จากนั้นฉินจือก็ยังคงนำแม่นางคนนั้นเข้ามา ก็พบเข้ากับตาวเหล่าต้าที่กำลังรีบพุ่งเข้ามาเอ่ย “คุณหนูใหญ่ เฉินไท่จวินขอเชิญท่านรีบไปสักรอบ บอกว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉินล้มลงขาหักแล้ว” จื่ออันตื่นตกใจ “ทำไมถึงได้เป็นเช่นนี้ไปได้?” ตาวเหล่าต้าเอ่ยออกมา “ทางด้านตระกูลเฉินส่งคนมาบอกว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉินรู้ว่าองค์หญิงใหญ่เกิดเรื่องขึ้น รีบวิ่งหนีปีนขึ้นกำแพงออกมา แต่ก็ไม่คิดว่าจะตกลงมา” จื่ออันส่งเสียงร้องออกมา “ช่วงนี้ช่างมีเรื่องให้กังวลใจน้อยเสียเมื่อใดกัน” นางเอ่ยสั่งหมอหลวงที่คอยรับใช้อยู่ด้านหลัง “อีกประเดี๋ยวเมื่อฉินจือนำแม่นางคนนั้นเข้ามา เจ้าตรวจสอบให้ดี ๆ ว่าที่นางนำมานั้นคือเขาละมั่งโลหิตหรือไม่ อย่าเพิ่งรีบร้อนให้รางวัล” “พ่ะย่ะค่ะ เข้าใจแล้วพระชายา!” หมอหลวงเอ่ย หลังจากที่จื่ออันสั่งหมอหลวงเอาไว้แล้ว ก็นำกล่องยาและตาวเหล่าต้าออกจากประตูไป ในตอนที่นางออกจากประตูไปนั้น นางก็ได้พบกับแม่นางคนนั้นที่ฉินจือนำเข้ามา เมื่อเห็นว่านางอายุราวสิบห้าสิบหกปี ท่าทางดูอ่อนหวาน มวยผมสองข้าง ดวงตากลมโต เมื่อพบจื่ออันแล้ว ก็มองมายังจื่ออันด้วยความประหลาดใจ จื่ออันหยุดลง เอ่ยสั่งกับฉินจื
อ๋องเหลียงคิดจะดึงมือกลับมา ทว่าอี๋เอ๋อร์กลับจับมือของเขาแน่นไม่ยอมปล่อยออกมา ท่าทีดูตื่นเต้นยินดียิ่งนัก อ๋องเหลียงทำได้เพียงเอ่ยออกมา “เอาล่ะ อี๋เอ๋อร์ เจ้ากลับไปก่อน ข้ายังมีเรื่องให้ต้องทำอีก รอข้าจัดการธุระเสร็จแล้ว ค่อยไปเที่ยวเล่นหาเจ้า” อี๋เอ๋อร์ปล่อยเขา พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “เจ้าค่ะ ท่านรีบเข้าไปเถิด องค์หญิงรอความช่วยเหลืออยู่” อ๋องเหลียงมองยังนางด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง เอ่ยเคร่งขรึมออกมา “แล้วค่อยพบกัน!” เมื่อเอ่ยจบ ก็นำพ่อบ้านเข้าไป อี๋เอ๋อร์มองเขาเข้าไปด้วยความชื่นชอบ เดิมทีคิดจะจากไป ทว่าก็คิดว่าไม่ได้พบกับเขามานานแล้ว ไม่สู้รอเขาออกมาพูดคุยกันแล้วค่อยจากไป เพราะฉะนั้น นางจึงนั่งลงตรงขั้นบันได อย่างต้องการจะรออ๋อง เหลียงให้ออกมา ภาพฉากนี้ ล้วนแต่ตกลงในสายตาขององค์รัชทายาท เขามาถึงช้าไปกว่าอ๋องเหลียงเพียงครู่เดียว เป็นฮองเฮาที่ให้เขามา ในตอนที่เขาไม่รู้ว่าจะไปที่ใด ก็เลยมาที่แห่งนี้สักครู่ แล้วค่อยกลับไปรายงาน เขาไม่เคยพบกับสายตาของเจ้าเศษสวะนั้นมองหญิงสาวเช่นนี้มาก่อนเลย เขาคิดว่าหญิงสาวผู้นี้จะต้องมีความหมายไม่ง่ายดายต่อเขาอย่างแน่นอน “รู้หรือไม่ว่านางเป็น
เขาเคยพบกับอี๋เอ๋อร์มาก่อน ในตอนที่อ๋องเหลียงรู้จักกับอี๋เอ๋อร์นั้น เขาเองก็อยู่ด้วยพอดี ทว่าเขาก็ส่ายศีรษะออกมาทันที อี๋เอ๋อร์จะมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน? และต่อให้มา ก็ไม่มีทางที่จะขึ้นรถม้าขององค์รัชทายาท เขาผูกม้าเสร็จแล้วก็เข้าไป เมื่อมองเห็นอ๋องเหลียง ก็ยิ้มแล้วเอ่ยออกมา “เมื่อครู่นี้ข้ายังคิดว่ามองเห็นอี๋เอ๋อร์เสียอีก” อ๋องเหลียงไม่ได้ตอบกลับ ท่าที่สูญเสียอย่างเห็นได้ชัด ส่วนจื่ออันที่ไปยังจวนตระกูลเฉินนั้น เมื่อมองเห็นหลิวหลิ่ว นางก็ตื่นตกใจขึ้นมา บาดแผลนั้นไม่ได้สาหัสนัก แต่ทว่านางกลับดูซูบผอมไปอย่างมาก ใบหน้ารูปไข่กลมนั้นผอมจนกลายเป็นใบหน้าเมล็ดแตงโม คางแหลมคมราวใบมีด เดิมที่มีดวงตาโตอยู่แล้ว มาตอนนี้กลับโตเสียจนน่าตกใจ หลิวหลิ่วเมื่อเห็นนางเข้าก็กอดเอาไว้ แล้วร้องไห้ออกมา “จื่ออัน ข้ารู้เรื่องขององค์หญิงกับพี่ใหญ่เซียวเซียวแล้ว ทำไมถึงได้เป็นเช่นนี้? ในใจของข้ารู้สึกแย่ยิ่งนัก” เสียงร้องไห้ของหลิวหลิ่วนั้นดูเหมือนว่าจะติดต่อกันได้ ร้องไห้ออกมาอย่างรุนแรง และแทบจะไม่ปกปิดใด ๆ นางร้องไห้เสียจนทำให้น้ำตาของจื่ออันไหลรินลงมา เฉินไท่จวินที่นั่งสูบบุหรี่ไอน้ำอยู่
เหล่าไท่จวินเมื่อเอ่ยแล้วก็ทำตามนั้น เมื่อจื่ออันเพิ่งจะจากไป นางก็สั่งคนให้เตรียมรถม้าไปจวนโหว การกระทำที่กล้าหาญบางคราวก็ดูน่ากลัว โดยเฉพาะคนที่เคยอยู่ในสนามรบมาก่อน จื่ออันกลับมายังจวนองค์หญิง ระยะนี้นางถือว่าจวนองค์หญิงนั้นเป็นบ้านของตนเองเสียแล้ว เข้าจวนมาก็ถามกับหมอหลวง “ที่แม่นางคนนั้นนำมาเป็นเขาละมั่งโลหิตหรือไม่?” หมอหลวงเอ่ย “ทูลพระชายา นางไม่ได้นำมา เพียงแต่บอกว่ามารดาของนางมีเขาละมั่งโลหิต ภายหลังให้นางดูรูปภาพ นางบอกว่าสีไม่ถูกต้อง เช่นนั้นก็คงจะไม่ถูกต้องแล้ว” “สีไม่ถูกต้อง? นางบอกว่าสีมันเป็นอย่างไร?” จื่ออันเอ่ยถาม “นางบอกว่าเป็นสีเหลือง ที่มีร่องรอยของสีโลหิต” หมอหลวงเอ่ยตอบกลับ จื่ออันคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาละมั่งโลหิตเป็นเพราะปัญหาทางด้านการจัดเก็บ ก็อาจจะทำให้เกิดสถานการณ์ของการเปลี่ยนสีขึ้น ควรจะตรวจสอบสักเล็กน้อยจะเป็นการดี “นางทิ้งที่อยู่เอาไว้หรือไม่? จะต้องไปดูด้วยตนเอง” หมอหลวงเอ่ย “ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ แต่รู้ชื่อของนาง เหมือนจะเรียกว่าหวังอี๋เอ๋อร์” หวังอี๋เอ๋อร์? ชื่อนี้ช่างคุ้นเคยนัก เซียวท่าที่เพิ่งจะเดินเข้ามา เมื่อได้ยินคำของหมอหลวง เขาก็รีบร้
จื่ออันเอ่ยออกมา “เจ้าเห็นนางเพียงแค่ครั้งเดียว เป็นไปได้หรือไม่ที่จะจำนางผิดได้? เพราะอย่างไรแล้วเจ้าเพียงแค่เห็นจากแผ่นหลังว่านางขึ้นรถม้าไป” เดิมทีเซียวท่านั้นก็ไม่ค่อยจะแน่ใจอยู่แล้ว ตอนนี้เมื่อจื่ออันเอ่ยออกมาเช่นนี้ ก็ยิ่งแน่ใจว่าคนผู้นั้นไม่ใช่อี๋เอ๋อร์ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ในตอนนั้นเพียงมองออกไปก็รู้สึกว่าเป็นอี๋เอ๋อร์ อ๋องเหลียงเอ่ยออกมาอย่างอารมณ์ไม่ดีนัก “ข้ายิ่งไม่อยากจะไปยั่วยุคนผู้นั้น เจ้าก็ยังจะมองพลาดไปอีก วันนี้วุ่นวายเช่นนี้ ไม่แน่ว่าวันพรุ่งนี้ก็อาจจะต้องเข้าวังไปทูลเสด็จแม่แล้ว” จื่ออันเอ่ยออกมาอย่างเรียบเฉย “ท่านจะกลัวเขาไปทำไมกัน? ท่านก็ไม่ได้ติดค้างอะไรเขาเสียหน่อย” นางยังคงรู้สึกไม่พอใจที่อ๋องเหลียงไม่ยินยอมรับการรักษา รู้สึกว่าเขาแข็งแกร่งไม่พอ อ๋องเหลียงรู้ว่าในใจของนางยังคงกรุ่นโกรธอยู่ จึงไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา จื่ออันเมื่อเห็นท่าทีของเขาเช่นนี้ ก็ไม่อยากจะเอ่ยว่าเขา “เอาล่ะ ท่านส่งคนไปถามหาบ้านของอี๋เอ๋อร์ ดูว่านางกลับไปแล้วหรือไม่ พร้อมทั้งดูว่าเขาละมั่งของมารดานางมีสีโลหิตหรือไม่” อ๋องเหลียงตะลึงไปครู่หนึ่ง “ข้าไม่รู้ว่านางพักอยู่ที่ใด
จื่ออันจ้องมองมายังนาง เมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางดูสงบนิ่ง ไม่ได้มีความกังวลของผู้ที่บุตรสาวหายไปแม้แต่น้อย ก็ทำให้จื่ออันรู้สึกประหลาดใจขึ้นมา หากว่านางไม่อดทนมากพอ ก็ต้องไม่เป็นกังวลกับอี๋เอ๋อร์ อีกทั้ง นางยังจะไปหาองค์รัชทายาทด้วยตนเอง นางเป็นเพียงแค่ชาวบ้านคนหนึ่งเท่านั้น จะไปหาองค์รัชทายาทได้อย่างไรกัน? จื่ออันเอ่ย “ฮูหยิน ท่านรออยู่ที่นี้เถิด ให้พวกเราไปตามหาก็พอแล้ว” หญิงสาวเหลือบมองพวกเขา สุดท้ายแล้วสายตาตกลงไปบนใบหน้าของอ๋องเหลียง “ท่านคงจะคืออ๋องเหลียง ใช่หรือไม่?” อ๋องเหลียงพยักหน้า “ใช่แล้ว ฮูหยิน” “ตกลง พวกท่านไปเถิด ไปตามหานางกลับมาให้ข้า” มารดาของอี๋เอ๋อร์เอ่ยออกมา และไม่ได้ยืนกรานความคิดเห็นก่อนหน้านั้นแม้แต่น้อย อ๋องเหลียงโค้งกายตอบรับ ทั้งสามคนออกจากจวนไปพร้อมกัน นำองค์รักษ์เงาของจวนองค์หญิงและตาวเหล่าต้าไปด้วย และเป็นเพราะรู้ว่าก่อนหน้านั้นองค์รัชทายาทอยู่ที่หอหลานฟาง ทุกคนจึงตรงไปยังหอหลานฟาง ในตอนที่ไปถึงหอหลานฟางนั้น ก็พบว่าองค์รัชทายาทจากไปนานแล้ว เพราะฉะนั้น ทั้งสามคนจึงได้แยกกัน อ๋องเหลียงเข้าวังไป จื่ออันนำคนหลายคนไปตามหาในโรงเหล้า และโรงน้ำช
เชิงเขาด้านล่างมีหมู่บ้านอยู่หมู่บ้านหนึ่ง ทว่าชาวบ้านทั่วไป ไม่อาจเข้าไปถวายธูปเทียนได้ คนที่มาที่นี่บ่อยที่สุดก็คือ องค์รัชทายาทและพระสนมอี๋ อันที่จริงแล้ว พระในวัดทุกรูปต่างก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่าจะมีใครที่กล้าส่งเสียงเอ่ยออกมา คืนวานนี้พระสนมอี๋ก็มายังที่นี่ บอกว่าจะมาขอพรให้กับองค์หญิง จะอยู่ที่นี่เพื่อขอพรติดต่อกันเจ็ดวัน ในตอนที่อี๋เอ๋อร์ถูกจับตัวมานั้น พระในวัดต่างก็ไม่กล้าที่จะกระโตกกระตากออกมา พวกเขารู้ความเก่งกาจ และบ้าอำนาจขององค์รัชทายาทดี วัดแห่งนี้ไม่มีชาวบ้านมาถวายเครื่องหอม จึงทำได้เพียงพึ่งพาการบริจาคจัดสรรจากราชวงศ์ พวกเขาไม่อาจที่จะล่วงเกินองค์รัชทายาทได้ ผู้เป็นพระนั้น ทุกสิ่งอย่างในโลกนี้ล้วนแต่ว่างเปล่า แต่ก็ยังคงต้องกินข้าว มิฉะนั้นแล้ว จะไปมีแรงที่ไหนเพื่อท่องพระสูตรกัน? อี๋เอ๋อร์ถูกจับโยนเข้าไปในห้องเก็บฟืน มีลูกสมุนขององค์รัชทายาทเป็นผู้คอยเฝ้าคุมอยู่ มือและเท้าของอี๋เอ๋อร์ถูกมัดเอาไว้ ปากเองก็ถูกปิด ทว่านางไม่ได้หวาดกลัวแม้แต่น้อย กระทั่งยังจ้องมองลูกสมุนองค์รัชทายาทด้วยดวงตากลมโต ประตูถูกผลักเข้ามา องค์รัชทายาทนำคนเดินเข้ามา ลูกสมุนจึงได้หลี
ส่วนจื่ออันและมารดาของอี๋เอ๋อร์ ต่างก็ได้ข่าวมาจากขอทาน ในตอนที่จื่ออันนำคนไปยังวัดตรงเชิงเขานั้น ก็พบเข้ากับมารดาของอี๋เอ๋อร์ ในมือของนางอุ้มตัวอะไร...ดูเหมือนว่าจะเป็นสุนัข แต่ว่าไม่ใช่ เมื่อมองไปให้ละเอียดแล้วก็คือหมาป่า ฝีเท้าของนางรวดเร็ว ไม่ได้ดูสงบนิ่งเหมือนกับในตอนที่อยู่ในจวนองค์หญิง จื่ออันนำตาวเหล่าต้าตามมาด้วย มารดาของอี๋เอ๋อร์หันกลับมาเหลือบมอง ก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจนัก เพียงแต่เอ่ยออกมาอย่างเรียบเฉย “พระชายาเองก็มาแล้ว?” “ใช่แล้ว” จื่ออันเดินขึ้นไป เห็นเพียงว่าหมาป่าที่นางอุ้มอยู่นั้นจู่ ๆ ก็ยกขาหน้าขึ้นมา แล้วกระโจนเข้าใส่จื่ออันอย่างดุร้าย มารดาอี๋เอ๋อร์ส่งเสียงร้องตะโกนออกมา “ถอยไป ไม่มีตาเอาเสียเลย คนดีกับคนชั่วก็ยังแยกไม่ออกอย่างนั้นหรือ?” เมื่อหมาป่าตัวนั้นก็ถูกมารดาของอี๋เอ๋อร์ตะโกนดุออกมา ทันใดนั้นก็ถอยออกมาหมอบอยู่ตรงเท้าอย่างเชื่อฟัง จื่ออันมองยังนางด้วยความประหลาดใจ มักจะรู้สึกว่าหญิงสาวคนนี้ดูไม่ธรรมดา อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมา “ไม่รู้ว่าควรจะเรียกท่านว่าอย่างไรดี?” “หลิวเย่ว์” มารดาของอี๋เอ๋อร์เอ่ยออกมา จื่ออันมองยังนางอย่างตกใจเล็กน้อย “หลิว
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว