“แต่…” หลิงหลงฟูเหรินในใจปั่นป่วน แต่คิดไปคิดมาก็ไม่เห็นมีอะไรให้น่าตื่นเต้น แม้ว่าเมื่อครู่หวงไท่โฮ่วบอกแล้วว่าจะไม่สอบสวนเรื่องล้มงานอภิเษกอีก เพราะงั้นฮองเฮาก็คงจะไม่สร้างความลำบากใจให้นางอีกสำหรับเรื่องนี้ที่เรียกให้นางไป อย่างมากก็แค่ต่อว่า นางก็แค่ต้องทนเท่านั้น“งั้นเอาเถอะ ข้าจะไป” หลิงหลงฟูเหรินกล่าว นางหมุนตัวและมองมาที่แม่นมหยาง จากนั้นกล่าวด้วยท่าทีที่วางอำนาจบาตรใหญ่ “ไปสิ นำทางไป”แม่นมหยางโค้งตัวคำนับ และกล่าวอย่างแหน็บแนมว่า “เชิญคุณฟูเหรินเสนาบดีเจ้าค่ะ”มหาเสนาบดีเซี่ยโมโหถึงขีดสุด แต่ก็ไม่สามารถมีปัญหาได้อีก จึงได้แต่จากไปด้วยความโกรธที่ต้องเก็บความรู้สึกเอาไว้หลังจากที่มหาเสนาบดีเซี่ยจากไปแล้ว แม่นมหยางหยุดนิ่งอยู่กับที่ และมองมายังหลิงหลงฟูเหริน “ฮองเฮามีรับสั่ง เนื่องจากเดือนนี้เป็นเป็นเดือนประสูติของเจ้าแม่กวนอิมและเพื่ออธิษฐานแด่หวงไท่โฮ่วแล้ว หญิงสามัญชนทุกคนที่เข้าวัง จะต้องเดินเข่าสามก้าว แล้วหน้าผากแตะพื้นเก้าครั้งเข้าวังจิ้งหนิง”หลิงหลงฟูเหรินได้ฟังมาถึงตรงนี้ ก็โกรธจนแทบบ้าคลั่ง “จะอธิษฐานทำไมจะต้องเดินเข่าสามก้าว แล้วเอาหน้าผากแตะพื้นเก้าครั้
ฮองเฮากลับเข้าไปในตำหนัก พลางกล่าว “เจ้าเข้าไปหลบที่ฉากกั้นด้านหลังเถอะ แล้วข้าจะทำให้เจ้าได้ประจักษ์แก่สายตา ว่าความสามารถที่ว่าของเฉินหลิงหลง แท้จริงแล้วจะน่าทึ่งเพียงใด”ฮองเฮานั่งลง เพิ่งจะดื่มชาไปได้อึกเดียว แม่นมหยางก็พาเฉินหลงหลงเข้ามาการหมอบกราบมาตลอดทาง ทำให้หน้าผากของนางบวมนูนขึ้นมา เริ่มมีเลือดซึมออกมา และยืนเซเล็กน้อย ฮองเฮาเหลือบตามองเฉินหลิงหลงครู่หนึ่ง จากนั้นก็เรียกให้แม่นมหยางมาหา และกระซิบลงข้างหูนาง แล้วนางก็หมุนตัวเดินออกไปมหาเสนาบดีเซี่ยดึงตัวนางสนมเหมยมา ตัวนางสนมเหมยนั้นไม่ยินยอม แต่พอมหาเสนาบดีเซี่ยพูดบางอย่างกับนาง นางก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นถึงยอมมาด้วยกันแต่ทว่าพอมาถึงวังจิ้งหนิง กลับเจอแม่นมหยางยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู พลางกล่าว “สนมหมย มหาเสนาบดี เชิญท่านทั้งสองไปดื่มชาที่ห้องปีกตะวันตกก่อนเถิด ฮองเฮามีเรื่องจะคุยกับฟูเหริน”นางสนมประหลาดใจเล็กน้อย วังจิ้งหนิงเป็นที่ที่นางมาบ่อย และรู้ด้วยว่าจากห้องปีกจะวันตกสามารถมองเห็นทุกอย่างภายในตำหนักผ่านม่านลูกปัด แท้จริงแล้วฮองเฮากำลังเล่นตลกอะไรอยู่กันแน่?นางสบตากับมหาเสนาบดีเซี่ยครู่หนึ่ง จากนั้น
ดวงตาของฮองเฮาเบิกกว้าง “ขนาดทำไปตามใจแต่ได้ผลงานคุณภาพสูงขนาดนี้ หากตั้งใจอีกสักหน่อย จะงดงามมากเพียงใด? ความสามารถของฟูเหริน หยวนซื่อเทียบไม่ติดเลยแม้แต่น้อย”หลิงหลงฟูเหรินทัดปอยผมที่ร่วงหล่นลงมาตอนที่นางเดินสามเข่าและหน้าผากแตะพื้นเก้าครั้ง ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มที่ดูสงบเสงี่ยม “ฮองเฮาก็ชมเกินไปเพคะ หม่อมฉันเองก็ไม่ชอบเปรียบเทียบกับหยวนซื่อด้วย”ฮองเฮาหัวเราะขึ้นมา “เมื่อพูดมาแบบนี้แล้ว ภาพภาพนี้ คงจะมาจากฝีมือของฟูเหรินจริง ๆ สินะ?” หลิงหลงฟูเหรินตอบอย่างไม่ลังเลเลยว่า “ฮองเฮา จริงที่สุดเพคะ เพียงแต่ว่าตอนนี้หม่อมฉันได้ปฏิญาณตนต่อหน้าพระแล้วว่า หม่อมฉันจะไม่วาดภาพอีก”พอฮองเฮาได้ฟังคำนี้ ก็ยกภาพที่ม้วนอยู่ขึ้นทันที และตะโกนเสียงแข็ง “ทหาร นำตัวกบฏที่คิดจะทำลายราชวงศ์โจวผู้ยิ่งใหญ่ของข้าออกไป!”หลิงหลงฟูเหรินตกใจ มององค์รักษ์สองนายที่รีบวิ่งเข้ามาจากนอกตำหนักอย่างงุนงง โดยไม่รู้เรื่องเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น เมื่อครู่ยังพูดถึงเรื่องภาพอยู่ แล้วทำไมจู่ ๆ ถึงลากเข้ามาเรื่องกบฏหรือคนทรยศอะไรนี่ได้มหาเสนาบดีเซี่ยที่อยู่ห้องปีกตะวันตกอยากจะพุ่งออกไป แต่กลับถูกนางสนมเหมยที่ดูประต
เมื่อฮองเฮาได้ฟังคำกล่าวนี้แล้ว ก็ปัดมือให้องค์รักษ์ออกไป และจ้องเขม็งไปยังหลิงหลงฟูเหรินพลางถาม “เจ้าว่าอะไรนะ? เป็นภาพที่หยวนซื่อวาดงั้นหรอ? หากหยวนซื่อเป็นคนวาดแล้วเหตุใดจึงมาเป็นของของเจ้าได้? แล้วไหนจะยังกลายมาเป็นของขวัญที่เจ้ามอบให้มหาเสนาบดีเซี่ยอีก?”“ฮองเฮาเพคะ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงนะเพคะ ภาพภาพนี้เป็นภาพที่หยวนซื่อวาดจริง ๆ เดิมทีนั้นหยวนซื่อได้มอบภาพภาพนี้ให้กับองค์ชายอาน วันนั้นข้ารับใช้ที่ดูแลหยวนซื่อถูกหม่อมฉันซื้อตัวมา ภาพนี้จึงตกมาอยู่ที่หม่อมฉันเพคะ” หลิงหลงฟูเหรินได้แต่ภาวนาให้ฮองเฮาเชื่อคำพูดของนาง จะอะไรก็ไม่สนแล้วทั้งนั้นฮองเฮาโกรธจัด “เหลวไหล ภาพนี้จะมอบให้องค์ชายอานได้อย่างไร? หยวนซื่อแต่งงานกับมหาเสนาบดีไปแล้ว ที่เจ้าบอกว่านางมอบภาพนี้ให้แก่องค์ชายอาน จะหาว่านางเป็นหญิงแพศยาอย่างนั้นหรอ? เจ้านี่มันดื้อดึงไม่เปลี่ยน จนทุกวันนี้ก็ยังคิดแต่จะใส่ร้ายหยวนซื่อ”“ไม่นะเพคะ ไม่ใช่” หลิงหลงฟูเหรินเห็นว่าฮองเฮายังโมโหอยู่ ก็รีบอธิบายต่อทันที “ภาพนี้ไม่ใช่ของแทนใจเพคะ หม่อมฉันฟังที่ข้ารับใช้ข้างกายหยวนซื่อว่า ที่หยวนซื่อมอบภาพภาพนี้ให้องค์ชายอาน เพื่อสื่อความหมายกับ
เธอเคยสาบานเอาไว้ ว่าต้องล้างแค้นให้เจ้าของร่างเดิมให้ได้หลิงหลงฟูเหรินค่อย ๆ คืบคลานอยู่บนพื้น ร่ำไห้จนไม่น่ามอง “ฮองเฮาเพคะ ได้โปรดเชื่อหม่อมฉันเถอะเพคะ ภาพภาพนี้เป็นภาพที่หยวนซื่อวาดจริง ๆ”ฮองเฮายิ้มอย่างเยือกเย็น “เอาล่ะ ในเมื่อเจ้าบอกว่าหยวนซื่อเป็นคนวาด งั้นข้าก็จะให้หยวนซื่อเข้าวังมาประจันหน้ากับเจ้า”หลิงหลงฟูเหรินได้แต่ก่นด่าตนเองในใจ หยวนซื่อจะยอมรับว่าภาพนั้นนางเป็นคนวาดได้อย่างไร? และยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่เรื่องนี้ถูกปล่อยออกไป เซียงแหยจะต้องโกรธที่นางกุเรื่องสร้างภาพหลอกลวงแน่นอนแต่ในเมื่อเรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ยังมีวิธีทางใดอีก?ขณะที่แม่นมหยางออกจากวังไปอีกครั้งเพื่อไปรับหยวนซื่อ ฮองเฮาก็มีรับสั่ง ให้คุมตัวหลิงหลงฟูเหรินผู้ทรยศและมักใหญ่ใฝ่สูงไปคุมขังที่ห้องลงทัณฑ์ชั่วคราวใบหน้ามหาเสนาบดีเซี่ยซีดเผือด การถูกส่งตัวเข้าไปในห้องลงทัณฑ์ ต่อให้รอดชีวิตออกมาได้ ก็อับอายขายหน้าไปแล้วกว่าครึ่งค่อนชีวิต นางสนมเหมยที่เห็นมาถึงตรงนี้ ก็อยากที่จะออกไปแล้ว มหาเสนาบดีเซี่ยกัดฟันพลางกล่าว “พระสนมไม่ว่าอย่างไร วันนี้พระนางก็ยังเป็นคนของเสนาบดีอย่างข้า ได้โปรดเห็นแก่ยศขอ
นางสนมเหมยและมหาเสนาบดีเซี่ย เปิดม่านลูกปัดและเดินออกไป นางสนมเหมยกระซิบว่า “ฮองเฮา ทำไมต้องทรงขุ่นเคือง พ่ะย่ะค่ะ? เฉินหลิงหลงไม่มีความคิดทะเยอทะยานที่จะก่อกบฏ”ฮองเฮาเหลือบมองทั้งสองอย่างแผ่วเบา สุดท้ายแสงก็ตกใส่หน้าของมหาเสนาบดีเซี่ย “วันนี้ท่านทั้งสามได้เตรียมฉากดี ๆ สำหรับข้าไว้แล้ว ข้าจะไม่คืนกลับได้อย่างไร?”มหาเสนาบดีเซี่ยคุกเข่าและกล่าวว่า “มหาเสนาบดีถูกตัดสินว่ามีความผิดแล้ว ฮองเฮาได้โปรดจัดการกับมัน นั่นคือไม่จำเป็นต้องมีเรื่องไร้สาระอีกต่อไปแล้ว ถ้าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหยวนซื่อ มันจะรบกวนคนจำนวนมากอย่างแน่นอน”“ข้าไม่กลัวคนมาวุ่นวาย แล้วเจ้ากลัวอะไรเล่านางสนมเหมย? มันน่าแปลกนัก กลัวจะไปแตะต้องหยวนซื่อ ทำไมวันนี้เจ้าผลักทุกอย่างให้หยวนซื่อ เจ้าคิดว่าข้าจะไม่เปิดเผยเรื่องนี้กระนั้นหรือ” หรือเจ้าคิดว่าจะสามารถซ่อนมันจากผู้คนในโลกนี้ได้? ที่ประตูของมหาเสนาบดีในวันนั้น เซี่ยจื่ออานได้นำหนังสือหย่าออกมา เจ้าได้ปลุกความโกรธของสาธารณชนแล้ว ไม่มีใครอยากจะเชื่อว่าเด็กสาวที่มีความสามารถที่พวกเขาชื่นชมอย่างชุ่ยหยูจะเป็นคนเช่นนี้ เพียงเพราะทุกคน ยากที่จะพูด ถ้าเซี่ยจื่ออานไม่มีความพ
การแสดงออกของเขาค่อย ๆ เคร่งขรึม “ข้าสัญญาว่าจะไม่มีวันปล่อยให้เจ้าต้องไปใช้ชีวิตแบบนั้นอีก”จื่ออานถึงกับผงะ ทันใดนั้นก็ตระหนักว่าเขาเข้าใจผิด จึงหัวเราะแห้ง ๆ “ข้าพูดเกินจริงไปหน่อย จริง ๆ แล้วไม่ใช่อย่างนั้นหรอก อาหารมื้อก่อนของข้าก็อร่อยดี มีอาหารสามจาน ซุปหนึ่งถ้วยและข้าว เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”มู่หรงเจี๋ยส่งเสียงตอบรับ ทนไม่ได้ที่จะหลอกตัวเองบรรยากาศค่อย ๆ เคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย เมื่อเห็นว่านางอิ่มแล้ว มู่หรงเจี๋ยก็สั่งให้นางเทอาหารลงไป จื่ออานเกือบจะโพล่งออกมา “สิ้นเปลืองเกินไป เก็บไว้เป็นอาหารยามดึกก็ได้”มู่หรงเจี๋ยเผยความโกรธเล็กน้อยในดวงตา “ถ้าเจ้าต้องการทานอาหารยามดึก ค่อยทำใหม่แล้วกัน”จื่ออานมองลงมาดูเขาอย่างสงบ มีความอ่อนแอในใจนางอย่างช้า ๆ แต่อย่าทำดีกับนางขนาดนี้ สิ่งสุดท้ายที่นางต้องการคือ ความสงสัยนางหันศีรษะไปอย่างเร่งรีบ มองดูการสูญเสียเล็กน้อยในอดีตและชีวิตตอนนี้ ไม่มีคนรอบตัวนางดูเหมือนใส่ใจนางเลย ดังนั้นเมื่อหยวนซื่อชื่นชอบนาง นางจะปฏิบัติต่อหยวนซื่อเหมือนแม่ของนางเอง และยังเป็นเด็กรับใช้ที่ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ ที่ได้รับน้ำและซาลาเปาอีกสองลูกจากคนเฝ้าประต
หยวนซื่อเพียงแค่เหลือบมองหลิงหลงฟูเหรินอย่างเฉยเมย การแสดงออกของเขาไม่ได้รับผลกระทบ ราวกับว่าเขาไม่รู้จักเธอเลยเธอก้าวไปข้างหน้าและคุกเข่าลงคำนับ “พระชายาของมหาเสนาบดี หม่อมฉันหยวนชุ่ยหยูขอเข้าเฝ้าฮองเฮา ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ”“หยวนชุ่ยหยู!” ฮองเฮาจ้องเธอ เมื่อตอนยังเด็ก เธอพบหยวนซื่อหลายครั้ง แม้ว่าเธอจะเป็นผู้หญิง แต่ก็ต้องยอมรับว่าหยวนซื่อเป็นเหมือนเทวดาจริง ๆ แต่ก็ไม่ใช่แบบที่จะทำให้คนเป็นมนุษย์ริษยาในความงดงามหลังจากการจากลาไปหลายปี ฮองเฮาก็สัมผัสที่หางตาโดยไม่รู้ตัว หลายปีผ่านไป ดูเหมือนผ่านพ้นยุคของหยวนซื่อไป เธอมีชีวิตที่ผันผวนมากกว่าเดิมเพียงเล็กน้อย แต่เธอไม่เคยแก่ลงเลย“ถวายพระพร เพคะ!” หยวนซื่อเอื้อมมือลงบนพื้น ก้มศีรษะและเงยศีรษะขึ้น ดวงตาของนางดูอ่อนโยนและไม่แยแสมหาเสนาบดีเซี่ยมองจากหลังม่าน นี่เป็นครั้งแรกที่เขามองหยวนซื่อจากสายตาของคนนอกในรอบหลายปีต้องบอกว่าเธอกับเฉินหลิงหลงกำลังคุกเข่าอยู่ข้างนอก ไม่ต้องพูดถึงว่าตอนนี้เฉินหลิงหลงกำลังถูกทุบตีแบบนี้ แค่สวมชุดที่ดูดี และโฉมหน้าก็ไม่ดีเท่าเธอสำหรับอารมณ์ ทัศนคติ และความหมายแฝงนั้นตรงไปตรงมายิ่งขึ้นเขามีความรู้
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว