เมื่อเห็นนางออกไป อ๋องหนานหวายก็ลดเสียงลงและพูดกับกุ้ยไท่เฟย “ท่านแม่ วันนี้ถือเป็นช่วงเวลาอันดี ท่านต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ให้ได้”กุ้ยไท่เฟยมองหน้าเขา “อย่ากังวลเลย เจ้าออกจากเมืองหลวงเถอะ แต่อย่ารุดหน้าไปไกลเกินไป รั้งรออยู่ใกล้ ๆ สักสองวัน จากนั้นคนของแม่จะออกไปรับเจ้า”อ๋องหนานหวายตกตะลึงเล็กน้อย “ท่านแม่มีวิธีทำให้ข้าอยู่ต่อแล้วหรือ?”“ใช่ มีวิธีแน่นอน” กุ้ยไท่เฟยยิ้มอย่างพึงพอใจ “เจ้าไปเถอะ”“ถ้าอย่างนั้น…” อ๋องหนานหวายก้าวไปข้างหน้า “ท่านแม่ เหตุใดท่านไม่เล่าให้ข้าฟังสักหน่อยเล่าว่าวิธีนั้นคืออะไร?”“จะรีบร้อนไปทำไมกัน คอยฟังข่าวก็พอแล้ว อย่าไปไกลนัก มิฉะนั้นอาจเสียเวลาในการเดินทางกลับ”อ๋องหนานหวายรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา เขามีลางสังหรณ์ว่าเรื่องราวต่าง ๆ เป็นไปอย่างราบรื่นเกินไปเพื่อเป็นการระมัดระวัง หลังจากที่เขาออกจากวังไปแล้ว จึงสั่งทหารหน่วยกล้าตายทันทีว่า หากกุ้ยไท่เฟยไม่กินยาพิษจนตายเองภายในห้าวัน เขาจะทุ่มเทกำลังทั้งหมดเพื่อฆ่านางซะซุนฟางเอ๋อร์ไม่ได้ติดตามอ๋องหนานหวายไป พราะการจากไปของเขาในครั้งนี้เป็นเพียงละครตบตาเท่านั้น และเขาจะกลับมาภายในไม่กี่วันข้างหน้า หากซุน
หูฮวนสี่พานางไปยังอาคารจู้ฝูที่ดำเนินกิจการโดยตระกูลหู ก่อนจะเข้าไปนั่งภายในห้องส่วนตัวในสวนภายในห้องจุดถ่านไฟไว้ บรรยากาศจึงค่อนข้างอบอุ่น หูฮวนสี่กล่าวว่า “ถอดเสื้อคลุมออกเถอะ ที่นี่อากาศอุ่น หากเจ้าดื่มสุราจะกลายเป็นร้อนเสียเปล่า ๆ”ซุนฟางเอ๋อร์ยื่นมือออกไปกระชับเสื้อคลุม ส่ายหน้า “ข้าไม่ดื่มสุรา แล้วก็ไม่ร้อนด้วย”หูฮวนสี่ยิ้ม “ได้ ตราบใดที่เจ้าต้องการเช่นนั้น”หูฮวนสี่เรียกป๋อซื่อเข้ามาสั่งยา ถามซุนฟางเอ๋อร์ว่า “เจ้าอยากกินอะไร?”ซุนฟางเอ๋อร์ตอบกลับ “อะไรก็ได้”หูฮวนสี่ยิ้ม “เจ้าเป็นคนเรียบง่ายเสียจริง”ทว่าภายในใจอดค่อนแคะไม่ได้ อะไรก็ได้เป็นคำตอบที่น่ารำคาญที่สุดนางสั่งอาหารขึ้นชื่อมาสามจาน ขอให้เด็กช่วยอุ่นสุราให้หนึ่งกา จากนั้นก็ดื่มจอกหนึ่งก่อนเพื่อทำให้ร่างกายที่เย็นเฉียบของตนอบอุ่นขึ้น เมื่อเห็นว่าซุนฟางเอ๋อร์มองมาที่นางเงียบ ๆ ก็อาสารินให้นางบ้าง “เจ้าก็ดื่มหน่อยสิ”“นิดเดียวก็พอแล้ว” ซุนฟางเอ๋อร์หยิบจอกสุราขึ้นมา ดื่มเพียงนิดเดียวจริง ๆ ราวกับใช้ริมฝีปากจุ่มลงไปเท่านั้นหูฮวนสี่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “เจ้ากลัวว่าข้าจะวางยาเจ้างั้นหรือ?”ซุนฟางเอ๋อร์ส่ายหน้า “เป
หูฮวนสี่กล่าวว่า “ทุกคนย่อมมีความทะเยอทะยานที่จะมุ่งไปสู่จุดสูงสุด เขาไม่ได้เต็มใจที่จะเป็นปั๋วซื่อ เพราะเขาสามารถสร้างรายได้ด้วยการเรียนรู้วิธีทำสุรา และเขาก็ชื่นชอบมันเช่นกัน ทุกคนควรทำในสิ่งที่ตนเองชอบ ถูกหรือไม่?”“แต่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถทำตามใจชอบได้” ซุนฟางเอ๋อร์โต้กลับ“ใช่” หูฮวนสี่ถอนหายใจเบา ๆ “เรามักทำในสิ่งที่ตนไม่สมัครใจ กระนั้นจะมีหนึ่งหรือสองสิ่งที่เราสามารถทำได้เสมอ อย่างเช่นข้า แต่ละวันงานของข้ายุ่งมาก แต่ข้าชอบพูดคุยกับสหาย ดังนั้นข้าจึงหาเวลาว่างจากงานที่กองสุมหัวเพื่อออกไปพบปะพูดคุยกับเพื่อน ๆ เหมือนกับที่คุยกับเจ้าในวันนี้อย่างไรล่ะ”หัวใจของซุนฟางเอ๋อร์รู้สึกตื้นตันเล็กน้อย “ข้าคิดอยู่เสมอว่าเจ้าเข้าหาข้าเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง”“จำเป็นต้องมีจุดประสงค์ด้วยหรือ? คนเราเกิดมาชีวิตหนึ่ง ก็ต้องทำให้ตัวเองมีความสุขสิ”จู่ ๆ ซุนฟางเอ๋อร์ก็เอื้อมมือไปจับมือนาง “หูฮวนสี่ ข้าจะเล่าอะไรให้ฟัง หลังจากที่ข้าบอกเจ้าแล้ว เจ้าจะถือว่าข้าเป็นมิตรแท้ของเจ้าได้หรือไม่?”หูฮวนสี่ตกใจกับความจริงจังของนางที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน “ข้าถือว่าเจ้าเป็นมิตรอยู่แล้ว”“เปล่า ถึงเจ้าจะออก
หูฮวนสี่มองไปที่ใบหน้าที่สวยงามของนาง รู้สึกสับสนเล็กน้อยเป็นเรื่องดีจริงหรือไม่ที่นางมาบอกกล่าวอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้?หลังจากบอกลาซุนฟางเอ๋อร์แล้ว หูฮวนสี่ก็เข้าไปในวังทันทีจื่ออันได้ยินว่าซุนฟางเอ๋อร์เป็นผู้บอกกล่าวด้วยตัวเอง ก็สงวนท่าทีเล็กน้อย “เจ้าคิดว่าสิ่งที่ซุนฟางเอ๋อร์กล่าวมาเป็นความจริงหรือไม่?”“ข้าก็ไม่รู้ เพราะข้าไม่แน่ใจนี่แหละ จึงนำความมาบอกเจ้าตามตรงและให้เจ้าตัดสินเอาเอง” หูฮวนสี่กล่าวจื่ออันคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทำไมซุนฟางเอ๋อร์ถึงทำเช่นนี้? เพียงเพื่อให้หูฮวนสี่นับนางเป็นมิตรแท้จริง ๆ หรือ? เพราะตนเป็นเพื่อนที่ดีของอีกฝ่ายงั้นรึ?แต่นางกำลังจะได้เป็นพระชายาของอ๋องหนานหวาย หากอ๋องหนานหวายรู้ว่านางทรยศเขา ทุกสิ่งที่นางเคยได้รับจะหายไปสิ้นจื่ออันจำได้ว่าซุนฟางเอ๋อร์เคยพูดก่อนหน้านี้ ว่ามีคนคิดจะฆ่านาง เป็นไปได้หรือไม่ว่าบุคคลที่ว่าก็คืออ๋องหนานหวาย?หากสิ่งที่นางกล่าวมาเป็นความจริง อ๋องหนานหวายคงไม่อาจนิ่งนอนใจแน่แต่หากสิ่งที่นางกล่าวเป็นเท็จ แม่กู่ร่วมชะตาจะยังคงอยู่ในตัวอ๋องหนานหวาย การฆ่าอ๋องหนานหวายยังคงเป็นอันตรายต่ออ๋องเจ็ดไม่ว่าเรื่องจะเป็นจริงหรือเท็
วันรุ่งขึ้น คนในวังแพร่ข่าวลือออกไปว่าองค์ชายผู้สำเร็จราชการถูกซุ่มโจมตีจนได้รับบาดเจ็บสาหัส เกรงว่าชีวิตของพระองค์อาจตกอยู่ในอันตรายได้ทุกเมื่อว่ากันว่าข่าวนี้มาจากอ๋องเยี่ย ซึ่งเป็นข่าวที่สามารถเชื่อถือได้แน่นอนว่าตำหนักสีอันก็ได้รับข่าวดังกล่าวเช่นกัน ในตอนเที่ยงหลายคนเห็นอาฝูออกมาจากวังอย่างเร่งรีบ ก่อนจะพาซุนฟางเอ๋อร์กลับเข้าไปในวังพร้อมกันกับนางซุนฟางเอ๋อร์รั้งอยู่ในวังนานกว่าหนึ่งชั่วยาม จากนั้นอาฝูก็ออกไปส่งนางอีกครั้ง ทว่าคืนนั้นอาฝูไม่ได้กลับเข้ามาอีกเช้าวันถัดมา จื่ออันเข้าไปที่ตำหนักสีอันเพื่อมอบเครื่องหอมให้กับกุ้ยไท่เฟยตำหนักสีอันอบอวลไปด้วยกลิ่นฉุนเปรี้ยวบางอย่างที่ทำให้นางรู้สึกขยะแขยงกลิ่นดูคล้ายกับกลิ่นของน้ำส้มสายชูอย่างไรอย่างนั้นกลิ่นนี้แผ่กระจายไปทั่วตำหนักตั้งแต่เดินผ่านเข้าประตูมา ไปจนถึงห้องโถงชั้นใน กลิ่นเปรี้ยวโชยไปโดยรอบจื่ออันจำได้ว่ามู่หรงเจี๋ยมักจะบังคับให้นางดื่มน้ำส้มสายชูอยู่เสมอ แม้กระทั่งป้าอาเฉอก็กำชับให้นางฝืนดื่มมันมาก ๆ เป็นไปได้หรือไม่ว่าการล้างพิษอาจเกี่ยวข้องกับน้ำส้มสายชู?หลังจากเผาเครื่องหอมแล้ว นางก็ขอเข้าพบกุ้ยไท่เฟยกุ้
เหล่าไท่จวินยังไม่ทันเอ่ยถามอะไร ทันใดนั้นจิตสังหารก็บังเกิดขึ้นกลางอากาศในฐานะที่นางเป็นแม่ทัพโชกโชนการรบมานานหลายปี นางย่อมคุ้นเคยกับออร่าสังหารแบบนี้เป็นอย่างยิ่งปฏิกิริยาแรกของนาง คือกุ้ยไท่เฟยขอให้ใครสักคนฆ่านาง แต่เมื่อนางเห็นชายชุดดำร่อนลงมาจากหลังคาและจ้วงแทงไปที่กุ้ยไท่เฟย นางถึงรู้ว่าตนเดาผิด“ใครก็ได้ มีมือสังหาร!” อาฝูร้องตะโกนลั่น คว้าดาบขึ้นมาเตรียมต่อสู้กับชายชุดดำชายชุดดำเหล่านี้สามารถหลบซ่อนรอเวลาอยู่บนหลังคาตำหนักสีอันได้ แปลว่าทักษะวิชาตัวเบาของพวกเขาไม่ธรรมดาเหล่าไท่จวินเหวี่ยงไม้เท้าหัวมังกรออกไป พุ่งตัวไปต่อสู้กับชายชุดดำทั้งสองคน แม้ว่าตอนนี้นางจะชราลงไปมาก ทว่านางมิได้ว่างเว้นจากการฝึกยุทธ์ในช่วงเวลาที่ผ่านมาเสียทีเดียว จะเห็นได้ว่านางเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ไม่อ่อนข้อแต่อย่างใด เข่นฆ่าศัตรูด้วยจิตสังหารซุนฟางเอ๋อร์คิดจะปกป้องกุ้ยไท่เฟย แต่แล้วก็ถอยกรูดกลับเข้าไปในห้องโถง นางไม่รู้ว่าควรแสดงสีหน้าอย่างไรดี เพราะรู้ว่าใครเป็นคนส่งมือสังหารมานางหันศีรษะไปตะโกนว่า “กุ้ยไท่เฟย อย่าทรงตื่นตระหนก..."นางตกตะลึงโดยพลัน รู้สึกปวดแปลบบริเวณหน้าท้องขึ้นมาอย่า
ชายในชุดดำทั้งเจ็ดคนล้มลงกับพื้นทีละคน อาฝูได้จังหวะก็ปรี่เข้ามาพร้อมกับทหารยาม กุ้ยไท่เฟยรีบเปิดประตูห้องโถงด้านใน ชายชุดดำสองคนเดินออกมาจากที่ไหนสักแห่ง ลากชายชุดดำสองคนที่นอนตายอยู่บนพื้น แทงดาบลงบนอกศพทั้งสองย้ำอีกครั้ง หลังจากนั้นทั้งสองก็หันไปแทงกันเอง ก่อนจะล้มลงกับพื้นเพราะเคี้ยวยาพิษในปากเมื่อเหล่าไท่จวินและคนอื่น ๆ เร่งรุดเข้าไป กุ้ยไท่เฟยก็คว้าแขนนางไว้ ทหารยามที่นำโดยอาฝูชักดาบออกแล้วจ่อไปยังมือสังหารบนพื้นในเวลาเดียวกัน ทหารองครักษ์จำนวนมากก็มาถึง ชายชุดดำที่ได้รับบาดเจ็บสองคนถูกพาตัวไปคุมขัง ซุนฟางเอ๋อร์ที่หมดสติก็ถูกหามออกไปด้วยเช่นกันเมื่อเห็นว่าซุนฟางเอ๋อร์ยังพอขยับเคลื่อนไหวได้ อาฝูจึงต้องการช่วยเหลือนาง แต่ถูกห้ามปรามโดยกุ้ยไท่เฟย ซุนฟางเอ๋อร์ไม่มีทางมีชีวิตรอดต่อไปได้ นอกจากนางจะได้รับบาดเจ็บสาหัสจนล้มกองลงไปกับพื้น เมื่อครู่นางยังสูดดมผงพิษเข้าไปด้วย ถึงพิษเจือจาง แต่ก็ไม่น่ายื้อได้นานเหตุการณ์ลอบสังหารในวัง รวมถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตำหนักของกุ้ยไท่เฟยดึงดูดความสนใจของทุกคนเรื่องนี้แพร่ไปถึงหูขององค์จักรพรรดิ จักรพรรดิจึงมีรับสั่งให้อ๋องเหลียงและอ๋องเย
จ้วงจ้วงตะลึงงัน “แปลกอย่างไร? เรื่องมือสังหารที่แฝงตัวอยู่ในตำหนักสีอันงั้นหรือ? คนเหล่านั้นชำนาญวิทยายุทธ์ทั้งหมด ทักษะวิชาตัวเบาของพวกเขาก็น่าทึ่ง ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยที่พวกเขาสามารถแฝงตัวอยู่ในตำหนักสีอันได้ ทว่าพวกเขาไม่รู้จักตรวจสอบสถานการณ์ วางกลอุบายเพียงทางเดียว จึงไม่รู้ว่าเหล่าไท่จวินเองก็อยู่ผู้ในตำหนักสีอัน มิฉะนั้นคงสังหารสำเร็จไปแล้ว”จื่ออันกล่าว “นั่นก็จริง แต่ทำไมพวกเขาจะไม่รู้ว่าเหล่าไท่จวินอยู่ที่นี่? ช่วงนี้เฉินไท่จวินเทียวเข้าเทียวออกตำหนักสีอัน ตอนเกิดเหตุเฉินไท่จวินก็กำลังจะจากไปอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้ไม่มีผู้ใดล่วงรู้การมีอยู่ของพวกมือสังหาร พวกเขาจะรอให้เฉินไท่จวินจากไปแล้วค่อยลงมือก็ย่อมได้ แต่รีบร้อนลงมือเกินไป นี่ไม่สมเหตุสมผลเลย นอกเหนือว่าพวกเขาต้องการฆ่าเหล่าไท่จวินด้วย ถึงเลือกลงมือก่อนที่นางจะออกไป”“ใช่ หากเฉินไท่จวินตายไป เขาก็หมดสิ้นขวากหนามไปอีกหนึ่ง”“แต่ทำไมอ๋องหวานหวายจึงต้องฆ่าซุนฟางเอ๋อร์ด้วย?” จื่ออันไม่เข้าใจประเด็นนี้เลย อ๋องหวานหวายและกุ้ยไท่เฟยคิดฆ่าซุนฟางเอ๋อร์ด้วยเหตุใด? เป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกเขารู้เรื่องความสัมพันธ์ของซุนฟางเอ๋อร์ก
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว