ขณะที่จื่ออันเอ่ยออกมานั้น เสียงดังชัดของเซียวท่าดังขึ้นมาจากด้านนอก “เจ้าเอ่ยออกมาแล้ว เอ่ยออกมาเช่นนี้ ข้าไม่ได้โก......อื้อ อื้อ” เห็นได้ชัดว่าถูกปิดปากเอาไว้ จากนั้นก็ได้ยินเสียง “เอี๊ยดอ๊าด” ดังขึ้น ฟังออกได้ว่า เซียวท่าผู้น่าสงสารถูกคนลากออกไปแล้ว มู่หรงเจี๋ยเงี่ยหูฟัง มุมปากยกยิ้มเย็นชาออกมาเอ่ยถามจื่ออัน “อยากดูเรื่องสนุกหรือไม่?” จื่ออันเอ่ย “ข้าอยากดูมาก” มู่หรงเจี๋ยยื่นมือออกมา “ขอยืมเชือกบ่วงบาศของเจ้าที” “เชือกบ่วงบาศ? เชือกผุพังนี้มีประโยชน์อะไรกัน?” จื่ออันนำเชือกบ่วงบาศส่งให้กับเขา มู่หรงเจี๋ยรับมา ก่อนจะพันรอบข้อมือของเขา จากนั้นก็ลุกขึ้นไปยังหน้าโต๊ะ แล้วรินเหล้าออกไปจอกหนึ่ง ในปากเอ่ยออกมา “หากว่าตรงประตูมีงูมามากกว่าร้อยตัว เหล้าเหยือกนี้ก็จะเป็นของเจ้าแล้ว” จื่ออันเอนตัวออกไปฟังเขาเอ่ยออกมาอย่างอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ แล้วเอ่ย “เจ้าหมายความว่าเชือกบ่วงบาศนี้สามารถเรียกงูได้อย่างนั้นหรือ?” “จริงแท้แน่นอน อีกประเดี๋ยวก็จะรู้แล้ว” มู่หรงเจี๋ยเอ่ยออกมา จื่ออันแน่นอนว่าย่อมไม่เชื่อ เรื่องแปลกประหลาดเช่นนี้จะมีใครที่เชื่อกัน? ทว่าหลังจากที่เชือกบ่วงบาศถู
เมื่อจื่ออันเห็นตำราที่อยู่บนโต๊ะ ก็เอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย “ตำราอะไรกัน?” มู่หรงเจี๋ยคว้ามันกลับไปทันที “อย่าดู ไม่มีอะไรที่น่าดู” แต่จื่ออันกลับพลิกเปิดหน้าแรกขึ้นมา มองเห็นภาพที่อยู่ด้านในนั้น ดวงตาเหยียดตรง “นี่มันตำราลับนี่!” “อืม ตำราลับฝึกวิชายุทธ์ที่มอบให้ข้า เจ้าไม่ได้ฝึกวิชายุทธ์ ไม่ต้องการมันหรอก” มู่หรงเจี๋ยนำตำราซ่อนเอาไว้ในแขนเสื้อ แล้วเอ่ยออกมาอย่างเคร่งขรึม จื่ออันส่งเสียงฮึมฮัมออกมามองไปยังมู่หรงเจี๋ย “ตกลง ต่อไปพวกเราควรจะทำกันอย่างไรกันดี?” มู่หรงเจี๋ยดูค่อนข้างจะไม่เป็นธรรมชาติ “หรือบางที พวกเรามากินอะไรกันก่อนดีไหม?” จื่ออันพยักหน้า “ข้อเสนอนี้ดีมาก” นางนั่งลงก่อน จากนั้นก็มองไปยังจอกสีทองที่พันไว้ด้วยผ้าสีแดง ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่า “พวกเราควรจะดื่มเหล้ากันสักจอกหรือไม่?” มู่หรงเจี๋ยส่งเสียงคำรามออกมา “เหมือนว่าจำต้องทำเช่นนี้” จื่ออันรินเหล้าลงไป เหล้าไหลออกมาจากเหยือกลงจอกไปอย่างเงียบ ๆ ในใจของจื่ออันรับรู้ได้ถึงความเป็นจริง นางไม่เพียงแต่เงยหน้าขึ้นไปมองยังมู๋หรงเจี๋ย มู่หรงเจี๋ยเองก็กำลังมองมายังนาง เรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทำให้
กลางดึก จื่ออันลุกขึ้นจากเตียงขึ้นเป็นครั้งที่สาม และปีนกลับขึ้นไปบนเตียง แล้วขดกายไปยังข้างเตียงด้วยความไม่พอใจ ภายหลังนางจะนอนข้างในนั้น มู่หรงเจี๋ยก็พลิกกาย เท้าใหญ่พลันกดลงบนหน้าท้องของนาง นางโกรธเกลียดเป็นอย่างมาก ก่อนจะยืดกายขึ้นเพื่อต้องการจะต่อยไปยังใบหน้าเพื่อทักทาย ทว่าเมื่อมองเห็นใบหน้าที่หลับใหลและไม่เป็นอันตรายใด ก็อดใจไม่ไหว ทำได้เพียงหลับตาลงอย่างไม่พอใจ เช้าตรู่ของวันถัดมา เป็นวันที่ดีมีแสงแดดสว่างสดใส หนี่หรงเคาะประตูอยู่ด้านนอก ร้องตะโกนออกมาเสียงเบา “ท่านอ๋อง พระชายา ตื่นได้แล้ว” จื่ออันที่ตื่นขึ้นมาแล้ว แต่ก็ยังไม่ตอบกลับ ทำให้หนี่หรงต้องร้องตะโกนออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า มู่หรงเจี๋ยที่ถูกรบกวนจนตื่นขึ้นมา เมื่อเห็นว่าจื่ออันนอนยิ้มนิ่งอยู่บนเตียง ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วออกมา “เขาร้องตะโกนอยู่ตลอด ท่านไม่ตะโกนออกไปสักคำหนึ่งเล่า? เสียงดังเกินไปแล้ว” จื่ออันส่งเสียงขู่ออกมา “ให้เขาตะโกนออกมาอีก ตะโกนอีก” และแน่นอนว่า หนี่หรงก็ตะโกนขึ้นมาอีก “ท่านอ๋อง พระชายา ตื่นได้แล้ว” รอยยิ้มของจื่ออันยิ่งเพิ่มมากขึ้น เสียงเรียกพระชายานี่ ช่างน่าฟังเป็นอย่างยิ่ง “หุบปา
เด็กรับใช้ภายในจวนต่างก็พากันมองเห็น พากันปิดปากลอบยิ้มออกมา คู่บ่าวสาวเมื่อคืนนี้ช่างดูสู้กันอย่างสุดแรงจริง ๆ ไท่หวงไท่โฮ่วและกุ้ยเฟยนั่งกันอยู่ภายในห้องโถง และแน่นอนว่ากุ้ยไท่เฟยย่อมที่จะไม่ออกมาด้วยตนเอง เป็นไท่หวงไท่โฮ่วที่เป็นคนสั่งให้คนไปเรียกตัวออกมา อาเฉอที่ยืนอยู่ข้างกายของไท่หวงไท่โฮ่ว ทั้งสองคนมองไปยังมู่หรงเจี๋ยที่ประคองจื่ออันออกมา ล้วนแต่เบิกตากว้างมองดู อาเฉอเอ่ยออกมาเสียงเบาข้างหูของไท่หวงไท่โฮ่ว “ดูเหมือนว่า เมื่อคืนนี้เรื่องคงจะสำเร็จแล้ว” ใบหน้าของไท่หวงไท่โฮ่วเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “ข้าบอกแล้วว่าเมื่อคืนให้ไปแอบฟังที่ห้องหอ เจ้าก็เกียจคร้านไม่ยอมไป” อาเฉอส่งเสียงเย็นชาออกมา “เป็นข้าที่ไม่ยอมไปอย่างนั้นหรือ? หรือว่าท่านเองที่บอกว่าไม่ไป” ทั้งสองคนเดินไปยังเบื้องหน้าของไท่หวงไท่โฮ่ว แล้วคุกเข่าลง จื่ออันคุกเข่าลงอย่างฝืน ๆ ตอนที่คุกเข่าลงไปก็เกิดความเจ็บปวดขึ้นมา มู่หรงเจี๋ยที่เห็นนางเจ็บปวดเป็นอย่างมาก ก็เอ่ยออกมา “พอแล้ว เจ้าไม่ต้องคุกเข่าแล้ว ข้าจะคุกเข่าแทนเจ้าเอง” เมื่อเอ่ยจบแล้ว แล้วโค้งศรีษะคำนับลงให้กับไท่หวงไท่โฮ่วอย่างรวดเร็ว “เอาล่ะ ส่วนของจ
ไท่หวงไท่โฮ่วให้จื่ออันยืนรออยู่ด้านนอกของประตู นางมีเรื่องที่ต้องพูดคุยกับมู่หรงเจี๋ย จื่ออันถอยออกไป ป้าอาเฉอก็ยืนอยู่ด้านนอกประตู เมื่อเห็นนางออกมา และมองไปยังแขนที่มีเชือกบ่วงบาศคล้องอยู่ “ของสิ่งนี้ใช้ง่ายยิ่งนัก เจ้าอยากจะให้ข้าสอนว่ามันใช้อย่างไรหรือไม่?” เมื่อคืนนี้จื่ออันก็ได้เห็นถึงความร้ายกาจของเชือกบ่วงบาศมาแล้ว มาตอนนี้ได้ยินป้าอาเฉอบอกว่ายังมีผลวิเศษอื่นอีก ก็อดไม่ได้ที่ยิ้มออกมา พร้อมเอ่ยขอคำชี้แนะ “ป้าอาเฉอได้โปรดชี้แนะด้วย” ป้าอาเฉอส่งเสียงอืมออกมา “ข้าทนทุกข์ทรมานมาจากเชือกบ่วงบาศนี้ไม่น้อย ก่อนหน้านั้นหญิงชราก็ใช้มันจัดการกับข้า” ภายในห้องโถง ไท่หวงไท่โฮ่วพบว่าสีหน้าของเขาดูไม่ดีนัก ก็ให้เขานั่งลง “เจ้าคิดว่า ข้าเห็นมารดาของเจ้ารังแกเซี่ยจื่ออันแล้วยังไม่ยอมส่งเสียงใดออกมา เป็นเพราะว่าจะช่วยเหลือนาง?" มู่หรงเจี๋ยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา “มิใช่ นางเองไม่อาจจะรังแกเซี่ยจื่ออันได้” “รู้ก็ดีแล้ว เซี่ยจื่ออันไม่ได้คุกเข่าให้กับข้า นางกลับเรียกร้องให้เซี่ยจื่ออันคุกเข่าให้กับนาง ตรงจุดนี้ข้าสามารถเอ่ยอะไรช่วยจื่ออันได้จริง ทว่าข้าอยากจะดูว่าเด็กคนนี้จะสามารถอดทนได
ทว่าจื่ออันก็ยังคงไม่เข้าใจความหมายเมื่อครู่นี้ของนางอยู่ดี นางบอกว่าสาเหตุที่นางลงมือช่วยเหลือตนเองนั้น เป็นเพราะล้วนแต่มองเห็นทุกอย่างอยู่ในสายตา รู้ที่มาของนาง รู้ทุกสิ่งอย่างที่นางทำ เช่นนั้นแล้ว ที่ช่วยเหลือนางเพราะว่าเหตุใดกัน? เหตุผลที่ช่วยเหลือนางเป็นเพราะว่าอะไรกัน? หรือเป็นเพราะว่ารู้ทุกอย่าง ก็เลยลงมือช่วยเหลือนาง? จื่ออันต้องการที่จะเอ่ยถามออกมา แต่เมื่อเห็นว่านางค่อย ๆ หลับตาลง ในตอนที่อยู่บนเกาะโดดเดี่ยวนั้น หากนางเพียงแค่หลับตาลง ก็หมายความว่าต้องการจะไล่นางออกไป และก็แน่นอนว่า ไท่หวงไท่โฮ่วตรัสออกมาอย่างเรียบเฉย “เจ้าออกไปก่อนเถิด” จื่ออันคิดจะเอ่ยถามนางในภายหลัง เพราะอย่างไรนางก็กลับมาแล้ว ก็คงจะไม่รีบร้อนจากไป ทว่าบ่ายในวันนั้น ก็มีคนมาแจ้งกับมู่หรงเจี๋ยว่า ไท่หวงไท่โฮ่วและป้าอาเฉอจากไปแล้ว จื่ออันรู้สึกผิดหวังขึ้นมา แต่กลับเป็นมู่หรงเจี๋ยที่ไม่ใส่ใจนักเอ่ยออกมา “บรรพชนไปมาไร้ร่องรอย อีกทั้งนางยังเหนื่อยหน่ายกับเรื่องราวภายในเมืองหลวง ข้ารู้ตั้งแต่เนิ่นแล้วว่านางกลับมาก็คงพักอยู่ไม่นาน” ความสงสัยของจื่ออันในเรื่องเหล่านั้น ยังไม่ทันได้รับคำตอบ และแน่นอนว่า
คุกของกรมอาญานั้นได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนา กำแพงเป็นเหล็ก และแทบจะไม่มีลมทะลุพัดผ่านมาได้ และใครก็ตามที่ถูกคุมขังเอาไว้ในกรมอาญานั้น ล้วนแต่ต้องโทษหนัก เซี่ยหวายจุนฝันก็ไม่แม้แต่จะเคยคิดฝัน ว่าจะมีวันหนึ่งที่เขาจะถูกคุมขังไว้ที่นี้ เขาที่เป็นถึงมหาเสนาบดีผู้สง่างาม กรมอาญากล่าวถึงข้อกล่าวหาของเขามากกว่าสามสิบข้อ แต่เขาไม่ยอมรับแม้แต่ข้อเดียว และถึงแม้ว่าผู้ที่เกี่ยวข้องกับคดีทุจริตส่วนมากแล้วล้วนแต่ถูกตัดหัวไป เขาก็ยังไม่ยอมรับแม้แต่คำเดียว เพราะว่าเขาเป็นถึงมหาเสนาบดีของราชสำนัก ขอเพียงแค่เขาไม่ยอมรับ หัวของเขาก็ยังคงอยู่บนหัวอย่างปลอดภัย ถึงแม้ว่ากรมอาญาจะมีเวลาอยู่กับเขาถึงหนึ่งร้อยปี และถึงแม้ว่าเขาจะถูกขังอยู่ในคุกไปตลอดชีวิต อย่างไรแล้วก็ดีกว่าตายไป หลังจากที่ซักไซ้มาหลายวัน ส่วนสถานการณ์ภายนอกนั้น เขากลับไม่รู้เรื่องราวมากนัก มีเพียงแค่เรื่องเดียวที่รับรู้ก็คือ โรคผีดิบนี้มียาสามารถรักษาได้แล้ว เพราะฉะนั้น เขาจึงยังคงคิดว่าเซี่ยจื่ออันตายไปแล้ว และมารดาของเขายังคงมีชีวิตอยู่ และสามารถรักษาได้หายขาดแล้ว มหาเสนาบดีเซี่ยไม่รู้ว่าเฉินหลิงหลงนำเซี่ยหว่านเอ๋อหนีไปแล
เมื่อใช้แสงสลัวจากบนพนังนั้นแล้ว เขามองเห็นเซี่ยจื่ออันยืนอยู่ด้านนอกของกำแพงเหล็ก เขาคิดว่าตัวเองมองผิดไป จึงก้าวไปด้านหน้าอีกหนึ่งก้าว หรี่ตาเล็กลงมองออกไปอย่างระมัดระวัง เป็นนางจริง รูปร่างท่าทางเช่นนั้นที่ทำให้เขากรุ่นโกรธ “เจ้ายังไม่ตายอย่างนั้นหรือ?” เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวังขึ้นมา เขาคิดว่าแผนการนี้ อย่างน้อยก็สามารถทำให้จื่ออันตายไปได้ ความผิดหวังอันรุนแรงทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา ใบหน้าที่สกปรกค่อย ๆ เกิดความกรุ่นโกรธขึ้นมา “ชอบคุณมหาเสนาบดีมาก ข้ายังมีชีวิตอยู่สบายดี” จื่ออันมองไปยังเขาอย่างนิ่งเงียบ สายตาไม่ได้มีร่องรอยของความวุ่นวายใด นางเพียงแต่มามองความตกต่ำของเขา และไม่จำต้องมาพร้อมกับความเกลียดชังใด “เจ้ามาทำอะไรกัน?” เซี่ยหวายจุนลากสองขาที่ถูกอ๋องอันทุบตีจนกระดูกหักไปแล้วมาข้างหน้า ยิ้มเย็นเอ่ยออกมา “คิดจะมาดูเรื่องตลกของข้าอย่างนั้นหรือ? เซี่ยจื่ออัน ข้าอย่างไรแล้วก็เป็นบิดาของเจ้า หากว่าข้าโชคร้ายตกต่ำ เจ้าที่เป็นบุตรสาวของข้า ก็ไม่มีทางที่จะเปล่งประกายไปได้” จื่ออันยิ้มเย็นออกมา สายตาเต็มไปด้วยความเย็นเยียน “ท่านผิดไปแล้ว มหาเสนาบดีเซี่ย บุตรสาว
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว