จื่ออันก้มศีรษะลงพลางเลิกคิ้ว จักรพรรดิไม่เคยเรียกหาสนมอี้มาก่อน แต่คราวนี้เขากลับเรียกหานางในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ผิวหน้าปลอมจะถูกเปิดเผยหรือไม่?ยิ่งไปกว่านั้น องค์ชายเจ็ดยังอยู่ที่สำนักศึกษาอยู่เลยไม่ใช่หรือ? ทำไมจู่ ๆ เขาถึงกลับมา? แล้วกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?จื่ออันเริ่มไม่สบายใจมากขึ้นเรื่อย ๆ นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าองค์ชายเจ็ดกลับมาที่พระราชวังแล้ว ดูเหมือนว่าช่วงที่ผ่านมานางยุ่งเหยิงมากเกินไปจื่ออันรออยู่เพียงชั่วก้านธูปเท่านั้น ขณะที่ใบหน้าเริ่มเกิดอาการชาจากลมหนาว ทันใดนั้นก็เห็นสนมอี้จูงมือองค์ชายเจ็ดออกมา นางประทินโฉมอย่างบางเบา รวบผมหางม้าม้วนขึ้นเป็นมวย มีเสน่ห์อย่างสุดจะพรรณนาทันทีที่องค์ชายเจ็ดเห็นจื่ออัน เขาก็วิ่งเข้าไปในพระราชวัง ร้องตะโกนด้วยความหวาดกลัวไปด้วย “คนเลว นางเป็นคนเลว”จื่ออันตกตะลึง เมื่อเห็นรอยยิ้มชั่วร้ายในดวงตาของสนมอี้เสียงกระแอมของจักรพรรดิดังมาจากในห้องบรรทม “มีอะไรรึ?”“เสด็จพ่อ ผู้หญิงเลวคนนั้นอยู่ที่นี่แล้ว นางคือคนที่ข่มขู่เอาชีวิตข้า” องค์ชายเจ็ดร้องไห้ฟูมฟาย น้ำเสียงของเขาน่าสงสารมากความเงียบเกิดขึ้นชั่วครู่ในห้องบรรทม สนมอี้ลอบทำหน้าเ
จื่ออันไม่มีเวลาคิดเรื่องนี้ ตอบไปตามตรง “เคยพบประมาณสองสามครั้งเพคะ แต่หม่อมฉันไม่เคยพูดคุยกับเขาเลย ไม่รู้ทำไมวันนี้เขาถึงเรียกหม่อมฉันว่าผู้หญิงเลว กล่าวหาว่าหม่อมฉันจะไปถลกหนังควักไส้ ไม่รู้จริง ๆ เพคะว่าเกิดอะไรขึ้น”จักรพรรดิรับสั่ง “ช่วยข้าถอดผิวปลอมออกที ข้าใส่มันมานานแล้ว ตอนนี้เริ่มรู้สึกอึดอัด”จื่ออันเดินไปเอานิ้วจุ่มน้ำ จากนั้นค่อย ๆ ลอกผิวปลอมออก เผยให้เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยผื่นจุดแดง“ผิวปลอมนี้แนบสนิทกับผิวหนัง ไม่แปลกที่จะรู้สึกอึดอัดตามธรรมชาติ” จื่ออันกล่าว“อืม สุขภาพของข้านับวันยิ่งแย่ลงเรื่อย ๆ ควรมีคนรักษาอยู่ข้างกายเสมอ เจ้าใช้ทักษะที่เจ้ามีทำหน้าที่ของตนเองให้ดี หลังจากนี้ให้มาที่วังซีเหวยเพื่อรับใช้ข้า” จักรพรรดิตรัสเบา ๆเขาไม่ได้ถามถึงเรื่องมือสังหารอีก และไม่ได้เจาะลึกถึงคำกล่าวขององค์ชายเจ็ด เพียงเสนอทำข้อตกลงกับเขาเท่านั้น ทุกอย่างเป็นไปตามที่อ๋องเยี่ยคาดการณ์ไว้ เขายังต้องพึ่งพาจื่ออัน ดังนั้นจึงไม่สั่งลงโทษนางในทันที แต่เมื่อเขาเกิดความระแวงขึ้นแล้วก็จะคอยระวังตัว อย่างน้อยเก็บนางไว้ข้างกาย แล้วตนคอยสอดส่องก็ช่วยให้อุ่นใจขึ้นมากจื่ออันรู้ว่านี่เ
นอกวังซีเหวย นางเห็นสนมอี้และองค์ชายเจ็ดยืนอยู่ริมทะเลสาบ ลมหนาวพัดโชยผ่าน สตรีผู้นั้นสวมเสื้อคลุมขนจิ้งจอก กำลังมองดูองค์ชายเจ็ดที่กำลังวิ่งเล่นด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าเมื่อเห็นว่าจื่ออันออกมาแล้ว นางก็คลี่ยิ้มพลางทักทายว่า “พระชายา ออกมาแล้วหรือ?”จื่ออันมองไปที่องค์ชายเจ็ด ทันใดนั้นองค์ชายเจ็ดก็เงยหน้าขึ้นมองนางเช่นกัน ดวงตาของเขาเริ่มฉายแววตื่นตระหนก ก่อนจะย่อตัวลงและยกมือขึ้นปิดปาก ทำท่าทางราวกับว่าเขากำลังจะล้มลงจื่ออันขมวดคิ้ว เกิดอะไรขึ้นกับเด็กคนนี้? ไม่เคยเห็นเขาเป็นเช่นนี้มาก่อนขณะที่นางคาดเดา ก็เห็นองค์ชายเจ็ดระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น ราวกับว่าภายในชั่วพริบตา ความกลัวและอาการใจสั่นทั้งหมดกลับจางหายไป เขาก้าวไปข้างหน้าเพื่อจับมือสนมอี้ “ท่านแม่ กลับกันเถอะขอรับ ไม่สนุกเลย ผู้หญิงคนนี้โง่เกินไป”จื่ออันขมวดคิ้วไม่คลายออกเป็นเวลานาน เกิดอาการตกใจ ตรงหน้านางคือเด็กชายอายุเจ็ดขวบจริง ๆ หรือ? เขาเสแสร้งแสดงละคร ทำหน้าซื่อใจคด ทำตามแผนการของมารดา ไม่ใช่เรื่องเกินจริงหากจะบอกว่าเขาอายุยี่สิบเจ็ดสนมอี้เดินผ่านนางแล้วกล่าวเยาะเย้ย “ยังไม่เข้าใจอีกหรือ? ไม่เป็นไร ยังมีอีกหลา
เมื่ออ๋องเยี่ยเข้ามา แล้วเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นตกใจของทั้งสอง จึงถามว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือ?”อ๋องเหลียงจึงเล่าเรื่ององค์ชายเจ็ด และสรุปว่า “เป็นไปไม่ได้ เด็กอาจโกหกจริง แต่เขาไม่สามารถปิดบังกิริยาจากเสด็จพ่อได้แน่ ด้วยเหตุนี้ข้าจึงไม่เชื่อ”อ๋องเยี่ยนั่งลงและคลี่ยิ้ม “เจ้าควรเชื่อนะ”จื่ออันรีบมองไปที่อ๋องเยี่ย “เหตุใดท่านอ๋องถึงกล่าวเช่นนั้น? ท่านไปรู้อะไรมาหรือ?”จ้วงจ้วงและอ๋องเหลียงก็หันมองหน้ากัน มองอ๋องเยี่ยด้วยความประหลาดใจอ๋องเยี่ยหยิบกาน้ำชาบนโต๊ะ วางไว้บนเตาถ่าน ใช้แขนเสื้อโบกสะบัด ทันใดนั้นไฟถ่านก็ลุกติดขึ้น หลังจากนั้นครู่หนึ่ง กาน้ำชาที่ฝาเผยอออกครึ่งหนึ่งก็ส่งเสียงดังฉ่าอ๋องเยี่ยรินชาจิบ แต่ยังคงนิ่งเงียบจ้วงจ้วงเอ่ยด้วยความโกรธ “เจ้ามัวทำตัวลึกลับอะไรอยู่ได้ บอกมาเร็ว ๆ ว่าเรื่องเป็นมาอย่างไร?”อ๋องเยี่ยถูถ้วยในฝ่ามือของตน พลางม้วนริมฝีปาก “เด็กน้อยอาจดูเหมือนเรียบง่ายใช่หรือไม่? แต่เสี่ยวชีคนนี้น่ะแย่กว่าที่พวกเจ้าคิดมาก แย่มากเชียวล่ะ”“แย่มาก? เป็นไปได้อย่างไร เขาเป็นแค่เด็กเจ็ดขวบเท่านั้นเอง!” จ้วงจ้วงตกตะลึงจริง ๆ“เด็กอะไรกัน?” อ๋องเยี่ยตะคอกอย
"ข้าเห็นกับตาเพราะบังเอิญผ่านไปพอดี” อ๋องเยี่ยกล่าว“บังเอิญผ่านแล้วยังบังเอิญเห็นด้วยหรือ?”“เป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ ข้ากำลังจะไปที่ตำหนักสีอันเพื่อคารวะเสด็จแม่ จึงต้องผ่านวังอี้หลานพอดี” อ๋องเยี่ยสะบัดถ้วยของเขา ใบหน้าฉายแววไม่แยแส “อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอก เพียงแต่ข้าเห็นกับตาถึงกล้าเล่า เรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง เจ้าสามารถตรวจสอบก็ได้ว่าภายในปีนี้มีขันทีและทหารกี่คนล้มตายในวังอี้หลาน”จ้วงจ้วงตกใจ “ทำไมก่อนหน้านี้เจ้าไม่เคยพูดอะไรเลยล่ะ?”“ข้าเป็นสายเลือดราชวงศ์ที่ถูกทอดทิ้ง จึงไม่ต้องการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในวังหลังมากเกินไป” อ๋องเยี่ยทำท่าทางโดดเดี่ยวเล็กน้อย จื่ออันเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนที่ถูกราชวงศ์ทอดทิ้งแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะการทรยศภายในวังหลัง และการสมรู้ร่วมคิดต่อสู้ภายในราชวงศ์ก่อนต่างหากสำหรับผู้ที่อยากมีชีวิตดี ๆ เมื่อเจอแบบนี้ ใครบ้างจะไม่ท้อใจ?สำหรับนางแล้ว หากไม่ใช่เพราะอ๋องเจ็ด นางคงไม่มีทางวิ่งฝ่าน้ำโคลนเช่นนี้เด็ดขาด คงจะไปซ่อนตัวที่ไหนสักแห่งที่สงบสุขสบายใจอ๋องเหลียงเปลี่ยนเรื่อง “เจ้าส่งคนไปขัดขวางองครักษ์เงาแล้วหรื
ซุนฟางเอ๋อร์ลืมตาขึ้น ดวงตาของนางหม่นหมอง แลบลิ้นเลียริมฝีปากที่แห้งผากของตนเอง เค้นเสียงแหบแห้งออกมา “โหรวเหยา... ไปแล้วหรือ?”“นางวิ่งพรวดพราดออกไปเช่นนั้น เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?” จื่ออันนั่งลงตรงขอบเตียง ยกผ้านวมขึ้นดูบาดแผลของนางซุนฟางเอ๋อร์ไม่ส่งเสียง จ้องมองไปทางประตูด้วยแววตาเหม่อลอย บนใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ แต่ดวงตาฉายแววตื่นตระหนกเล็ก ๆบาดแผลไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง จื่ออันเข็มออกมาฝังตามผิวหนัง พิษถูกขับออกไปจนสิ้น อีกทั้งคนยังฟื้นขึ้นมา นั่นหมายความว่านางรอดพ้นจากประตูนรกแล้ว“เจ้าช่วยข้าไว้รึ?” ซุนฟางเอ๋อร์หันกลับมามองจื่ออัน“ประมาณนั้น” จื่ออันไม่ถ่อมตนเลยแม้แต่น้อย“ข้าคงไม่ขอบคุณเจ้า” ซุนฟางเอ๋อร์กล่าวจื่ออันมองหน้านาง “เหตุใดกุ้ยไท่เฟยถึงฆ่าเจ้า?” ไม่ว่านางจะยินดีขอบคุณหรือไม่ก็ตาม นางไม่สนใจเลย การช่วยเหลือนางเป็นเพราะนางอยากรู้ในสิ่งที่อยากรู้ซุนฟางเอ๋อร์นิ่งเงียบไม่ยอมตอบจื่ออันรู้ว่าไม่ง่ายเลยที่จะง้างปากเค้นความจากนาง อย่างน้อยซุนฟางเอ๋อร์ก็ไม่บอกนางโดยตรงนางออกไป เห็นว่าโหรวเหยายังรออยู่ในสวน จื่ออันจึงกล่าวกับโหรวเหยาว่า “โหรวเหยา เจ้าช่วยข้าหน่อย เข
“นางวางยาอ๋องหนานหวาย เป็นพิษชนิดใดกัน? พิษนั้นจะทำให้เขาถึงแก่ความตายเมื่อใด?”“ตราบใดที่เขาไม่ได้รับยาถอนพิษ เขาจะตายจากพิษภายในหนึ่งเดือน หากแม่กู่ตาย ลูกกู่ก็จะตายด้วย ดังนั้นเป้าหมายสูงสุดของนางในการฆ่าอ๋องหนานหวายก็คือการฆ่ามู่หรงเจี๋ย แน่นอน หากข้าเดาไม่ผิด นางคงวางยาพิษให้เขาตายอย่างช้า ๆ พิษนั้นจะไม่สังหารเขาในทันที แต่ต้องการให้เขาอยู่ภายใต้การควบคุม หากข้าไม่ตาย นางก็ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายในการควบคุมอ๋องหนานหวาย”จื่ออันยิ่งงุนงง “หากเจ้าตาย ก็ไม่มีใครที่สามารถถอนพิษกู้ร่วมชะตาได้แล้ว ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับอ๋องเจ็ด แม่กู่อย่างอ๋องหนานหวายก็จะตายด้วยเช่นกัน แต่ทำไมนางถึงทำเช่นนี้?”ซุนฟางเอ๋อร์พูดเสียงเย็นชา “หากนางมีอำนาจมากพอ ก็สามารถบรรลุเป้าหมายโดยการควบคุมองค์ชายท่านใดก็ได้ นางแตกต่างจากสนมเหลียง สนมเหลียงพยายามทำทุกอย่างเพื่อบุตรชายของตนเอง ทว่านางทำไปเพื่อตัวนางเองเท่านั้น ไม่ว่าองค์ชายคนไหนก็ตามจะเสด็จขึ้นสู่ราชบัลลังก์ ตราบเท่าที่นางสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง นั่นเท่ากับนางกุมอำนาจไว้อย่างเบ็ดเสร็จ นางอาจกลายเป็นผู้สำเร็จราชการแทน หรือแม้กระทั่งขึ้นเป็นไทเฮา”จื่ออันไม
ทันใดนั้นความคิดในจิตใจของจื่ออันพลันชัดเจนขึ้น คนตายเจ็ดคน ซึ่งพบเจอในที่เกิดเหตุห้าคน และมีพยานผู้รอดชีวิตสองคน ดังนั้นทั้งสองคนจึงต้องเตรียมตัวถูกสอบปากคำ หลังจากทรมานอยู่นาน พวกเขาก็ยอมสารภาพเป้าหมายที่แท้จริงทั้งสองศพยังไม่ถูกค้นพบ ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ กุ้ยไท่เฟยไม่สามารถลอบขนศพออกจากพระราชวังได้ เพราะหลังจากมือสังหารถูกจับตัวได้ การรักษาความปลอดภัยในพระราชวังก็เข้มงวดขึ้นอย่างมาก ซึ่งแต่ละประตูของพระราชวังถูกตรวจตราอย่างรัดกุม นอกจากนี้อ๋องเยี่ยยังเพิ่มกำลังเสริมเพื่อป้องกันภัยทางอากาศอีกด้วย หากออกมาเดินเล่นในยามวิกาล ก็อาจได้ยินเสียงลมหายใจขององครักษ์ที่ประจำอยู่ตามต้นไม้ก็เป็นได้ทั้งสองศพยังถูกซ่อนอยู่ในวังตราบใดที่ศพของมือสังหารทั้งสองคนถูกค้นพบ นางก็จะพ้นผิด“เจ้าแน่ใจหรือว่าศพยังอยู่ในพระราชวัง?” จื่ออันถามยืนยันอีกครั้งซุนฟางเอ๋อร์ตอบอย่างมั่นใจ “มีเจ็ดคนแน่นอน ข้าเป็นคนเดียวในพระราชวังที่รู้เรื่องนี้ กุ้ยไท่เฟยร่วมมือกับมือสังหารโรยผงพิษที่หากใครก็ตามได้สูดดมเพียงเล็กน้อยก็จะต้องเสียชีวิต และแน่นอนว่าข้าคือผู้ที่ได้รับข้อยกเว้น เนื่องจากข้าเป็นคนพัฒนาผงพิ
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว