หญิงชราสวมชุดคลุมสีแดงนั่งอยู่ในตำแหน่งสูงสุดของห้องโถง เอนกายลงเล็กน้อยพูดคุยกับท่านโหว อายุของนางมากแล้ว ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอย บนศีรษะนั้นกลับไปด้วยเครื่องประดับ แต่งกายได้อย่างรื่นเริงเป็นอย่างมาก ราวกับว่าวันนี้นางคือเจ้าสาว ไม่ใช่เพียงแค่งานเลี้ยงเท่านั้น “สินสอดให้มากสักหน่อยก็พอแล้ว ลองดูประมาณสิบตำลึง ส่วนสินเดิมนั้น...” นางหันไปมองเฉินไท่จวินที่นั่งอยู่ด้านข้าง “เหล่าโก่ว ตระกูลเรามีเงินทองอยู่เท่าไหร่กัน?” เรื่องที่เฉินไท่จวินชื่นชอบทรัพย์สมบัตินั้น นี่เป็นเรื่องจริง หลายปีมานี้ก็ทำเงินได้ไม่น้อย เมื่อเอ่ยถึงสินสอดแล้ว นางไม่มีทางยอมอ่อนให้แม้เพียงนิด เพราะสินเดิมนั้นมีไม่น้อย เมื่อได้ยินหญิงชราเอ่ยว่าประมาณสิบตำลึงแล้ว อีกเพียงนิดก็เกือบจะแถมถุงใบใหญ่ไปให้ด้วย สีหน้าของนางก็ดูไม่ค่อยน่ามองนัก โดยเฉพาะในตอนที่ได้ยินหญิงชราเรียกนางว่าเหล่าโก่ว ใบหน้าของนางก็เขียวคล้ำขึ้นมา แต่ก็เพราะด้วยมารยาทแล้ว นางก็ยังคงเอ่ยตอบกลับไปด้วยความอ่อนน้อม “ตระกูลของพวกเรามีคนมาก ค่าใช้จ่ายมาก หลายปีมานี้ก็ไม่ได้หลงเหลืออะไรมากนัก ประมาณ...” นางยกนิ้วขึ้นนิ้วหนึ่ง หมายความว่าสินสอดสิบตำ
เฉินไท่จวินอ้าปากค้าง ก่อนจะถอนหายใจออกมา “มีมากก็ทำได้มาก มีน้อยก็ทำได้น้อย” “เช่นนั้นมันเท่าไหร่กัน? หากว่ามากไปตระกูลของพวกเราไม่สามารถจ่ายได้ ท่านปู่ของข้านั้นขี้เหนียว อย่างมากก็ไม่สู่ขอแล้ว” เซียวท่าเอ่ยถามอย่างร้อนรน เฉินไท่จวินนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “เอาล่ะ สิบตำลึง” คำว่าไม่สู่ขอของเซียวท่า ทำให้นางตื่นตกใจ อันที่จริงแล้ว ในตอนต้นนางเพียงแต่ต้องการความยินยอมเท่านั้น ขอเพียงแค่เซียวท่ายินดีที่จะสู่ขอกับหลิวหลิ่ว หลิวหลิ่วได้ยินว่านางมีค่าเพียงแค่สิบตำลึงเท่านั้น ก็โมโหจนแทบปอดจะระเบิด แน่นอนว่าท่านโหวเซียวไม่ใช่คนเช่นนั้น ต่อให้จะใช่ เมื่อถูกเซียวท่าบอกว่าเขาขี้เหนียว ก็คงไม่ดีนักที่เขาจะมอบให้สิบตำลึง ท้ายที่สุดแล้วเมื่อเงินสินสอดได้กำหนดแล้วเป็นหนึ่งหมื่นตำลึง สินเดิมก็เป็นไปตามนั้น หญิงชราไม่หยุดที่จะเอ่ยกับเหล่าไท่จวิน “ช่างเป็นคนที่ดีจริง ๆ ไปหามาจากที่ใดกัน? หากว่าเปลี่ยนเป็นตระกูลอื่นแล้ว ถึงกับต้องจ่ายถึงหนึ่งหมื่นตำลึงก็ไม่แน่ว่าจะต้องการหลานสาวของเจ้า” คนที่มาร่วมงานเลี้ยงนั้นมีไม่น้อยเลยทีเดียว พ่อค้านักปกครองนับร้อย เห็นได้ชัดว่าเหล่าไท่จวินนั้นมีสายสัมพ
ใครจะรู้กันว่าฮูหยินเฒ่าดื่มเหล้าแล้วยังไม่ยอมจากไป หรี่ตาลงมองไปยังจื่ออัน “สาวน้อยที่ดูสง่างามคนนี้มาจากตระกูลใดกัน?” “ท่านย่า ท่านนี้เป็นพระชายาผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดิ” เฉินหลงเอ่ยแนะนำ “พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดิ? นั่นไม่ใช่สะใภ้ตระกูลเอ้อร์ฮัวจือหรอกหรือ?” ฮูหยินเฒ่าร้องตะโกนพร้อมทั้งจ้องมองไปยังจื่ออัน “ช่างงดงาม ช่างน่ามองเสียจริง สะใภ้เอ้อร์ฮัวจือ เจ้าสกุลว่าอย่างไร?” จื่ออันคิดว่าเรียกเหล่าเซี่ยอย่างไรแล้วก็ดีกว่าสะใภ้เอ้อร์ฮัวจือ เพราะเหตุนั้น นางจึงลุกขึ้นยืนเอ่ย “เรียนฮูหยินเฒ่า ข้าสกุลเซี่ย ท่านสามารถเรียกข้าว่าเซี่ยจื่ออันหรือจื่ออัน” หวังว่าอย่าเป็นเหล่าเซี่ยเถิด ฟังแล้วดูเหมือนคนจะแก่ไปเสียหลายปี “ดี ดี!” ฮูหยินเฒ่าหยิบจอกเหล้าขึ้นมา ปากยกยิ้มโค้งจนเป็นเหมือนหลุมดำ “ดื่มอีกสักสองจอกเถิด สะใภ้เอ้อร์ฮัวจือ” หน้าผากของจื่ออันเกิดเป็นแถวเส้นสีดำ ฮูหยินเฒ่าดื่มเหล้ากับทุกคนอีกจอกหนึ่ง จากนั้นก็จากไป หลังจากนางจากไปแล้ว นางทุบลงไปที่มู่หรงเจี๋ย “ล้วนแต่เป็นความผิดท่าน” สีหน้าของมู่หรงเจี๋ยดูบูดบึ้งเป็นอย่างมาก ส่งเสียงฮึมฮัมออกมาแล้วดื่มเหล้าโด
“ผ่านไปหนึ่งเดือน ดอกเบี้ยนี้ไม่ใช่ว่าสูงไปกว่าเงินต้นแล้วหรือ? ตระกูลของพวกเจ้าเป็นโจรขโมย?” “ไม่ปิดบังแล้วกัน ข้ามีแผนการจะเปลี่ยนงาน” เขาได้รับเงินรายปี เมื่อได้รับเงินรายปีมาแล้วยังต้องคืนเงินอีก เขาไม่อาจจ่ายคืนได้ และยังไม่ได้รับเงินไป เพียงแต่เอ่ยออกมาอย่างกรุ่นโกรธประโยคหนึ่ง “ดี เมื่อหมดอำนาจลงก็ถูกผู้อื่นรังแก คราวนี้ได้รู้แล้วว่าอะไรคือการที่กำแพงถล่มลงเพราะทุกคนผลักไว้” หูฮวนสี่เองก็ไม่บีบบังคับ ชี้ไปยังประตูเอ่ยออกมา “เชิญท่าน” กอดม้านั่งไว้สองตัวพร้อมกับหม้อยา เดินเล่นทั่วเมืองหลวงไปวันหนึ่ง กินหมันโถวไปสองลูก หิวเสียจนท้องร้อง เขารู้สึกผิดเป็นอย่างมาก รู้สึกว่าถูกตระกูลเฉินหลอกลวง และยังถูกคนในตระกูลของตนเองรังแก ทว่าแล้วจะทำอย่างไรได้? เมื่อเห็นฟ้ามืดลงแล้ว แม้แต่คืนนี้จะพักที่ใดก็ไม่รู้ กลางดึกดื่น นั่งยอง ๆ อยู่ใต้ต้นไทรใหญ่ในเมืองตะวันออก ความทะเยอทะยานค่อย ๆ จางหายไป หิว เขาไม่อาจหิวได้ เพราะฉะนั้น ในตอนที่หลิวหลิ่วนำน่องไก่ออกมาสองน่อง และไหเหล้าออกมาอยู่ต่อหน้าของเขา เขาแทบจะร้องไห้ออกมา “หลิวหลิ่ว คงจะเป็นเจ้าที่ดีกับข้าที่สุดแล้ว” หลิวหลิ่วนั
พวกเขานั่งอยู่ใต้ต้นไทรใหญ่เป็นเวลานาน พูดคุยกันมากมาย นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองคนเอ่ยกันอย่างตรงไปตรงมา เซียวท่ายังชี้ให้เห็นถึงเหตุผลว่าทำไมเขาถึงไม่ยอมแต่งงาน ก็เพราะคิดว่าหญิงสาวนั้นน่ารำคาญ ต่อไปมีฮูหยินแล้วเขาก็คงไม่อาจจะอิสระไร้กังวลดังเก่าได้ หลิวหลิ่วสัญญาว่าหลังจากที่แต่งงานแล้ว เขาชอบจะทำอะไรก็ได้ มีเพียงแค่ห้ามมิให้เข้าใกล้หญิงสาวคนอื่น เซียวท่าโล่งใจอย่างมาก หญิงสาวเพียงคนหนึ่งก็มากเกินไปแล้ว หากว่ามากกว่าหนึ่งเขาคงจะรำคาญยิ่งนัก พูดคุยกันจนกระทั่งเกือบจะถึงยามจื่อ เซียวท่าถึงได้ส่งหลิวหลิ่วกลับไป จากนั้นก็ใช้ม้านั่งลอบปีนกำแพงเข้าไปในจวน วันรุ่งขึ้น เข้าไปทักทายท่านโหวดังเดิม ท่านโหวเองก็ทำราวกับว่าเขาไม่เคยออกไป เอ่ยตักเตือนแนะนำเขาเช่นเคยก่อนจะไล่ออกไป เซียวท่าออกมาจนถึงหน้าประตู ก็พบกับจ้วงจ้วงนำฉินจือและฉยงหวาเข้ามา “องค์หญิงมาแล้ว?” เซียวท่าคิดว่ามาหาเขา ส่งเสียงเอ่ยออกมา “ไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอก อย่างไรแล้วก็ไม่ได้มีเพียงแค่ท่านที่ไม่รับข้าเอาไว้” ใบหน้าของจ้วงจ้วงดูเรียบเฉย มีรอยยิ้มขึ้นจาง ๆ ตั้งแต่ที่ฟื้นตัวขึ้นจากการอาการบาดเจ็บแล้ว ใบหน้าของนางก็ดูซี
ท่านโหวเซียวเองก็ไม่ได้ห้ามเซียวท่าพูดคุยกับองค์หญิง มีคนพูดคุยด้วยอย่างไรแล้วก็ดีกว่านิ่งเงียบ ทว่าเซียวท่าเองก็ไม่อาจเอ่ยต่อไปได้ เพราะว่าจ้วงจ้วงไม่ได้เอ่ยตอบกลับด้วย ราวกับว่านางเพียงต้องการมานั่งพักชั่วครู่เท่านั้น ท่านโหวเซียวเริ่มนั่งไม่ติดแล้ว เอ่ยออกไปกับเซียวท่า “เจ้าออกไปก่อน ปู่มีเรื่องจะพูดกับองค์หญิงสักสองสามคำ” เซียวท่าเหลือบมองไปยังจ้วงจ้วง ไม่อยากจะออกไปแม้แต่น้อย ทว่าก็เชื่อว่าองต์หญิงคงจะไม่มีเจตนาร้ายใด จึงเอ่ยออกมา “เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะออกไปอยู่ด้านนอกนี่เอง” ฉินจือและฉยงหวาเองก็ออกไปพร้อมกัน ในมือของจ้วงจ้วงถือถ้วยชาเอาไว้ถ้วยหนึ่ง ไม่ได้ดื่มลงไป เพียงแต่จ้องมองฟองชาในถ้วยนั้นอย่างเงียบ ๆ “องค์หญิง!” ท่านโหวเซียวส่งเสียงเรียกออกมา จ้วงจ้วงจึงเงยหน้าขึ้นมองเขา ท่านโหวเซียวมองไปยังใบหน้าที่ซูบบางนั้น และเพราะว่าความผอมบางนั้นทำให้ดวงตานั้นดูโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “องค์หญิง ท่านกำลังตำหนิกระหม่อมอยู่ใช่หรือไม่?” จ้วงจ้วงตะลึงไปชั่วครู่ “จะได้อย่างไรกัน?” “คนจริงไม่พูดโกหก องค์หญิงโกรธแค้นกระหม่อม กระหม่อมก็เข้าใจดี” ท่านโหวเซียวเอ่ยออกมา จ้วงจ้วงส่า
หนี่หรงกลับมาแจ้งแก่มู่หรงเจี๋ยว่าตามหาหญิงสาวคนนั้นที่เหลียงซู่หลินชอบจนพบแล้ว ถูกขังเอาไว้ในเรือนพักด้านนอกเมือง มีคนคอยคุ้มกันอยู่ “ท่านอ๋องจะต้องพาตัวนางไปหรือไม่?” หนี่หรงเอ่ยถาม มู่หรงเจี๋ยกลับไม่ร้อนรน “ตรวจสอบเบื้องหลังของนางก่อน และยังตรวจสอบว่านางและเหลียงซู่หลินรู้จัก และผ่านอะไรกันมาบ้าง” “นางเป็นแม่นางจากหอชุนเซียง คงเป็นตอนที่เหลียงซู่หลินไปยังหอชุนเซียงเลยได้รู้จักกันกระมัง?” หนี่หรงคาดการณ์ “เหลียงซู่หลินไม่ใช่คนที่ชอบไปสถานที่เช่นนั้น” มู่หรงเจี๋ยเอ่ยออกไปอย่างเรียบเฉย “ก็ถูก” หนี่หรงคิดถึงคนอย่างเหลียงซู่หลิน ก็เป็นคนที่ปฏิบัติตามกฎหมาย สถานที่เปื้อนฝุ่นเช่นนี้เขาไม่มีทางไป “ท่านสงสัยว่าจื่อเวยผู้นี้เข้าใกล้เหลียงซู่หลินเพราะว่ามีจุดประสงค์แอบแฝงอย่างนั้นหรือ?” “จะมีอะไรที่แปลกประหลาดกัน?” มู่หรงเจี๋ยใช้มือเคาะลงไปบนโต๊ะ “เจ้าไปตรวจสอบก่อน หากว่ามีคนคอยลอบบงการนางอยู่เบื้องหลังแล้ว ก็ตรวจสอบให้ชัดเจนว่าใครเป็นคนที่บงการนางเอาไว้” หนี่หรงคิดจะเอ่ยออกมาว่า เรื่องนี้ยังจะต้องตรวจสอบอีกหรือ? หากว่านางจงใจที่จะเข้าใกล้เหลียงซู่หลินแล้วจริง ๆ เช่นนั้น คนเบื้อง
เซียวท่าเอ่ย “วันนี้ข้าเข้าวังมาแต่เช้า ยังไม่ได้พบกับหลิวหลิ่ว หรือว่านางจะออกไปหาข้าแล้วไม่พบข้าก็เลยกลับไป?” “ยังไม่กลับมา วันนี้ออกไปตั้งแต่เที่ยง จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับมา” เฉินหลงเอ่ย “เช่นนั้นจะไปจวนองค์หญิงหรือไม่? หรือว่าจะไปทางด้านของโหรวเหย๋า?” เซียวท่าเอ่ย จื่ออันค่อนข้างจะไม่วางใจ เอ่ยออกมา “เจ้าก็ออกไปตามหาเถิด” ด้วยเหตุนี้ทหารจึงแบ่งออกเป็นสามทาง แบ่งไปยังจวนองค์หญิง จวนอ๋องเหลียง และร้านติ้งเฟิง ท้ายที่สุดแล้วยังไปหาโหรวเหย๋า ต่างก็บอกว่าไม่พบหลิวหลิ่วเข้ามา คราวนี้ทุกคนพากันร้อนรนขึ้นแล้ว มู่หรงเจี๋ยเคลื่อนย้ายทหารลาดตระเวนออกไปตามหา เฉินไท่จวินร้อนรนเป็นอย่างมาก ทันใดนั้นนางก็นึกขึ้นมาได้ว่าวันเกิดของหลิวหลิ่วใกล้เข้ามาแล้ว วันเกิดครบรอบอายุสิบเก้าปี ในใจของนางตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง ให้ทุกคนในตระกูลเฉินออกไปตามหา ช่วงประมาณยามค่ำ ในที่สุดก็ได้ยินคนรับใช้รีบร้อนเข้ามารายงาน “ไท่จวิน คุณหนูกลับมาแล้ว” “เจ้าเด็กคนนี้ ดูสิว่าข้าจะไม่หักขานางหรือ!” เฉินไท่จวินลุกกระโดดขึ้น ก่อนจะก้าวเดิมไปอย่างรวดเร็ว กลับมองเห็นเฉินหลิวหลิ่วที่แบกกลับมา ทั่วทั้งกายนาง
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว