของนางไปปักอยู่ที่ฉากกั้นไม้จันทน์ทางด้านขวามือนางหันกลับไปมองข้างหลังอย่างรวดเร็ว พบว่าองครักษ์หลายคนนอนกระจัดกระจายอยู่บนพื้นในห้องโถง ขณะที่เบื้องหน้ามีกลุ่มชายชุดดำยืนอยู่ โดยไม่รู้ว่าพวกเขามาถึงเมื่อใดอ๋องเยี่ยส่ายหน้าพลางกล่าว “ดูเหมือนว่าพระสนมผู้นี้พูดดี ๆ ไม่ชอบ ต้องให้บังคับสินะ”สนม
“ปล่อยเขาไป!” สนมอี้คุกเข่าลงกับพื้นพร้อมโอบกอดองค์ชายเจ็ด ขณะจ้องมองอ๋องเยี่ยด้วยความแค้น “ข้าตอบตกลงทำตามที่ท่านบอกแล้ว ท่านยังต้องการอะไรอีก?”อ๋องเยี่ยควงกริชในมือพร้อมกล่าว “นี่มิใช่สิ่งที่เขาร้องขอหรอกหรือ? ข้าเพียงเกียจคร้านเกินไปที่จะฆ่าเขาน่ะ”“เขายังเป็นเด็ก!” สนมอี้ดึงผ้าเช็ดหน้าออกมา แล้วใช้มันพันรอบนิ้วของบุตรชาย แม้จะโกรธแค้นอีกฝ่าย แต่นางก็เกรงกลัวอีกฝ่ายมากไม่แพ้กัน“แม้จะเป็นเด็กก็จริง แต่เมื่อโตขึ้น เขาจะต้องกลายเป็นคนป่าเถื่อนแน่นอน” อ๋องเยี่ยก้าวถอยหลังพลางกล่าว “พระสนมทำตามที่รับปากไว้เถิด ส่วนเรื่องถลกหนังทั้งเป็น ข้าไม่ได้พูดส่งเดชเท่านั้น ข้าจะทำหน้าที่ของข้าต่อไป หากเจ้ายังไม่เชื่อข้า ก็จงไปถามคนอื่น ๆ เสียว่าหอเซี่ยฮั่นของข้าทำอะไรได้บ้าง”สิ้นคำ เขาก็โบกมือและเดินออกไปพร้อมกับชายชุดดำสนมอี้ทรุดตัวลงกับพื้นขณะที่ตัวสั่นงันงก หอเซี่ยฮั่นงั้นรึ?เขามาจากหอเซี่ยฮั่นหรือ?หอเซี่ยฮั่นคือสำนักหนึ่งที่ถูกก่อตั้งขึ้นในเจียงหู่เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา สำนักแห่งนี้มีมือสังหารที่มีทักษะขั้นสูงและไร้ความปรานีมากมายอยู่ใต้บังคับบัญชา ซึ่งทุกคนล้วนมีส่วนร่วมในธุรกิจขั
วันรุ่งขึ้น อ๋องเยี่ยได้ทำการตรวจค้นทั่วพระราชวังครั้งใหญ่ ให้เหตุผลว่าเพื่อกำจัดผู้ลอบสังหารเหล่าไท่จวินมาที่วังซีเหวยเป็นพิเศษ เพื่อขอเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิในวันนี้ อ้างว่าบาดแผลของตนเองเริ่มแดงช้ำเลือดและมีหนอง นางจึงต้องการพบจื่ออัน ทว่าตอนนี้จื่ออันอยู่ที่นี่ นางจึงต้องกราบทูลเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิก่อนเมื่อจักรพรรดิเห็นเหล่าไท่จวินมาถึงที่ ก็เชิญนางเข้าไปในวังเส้นทางการพึ่งพาเฉินไท่จวินของจักรพรรดิเริ่มขึ้นตั้งแต่สมัยที่เขายังเป็นองค์ชายรัชทายาท ตระกูลเฉินทรงอำนาจที่สุดในเวลานั้น อีกทั้งพวกเขายังมีวีรกรรมกล้าหาญ ตราบใดที่มีเฉินเหล่าไท่จวินยืนอยู่ในท้องพระโรง ก็ราวกับมีเครื่องป้องกันไม่ให้ศัตรูจากต่างแดนรุกราน แม้กระทั่งตอนนี้ นางยังคงเป็นตำนานแห่งสนามรบ ทำให้ประเทศอนารยชนเล็ก ๆ เหล่านั้นหวาดกลัวช่วงแรกในการขึ้นครองบัลลังก์ของจักรพรรดิ เหล่าไท่จวินเกษียณไปแล้ว อย่างไรก็ตาม นางลั่นวาจาไว้ในท้องพระโรงว่า “ตระกูลเฉินยินดีที่จะรับใช้ราชวงศ์โจวดุจวัวและม้า” ทำให้บารมีของจักรพรรดิถูกผลักดันขึ้นไปจนถึงขีดสุด คำสาบานแสดงความจงรักภักดีของตระกูลเฉิน ส่งผลให้สถานภาพของพระองค์ทรงมั่นคง
อย่างไรก็ตาม เปากงกงไม่ได้บอกว่าหลังจากมือสังหารล้มตาย ที่นั่นเหลือเพียงกุ้ยไท่เฟยและซุนฟางเอ๋อร์เท่านั้น เขาบอกเล่าชี้นำไปในเชิงว่าเหล่าไท่จวินและทหารยามบีบบังคับให้มือสังหารกัดยาพิษฆ่าตัวตาย“หลังจากมือสังหารบุกเข้าไปในตำหนักแล้ว ยังมีคนยิงธนูด้วยหรือ?” จักรพรรดิตรัสถาม“ใช่เพคะ มีบางคนยิงธนู ทว่ามือสังหารที่ยิงธนูเหล่านั้นกลับไม่ปรากฏตัว หลังจากปล่อยลูกธนูชุดแรกพวกเขาก็หลบลี้หนีไปอย่างไร้ร่องรอย กองทัพจักรวรรดิส่งคนไปไล่ล่าพวกเขา แต่ก็ไม่สำเร็จ จึงสงสัยว่ามือสังหารยังอยู่ในเขตพระราชวัง”“เป็นไปได้หรือไม่ว่ามือสังหารยังอยู่ที่นี่?” จักรพรรดิเหลือบมองจื่ออันโดยไม่รู้ตัว แต่นางเอาแต่หลุบตาลงต่ำ ยืนนิ่งเฉยโดยไม่แสดงสีหน้าใด ๆ“นับตั้งแต่มือสังหารเข้ามาในวัง อ๋องเยี่ยและอ๋องเหลียงก็สั่งปิดประตูพระราชวังทันที ทั้งยังระดมพลจากหอซู่เยวี่ยเพื่อปกป้องกำแพงโดยรอบของพระราชวังชั้นนอก แต่ก็ยังไม่พบร่องรอยของการลอบสังหาร นี่หมายความว่ามือสังหารน่าจะยังอยู่ในวัง เราแค่ไม่รู้ว่าเขาซ่อนตัวอยู่ที่ไหน ได้ยินมาว่าอ๋องเยี่ยสั่งให้คนค้นทั่ววังแล้ว”“เราไม่ได้จับมือสังหารสองคนได้หรอกหรือ? เหตุใดไม่เค้
จื่ออันมองไปทางเปากงกง เมื่อเห็นว่าการแสดงออกของจักรพรรดิยังคงไม่เปลี่ยนแปลง นางจึงกล่าวว่า “หม่อมฉันเป็นผู้ออกคำสั่งให้เปากงกงและลู่กงกงเป็นการส่วนตัว เนื่องจากในเวลานี้ควรใส่ใจพระอาการของฝ่าบาทก่อน จึงบอกให้พวกเขาช่วยเพคะ”เปากงกงผงะไปครู่หนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้นมองจื่ออันจักรพรรดิเหลือบมองเล็กน้อย ไม่รู้ว่าภายในใจเขาคิดอะไรกันแน่ จากนั้นก็ตรัสกับจื่ออัน “พระชายา ให้การรักษาบาดแผลของไท่จวินด้านหลังฉากก่อนเถิด อย่าลืมให้ยาแก่นางทันทีหากมีความจำเป็นเร่งด่วน”“เพคะ!” จื่ออันก้าวไปข้างหน้าเพื่อช่วยประคองหญิงชรา เหล่าไท่จวินยืนขึ้นและโค้งคำนับ “รบกวนพระชายาแล้ว”จื่ออันอยากหลุดหัวเราะออกมาเต็มที หญิงชราผู้นี้ไม่เคยปฏิบัติต่อนางอย่างสุภาพถึงเพียงนี้มาก่อน ปกตินางมักจะตะโกนใส่ตนด้วยซ้ำไป“ด้วยความยินดีเจ้าค่ะ!”บาดแผลของหญิงชราบวมแดงและมีหนองจริง ๆ ทว่าก่อนหน้านี้บาดแผลของนางได้รับการรักษาโดยจื่ออันกับมือ จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่มันจะบวมแดงและมีหนองออกมาเช่นนี้ เว้นเสียแต่นางจะทำอะไรบางอย่างกับบาดแผลด้วยตัวเองจื่ออันรู้สึกสะเทือนใจมาก จ้องมองนางด้วยความโกรธ “ถึงท่านจะชรามากแล้ว แต่ก็ควรใส
จุดพักเปลี่ยนม้านั้นไม่มีเจ้าหน้าที่อยู่เลย เมื่อไปถึงจึงขับไล่ทุกคนออกไปนี่ถือเป็นฐานทัพชั่วคราวของเขา ใช้สำหรับบัญชาการและจัดการเรื่องต่าง ๆ ในเมืองหลวงก่อนที่เขาจะออกจากเมืองหลวง เขาได้ส่งคนออกไป บอกว่า หากรอครบกำหนดแล้วกุ้ยไท่เฟยยังไม่วางยาพิษเฉินไท่จวินอีก นั่นหมายความว่านางรู้แผนการของเขาแล้ว ให้ใครสักคนลอบสังหารนางได้ทันที ไม่ว่ากุ้ยไท่เฟยจะตายด้วยวิธีใดก็ตาม จุดประสงค์ของเขาในการประสบความสำเร็จจะต้องบรรลุคืนนั้นมีข่าวมาส่งว่ากุ้ยไท่เฟยมิได้วางยาพิษ มือสังหารทั้งหลายจึงปฏิบัติตามแผนลอบสังหาร แต่มือสังหารทั้งเจ็ดกลับล้มตายในตำหนักสีอัน เฉินไท่จวินได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ส่วนกุ้ยไท่เฟยปลอดภัยดี ทว่าซุนฟางเอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนหมดสติไปเมื่อได้ยินข่าวนี้ อ๋องหนานหวายก็รับรู้ทันทีว่าแผนการล้มเหลว ท่านแม่ล่วงรู้ถึงการกระทำของเขาเพราะเป็นไปไม่ได้ที่คนของเขาจะโจมตีซุนฟางเอ๋อร์ อย่างน้อยก็ในตอนนี้เวลานี้ซุนฟางเอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงขั้นหมดสติ เป็นการยากที่จะเอาชีวิตรอดภายในตำหนักนั้นไปได้“กุ้ยไท่เฟยให้ความสำคัญกับซุนฟางเอ๋อร์เสมอ ต่อให้นางรู้ว่าข้ากำลังคิดการใดอยู่ ถึ
หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ อ๋องหนานหวายก็กล่าวว่า “เจ้าจงส่งคนไปสอดแนมกองทหารของมู่หรงเจี๋ยและเป่ยโม่ว่าพวกมันเคลื่อนไหวอย่างไร”ชางชิวถาม “ท่านอ๋อง ท่านจะทำอะไรพ่ะย่ะค่ะ?”อ๋องหนานหวายกล่าวอย่างไร้ความปรานี “เราผัดวันประกันพรุ่งต่อไปไม่ได้ ท่านแม่จะปกปิดฝ่าบาทต่อไปไม่ได้แล้ว พวกเราจำเป็นต้องทำความเข้าใจกลยุทธ์ทางการทหารของพวกมันก่อนวางแผนต่อไป หากนางได้รับการถอนพิษแล้ว ข้าจะถอนเงินทั้งหมดจากแคว้นใต้ แล้วจ้างคนจากหอเซี่ยฮั่นไปฆ่าเขาเสีย”หากมู่หรงเจี๋ยสามารถเอาชนะได้ ชื่อเสียงของเขาก็จะเป็นที่รู้จักกว้างขวาง และจะได้รับการสนับสนุนจากสาธารณชนจนสามารถก้าวขึ้นไปยังจุดสูงสุดได้ นอกจากนี้ยังสามารถทำให้เป่ยโม่ศิโรราบได้อีกด้วย ดังนั้นสิ่งที่มู่หรงเจี๋ยต้องทำคือจัดการกับเขา อ๋องหนานหวายจึงไม่สามารถปล่อยให้มู่หรงเจี๋ยกลับมาได้เช่นนั้นเขาจึงเรียกชางชิวเข้ามาใกล้แล้วกระซิบข้างหูว่า “เจ้าจงไปที่เป่ยโม่ด้วยตนเอง แล้วตามหาอ๋องแห่งเจิ้งกั๋ว จากนั้นรายงานเขาว่าข้าตั้งใจช่วยพวกเขา”ชางชิวตกตะลึงชั่วครู่ก่อนกล่าว “อย่างไรก็ตาม เป่ยโม่มีความทะเยอทะยานอันโฉดชั่ว แม้ท่านอ๋องจะช่วยเหลือให้พวกเขาประส
ดังนั้นสิ่งที่กุ้ยไทเฟยต้องทำในตอนนี้ คือเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด และไม่อนุญาตให้คนของอ๋องเยี่ยเข้ามาตรวจค้นภายในตำหนัก หากอีกฝ่ายยืนกรานที่จะทำเช่นนั้น นางก็จำเป็นที่จะต้องประวิงเวลาออกไปก่อนยามเย็น อ๋องเยี่ยนำเหล่าทหารองครักษ์มาที่ตำหนักของนางอ๋องเยี่ยออกตรวจค้นที่ตำหนักอื่นก่อนที่จะมายังตำหนักของนาง ดังนั้นกุ้ยไท่เฟยจึงมีเวลามากพอที่จะจัดการกับสิ่งต่าง ๆ ให้เรียบร้อยอาฝูหยุดอ๋องเยี่ยเอาไว้ แต่อ๋องเยี่ยกลับเมินเฉย และกล่าวหาว่าอีกฝ่ายกำลังขัดขวางการค้นหา จากนั้นสั่งให้ทหารจับตัวเขาออกไปให้พ้นทางก่อนเดินเข้าไปในตำหนัก“บังอาจ อ๋องเยี่ย ท่านช่างหยิ่งยโสยิ่งนัก ไม่เคารพข้าเลยรึ?” กุ้ยไท่เฟยกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์เมื่อเห็นอาฝูถูกจับตัวอ๋องเยี่ยยกมือขึ้น ความโอหังของเขาเพิ่มพูนมากกว่าเดิมเมื่อมีอำนาจอยู่ในกำมือ คนผู้นี้ไม่รู้ว่าความอ่อนน้อมถ่อมตนคืออะไร อ๋องเยี่ยมองนิ้วมือของตนแล้วกล่าวอย่างเย็นชา “กุ้ยไท่เฟย ข้าได้รับคำสั่งให้ค้นหามือสังหาร แม้แต่วังซีเหวยก็ต้องถูกตรวจค้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตำหนักสีอัน”น้ำเสียงของเขาเย็นชาและหนักแน่นจนสามารถทำให้ท่าทีสง่างามของกุ้ยไท่เฟยเปลี่ยนไปได้
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว