การกระทำผิดโดยเจตนาเป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้ ทว่าเนื่องจากเป็นความประสงค์ของจักรพรรดิ หากทำตามคำสั่งของอ๋องเยี่ย แม้จะกระทำการเกินกว่าเหตุ พวกเขาก็จะไม่ถูกลงโทษอ๋องเยี่ยรู้เรื่องนี้ดีเช่นเดียวกับกุ้ยไท่เฟย ดังนั้นหากมีใครข่มขู่ก่อน อีกฝ่ายก็จะข่มขู่กลับดังนั้นในการตรวจค้นพระราชวัง เหล่าทหารรักษาพระราชวังจึงจำเป็นต้องระมัดระวังอย่างมาก การตรวจค้นวังสีอันเป็นงานสำคัญของอ๋องเยี่ย ดังนั้นเขาจึงสั่งให้เหล่าทหารตรวจค้นอย่างละเอียด และจะต้องไม่มีข้อผิดพลาดพวกเขาเริ่มตรวจค้นจากห้องโถงหลังไปยังห้องโถงด้านใน จากนั้นไปยังห้องบรรทม ก่อนที่จะเดินทางไปยังศาลาและสวนหย่อม ทหารรักษาพระราชวังตรวจค้นอย่างละเอียดเช่นเดียวกับการชันสูตรพลิกศพ พวกเขาสามารถตรวจค้นสถานที่ที่สามารถซ่อนร่างกาย มือ และเท้าของมนุษย์ทุกซอกทุกมุมถึงกระนั้นก็ยังไม่พบเบาะแสอ๋องเยี่ยยืนอยู่ข้างบ่อน้ำร้างพร้อมครุ่นคิดกุ้ยไท่เฟยติดตามการค้นหาอย่างใกล้ชิด ในตอนนี้อาฝูถูกปล่อยตัวแล้ว แต่เขาก็ไม่วายถูกอ๋องเยี่ยตบหน้าสองครั้งในข้อหาขัดขวางการทำงานของเขา“ท่านคงไม่กระโดดลงไปตรวจสอบที่ก้นบ่อด้วยกระมัง? กลับไปเสีย!” กุ้ยไท่เฟยก
อ๋องเยี่ยชะงักไปเล็กน้อย เขาค้นหาทั่วทั้งตำหนักสีอันแล้ว และยังเชื่อว่าบ่อน้ำแห่งนี้เป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในการซ่อนอำพรางศพ ในตอนนี้เขาสังเกตเห็นพิรุธแล้ว ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าบ่อน้ำแห่งนี้ต้องเป็นสถานที่ซ่อนศพอย่างแน่นอนแต่กลับไม่คาดคิดว่าจะหาไม่เจออ๋องเยี่ยหันมองกุ้ยไท่เฟย นางเอียงหน้าเล็กน้อย ขณะที่มุมปากของนางโค้งงอขึ้นราวกับกำลังเยาะเย้ยเขาอยู่เมื่อเห็นว่าอ๋องเยี่ยกำลังมองมาที่ตน กุ้ยไท่เฟยก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เหตุใดท่านอ๋องเยี่ยถึงไม่ลงไปตรวจค้นในบ่อน้ำด้วยตนเองเล่า จะได้รู้แจ้งเสียที หากไม่ตรวจให้รอบคอบ ท่านไม่กลัวมือสังหารหลบหนีไปรึ”อ๋องเยี่ยมองไปยังทหารรักษาพระราชวังที่เปียกโชกพร้อมโบกมือ “ข้าไม่ลงไปแล้วล่ะ ฤดูหนาวครั้งนี้ช่างหนาวเหน็บยิ่งนัก หากลงไปงมหาศพ ก็อาจจะเจ็บป่วยได้ใช่หรือไม่?”ทหารรักษาพระราชวังสองนายมองหน้ากันอย่างไม่รู้จะกล่าวคำใดกุ้ยไท่เฟยเย้ยหยัน “ตอนนี้ท่านอ๋องตรวจค้นตำหนักสีอันทั่วทั้งหมดแล้วหรือยังเพคะ? หากตรวจค้นเรียบร้อยแล้ว ก็เชิญกลับไปเสียเถิด ข้าจะได้ไปจุดธูปทำความเคารพหวงไท่โฮ่วเสียที ข้าหวังว่าอ๋องเยี่ยจะยังจำได้ว่าข้าถูกมอบหมายให้ดูแลคว
อ๋องเยี่ยยกนิ้วชี้ไปที่มุมกำแพงพร้อมกล่าว “ทหาร ย้ายกระถางดอกไม้ออกไปให้หมด”เมื่อกุ้ยไท่เฟยได้ยินเช่นนั้น นางก็เงยหน้าขึ้นพลางอุทาน “อ๋องเยี่ย ท่านก่อปัญหาจนพอใจแล้วหรือยัง? ดอกไม้เหล่านี้ถูกปลูกโดยหวงไท่โฮ่ว แล้วมันจะเป็นที่ซ่อนตัวของมือสังหารได้อย่างไร?”ลู่กงกงกล่าวเสริม “ใช่พ่ะย่ะค่ะ อ๋องเยี่ย กระถางดอกไม้เหล่านี้จะสามารถซ่อนร่างกายมนุษย์ได้หรือ? กระหม่อมไม่เห็นว่ามันจะเป็นเช่นนั้นได้”ใต้กระถางดอกไม้เหล่านี้มีหญ้าปกคลุมอยู่ มันจะสามารถซ่อนศพของมือสังหารได้จริงหรือ?อ๋องเยี่ยกล่าว “หากยังมีชีวิตอยู่ก็คงไม่อาจทำเช่นนั้นได้ แต่หากเป็นศพก็สามารถทำได้มิใช่หรือ?”“ศพ?” ลู่กงกงตกตะลึง “ท่านอ๋องเยี่ยมั่นใจแล้วว่ามือสังหารตายแล้วใช่หรือไม่? หากตายแล้ว ใครเป็นคนซ่อนศพเล่าพ่ะย่ะค่ะ?”เมื่อพบศพมือสังหารในวังหลวง หลังจากชันสูตรแล้ว ศพก็ถูกโยนลงไปในหลุมแล้วฝังรวมกัน ขณะที่มือสังหารสองคนที่ยังมีชีวิตอยู่ถูกกักขังเอาไว้ หากคนที่เหลือหนีรอดไปได้ พวกมันก็อาจจะตายไปแล้ว เหตุใดกุ้ยไท่เฟยถึงต้องซ่อนศพคนเหล่านั้นไว้เล่า พวกมันคือมือสังหาร หากซ่อนอำพรางเอาไว้แล้วนางจะได้เงินทองตอบแทนงั้นรึ?“ไม่
บรรยากาศภายในท้องพระโรงพลันอึมครึมทันทีหัวใจของจื่ออันเต้นไม่เป็นระส่ำ ขณะองค์จักรพรรดิกล่าวออกองค์จักรพรรดินิ่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่ก่อนกล่าวออก ซึ่งน้ำเสียงของเขาอัดแน่นไปด้วยความลำบากใจ “ตอนนี้ทุกคนรู้ว่ามีเหตุการณ์ลอบสังหารแล้ว และตอนนี้ขุนนางทุกคนต่างรอคอยให้อ๋องเยี่ยตรวจสอบตัวตนของผู้บงการและมือสังหารอย่างใจจดจ่อ ซึ่งกรมอาญาก็จะสอบสวนเรื่องนี้ด้วย ความจริงแล้วข้าคาดหวังให้เจ้าทำเช่นนั้นเหมือนกัน”จื่ออันเม้มริมฝีปากพลางกล่าวประชดในใจ ‘จริงสิ การกดดันพระชายาของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ง่ายกว่าการจัดการกับกุ้ยไท่เฟยมากโข’องค์จักรพรรดิกล่าวต่อ “หากกุ้ยไท่เฟยถูกสอบสวนเกี่ยวกับเรื่องนี้ จะต้องมีกลุ่มคนลุกฮือขึ้นมาต่อต้านอย่างแน่นอน เจ้าเป็นคนเฉลียวฉลาด ดังนั้นจึงรู้ดีว่าหากกุ้ยไท่เฟยถูกตัดสินประหารชีวิต ก็เหมือนกับการหยามเกียรติองค์จักรพรรดิผู้ล่วงลับ”จื่ออันตอบด้วยเสียงแหบแห้ง “กระหม่อมเข้าใจแล้วเพคะ”“เช่นนั้น” องค์จักรพรรดิจ้องมองนาง “ข้ารู้ว่าการกระทำเช่นนี้อาจทำให้เจ้าถูกเข้าใจผิด แต่ข้าไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว หากอ๋องเจ็ดรู้เรื่องนี้เข้า เขาก็คงทำเช่นเดียวกับข้า เจ้าอย่ากังวล
คำพูดเหล่านั้นทำให้ทุกคนตกตะลึงอย่างมากมีเพียงอ๋องเยี่ยเท่านั้นที่เม้มริมฝีปากเบา ๆ ดูเหมือนว่าเขาจะคาดเดาเรื่องนี้เอาไว้นานแล้วเฉินไท่จวินกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “กลับกันก่อน แล้วค่อยคุยเรื่องนี้ทีหลังเถิด”จื่ออันไม่รู้ว่าตนจะกลับตำหนักฮุ่ยชิงได้อย่างไร เพราะตอนนี้จิตใจของนางอัดแน่นไปด้วยความโศกเศร้าและโกรธขึ้ง รวมไปถึงความคับข้องใจที่ไม่อาจอธิบายออกมาได้ นางต้องทำเช่นนั้นเพื่อตนเองและเพื่ออ๋องเจ็ดจ้วงจ้วงถามไถ่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้จื่ออันต้องเล่าซ้ำอีกครั้งอ๋องเหลียงนั่งลงพลางกล่าว “มันเกิดขึ้นได้อย่างไร? สิ่งที่พวกเราทุ่มเทลงไปเสียแรงเปล่าอย่างนั้นรึ?”อ๋องเยี่ยตอบอย่างใจเย็น “เจ้า... หากเจ้าตั้งคำถามเช่นนั้นแสดงว่าเจ้าไม่มีคุณสมบัติขององค์จักรพรรดิ”อ๋องเหลียงเงยหน้าขึ้นพลางกล่าว “เสด็จอารู้อยู่แล้วหรือว่าเสด็จพ่อจะทรงตัดสินพระทัยเช่นนี้? เป็นเพราะเหตุใดกัน?”“เพราะเหตุใดงั้นรึ?” อ๋องเยี่ยเยาะเย้ย “เจ้าลองคิดดูให้ดี ๆ แล้วจะเข้าใจ มันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะกำจัดกุ้ยไท่เฟยของจักรพรรดิพระองค์ก่อน หากพวกเรากำจัดนาง ตอนนี้ขุนนางในราชสำนักทั้งหมดล้วนเป็นคนของพี่เจ็ด เช่
“ฝ่าบาทจะตรัสอีกว่าพระองค์จะหาเหตุผลบีบคั้นให้นางฆ่าตัวตาย แล้วป่าวประกาศว่านางเสียชีวิตกะทันหัน” จื่ออันกล่าวเฉินไท่จวินแค่นเสียง “เสียชีวิตกะทันหัน? เป็นไปไม่ได้ ผู้คนภายนอกจะต้องคาดเดาสาเหตุการเสียชีวิตอย่างแน่นอน หลังจากที่เจ้าถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาพยายามฆ่ากุ้ยไท่เฟย เจ้าก็จะมีชนักติดหลัง ดังนั้นประชาชนจะต้องไม่เชื่อว่านางเสียชีวิตอย่างกะทันหันแน่นอน พวกเขาจะต้องคาดเดาว่านางถูกเจ้าฆ่าตาย”“ใช่ พวกเขาจะกล่าวหาว่าข้าเป็นคนลงมือฆ่าแม่สามี และอ๋องเจ็ดก็จะโดนร่างแหว่าอกตัญญูไปด้วย และด้วยจุดด่างพร้อยนี้ทำให้อ๋องเจ็ดไม่อาจก้าวหน้าได้” จื่ออันกล่าวอ๋องเยี่ยมองจื่ออันพลางกล่าว “แผนเดิมของข้า คือต้องการให้สนมอี้แสดงละครและแผนนี้ก็จำเป็นต้องดำเนินต่อไป เจ้าอยากทำอะไรอีกหรือไม่?”“สนมอี้?” จื่ออันไม่รู้ว่าอีกฝ่ายติดต่อกับสนมอี้มานานแล้ว “บอกข้าเกี่ยวกับแผนเดิมของท่านที”ทั้งห้าคนรวมตัวกันและพูดคุยหารือร่วมกันนานนับชั่วโมงหลังจากนั้นทุกคนก็ระงับอารมณ์และคำพูดก่อนแยกย้ายกันกลับแผนการนี้ไม่อาจเริ่มได้ทันที เพราะต้องรอให้จัดการเรื่องทุกอย่างให้เรียบร้อย และรอให้ทุกฝ่ายพร้อมเสียก
เซี่ยหลินเอนศีรษะไปพิงไหล่ของจื่ออัน แต่เนื่องจากนางตัวสูง แผ่นหลังของเซี่ยหลินจึงงองุ้ม “พี่สาว ท่านแม่มาหาข้าด้วยล่ะ”“นางพูดอะไรบ้าง?” จื่ออันพลันมีลางสังหรณ์บางอย่างเพราะว่าเฉินหลิงหลงไม่ใช่คนดีนัก“นางบอกว่าคิดถึงข้า” เซี่ยหลินกล่าวขณะดวงตาเริ่มแดงก่ำ“นอกจากบอกว่าคิดถึงแล้ว นางยังพูดอะไรอีก?” จื่ออันรู้สึกว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้ต้องการเพียงเท่านี้เซี่ยหลินกล่าว “นางคิดถึงข้า แล้วก็บอกว่าต้องการซื้อของบางอย่าง แต่ข้าไม่มีเงินติดตัวเลย หากข้าให้เงินแก่นาง นางก็จะมองของขวัญบางอย่างให้ข้า”จื่ออันกล่าวอย่างไม่พอใจ “นางขอเงินเจ้าเท่าไร? เจ้าให้เงินนางเพราะต้องการของขวัญงั้นรึ?”“นางต้องการเงินหนึ่งร้อยตำลึง แต่ข้ามีเงินไม่ถึงหนึ่งร้อยตำลึง”“เช่นนั้นเจ้าได้ให้เงินนางหรือไม่?”เซี่ยหลินยืดแผ่นหลังตรงพลางหันมองจื่ออัน “พี่สาว นางบอกว่าข้าเป็นลูกชายของนาง ดังนั้นจึงต้องเลี้ยงดูนางให้ดีเพราะมันคือความรับผิดชอบของข้า และข้าก็ถามป้าชุ่ยยู่แล้ว นางตอบว่าใช่”“ป้าชุ่ยยู่บอกให้เจ้ามอบเงินให้นางงั้นรึ?” จื่ออันโมโหอย่างมาก นางไม่ควรปล่อยให้ชุ่ยยู่ดูแลนางตั้งแต่แรก เดิมทีจื่ออันคิดว่าความคิ
นางรู้ว่าอีกไม่นานซุนฟางเอ๋อร์จะต้องถูกสังหารอย่างแน่นอน ไม่ใช่เพราะรู้วิธีล้างพิษ แต่เป็นเพราะนางรู้มากเกินไปต่างหากกุ้ยไท่เฟยรู้สึกว่าตนอับจนหนทางอย่างมาก ทั้งยังรู้สึกอีกว่าเหตุการณ์ครั้งนี้คือเคราะห์ร้ายที่สุดในชีวิตของตนนอกจากนี้นางยังได้รับรายงานว่าอ๋องเยี่ยกำลังซ่องสุมผู้คนจากหอซู่เยวี่ย ขณะที่เซี่ยจื่ออันกำลังระดมพลองครักษ์เงายิ่งไปกว่านั้นองค์จักรพรรดิยังเพิ่มกำลังพลในการเฝ้าระวังตำหนักสีอันให้รัดกุมขึ้นอีกด้วย ถึงกระนั้นนางก็ยังเชื่อว่าเขาทำไปเพราะต้องการดูแลความปลอดภัยให้ตน“กุ้ยไท่เฟย!” อาฝูวิ่งเข้ามาในห้องโถงอย่างรีบร้อน “บ่าวเพิ่งเข้าไปที่พระราชวังชั้นในและพบว่าคนเหล่านั้นกำลังเตรียมการสำหรับงานศพพ่ะย่ะค่ะ”“งานศพ? งานศพใครรึ?” กุ้ยไท่เฟยถามด้วยความประหลาดใจอาฝูกระซิบตอบ “บ่าวได้ยินมาว่ามันคือพระประสงค์ขององค์จักรพรรดิ ซึ่งงานศพครั้งนี้เป็นงานสำหรับพระสนมลำดับขั้นไท่เฟยพ่ะย่ะค่ะ”กุ้ยไท่เฟยกล่าวด้วยความโมโห “ไปสืบมาให้ชัดแจ้งอีกครั้ง และจงไปตรวจสอบว่าเกิดอะไรขึ้นที่วังซีเหวย จากนั้นนำเงินไปให้เปากงกง เพราะข้าต้องการรู้สถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในพระราชวัง”อา
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว