เป็นไปตามที่มู่หรงเจี๋ยคาดไว้จริง ๆ หลังจากหารือเกี่ยวกับตำแหน่งองค์รัชทายาทแล้ว ขุนนางภายในท้องพระโรงก็เริ่มมองหาองค์ชายที่ตนเองควรสนับสนุนสถานการณ์ปัจจุบันแบ่งออกเป็นสามฝ่าย อ๋องเหลียงเป็นฝ่ายหนึ่ง ความจริงแล้วอ๋องเหลียงไม่มีความตั้งใจที่จะขึ้นเป็นจักรพรรดิ แต่เขาแสร้งทำเป็นไขสือ เมื่อบรรดาขุนนางทุกท่านพยายามเข้าหาทั้งโดยชัดแจ้งและโดยนัย ถึงกระนั้นเขากลับได้รับการสนับสนุนอย่างล้นหลาม เนื่องจากเขาเป็นคนลึกลับผู้ใดก็ตามที่สามารถดำรงตำแหน่งใหญ่ ล้วนมีนิสัยลึกลับคาดเดาไม่ได้ ทั้งยังมีแนวคิดที่แตกต่างจากคนอื่น ๆ ดูอย่างการที่เขาแสดงออกว่าไม่ต้องการตำแหน่งยิ่งไปกว่านั้น คนที่เลือกอ๋องเหลียงก็มีข้อพิจารณาประกอบอีกอย่าง เกือบทุกคนในราชสำนักรู้เรื่องระหว่างอ๋องเหลียงกับอี๋เอ๋อร์ องค์หญิงแห่งแคว้นต้าเหลียง นั่นหมายความว่าอ๋องเหลียงจะได้เป็นราชบุตรเขยแห่งแคว้นต้าเหลียงในอนาคต สองแคว้นเชื่อมสัมพันธ์โดยการแต่งงาน ลูกเขยถูกเสนอชื่อชิงตำแหน่งรัชทายาท พ่อตาของเขาจะนั่งนิ่งดูดายเชียวหรือ?ฝ่ายที่สองคือองค์ชายเจ็ด บุตรชายของสนมอี้แทบไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมองค์ชายเจ็ดถึงถูกเลือก นั่นเป็นเพราะผู
“ข้าไม่รู้ว่าเป็นสร้อยข้อมือหรือไม่ แต่ต้องเป็นทองคำแน่อยู่แล้ว ก่อนหน้านี้ข้าได้รับของขวัญจากนางหลายชิ้น พวกมันล้วนเป็นทองคำทั้งหมด” จื่ออันกล่าวซุนฟางเอ๋อร์ยกมือขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว สัมผัสที่คอของตนแล้วเปล่งเสียง “อ้อ!” คิ้วของนางลดต่ำ ไม่มีชีวิตชีวาเหมือนก่อนหน้านี้นางจากไปหลังจากพูดจบโดยไม่ได้พูดอะไรอีก จื่ออันมองตามแผ่นหลังของนาง ก่อนจะพูดอย่างจนปัญญา “ประหลาดนัก นางเป็นอะไรไป? อยู่ดี ๆ ก็ทำหน้าไม่มีความสุขขึ้นมาเสียอย่างนั้น”เสี่ยวซุนคิดอยู่ครู่หนึ่ง “จริงสิ พระชายาเจ้าคะ บ่าวจำได้ว่ากล่องที่เสี่ยวหงนำมามอบให้นางนั้นมีขนาดเล็กกว่าของท่านเสียอีก ของขวัญที่นางได้รับจึงไม่ควรเป็นสร้อยข้อมือ อาจจะเป็นแหวน สร้อย หรืออะไรทำนองนั้น นางอาจรู้สึกว่าของขวัญที่ตนได้รับไม่มีมูลค่าสูงเท่าของขวัญที่ท่านได้รับ จึงอารมณ์เสียกระมังเจ้าคะ?”จื่ออันพูดด้วยความโกรธ “ขนาดส่งของขวัญให้ยังเป็นการสร้างความเกลียดชัง ข้าควรไปบอกฮวนสี่ว่าในอนาคตอย่าทำสิ่งนี้อีก”แทนที่จะใช้เวลาว่างอันน้อยนิดอีกครึ่งวันที่เหลืออยู่ในจวน จื่ออันกลับเดินทางไปที่ร้านติ้งเฟิงซุนฟางเอ๋อร์ต้องระมัดระวังในทุกสิ่งเป็นธรรมดา
หูฮวนสี่ยิ้มและพูดว่า “ในอนาคตข้าทำแน่ ไม่สิ ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินหลิวเย่ว์บอกว่านางจะเปลี่ยนอาชีพไปเขียนนิยาย หลังจากที่นางไม่ได้เป็นหัวหน้าพรรคเหยียน ไว้ข้าจะลองขอให้นางเขียนให้”“อย่าพูดถึงเรื่องพวกนั้นเลย หลิวเย่ว์นางเป็นหญิงนอกรีต” จื่ออันถกแขนเสื้อขึ้น เผยให้เห็นสร้อยข้อมือทองคำเส้นใหญ่ ซึ่งนางตั้งใจสวมเมื่อออกไปข้างนอก “เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าให้สร้อยข้อมือแบบนี้กับซุนฟางเอ๋อร์”“ใช่ สร้อยข้อมือแบบนี้แหละ” หูฮวนสี่พยักหน้าและถามอีกครั้ง “ทำไมหรือ? มีอะไรผิดปกติ? หรือว่ารูปแบบเหมือนกัน? บางทีข้าอาจบรรจุผิดกล่อง แล้วให้สร้อยข้อมือรูปแบบเดียวกันนั้นให้เจ้าไปก็ได้ ผู้หญิงน่ะกลัว ‘ของโหล’ ที่สุดแล้ว”“ไม่ ข้าแค่ถาม ข้าเห็นว่าของที่เจ้าให้ซุนฟางเอ๋อร์ดูไม่เหมือนสร้อยข้อมือ ข้าเพิ่งได้ยินจากเสี่ยวซุน นางจำได้ว่ากล่องที่เจ้าให้ซุนฟางเอ๋อร์นั้นเล็กกว่ากล่องที่เจ้าให้ข้าเสียอีก ข้าสงสัยว่าเจ้าแอบเล่นตลกกับนางหรือไม่ ประเดี๋ยวนางจะพาลเกลียดเจ้า และเล่นงานเจ้าภายหลัง”“เจ้ากังวลเกินเหตุไปหรือเปล่า? แค่เรื่องเล็กน้อยแค่ของขวัญเท่านั้น นางต้องไม่พอใจถึงขั้นเสกมนตร์กู่ใส่ข้าเชียวรึ? ต่อให้พิษก
“ได้ ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง” จื่ออันเห็นด้วยและตบหน้าอกของตนเอง“เจ้ามาที่นี่เพื่อบอกเรื่องนี้กับข้าใช่ไหม?”“อืม”“เอาล่ะ บอกเสร็จแล้วก็ออกไปจากที่นี่เสีย ข้ายุ่งมาก และช่วงนี้ข้าก็ขี้รำคาญมากด้วย ข้าว่าจะลองเฟ้นหาผู้ช่วยหรือเลขาดู หากเจ้ามีคนที่เหมาะสม โปรดแนะนำให้ข้าด้วย” หูฮวนสี่กล่าวอย่างลำบากใจ“ข้าไม่รู้จักใครเลยน่ะสิ” เหตุผลหลักคือ คนที่นางรู้จักล้วนไม่จำเป็นต้องออกมาทำงานเพื่อหาเลี้ยงชีพ“ในเมื่อช่วยไม่ได้ เช่นนั้ก็กลับไปเถอะ” หูฮวนสี่ไล่นางออกไปราวกับแมลงวันจื่ออันยืนขึ้นและพูดอย่างขุ่นเคือง “ข้ายังไม่ได้จิบชาเลยด้วยซ้ำ เจ้ากลับผลักไสข้าออกไปซะแล้ว รู้หรือไม่ว่าวันนี้มีคนต้องการข้ากี่คน แต่ข้าไม่ได้ตอบรับพวกเขา และเลือกมาที่นี่เพื่อถูกเจ้าขับไล่แทน”“ก็ได้ ก็ได้” หูฮวนสี่ยืนขึ้นและรั้งแขนนางไว้ “อย่าไปเลย อยู่กับข้าที่นี่เถอะ ข้าจะมอบตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายการเงินให้เจ้าเลย และเจ้าต้องช่วยข้าชำระสะสางบัญชี คำนวณสรุปยอดอย่างชัดเจน แล้วต้องช่วยข้าตรวจสอบจุดที่น่าจะมีการฉ้อโกงด้วย”จื่ออันมองไปที่บัญชีแยกประเภทซึ่งกองสูงเท่าเนินเขา ตัวสั่นสะท้านด้วยความเข็ดขยาด “ข้าไปก่อนดี
เมื่อจื่ออันกลับมาจากการไปหาหูฮวนสี่ นางก็อารมณ์เสียแม่นมถามว่า “พระชายา เหตุใดท่านจึงโมโหนักเพคะ? ตอนออกจากตำหนักครั้งแรกก็ยังสบายดีอยู่เลย” จื่ออันนั่งลงแล้วพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “หูฮวนสี่คนนั้นเคยบอกว่านางสนิทกับข้า แต่วันนี้ข้าเพิ่งรู้ว่ามันเป็นเรื่องโกหก”“เป็นไปได้อย่างไรเพคะ” แม่นมผงะ “เถ้าแก่เนี้ยหูสนิทกับท่านมากนะเพคะ”“เป็นไปได้อย่างไรงั้นหรือ?” จื่ออันพูดด้วยสีหน้าหงุดหงิด “ข้าเพิ่งรู้วันนี้ว่านางให้เจ้าแม่กวนอิมหยกขาวชิ้นหนึ่งเป็นของขวัญให้องค์หญิง แต่สิ่งที่นางให้ข้าคือสร้อยข้อมือทองคำเส้นใหญ่”“เจ้าแม่กวนอิมหยกขาวเส้นนั้นจะมีค่าสักเท่าไหร่กันเชียวเพคะ? อย่างไรก็ไม่เท่าสร้อยคอมือทองคำเส้นใหญ่หรอกเพคะ” แม่นมปลอบโยนด้วยรอยยิ้ม“มีค่าสักเท่าไหร่งั้นหรือ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าแม่กวนอิมหยกขาวนั่นถูกแกะสลักโดยเหอหยานจื่อ? ทั้งปีเขาจะแกะสลักเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น และหูฮวนสี่ซื้อมันมาจากเหอหยานจื่อในราคาหนึ่งหมื่นตำลึง นั่นสินะ องค์หญิงมีความสัมพันธ์กับนาง หากนางจะมอบมันให้องค์หญิงก็ไม่แปลกไม่ใช่หรือ?”“ใครให้อะไรกันหรือ?” พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา จ้วงจ้วงเข้ามาพร้อมกับฉินจือ
เสี่ยวหงตื่นตระหนก นางถอยหลังไปหนึ่งก้าว แล้วโค้งคำนับด้วยความเคารพ “แม่นางโปรดอย่าเข้าใจผิด บ่าวไม่มีเจตนาเจ้าค่ะ”“ไม่มีก็ดีแล้ว” ซุนฟางเอ๋อร์อย่างเฉยเมย “ไปยกชามาดื่มสักถ้วยเถิด พูดมากไปก็กระหายน้ำ”สีหน้าของเสี่ยวหงเปลี่ยนไป นางรีบคุกเข่าลงทันที “แม่นาง บ่าวภักดีต่อท่าน ไม่ได้คิดเป็นอื่นเลยเจ้าค่ะ”ซุนฟางเอ๋อร์หยิบถ้วยขึ้นมาจิบช้า ๆ จากนั้นพูดเหน็บแนม “เจ้ากลัวว่าข้าจะวางยาเจ้าหรือ? หากข้าจะวางยาเจ้า เจ้าจะไม่มีวันรู้ตัว แต่ข้าจะไม่วางยาเจ้าหรอก หากเจ้าภักดีต่อข้าอย่างที่เจ้าพูด ก็เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะฆ่าเจ้า”หลังจากพูดจบ นางก็ลุกขึ้นอย่างเย็นชาและออกไปเสี่ยวหงหวาดกลัวมากจนเหงื่อเย็นโซมกาย นางรู้เรื่องบางอย่างในเรือนชิงหนิง คุณหนูซุนคนนี้ไม่ใช่คนที่นางจะทำให้ขุ่นเคืองได้ซุนฟางเอ๋อร์รู้สึกแปลกใจมาก เหตุใดหูฮวนสี่ถึงให้ของขวัญมากมายกับนาง? ต้องการเข้าหานางงั้นหรือ? แต่ตั้งแต่ตรุษจีน ก็ไม่ได้มาหานางเลย จะเห็นได้ว่าของขวัญชิ้นนี้ ถูกมอบให้โดยไม่ได้หวังผลใด ๆ ทั้งสิ้น เป็นไปได้หรือไม่ว่านางคิดจะวางแผนระยะยาว โดยไม่รีบหวังผลไม่สิ นางไม่รู้คุณค่าของหยกขาวนี้เลย หากเสี่ยวหงไม่บอก
เมื่อซุนฟางเอ๋อร์เห็นว่านางกำลังจะหยิบเจ้าแม่กวนอิมคืนไป นางก็เอื้อมมือไปคว้ามันกลับมาโดยไม่รู้ตัว หูฮวนสี่ไม่ยอมปล่อยมือ แล้วแอบคิดในใจว่า 'หากเจ้าไม่ต้องการคืนให้ข้า แล้วข้าต้องการเอามันคืนมา แม่เฒ่าของข้าก็จะสร้างปัญหา'“บอกข้าที เหตุใดเจ้าถึงให้เจ้าแม่กวนอิมหยกขาวกับข้า ข้ารู้ว่าเจ้าให้สร้อยข้อมือทองคำเส้นใหญ่กับเซี่ยจื่ออัน” น้ำเสียงของซุนฟางเอ๋อร์อ่อนลง ใบหน้าของนางไม่ได้เย็นชาอีกต่อไปหูฮวนสี่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปล่อยมือ และปล่อยให้นางถือเจ้าแม่กวนอิมหยกขาวไว้ นางมีข้อแก้ตัวในใจอยู่แล้วว่า “ข้าให้สร้อยข้อมือทองคำเส้นใหญ่แก่จื่ออัน และเพื่อนคนอื่น ๆ เพราะข้าต้องการให้พวกนางช่วยโฆษณาให้ข้า ด้วยการเป็นผู้นำกระแส... ข้าหมายความว่าเครื่องประดับที่พวกนางใส่ จะทำให้เกิดกระแสฮือฮาในเมืองหลวง นี่คือแนวทางการทำธุรกิจของข้า ส่วนเรื่องที่ข้ามอบเจ้าแม่กวนอิมหยกขาวให้เจ้านั้น ข้าคิดว่าเจ้าค่อนข้างคล้ายกับหยกขาวนี้ พื้นผิวเย็น แต่หลังจากถือไว้นานก็จะอุ่น ข้าไม่ได้มีความคิดอื่นใด”เจ้าเล่ห์นัก!ซุนฟางเอ๋อร์สัมผัสเจ้าแม่กวนอิมหยกขาว และรู้สึกว่ามันก็อุ่นจริง ๆ นางถามด้วยเสียงแผ่วเบา “เจ้า
จื่ออันพยักหน้า “ตกลง ข้าจะไปหาหลินหลินเพื่อศึกษาเรื่องนี้”เซี่ยหลินเพิ่งกลับมาเมื่อวานนี้ และเป็นเวลาที่นางจะต้องเรียนกับเขาจื่ออันไปยังเรือนฟังเสียงฝน แล้วนำยาไปให้เซี่ยหลินเซี่ยหลินมองยา แล้วหยิบค้อนขึ้นมาทุบมันให้แตกออก เป็นเรื่องแปลกที่จะบอกว่า เมื่อขวดยาถูกทุบ ยาก็กลายเป็นผงทันทีผงยาลอยไปตามลมจนแทบมองไม่เห็น เซี่ยหลินรีบปิดปากจื่ออัน “กลั้นหายใจ”จื่ออันรีบปิดปากและจมูกอย่างรวดเร็ว ทั้งสองกลั้นหายใจชั่วขณะ ก่อนจะรีบออกไปเปิดประตูเซี่ยหลินกล่าวว่า “ผงเหล่านี้เป็นพิษจากแมลง และมีไข่ของแมลงผสมอยู่ มองเห็นด้วยตาเปล่าได้ยาก เมื่อสูดดมเข้าไปในร่างกาย พวกมันจะค่อย ๆ เติบโตและดูดเลือด”“สวรรค์ แล้วข้าควรทำอย่างไรกับตัวที่ลอยไปในอากาศโดยไม่ได้ตั้งใจ?” จื่ออันพูดขณะหน้าซีด“ไม่มีปัญหา หากไม่มีชั้นสีที่เคลือบไข่แมลงเหล่านี้ไว้ พวกมันจะตายเมื่อเจอแสงแดด พวกมันจะสามารถอยู่รอดและเติบโตได้ก็ต่อเมื่อพวกมันอาศัยอยู่ในร่างกายมนุษย์เท่านั้น” เซี่ยหลินอธิบายจื่ออันยังไม่ค่อยเข้าใจนัก “แต่วันนั้นมีคนสี่คนในวังหลวง ซุนฟางเอ๋อร์ กุ้ยไท่เฟย ซุนกงกง และไทเฮา เหตุใดไทเฮาจึงเป็นคนเดียวที่ถูก
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว