คืนมืดมิดปกคลุมความโศกเศร้าที่มีอยู่ในดวงตาของมู่หรงเจี๋ย “ทางด้านของจี้ชุน ยังไม่มีข่าวคราวใดอีกหรือ?” “ยังไม่มีอันใด อีกทั้งคนของพรรคเฉาปังเองก็ได้แทรกซึมเข้าไปตามหาแล้ว ทว่า ตามคำกล่าวของพวกเขา การที่จะตามหาในก้นทะเล...ก็เท่ากับงมเข็มในมหาสมุทร อีกทั้ง...” หนี่หรงดูเศร้าโศก และก็ไม่ได้เอ่ยต่อไปอีก คนของพรรคเฉาปังยังบอกออกมาว่า หากตายไปในทะเล ก็ไม่แน่ว่าจะเก็บกระดูกเอาไว้ได้ สายลมในต้นฤดูใบไม้ผลิยามค่ำคืน พัดพาเอาความร้อนของกลางวันออกไป มู่หรงเจี๋ยสะบัดเสื้อผ้าขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความเคร่งขรึมเมื่อลงจากอาคารไป “ออกคำสั่งไปยังกรมอาญา บอกว่าได้รับเบาะแสจากบุคคลนิรนามว่า การแพร่ระบาดของโรคผีดิบนี้มีคนที่จงใจให้เกิดขึ้น เพื่อพยายามที่จะก่อความวุ่นวายขึ้นในเมืองหลวง ให้กรมอาญาเริ่มทำการตรวจสอบ หลักฐานที่บุคคลนิรนามแจ้งมา จะถูกส่งไปในวันพรุ่ง จากนั้นก็ให้กรมอาญาและเซียวท่าร่วมเดินทางไปยังเกาะวิปลาสด้วยกัน ตรวจสอบสาเหตุของเรื่องราวที่เกิดขึ้น และหายารักษา” “ขอรับ!” “ให้ค่ายทหารของจี้ชุน พยายามค้นหานอกทะเลจี้ชุนต่อไป ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย แม้ว่าจะเป็นเสื้อผ้าของนางเพียงแค่ชิ้นเดีย
นางกลัวความตายเสียยิ่งกว่าใครอื่น และเป็นเพราะคิดว่าหวาดกลัวความตาย เพราะฉะนั้นนางถึงได้พยายามรวมรวมพลังความแข็งแกร่งให้กับจวนมหาเสนาบดี นางอยากมีชีวิตที่รุ่งโรจน์ กลายเป็นคนที่อยู่เหนือผู้อื่นใด ป้าชุ่ยยู่เอ่ยออกมาด้วยกายที่สั่นเทา “ฮูหยินผู้เฒ่า คนผู้นั้นมาแล้ว อยู่ตรงหน้าประตู จะให้เรียกเข้ามาในตอนนี้เลยหรือไม่เจ้าคะ?” “เร็วเข้า!” ฮูหยินผู้เฒ่ากำหมัดแน่นแล้วเอ่ยออกมา ป้าชุ่ยยู่รีบก้าวเดินออกไป เปิดประตูแล้วเชิญนักฆ่าเข้ามา ฮูหยินผู้เฒ่าดึงปกคอเสื้อขึ้นเพื่อปกปิดบาดแผล “พวกเจ้ารีบไปตามหาเซี่ยจื่ออันกลับมาข้า ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม” นักฆ่าผู้นั้นเอ่ยออกมา “ทะเลอันกว้างใหญ่เพียงนั้น เกรงว่าคงจะตามหาไม่พบ และต่อจะให้หาจนพบ ก็อาจจะไม่ได้มีชีวิตกลับมาแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าตบลงบนโต๊ะ ใบหน้าเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม “ข้าไม่สน ต่อให้ข้าจะใช้เงินไปจนหมดสิ้น ก็ต้องตามหานางกลับมาให้ได้” นักฆ่ายิ้มเย้ยหยันออกมา “ฮูหยินผู้เฒ่า ภารกิจนี้พวกเราไม่รับ ท่านไปหาคนอื่นเถิด” ฮูหยินผู้เฒ่าลุกขึ้นยืนในทันที จับจ้องยังเขา แววตาเต็มไปด้วยความดุร้ายอย่างที่ไม่อาจจะอธิบายได้ออกมา “พวกเจ้าไม่ใ
หยวนฉุ่ยยวี่ไม่ได้ใส่ใจต่อคำเสียดสีของนาง ริมฝีปากยกขึ้นน้อย “ป้าอย่าเพิ่งใจร้อน ข้าไม่ได้ให้เจ้าใส่ร้ายฮูหยินผู้เฒ่า ในใจเจ้าเองก็กระจ่างดีอยู่แล้วว่า ทุกอย่างนี้ล้วนแต่เป็นแผนการของฮูหยินผู้เฒ่าและมหาเสนาบดีเซี่ย ใช่หรือไม่? ข้าเพียงแต่อยากจะให้เจ้าเอ่ยความจริงออกมาเท่านั้น” ป้าชุ่ยยู่เอ่ยประชดประชันออกมา “เสี้ยนจู่คงจะเลอะเลือนเสียแล้ว ดูเหมือนว่า วันนี้คงจะไม่มีอะไรให้ต้องเอ่ยออกมาแล้ว บ่าวขอลาก่อน” หยวนฉุ่ยยวี่เองก็ไม่รีบร้อน เพียงแต่เอ่ยออกมาอย่างเรียบเฉย “ดี เช่นนั้นป้าก็กลับไปก่อนเถิด ใช่แล้ว หากว่ามีเวลาว่างแล้วก็กลับไปเยี่ยมคนในครอบครัวของเจ้าบ้างก็แล้วกัน” ป้าชุ่ยยู่หันกลับมาในทันที จ้องมองไปยังหยวนฉุ่ยยวี่ “ท่านทำอะไรกับพวกเขา?” หยวนฉุ่ยยวี่โบกมือ “ข้ายังไม่ถึงขั้นที่ต้องลงมือกับคนบริสุทธิ์เหล่านี้ ที่ป้าเอ่ยถามออกมาเช่นนี้ ดูเหมือนว่าคงจะนานมากแล้วที่ไม่ได้กลับไป หรือว่าเจ้าไม่รู้ว่าครอบครัวของเจ้าล้วนแต่ถูกผู้ป่วยโรคผีดิบกัดเข้าแล้ว? พี่ชายของป้าเองถูกพบเข้านั้น เป็นทหารลาดตระเวนที่จับผู้ป่วยโรคผีดิบเข้าพอดี ราชครูเหลียงได้ออกคำสั่ง เขาสั่งให้ทุบตีพี่ชายของเจ้าจนต
ป้าชุ่ยยู่มองออกไปด้วยหัวใจที่แตกสลาย หลานชายของนางเพิ่งจะคลอดเมื่อปีที่แล้ว เจ้าเด็กชายตัวอวบอ้วน อย่าเอ่ยถึงว่ามีความน่ารักเพียงไหน เขาเป็นเด็กชายที่มีอายุเพียงแค่สองขวบเท่านั้น มาตอนนี้อยู่รวมแออัดกับผู้ป่วยโรคระบาดกลุ่มใหญ่ ดูสูญเสียความน่ารักที่เคยมีอยู่ก่อนหน้านี้ไปหมดแล้ว แม่นมหยางมองไปยังนาง ก่อนเอ่ยด้วยความเฉยเมย “ผู้ป่วยเช่นนี้ ยังมีอยู่อีกมากมาย” นางยื่นมือชี้ออกไป พื้นที่ด้านหลังสีดำเหล่านั้น ล้วนแต่เป็นศีรษะของคน ป้าชุ่ยยู่ไม่ได้สนใจคนอื่น นางสนใจเพียงแต่คนในครอบครัวของตนเอง ท่าทางที่ว่างเปล่ามองไปยังแม่นมหยางแล้วเอ่ยออกมา “รบกวนเจ้าส่งข้าออกไป ข้าจะไปยังกรมอาญา” แม่นมหยางเองก็ไม่ได้แสดงความดีอกดีใจออกมา ราวกับว่าไม่ได้รู้สึกประหลาดใจกับความอ่อนข้อของนางแต่อย่างใด “ไปเถิด” ป้าชุ่ยยู่ไปยังกรมอาญา นำทุกสิ่งทุกอย่างที่นางรู้เอ่ยออกมาจนหมด นางให้การถึงหมอของสำนักฮุ้ยหมิน ให้การถึงหมอหลวงหลิวในวังหลวง ให้การถึงมหาเสนาบดีเซี่ยและฮูหยินผู้เฒ่า กรมอาญาทำตามเบาะแสที่ได้รับจากนาง ตามหาคนในครอบครัวของท่านหมอจากสำนักฮุ้ยหมินคนนั้น คนในครอบครัวของเขา หลังจากที่เขาตายไปก็ถ
มู่หรงเจี๋ยขึ้นไปยังเกาะวิปลาส เซียวท่าและหมอหลวงที่กำลังปรุงยากันอยู่นั้น เมื่อเห็นว่าเขามาแล้ว ต่างก็รีบเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยถาม “หาพบหรือไม่?” มู่หรงเจี๋ยส่ายศีรษะแล้วนั่งลง ก่อนจะมองดูยาในมือของเขา แสงในดวงตาของเซียวท่าค่อย ๆ หรี่ลง “หาไม่พบอย่างนั้นหรือ?” มู่หรงเจี๋ยไม่ส่งเสียงใด ใบหน้าเองก็ไม่มีอารมณ์ใดออกมา ในใจของเซียวท่ารู้สึกแย่ขึ้นมา “ขอโทษจริง ๆ เป็นข้าที่ไม่ได้ปกป้องนางให้ดี” มุมปากของมู่หรงเจี๋ยยกยิ้มเย้ยหยันออกมา คนที่สมควรขอโทษนางมากที่สุดควรจะเป็นเขา เขาจินตนาการล่วงหน้าถึงอันตรายรูปแบบต่าง ๆ แต่เขาไว้ใจเฉินไท่จวินมากจนเกินไป นางบอกว่าส่งแม่ทัพตระกูลเฉินทั้งสิบสองออกไปแล้ว เขาก็รู้สึกสงบใจคิดว่าจื่ออันจะต้องกลับมาได้อย่างปลอดภัย ทว่าเขากลับไม่รู้ว่า แม่ทัพตระกูลเฉินทั้งสิบสองเมื่อออกจากเมืองไปได้ไม่นาน ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่กลับมา เขาที่รับรู้ได้ถึงความเร่งด่วน แต่กลับไม่ยอมปล่อยความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงไป เซียวท่ามองไปยังเขา “ก่อนที่นางจะถูกกระแสน้ำวนพัดพาลงไปนั้น ได้เอ่ยออกมาคำหนึ่ง ให้ข้าบอกกับท่านอ๋อง” มู่หรงเจี๋ยเง
ไม่ต้องเอ่ยว่าเซี่ยจื่ออันคนเดียว แม้แต่จะเซี่ยจื่ออันหลายคน ก็ล้วนแต่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของงูเหล่านี้ คืนวานนี้ก็มีหญิงชรามาอีกหนึ่งคน นางบอกว่าเป็นหญิงชรา ทว่านางไม่อาจจะแน่ใจได้ เพราะว่าใบหน้านั้นถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยผ้าคลุม ทำได้เพียงมองเห็นเสื้อผ้าล้าสมัยที่สวมใส่อยู่ ทว่าหญิงสาวผู้นี้ค่อนข้างจะเย่อหยิ่ง วางท่าใหญ่โต เมื่อมาแล้วก็เล่นอยู่กับงูเหลือม โดยที่ไม่ทำงานใด ตกปลาล้วนแต่เป็นหญิงอีกคนหนึ่งที่เป็นคนทำ และก็ไม่เอ่ยอะไรกับนางออกมาก่อน ทำเพียงแค่ปรายตามองนางอย่างเฉยเมย จากนั้นก็ไม่สนใจอะไรอีก วันหนึ่งหลังจากที่จื่ออันย่างปลาจนเสร็จแล้ว ได้นำไปให้กับป้าอาเฉอนั้น นางเหลือบมายังจื่ออันแล้วเอ่ยออกมา “นำไปให้ท่านผู้เฒ่า” ท่านผู้เฒ่าที่นางเอ่ยถึงนั้น ก็คือหญิงที่มาในภายหลัง จื่ออันทำได้เพียงแต่หยิบปลาแล้วเดินเข้าไป ท่านผู้เฒ่านั้นนอนเอนกายครึ่งตัวบนหาดทราย งูเหลือมตัวหนึ่งนอนอยู่ตรงส่วนศีรษะของนาง และนางใช้งูเหลือมตัวนั้นเป็นหมอนหนุน นางหวาดกลัวงูเหลือมตัวอวบอ้วนนั่นจริง ๆ จึงทำเพียงแต่เอ่ยออกไปจากที่ไกล “ท่านผู้เฒ่า กินปลากันเถิด” “อืม!” ท่านผู้เฒ่าเหลือบมองยังนางอย่างเรีย
จวนมหาเสนาบดี เมื่อดวงตาของฮูหยินผู้เฒ่าปรากฏเส้นเลือดสีแดงออกมานั้น มหาเสนาบดีเซี่ยก็ได้สั่งคนให้จับนางมัดเอาไว้ ฮูหยินผู้เฒ่าจ้องมองมหาเสนาบดีเซี่ยด้วยความโกรธ ดิ้นรนออกมาไม่หยุด “ไม่ ข้ายังไม่ได้มีอาการกำเริบ เจ้าลูกอกตัญญู แม้แต่มารดาของเจ้าก็ยังกล้าทำให้ขุ่นเคือง? เจ้าไม่กลัวว่าฟ้าจะผ่าเอาหรืออย่างไร?” มหาเสนาบดีเซี่ยเอ่ยออกมาอย่างเศร้าใจ “ท่านแม่ ลูกไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ท่านเป็นเช่นนี้ เพียงแต่จำเป็นต้องทำ หากไม่มัดท่านเอาไว้ เมื่อท่านมีอาการแล้วกระโจนออกไป ก็จะต้องถูกพาตัวไปยังพื้นที่ภัยพิบัติ” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยออกมาอย่างโกรธเคือง “เช่นนั้นทำไมเจ้าไม่รีบไปตามหาเซี่ยจื่ออันกลับมา? ตามหานางกลับมาเสีย” มหาเสนาบดีไม่รู้ว่าเซียวท่าได้ใบสั่งยามาแล้ว และตอนนี้กำลังศึกษาสูตรยาอยู่บนเกาะวิปลาส มู่หรงเจี๋ยปิดบังเรื่องนี้เอาไว้ หนึ่งเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คนชั่วร้ายมาทำลายเข้า สองเพื่อพุ่งเป้าไปยังนาง มหาเสนาบดีเซี่ยเอ่ย “ได้สั่งคนให้ออกไปตามหาแล้ว ตอนนี้ทางด้านจี้ชุนมีคนมากมายลงน้ำออกไปตามหานางกัน วัน ๆ หนึ่งมีเรือขนาดใหญ่ที่ออกไปมากกว่าสิบ แต่คาดว่านางคงจะตายไปแล้ว” และนี่ล้วน
ฮูหยินผู้เฒ่ามองไปยังนาง “กรมอาญา? เจ้าไปทำอะไรที่กรมอาญา?” “ฮูหยินผู้เฒ่าไม่รู้อย่างนั้นหรือ? ท่านอ๋องออกคำสั่งให้กรมอาญาตรวจสอบเรื่องของโรคผีดิบ บ่าวไปยังกรมอาญา นำทุกอย่างที่รู้บอกออกมาจนหมด” ป้าชุ่ยยู่เอ่ยเย้ยหยันออกมา “แม้แต่เจ้าก็ยังหักหลังข้า?” ฮูหยินผู้เฒ่าอ้าปากค้าง จ้องมองไปยังป้าชุ่ยยู่อย่างไม่อยากเชื่อสายตา ใบหน้าของชุ่ยยู่ซีดขาว “ใช่แล้ว บ่าวเองก็ไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องมีวันหนึ่งที่จะต้องหักหลังท่าน และก็เหมือนกับบ่าวเช่นกัน ที่ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะทำร้ายคนในครอบครัวของบ่าว” “เจ้า......” ฮูหยินผู้เฒ่ากลอกตาไปมา จู่ ๆ ก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “กระทำการใหญ่จะไม่สนใจเรื่องเล็ก ครอบครัวของเจ้าเองก็ไม่ได้ทำดีกับเจ้า หลายปีมานี้ เจ้าทำเพื่อพวกเขาไปมากเท่าไหร่ พวกเขาไม่เคยตอบแทนเจ้าเลยแม้แต่น้อย แล้วจะมีอันใดให้น่าเสียดายกัน? แต่หลายปีมานี้ ข้าปฏิบัติกับเจ้าอย่างไร ในใจของเจ้าชัดแจ้งดี?” “นี่เป็นความสัมพันธ์ในครอบครัว ฮูหยินผู้เฒ่าคงจะไม่มีทางเข้าใจ ก็เหมือนกับที่ท่านทำกับคุณหนูใหญ่ ทำกับตานชิงเสี้ยนจู่เช่นนั้น ท่านเพียงแต่มองเห็นผลป
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว