พระสนมอี๋เอ่ยข่มขู่ออกมา “หากว่าเจ้าเอ่ยออกไปแม้แต่คำเดียว ก็เท่ากับว่ารนหาที่ตายแล้ว เจ้าคิดว่าเจ้ามีมู่หรงเจี๋ยคอยปกป้องอยู่ แล้วข้าจะทำอะไรเจ้าไม่ได้อย่างนั้นหรือ?” จื่ออันส่ายศีรษะออกมา “พระสนมอี๋เข้าใจผิดแล้ว ท่านอ๋องไม่เคยปกป้องข้ามาก่อน หากรู้ว่าข้าล่วงเกินพระสนมไป เขาจะต้องนำข้าไปขออภัยพระสนมอย่างแน่นอน ก่อนที่จะไปสำนึกผิดกับหวงไท่โฮ่ว” “เจ้าอย่าคิดที่จะเอาหวงไท่โฮ่วมาข่มข้า ข้าไม่กลัว ต่อให้เจ้ากลับไปเอ่ยออกมา แล้วจะมีสักกี่คนที่เชื่อเจ้ากัน? ข้าเพียงแต่มาที่นี่เพื่อสักการะพระพุทธศาสนาเท่านั้น รัชทายาทเองก็อยู่ที่นี้พอดิบพอดี ข้าเป็นมารดาขององค์ชายเจ็ด ขุนนางในราชสำนักคงจะไม่ยอมให้เจ้ามาใส่ร้ายข้าหรอก” จื่ออันฟังนางบอกว่าไม่กลัวนาง แล้วบอกว่าหากนางกล้าที่จะเอ่ยออกไปแม้เพียงคำเดียวก็เท่ากับรนหาที่ตาย เห็นได้ชัดว่านางหวาดกลัวเป็นอย่างมาก จื่ออันเอ่ย “พระสนม ข้าไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของท่าน ข้าเองก็ไม่คิดที่จะล่วงเกินคนในวัง เรื่องในวันนี้ เพียงแต่พุ่งเป้าไปยังรัชทายาทเท่านั้น ไม่ได้พุ่งมาที่พระสนม พระสนมมาเพื่อสักการะพระพุทธศาสนา สักการะเสร็จแล้วก็กลับไป ผู้ติดตามของร
นางให้ตาวเหล่าต้าคอยดูแลอี๋เอ๋อร์ แล้วเอ่ยกับหลิวเย่ว์ออกมา “พอจะขอเอ่ยอะไรกับท่านได้หรือไม่?” หลิวเย่ว์มองมายังนาง แล้วเดินไปอีกด้านหนึ่งโดยที่ไม่ส่งเสียงดัง จื่ออันเดินตามออกไป “พวกเรามาทำการแลกเปลี่ยนกัน” จื่ออันเอ่ย หลิวเย่ว์ส่ายศีรษะ “ข้าไม่ใช่คนทำการค้า” “อี๋เอ๋อร์มีอาการป่วย เป็นมาตั้งแต่ในครรภ์ของมารดา ใช่หรือไม่?” จื่ออันเอ่ย หลิวเย่ว์มองมายังนางด้วยความประหลาดใจ “ท่านรู้ได้อย่างไร?” “ข้าเพิ่งจะจับชีพจรให้นางเมื่อครู่นี้!” จื่ออันเอ่ย หลิวเย่ว์พยักหน้า “ข้าจำได้ว่าเจ้าเข้าใจทักษะการแพทย์ เจ้าหมายความว่าเจ้าสามารถรักษานางได้?” เมื่อคำนี้ออกไป จื่ออันก็รู้ว่านางคอยให้ความสนใจกับทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในเมืองหลวง จื่ออันส่ายศีรษะ “ข้าไม่ได้มีความมั่นใจนักว่าจะรักษานางได้ แต่สามารถรับรองได้ว่าอาการของนางจะไม่กำเริบขึ้นในสองปีนี้” ทักษะการฝังเข็มทองนั้นมีวิธีการฝังเข็มเกี่ยวกับการรักษาโรคหัวใจ แน่นอนว่ามันซับซ้อนจนเกินไป และในตอนนี้นางเองก็ยังไม่เชี่ยวชาญนัก “สองปี?” หลิวเย่ว์ส่ายศีรษะ “เห็นได้ชัดว่าไม่มีแรงดึงดูดใจใด ๆ” “เช่นนั้น” จื่ออันเปลี่ยนหัวข้อแล้
นางยังคงลองเชิงต่อไป “อย่างไรแล้ว เขาก็บอกว่าไม่ได้ส่งคนมาไล่ฆ่าท่าน เพียงแต่เคยส่งคนออกตามหาท่านเท่านั้น หรือว่าจะเป็นศัตรูคนอื่นที่ลงมือ?” “ไม่ใช่ เป็นคนจากวังบูรพาของเขา ข้ารู้จัก” หลิวเย่ว์เอ่ยออกมาอย่างโกรธเคือง “เขาเลวร้าย ใจดำ เลวทรามถึงเพียงนี้ ในตอนนั้นข้าไม่ควรเห็นแก่รูปภาพของเขาที่ดูรูปหล่อ ถึงได้ไปหลับนอนกับเขา ไม่ ในตอนต้นข้าไม่ควรวางยากามารมณ์กับเขา ข้าไม่ควรวางยาพิษเพื่อฆ่าเขา” จื่ออันไม่อาจจะหัวเราะออกมาได้ วางยาอย่างนั้นหรือ? ดูเหมือนว่าซ่งรุ่ยหยางคงไม่มีความรู้สึกอะไรให้เอ่ยถึงได้ แย่งชิงของสำคัญบางอย่างออกไป หวังว่าที่เขาเอ่ยถึงคงจะไม่ใช่ครั้งแรกของเขา เฮ้ คราวนี้ก็ยุ่งยากแล้ว นางคงจะไม่นำเขาละมั่งโลหิตออกมา เพราะกลัวว่าจะเปิดเผยสถานะออกมา เมื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จื่ออันจึงเอ่ยออกมา “เอาเช่นนี้ ท่านมอบให้ข้าเป็นการส่วนตัว ข้าไม่มีทางนำเรื่องนี้บอกกับใครออกไป หากว่าท่านไม่มอบให้ ข้าคงจะต้องบอกกับซ่งรุ่ยหยางว่าท่านอยู่ในเมืองหลวง” “ท่านข่มขู่ข้าอย่างนั้นหรือ?” หลิวเย่ว์หรี่ตาลงมองยังนาง จื่ออันพยักหน้า เอ่ยออกมาตามตรง “ใช่แล้ว ข้ากำลังข่มขู่ท่านอยู่” ห
หลังจากที่จื่ออันได้ยินคำนี้แล้ว ยิ้มแล้ววางมือลงบนไหล่ของนาง “หลิวเย่ว์ รอก่อนเถิด ข้าจะต้องมีวิธีการทำให้ท่านยอมมอบเขาละมั่งโลหิตออกมาแต่โดยดี” หลิวเย่ว์หรี่ตามองยังนาง “อาศัยเพียงการข่มขู่เช่นนั้นของเจ้าอย่างนั้นหรือ? หรืออาศัยความน่าสังเวชเหล่านั้นของเจ้า?” “ล้วนแต่ไม่ใช่ ข้าจะทำให้ท่านยินยอมส่งมอบเขาละมั่งโลหิตให้ข้าด้วยความเต็มใจ เชื่อหรือไม่?” เมื่อจื่ออันเอ่ยจบ ก็ยิ้มอย่างมีเลศนัยแล้วจากไป มาคราวนี้ก็ถึงคราวที่หลิวเย่ว์เกิดความประหลาดใจแล้ว นางจะมีวิธีการอะไรที่ทำให้ตนเองนำเขาละมั่งโลหิตมอบออกมากัน? “ท่านหยุดลงเดี๋ยวนี้ มาพูดให้ชัดเจนเสียก่อน” หลิวเย่ว์ไล่ตามออกไป จื่ออันยักไหล่ขึ้น แต่กลับไม่ส่งเสียงใดออกมา เพียงแต่ยังคงมีรอยยิ้มมีเลศนัยนั้นดังเก่า ทำให้หลิวเย่ว์ที่มองดูเกิดความหวาดกลัวขึ้นมา รอยยิ้มมีเสศนัยนี้ ทำให้ในใจของหลิวเย่ว์สั่นสะท้านขึ้นมา นางไม่ชื่นชอบความรู้สึกเช่นนี้เลย “ท่านพูดออกมาให้ชัดเจนกว่านี้” หลิวเย่ว์ไล่ถามต่อ จื่ออันก็ยังคงไม่เอ่ยออกมา ตลอดทางที่ลงเขามาก็ไม่เอ่ยอันใด เมื่อมาถึงเชิงเขาด้านล่าง องค์รักษ์เงาก็ขับรถม้ามาถึงแล้ว จื่ออันขึ้นมา
จื่ออันส่ายศีรษะ “ไม่ นางยังมีชีวิตอยู่ กลับไปพร้อมกับมารดาของนางแล้ว” อ๋องเหลียงถอนหายใจด้วยความโล่งออก “ใบหน้าราวกับว่าบิดาเสียชีวิตไปของเจ้า ทำให้ข้าตกใจเข้าแล้ว” ทันใดนั้น เขาก็เงยหน้าขึ้นมาอย่างกะทันหัน “นางเป็นอย่างไรบ้าง? สบายดีหรือไม่?” จื่ออันถอนหายใจออกมาเบา ๆ หางตาเปรอะเปื้อนไปด้วยรอยเปียกชื้น แย่ จะแสร้งร้องไห้ออกมาช่างยากเย็นเสียจริง ไม่ใช่ดาราภาพยนตร์ “นางเพียงแต่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น ไม่มีอะไรมาก เพียงแต่...” เซียวท่าลุกกระโดดขึ้นมา “เจ้าก็เอ่ยมาเสียสิ เพียงแต่อะไร? ร้อนรนจนจะแย่อยู่แล้ว” จื่ออันมองไปยังเซียวท่า ในใจก็ไม่รู้ว่าเขาจะร้อนรนอะไรกัน คนที่ควรจะร้อนรน เขายังไม่ร้อนรนเลย อ๋องเหลียงจ้องมองจื่ออัน “บอกมา เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” จื่ออันลุกขึ้นยืน เดินมายังด้านข้างของอ๋องเหลียง “ท่านอย่ารู้เลยจะดีกว่า ในเมื่อท่านเลือกที่จะประนีประนอมกับเสด็จแม่ของท่านแล้ว ก็ประนีประนอมต่อไป ไม่เป็นไร เพียงแต่ท่านวางใจได้ ข้าจะช่วยอี๋เอ๋อร์แก้แค้นเอง” สีหน้าของอ๋องเหลียงเปลี่ยนไปทันที หันไปถามยังตาวเหล่าต้าด้วยความดุร้าย “เจ้าบอกมา เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” ตาวเหล
หูฮวนสี่เอ่ยออกมา “เหลียงซู่หลินเป็นแม่ทัพขั้นห้า ราชครูมอบหมายหน้าที่ให้เขาไปส่ง ๆ รับหน้าที่ผู้บัญชาการหน่วยองค์รักษ์อวี่หลิน ในวังบูรพาขององค์รัชทายาท องค์รักษ์ในมือมีเพียงแค่สิบสองนายเท่านั้น ถือว่าเป็นขุนนางที่มีระดับต่ำที่สุดในตระกูลเหลียงแล้ว และก็เป็นหลานชายที่ราชครูเหลียงไม่เห็นความสำคัญมากที่สุด ทว่า หากว่าครั้งนี้เขาสามารถแต่งงานกับองค์หญิงได้แล้ว เขาก็จะกลายเป็นที่วิตกกังวลมากที่สุดของราชครูเหลียงแล้ว” “คนจากวังขององค์รัชทายาท?” จื่ออันยิ้มเยาะเย้ยออกมา “กุ้ยไท่เฟยช่างหลักแหลมจริง ๆ ใช้คนของราชครูเหลียง อีกทั้งยังเป็นคนจากวังของรัชทายาทอีกด้วย นางช่างกล้าดีแท้” “นางมีใจทะเยอทะยานของจักรพรรดิวู่ และก็มีความชั่วร้ายของจักรพรรดิวู่ และยังมีกลวิธีของจักรพรรดิวู่ คนผู้นี้จะต้องระมัดระวัง” หูฮวนสี่เอ่ยออกมา “ข้อมูลเหล่านี้ เจ้าไปได้มาจากที่ใดกัน?” จื่ออันมองยังนาง นางเป็นเพียงคนทำการค้าที่ร่ำรวยเท่านั้น แล้วไปรู้เรื่องภายในของกุ้ยไท่เฟยได้อย่างไร? หูฮวนสี่เงยหน้าขึ้น “ท่านคิดว่าข้ากุมร้านจู้เสียนเพื่ออะไรกัน? เพื่อที่จะทำเงินกับผู้สูงส่งเหล่านี้หรือ? หากไม่ใช่เพื่อสืบข่าว
จนกระค่ำคืนแล้วมู่หรงเจี๋ยถึงได้กลับมา จื่ออันคอยเขาพร้อมกับเฝ้าจ้วง ๆ อยู่ข้างเตียง เมื่อได้ยินเสียงของหนี่หรงแล้ว นางก็รีบเดินออกไป “สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?” จื่ออันถอดเสื้อคลุมให้เขา เมื่อเห็นใบหน้าของเขาซีดขาว ก็รู้ได้ว่าสถานการณ์ไม่ดีนัก มู่หรงเจี๋ยเอ่ยออกมาด้วยความกรุ่นโกรธ “เสด็จแม่ตั้งใจที่จะตามหาสามีให้กับจ้วงจ้วง อีกทั้งยังได้ความเห็นชอบจากท่านอ๋องกวางตง เรื่องนี้ข้าในฐานะที่เป็นผู้น้อยจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้ เพราะมิใช่เรื่องในราชสำนัก โต้เถียงกันทั้งคืน เสด็จลุงก็ไม่ยอมล่าถอยให้แม้แต่น้อย เขากำลังจะมาถึงแล้ว ต้องการจะพบกับจ้วงจ้วง” จื่ออันเอ่ยออกมาอย่างเป็นกังวล “แม้แต่ท่านเองก็ยังจัดการกับท่านอ๋องกวางตงไม่ได้หรือ?” “ผู้ใดจะจัดการกับเขาได้บ้าง?” มู่หรงเจี๋ยยังคงโมโหอย่างมาก จื่ออันเอ่ยออกมา “วันนี้เกิดเรื่องบางอย่างขึ้น ท่านพบอ๋องเหลียงแล้วหรือยัง?” “ไม่ เกิดอะไรขึ้น?” มู่หรงเจี๋ยหันกลับมาถาม จื่ออันนำเรื่องที่องค์รัชทายาทจับตัวอี๋เอ๋อร์ไปเล่าออกมา มู่หรงเจี๋ยส่งยิ้มเย้ยหยันออกมา “เศษสวะนี่รนหาที่ตายอย่างนั้นหรือ” “ทว่าก็ดีเช่นกัน อย่างนั้น
จื่ออันถอนหายใจออกมาเบา ๆ หมุนกายเดินเข้าไป ปล่อยให้ทั้งสองลุงหลานทะเลาะกันตามใจชอบ ก่อนจะนั่งลงบนหัวเตียวของจ้วงจ้วง มองสีหน้าที่สงบนิ่งของนาง เป็นเพราะกินแมลงเจ็ดส่วนเข้าไปดูดซับพิษภายในกายของนาง นางดูเหมือนกับคนที่นอนหลับไปอย่างนั้น สองวันมานี้สามารถป้อนน้ำข้าวให้นางได้บ้างเล็กน้อย แน่นอนว่าสารอาหารไม่เพียงพอ เพราะฉะนั้นหลายวันมานี้ ร่างกายของนางจึงผอมลงไปมาก เมื่อกุมมือของนางแล้ว ก็ผอมบางราวกับไร้กระดูก ก่อนจะเปิดแขนเสื้อของนางขึ้น ก็มองเห็นรอยแผลมากมายบนข้อมือของนาง ไม่ลึก แต่ก็มีจำนวนมาก ทำให้คนรู้สึกเศร้าใจขึ้นมา ไม่รู้ว่านางรอดพ้นจากค่ำคืนอันมืดมิดและยาวนานนั้นมาได้อย่างไร เมื่อพลิกเปิดดูใบสั่งยาที่หมอหลวงจัดให้นางก่อนหน้านั้นแล้ว โดยมากเป็นชาเพื่อสงบสติอารมณ์ นางจำต้องใช้ชาสงบอารมณ์เหล่านี้ถึงจะนอนหลับลงไปได้ มีเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาอย่างเงียบ ๆ จื่ออันฟังออกว่าคือท่านอ๋องกวางตง จื่ออันถอนหายใจออกมาเบา ๆ “จำได้ว่าจ้วงจ้วงเคยเอ่ยกับข้าเอาไว้ นางไม่ดื่มเหล้า ไม่กล้าดื่มเหล้า เพราะเมื่อดื่มเหล้าไปแล้วก็ไม่อาจจะควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ นางต้องทนทุกข์ทรมานมาตลอดชีวิต” น
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว