แต่ทว่าก็ลดปัญหาเอาไว้ได้มาก เพราะไม่รู้ว่าฝ่ายหญิงนั้นเป็นใคร ไม่จำเป็นต้องตระเตรียมพิธีการที่ใหญ่โตจนเกินไป และไม่จำต้องคำนึงถึงสินสอดทองหมั้น แต่เวลาเพียงแค่สามวันสำหรับพิธีอภิเษกอันใหญ่โต ก็เพียงพอจะทำให้ผู้คนรู้สึกลำบากแล้ว เพื่อที่จะประหยัดเวลาแล้ว กรมกิจการภายในให้หูฮวนสี่จากร้านติ้งเฟิง ให้นางเป็นคนจัดงานเลี้ยง ทั้งอาหาร วัตถุดิบ และพ่อครัวทั้งหมด ล้วนแต่อยู่ภายใต้การดูแลของร้านติ้งเฟิงที่เป็นผู้รวบรวมจัดการ เป็นเพราะว่าจวนอ๋องนั้นไม่เคยที่จะจัดงานเลี้ยงขนาดใหญ่มาก่อน บวกกับครั้งนี้เป็นพระราชเสาวนีย์ที่ไท่หวงไท่โฮ่วทรงประทานมาในราชการยามเช้า ขุนนางที่อยู่ในการว่าราชการยามเช้าวันนั้นล้วนแต่ต้องเข้าร่วม และนี่หมายความว่าจำนวนแขกจะต้องมีจำนวนมาก สิ่งที่ทำให้กรมกิจการภายในปวดหัวมากที่สุดก็เห็นจะเป็นชุดอภิเษกสมรสของบ่าวสาว แล้วจะทำเช่นไรกันดี? มีเวลาเพียงแค่สามวันเท่านั้น ต่อให้จะเร่งช่างปักทำงานทั้งวันทั้งคืน ก็คงไม่อาจจะทำออกมาได้ เพราะว่าชุดอภิเษกของชินอ๋องนั้น การปักค่อนข้างจะซับซ้อน หากว่าความละเอียดค่อนข้างมาก ใช้เวลาถึงครึ่งปีก็มี และต่อให้จะไม่ได้มากพิธีนัก อย่างน้อย
ถึงแม้ว่าอ๋องหลี่จะไม่มีเล่ห์เหลี่ยมใดในใจ ก็ยังมองออกว่าเบื้องหลังของคำพูดหวงไท่โฮ่วนั้นมีเจตนาร้ายอยู่ และแน่นอนว่าหลังจากที่เขามองด้านหลังม่านบังลมนั้นมีคนผู้หนึ่งออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหี้ยมโหด......ไม่ จ้องมองมายังเขาด้วยความกรุ่นโกรธ “ข้าดุร้าย? หยาบคาย? ไม่งดงามอย่างนั้นหรือ?” แต่ละคำค่อย ๆ บีบบังคับถาม เสียงระเบิดดังขึ้นในหูของอ๋องหลี่ อ๋องหลี่เอ่ยออกมาอย่างช้า ๆ “ดุนั้นก็ดุอยู่เล็กน้อย แต่ก็ไม่ยินยอมให้ผู้อื่นรังแก นี่เป็นข้อได้เปรียบ ส่วนหยาบคายนั้น ก็ดูหยาบคายอยู่เล็กน้อย แต่ว่าอย่างไรแล้วก็ดีกว่าหญิงสาวที่เสแสร้งอ่อนโยนพวกนั้น ไม่งดงามนั้นเป็นเพราะการตีกรอบเอาไว้ และนี่เป็นเพราะมุมมองที่แตกต่างกันของแต่ละคน เจ้าดูสิ จมูกเป็นจมูก ตาเป็นตา เพียงแต่ผิวดูจะดำคล้ำไปเสียหน่อย ในมุมมองของข้าแล้ว นี่มันงดงามมากแล้ว” องค์หญิงจากเป่ยอัน พระชายาอาหมานของอ๋องหลี่ ไม่ได้ถือว่างดงามหมดจด และเมื่อมองจากมุมมองความงามของต้าโจวแล้ว ก็ไม่ได้งดงามจริง ๆ เป็นเพราะว่าผิวของนางนั้นค่อนข้างจะดำคล้ำ แต่รูปหน้าและเครื่องหน้านั้นล้วนแต่น่ามอง หากว่าอยู่ในยุคปัจจุบันแล้ว ก็ถือได้ว่าเป็นสาว
เมื่ออยู่ในวังหลังมานานหลายปี แน่นอนว่าย่อมรู้ดีว่าความคิดเช่นนี้นั้นดูไร้เดียงสา แต่แล้วจะอย่างไร? พวกนางนั้นต่างก็เป็นพี่น้องกันแท้ ๆ หลังจากนั้นสามวัน พิธีอภิเษกก็ถูกจัดขึ้นตามกำหนดการ ทางด้านมู่หรงเจี๋ยนั้นจัดการได้อย่างว่าง่าย เพราะว่าถูกเกลี้ยกล่อมเอาไว้แล้ว แต่จื่ออันนั้นกลับไม่ยอมที่สวมใส่ชุดแต่งงาน อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าหญิงชราทั้งสองไม่ได้คิดที่จะเอ่ยเกลี้ยกล่อมนาง ผู้เฒ่าออกคำสั่งลงมาทันที “ทำอะไรอยู่? ตีให้สลบแล้วโยนขึ้นเรือไป มัดเอาไว้ให้ดี แล้วส่งขึ้นเกี้ยวเสีย” อาเฉอหยิบไม้ติดมือเดินไปทางจื่ออัน จื่ออันเมื่อมองเห็นท่อนไม้หนาใหญ่ในมือนั้น ก็เอ่ยออกมาแต่โดยดี “ข้าจะไปเปลี่ยนชุดแต่งงาน” อาเฉอหันกลับไปมองยังผู้เฒ่า “ว่าง่ายเช่นนี้เชียวหรือ?” “สามารถเอาชนะได้เพียงครั้งเดียว ก็อย่าได้เปรียบเทียบสุ่มสี่สุ่มห้า” ผู้เฒ่าหันหลังกลับ แล้วปล่อยนกพิราบออกไป พบเพียงตรงขอบฟ้านั้น ก็ปรากฏเรือลำหนึ่งออกมา ในใจของจื่ออันนั้นมีแผนการอยู่แล้ว ตอนนี้ให้ทำทีเป็นเชื่อฟังก่อน รอจนเมื่อเรือกลับถึงชายฝั่ง ก็ให้เริ่มแผนการหลบหนี ที่น่าเศร้าที่สุดคงเป็นแหวนของนางที่ถูกนำไป แล้
ราษฎรในเมืองหลวงพากันกรุ่นโกรธกับการที่มู่หรงเจี๋ยจะแต่งงาน เป็นเพราะว่าก่อนหน้านั้นเขามีสัญญาหมั้นหมายอยู่กับเซี่ยจื่ออัน มาตอนนี้ศพของเซี่ยจื่ออันยังตามหาไม่พบ เขาก็จะแต่งงานเสียแล้ว ทว่ามู่หรงเจี๋ยเองก็มีความชอบที่จัดการกับโรคผีดิบนี้ลงได้ เพราะฉะนั้นทุกคนเองก็อดทนที่จะไม่ตำหนิเขา และก็มีคนที่เริ่มจะเอ่ยปกป้องเขา บอกว่าเขาเองก็ทำอะไรไม่ได้ เป็นงานอภิเษกที่ไท่หวงไท่โฮ่วทรงประทานให้ เขาจะขัดขืนได้อย่างไร? สายตาของเหล่าราษฎรเองก็พากันเปลี่ยนไป ไท่หวงไท่โฮ่วที่ถูกประกาศออกมาแล้วว่าสิ้นพระชนม์ไปแล้วกลับมีชีวิตขึ้นมา ทำให้ทุกคนต่างก็พากันรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก ทว่าผู้เฒ่าผู้แก่บางคนบอกออกมาว่า หากว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับหลงไท่โฮ่วนั้น ก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดใด เรื่องแปลกประหลาดเช่นนี้ขอเพียงแค่เกิดขึ้นกับนางแล้ว ล้วนแต่ถือว่าสมเหตุสมผล อย่างไรเสีย ท่ามกลางเสียงต่าง ๆ มู่หรงเจี๋ยก็ต้องแต่งงานแล้ว มู่หรงจ้วงจ้วงและเฉินหลิวหลิ่วต่างก็พากันเรียกร้องความยุติธรรมให้กับจื่ออัน แต่แล้วจะทำอย่างไรได้? เฉินหลิวหลิ่วบ่นออกมากับเฉินไท่จวิน “ท่านย่า ก่อนหน้านี้ท่านเคยบอกว่า ใ
ที่เรียกว่าตระกูลมั่งคั่งนั้น แน่นอนว่าไม่ใช่ว่าเปิดเพียงแค่ร้านเดียวในเมืองหลวงแล้วจะเรียกว่ามั่งคั่งได้ เช่นดั่งตระกูลหู ตระกูลเหลียงที่เป็นตระกูลใหญ่เหล่านั้นถึงจะถูกเชิญ หูฮวนสี่ทำเป็นแบบอย่าง นางส่งเงินจำนวนหนึ่งหมื่นตำลึงไปยังจวนผู้สำเร็จราชการแทน และถือได้ว่านางเป็นแขกผู้มีเกียรติ ด้วยเพราะเหตุนี้ ก็มีผู้ที่ทำตามตั้งแต่หนึ่งหมื่นห้าพันตำลึง สองหมื่นตำลึง ไม่ว่าใครก็ตามแต่ ล้วนแต่อยากขึ้นชื่อว่าเป็นแขกผู้มีเกียรติของจวนผู้สำเร็จราชการแทน ส่วนขุนนางนั้นแน่นอนว่าย่อมไม่กล้าที่จะส่งมอบมากจนเกินไป ทางด้านของเหล่าไท่จวินว่าเอาไว้ว่า หนึ่งพันตำลึง หากว่ามากจนเกินไปก็อาจจะถูกสงสัยได้ว่ามีการทุจริตกันเกิดขึ้น เพราะว่าอย่างไรแล้ว หนึ่งพันตำลึงนั้นก็ถือว่ามากพอแล้ว ทว่าผู้ที่ได้รับผลกระทบนั้น โดยมากแล้วจะเป็นจำพวกขุนนางที่จำต้องมีลูกคิดอยู่ในใจ สองแขนว่างเปล่าโดยแท้ ก็นำไก่ไปจริง ๆ ได้ เป็นของขวัญล้ำค่าใช่หรือไม่? เช่นนั้นก็เพิ่มไข่ไปอีกตะกร้าหนึ่งก็แล้วกัน เซียวท่าโมโหจนไม่ยอมไปร่วมงานเลี้ยงแต่งงาน แต่ก็ยังเป็นเซียวเซียวที่ลากเขาไป ขณะที่ไปนั้นก็ตำหนิเขาไปพลาง “ผู้อื่นจะไม่ไป เจ
เกี้ยวสีแดงตัวใหญ่ถูกยกเข้ามาจากตรอก ม่านแดงมีแถบสีเงินอยู่ด้านบนพร้อมกับสีเหลืองปิดทับ เป็นเกี้ยวที่ใช้หรับผู้ที่มีตำแหน่งเป็นชินอ๋อง ประตูเกี้ยวนั้นทำมาจากไม้มะฮอกกานี ดูสูงส่งและหรูหราเป็นอย่างมาก เกี้ยวนี้ดูใหญ่เป็นอย่างมาก จำต้องใช้คนถึงสิบสองคนในการยกเกี้ยว เมื่อทุกคนมองไปอย่างระมัดระวังแล้ว ก็พบว่าทั้งสิบสองคนที่ยกเกี้ยวอยู่นั้นดูคุ้นตายิ่งนัก? เมื่อมองไปอย่างละเอียดแล้ว ก็ทำให้อดอึ้งตะลึงไม่ได้ นี่ไม่ใช่แม่ทัพทั้งสิบสองของตระกูลเฉินหรอกหรือ? เกี้ยวที่ใช้คนยกแปดคนนั้น ก็ถือได้ว่าอยู่ในระดับสูงมากแล้ว แต่ตอนนี้กลับใช้แรงของแม่ทัพทั้งสิบสองเพื่อยกนาง ตกลงแล้วเจ้าสาวผู้นี้เป็นใครกันแน่? นอกจากแม่ทัพทั้งสิบสองที่ยกเกี้ยวเข้ามานั้น ก็ไม่มีผู้ใดติดตามมาแล้ว แม้แต่ขบวนส่งตัวเจ้าสาวก็ยังไม่มี ไม่มีแม้แต่สาวใช้หรือเด็กรับใช้ ช่างประหลาดจริง ๆ มู่หรงเจี๋ยที่ยืนอยู่ตรงประตู กรุ่นโกรธเสียจนใบหน้าเขียวคล้ำ ให้พวกเขาทั้งสิบสองคนไปปกป้องคุ้มครองจื่ออัน แต่กลับไม่รู้ว่าไปที่ใดกัน มาตอนนี้ยังจะยกเกี้ยวเจ้าสาวเข้ามาอีก และในเวลานี้ หัวหน้ากรมกิจการภายในถึงได้พบว่า ตนเองลืมเรื่องใหญ่โตไป
เขามองไปยังอาคารสูงฝั่งตรงข้ามอย่างเรียบเฉย ทันใดนั้นก็ส่งเสียงออกมา “นั่นไม่ใช่ไท่หวงไท่โฮ่วหรอกหรือ?” ยังคิดที่จะหลบซ่อนตัวอีกหรือ? แต่คงไม่อาจจะหลบซ่อนตัวได้ ทุกคนพากันหันมองออกไป และก็พบว่าฝั่งตรงข้ามนั้นมีเงาของคนยืนอยู่สองคนจริง จะใช่ไท่หวงไท่โฮ่วหรือไม่? ไกลเกินไปจนไม่อาจมองเห็นได้อย่างชัดเจน ทว่า ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ ในเมื่อมู่หรงเจี๋ยเอ่ยออกมาว่าใช่แล้ว พวกเขาก็จำต้องทำความเคารพ และเพราะเช่นนี้ ทุกคนต่างก็พากันคุกเข่าลงบนพื้นจนดูมืดสนิท “คารวะไท่หวงไท่โฮ่ว ขอไท่หวงไท่โฮ่วทรงมีอายุยืนหมื่นปี” อาเฉอผลักนางออกมา “เรียกท่านแล้ว” ไท่หวงไท่โฮ่วยิ้มเย็นมองไปยังมู่หรงเจี๋ย “ดีนี่ ไอเจ้าเด็กคนนี้ กล้าที่จะต่อต้านบรรพชนของเจ้า ก็ต้องดูว่าเจ้ามีคุณธรรมสูงเพียงใดกัน จะต้องมีวันที่เจ้าต้องร้องไห้ออกมาแน่” ในขณะนี้ หวงไท่โฮ่วเองก็เสด็จมาถึงแล้ว นางมาที่นี่เพื่อรับการคารวะจากทุกคน และมาในเวลานี้ก็เหมาะสมแล้ว ซุนกงกงมองเห็นไท่หวงไท่โฮ่วเสด็จมาจากที่ไกล ก็รีบเอ่ยทูลกับหวงไท่โฮ่ว “ไท่หวงไท่โฮ่วเองก็ทรงเสด็จมาด้วยพ่ะย่ะค่ะ ไท่โฮ่วรีบลงจากเกี้ยวเถิดพ่ะย่ะค่ะ” หวงไท่โฮ่วผงะขึ้นมา “ท่
ทุกคนต่างก็รอคอยว่าไท่หวงไท่โฮ่วจะทรงตรัสอะไรออกมา ทว่ากลับเห็นชัดว่าไท่หวงไท่โฮ่วไม่มีอะไรที่จะให้ตรัสออกมา เพียงแต่เรียกมู่หรงเจี๋ยให้เข้าไปหา “เจ้าเจ็ด วันนี้จะอภิเษกแล้ว ช่างเป็นเรื่องมงคลยิ่งนัก!” นางเอ่ยออกมาอย่างเรียบเฉย มู่หรงเจี๋ยยิ้มออกมา “ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ บรรพชน วันนี้ช่างเป็นวันมงคลจริง ๆ แต่ว่าไม่รู้ว่าเจ้าสาวที่บรรพชนเป็นผู้ประทานให้นั้น หายไปที่ใดเสียแล้ว?” ไท่หวงไท่โฮ่วมองไปยังดวงตาหยิ่งยโสคู่นั้น นางจึงกวักมือเรียก แล้วกระซิบเสียงเบาข้างหูของเขาประโยคหนึ่ง ท่าทีของมู่หรงเจี๋ยเปลี่ยนไปในทันที เริ่มจากสงสัย จากนั้นก็กลายเป็นตื่นตกใจ ภายหลังเปลี่ยนเป็นกรุ่นโกรธ “สมควรตาย!” เขาส่งเสียงคำรามออกมา “เซียวเซียว เซียวท่า ซูชิง ไปกับข้า” ทั้งสามคนพากันมองหน้ากันอย่างไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อเห็นว่าเขาจากไปอย่างรีบร้อน ก็พากับรีบตามออกไป ทุกคนพากันสงสัยขึ้นมา ป้าอาเฉอกลับเอ่ยออกมา “แขกทุกท่าน เชิญนั่งดื่มเหล้ากันก่อนเถิด ท่านอ๋องออกไปตามหาเจ้าสาวของเขา พิธีกราบไหว้ฟ้าดินจะช้าลงสักเล็กน้อย แต่จะไม่ส่งผลต่องานเลี้ยงอภิเษกในคืนนี้อย่างแน่นอน” หวงไท่โฮ่วนั่งลง ก่
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว