“เช่นนั้นเหล่าไท่จวินพอจะคาดเดาได้หรือไม่ว่า จะมีคนตามนางไปกี่ทาง?” แววตาของมู่หรงเจี๋ยเผยความเฉียบแหลมออกมา “สองทาง ทางหนึ่งเป็นของกุ้ยไท่เฟย อีกทางหนึ่งข้าไม่รู้!” เฉินไท่จวินยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ มู่หรงเจี๋ยเองก็ยิ้มออกมาเช่นกัน “ไม่รู้ว่าคนของอีกด้านหนึ่ง จะเป็นคนของเฉินไท่จวินหรือไม่?” เฉินไท่จวินเงยหน้าขึ้นมาเหลือบมอง เอ่ยถามแม่นมที่รับใช้อยู่ข้างกาย “หญิงเฒ่า หลานชายกลุ่มนั้นของข้าเล่า?” แม่นมตอบออกมาพร้อมรอยยิ้ม “ไท่จวินลืมไปแล้วหรืออย่างไร พวกเขาไม่ใช่ว่าถูกท่านส่งให้ไปทำงานหรอกหรือ?” “มีเรื่องเช่นนี้ด้วย? ทำเรื่องอันใดกัน?” เหล่าไท่จวินเอ่ยถามออกมาด้วยใบหน้าว่างเปล่า แม่นมเหลือบมองไปยังมู่หรงเจี๋ย “บอกว่าให้ไปยังเกาะอะไรสักอย่าง จากนั้นก็ให้นำใครบางคนกลับมาอย่างปลอดภัย” เหล่าไท่จวินส่งเสียงโอ้ออกมา ก่อนจะถาม “เช่นนั้นเจ้าคิดว่า หลายชายกลุ่มนั้นของข้า จะสามารถนำคนกลับมาได้อย่างปลอดภัยหรือไม่?” แม่นมโค้งกายลง “เหล่าไท่จวินมิใช่เอ่ยออกมาแล้ว? เมื่อชายตระกูลเฉินลงมือขึ้นมา ปีศาจ สัตว์ประหลาดเหล่านั้นจะต้องจากไป?” มู่หรงเจี๋ยลุกขึ้นยืน ประสานมือให้ “เช่นนั้นข้าต้องข
ราชครูเหลียงไม่เพียงแต่คัดค้านเรื่องการเคลื่อนย้ายทหารของมู่หรงเจี๋ยเท่านั้น ยังเรียกร้องให้มู่หรงเจี๋ยออกคำสั่ง สังหารผู้ป่วยโรคผีดิบทุกคนที่อยู่ในหมู่บ้านศิลาไปเสีย อีกทั้ง หากว่าเมื่อพบกับผู้ป่วยโรคผีดิบเข้า ก็ให้ยิงสังหารในทันที ไม่จำเป็นต้องจับกุมส่งไปยังพื้นที่ภัยพิบัติอีก ข้อเสนอของราชครูเหลียง ได้รับการเห็นด้วยจากคนไม่น้อย กระทั่งแม้แต่ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่เคยเป็นกลาง มาตอนนี้ต่างก็ทยอยกันเห็นด้วยกับข้อเสนอของราชครูเหลียง เพราะเมื่อผ่านความวุ่นวายโกลาหลของผู้ป่วยโรคผีดิบเมื่อคืนนี้มาแล้ว จำนวนผู้ป่วยโรคผีดิบในเมืองหลวงก็เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก มากเสียจนทำให้ผู้คนพากันตื่นตระหนก เพราะไม่รู้ว่าเมื่อใดที่จะถูกกัดเข้าให้ และเพื่อเป็นการป้องกัน ทุกคนต่างก็คิดว่า การสังหารผู้ป่วยโรคผีดิบที่เมื่อเจอหนึ่งก็ฆ่าไปเสียหนึ่งจะเป็นการดีที่สุด ความคิดของมู่หรงเจี๋ยนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก “ข้อที่หนึ่ง ที่ข้าต้องการจะเคลื่อนย้ายทหาร ไม่ได้ร้องขอความคิดเห็นจากพวกเจ้า นี่เป็นการตัดสินใจของข้า ข้อที่สอง ข้าจะไม่มีทางออกคำสั่งให้มีการยิงสังหารผู้ป่วยโรคผีดิบ คำสั่งทางทหารของเซี่ยจื่ออันยังไม่
“ข้าให้เวลาเจ้าสองวัน นำตัวเซี่ยจื่ออันกลับมา มิฉะนั้นแล้ว ตำแหน่งมหาเสนาบดีของเจ้า ก็เปลี่ยนคนเสีย” “กระหม่อมน้อมรับคำสั่ง!” ในใจของมหาเสนาบดีเซี่ยรู้สึกรำคาญขึ้นมาเล็กน้อย ไม่คิดเลยว่าเซี่ยจื่ออันจู่ ๆ ก็ออกจากเมืองหลวงไป ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ค่อยเชื่อว่าเซี่ยจื่ออันจะหลบหนีไป แต่ทว่าคนกลับหายไปจริง เขาสงสัยกระทั่งว่า เป็นคนของราชครูเหลียงที่จับตัวนางไป บางทีตอนนี้นางอาจจะตายไปแล้ว หากว่าเป็นเช่นนี้แล้วจริง ๆ เช่นนั้นราชครูเหลียงก็เป็นดั่งคำของมารดา เป็นคนชั้นต่ำที่ละทิ้งผู้อื่นทันที เมื่อใช้จนหมดประโยชน์ ราชครูเหลียงเห็นได้อย่างชัดเจนว่าไม่อยากยืดยื้อไปอีกสองวัน เพราะว่าหากหลังจากสองวันแล้วเซี่ยจื่ออันกลับมารักษาโรคระบาดได้ ก็เท่ากับว่านางได้ทำประโยชน์ใหญ่หลวง แต่ถ้าหากออกคำสั่งสังหารผู้ป่วยโรคผีดิบไปเสียตอนนี้ ต่อให้ภายหน้านางจะนำสูตรยากลับมา หวงไท่โฮ่วก็ไม่มีทางที่จะปล่อยนางไปโดยง่าย “ไท่โฮ่ว เรื่องสำคัญยิ่งนัก กระหม่อมคิดว่าไม่จำเป็นต้องรออีกต่อไปแล้ว ควรจะออกคำสั่งให้เผาหมู่บ้านทิ้งเสีย” สีหน้าของหวงไท่โฮ่วดูไม่พอใจนัก “วันนี้ ในตอนที่ว่าราชการยามเช้าท่านอ๋องว่าอย่าง
มหาเสนาบดีเซี่ยเมื่อได้ยินเข้าก็ตื่นตระหนกขึ้นมา และก็ไม่อาจที่จะสงสัยในตัวของราชครูเหลียงได้มากนัก จึงรีบร้อนออกจากวังกลับจวนไป ฮูหยินผู้เฒ่าคือที่ปรึกษาแผนการรบหลังฉากของเขา เมื่อได้ยินบุตรชายกลับมารายงาน นางเองก็รู้สึกได้ว่าเรื่องมันร้ายแรงมากเกินไปแล้ว “ที่ราชครูวิเคราะห์ออกมานั้นก็ถูกต้อง เซี่ยจื่ออันจะต้องออกไปหาสูตรยาอย่างแน่นอน ไท่โฮ่วให้เวลาเจ้าสองวัน สองวันนี้ต่อให้จะต้องขึ้นสวรรค์หรือลงนรก เจ้าก็ต้องตามหานางกลับมา” “แต่จะไปตามหาจากที่ใดกัน?” มหาเสนาบดีเซี่ยคิดจนหัวหงอกแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยออกมา “ลองไปสอบถามจากหยวนซื่อ บางทีนางอาจจะรู้ว่าเซี่ยจื่ออันอยู่ที่ใดกัน หากว่าถึงคราวจำเป็น ก็ให้ใช้กลวิธีไปสักเล็กน้อย” “แต่ว่าในเรือนของนาง นั้นมีคนที่หวงโฮ่วส่งมา” “เพียงแค่ทหารองค์รักษ์คนเดียวเท่านั้น ชื่อว่าพานตาน ให้เงินแล้วก็ไล่ไปซะ อย่างไรเสีย คนที่เขาต้องจับตาดูคือเซี่ยจื่ออัน ไม่ใช่หยวนซื่อ ไม่ว่าหยวนซื่อจะเป็นเช่นไร เขาก็ไม่นับว่าทำผิดในหน้าที่” “ในตอนนี้ก็คงจะมีเพียงแค่วิธีการนี้เท่านั้นแล้ว” มหาเสนาบดีเซี่ยพยักหน้า แล้วเอ่ยออกมา ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยสำทับออกไป “อ
แม่นมหยางเพิ่งจะถอยออกไป มหาเสนาบดีเซี่ยก็เข้ามา ภายในห้องไม่มีคนคอยรับใช้ บาดแผลที่ขาของกุ้ยหยวนเองก็ยังไม่ทันหายดี แม่นมหยางจึงไม่ต้องการให้เขาเข้ามารับใช้ ให้ดูแลรักษาบาดแผลอยู่ในห้องของเด็กรับใช้มาตลอด แม่นมหยางรู้ได้ว่าอาจจะมีอันตรายเกิดขึ้น แต่นางคิดว่าตอนนี้มหาเสนาบดีเซี่ยคงจะไม่มีเวลาที่จะมาหาเรื่องกับฮูหยิน จึงได้ละเลยไปบ้าง หยวนฉุ่ยยวี่ที่กำลังอ่านหนังสืออยู่ เมื่อเห็นว่ามีคนเข้ามา นางก็เงยหน้าขึ้นโดยที่ไม่รู้ตัว มองไปยังคนที่เข้ามา ด้วยท่าทีที่ดูไม่แปลกใจ โดยที่ไม่เอ่ยอะไรออกมา มหาเสนาบดีเซี่ยนั่งลง จ้องมองไปยังนาง จากนั้นก็ค่อย ๆ เปิดปากเอ่ยออกมา “เซี่ยจื่ออันไปที่ใด?” หยวนฉุ่ยยวี่วางหนังสือลง เงยหน้ามองไปยังเขา “จื่ออันอยู่ในพื้นที่ภัยพิบัติ ทุกคนต่างก็รู้กันดี” “นางไม่ได้อยู่ในพื้นที่ภัยพิบัติ นางออกไปแล้ว เจ้าเป็นมารดาของนาง จะต้องรู้ว่านางอยู่ที่ใดกัน” หยวนฉุ่ยยวี่ยิ้มออกมา “คำพูดของมหาเสนาบดีช่างพูดออกมาได้ถูก ข้าเป็นเพียงมารดาของนาง ข้าไม่ใช่นาง ขาอยู่บนตัวนาง นางจะไปที่ใด ท่านที่เป็นบิดายังวุ่นวายมิได้ แล้วข้าที่เป็นมารดาจะไปวุ่นวายได้อย่างไร? ยิ่งไม่อา
เขาแตะลงไปยังกาน้ำบนโต๊ะ กาน้ำนั้นเป็นแม่นมหยางที่กลับมาเทใส่เข้ามาด้วย และยังคงร้อนอยู่มาก เขาเผยยิ้มชั่วร้ายออกมา แล้วคว้าไปยังคอเสื้อของนาง ใช้ขาเตะลงไปบนน่องของนาง บีบบังคับให้นางคุกเข่าลงไป ขาอีกข้างหนึ่งเหยียบลงบนหลังมือของนาง จากนั้นก็ถือกาน้ำเอาไว้ ยกขึ้นสูงเหนือศีรษะของนาง น้ำเสียงเย็นชาราวกับอากาศหนาวจัดในเช้าของฤดูหนาว “โอกาสสุดท้ายแล้ว จะบอกหรือไม่บอก!” หน้าผากของหยวนฉุ่ยยวี่มีเลือดไหลซึมออกมา นี่เป็นครั้งแรกที่นางถูกลากไปชนกับเสาจนได้รับบาดเจ็บ เลือดอุ่นเหนียวหนืดไหลมาตามหางตา เข้าไปในปากพร้อมกับกิ่นคาวเลือด “ไม่รู้!” หัวใจของนางเย็นชาราวกับเหล็ก ใบหน้ายังคงดื้นรั้นอยู่ดั่งเก่า “ดี!” ใบหน้าของมหาเสนาบดีบิดเบี้ยว ยิ้มอย่างชั่วร้าย ค่อย ๆ เอียงมือออกไป น้ำร้อนในกาค่อย ๆ ไหลลงมา จากกานั้นไหลลงบนศีรษะมาช้า ๆ น้ำร้อนราดรดลงบน ความเจ็บปวดเช่นนี้ ยากที่จะจินตนาการออกมาได้ หยวนฉุ่ยยวี่เจ็บปวดเสียจนทั่วทั้งกายสั่นเทา แต่กลับกัดฟันเอาไว้แน่น แม้แต่เสียงร้องเจ็บปวดก็อดทนไม่ร้องออกมา แม่นมหยางได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวดังมาจากด้านนอก ก็รีบร้อนเดินเข้ามา เมื่อพบกับสถานการณ์เ
ในตอนที่นางฟื้นขึ้นมานั้น ก็ได้ยินเสียงแม่นมหยางคำรามดังอยู่ข้างหู “พานตาน เจ้าได้รับคำสั่งของฮองเฮาให้มายังเซี่ยจื่อหย่วนเพื่อคอยปกป้องฮูหยินและเสี้ยนจู่ เมื่อครู่นี้เจ้าไปที่ใดมา?”น้ำเสียงของพานตานดังขึ้นอย่างเฉยชา “ขออภัยด้วย ฮองเฮาเพียงแต่ให้ข้าคุ้มครองคุณหนูใหญ่ ส่วนควาคับข้องใจระหว่างสามีภรรยาของเสี้ยนจู่และมหาเสนาบดีเซี่ย ข้าไม่อาจเข้าไปยุ่ง และไม่อาจแทรกแซงได้”“เจ้าอย่ามาเอ่ยคำโกหก เป็นเจ้าที่รับเงินมาจากมหาเสนาบดีเซี่ย!” แม่นมหยางตะโกนด่าออกมา “ข้าจะกราบทูลเรื่องของเจ้าต่อหน้าของฮองเฮาแน่นอน เจ้าคอยดูเอาเถิด”พานตานเอ่ยออกมาอย่างกรุ่นโกรธ “แม่นมหยาง อย่ามาโทษที่ข้าไม่เตือนท่าน ท่านคิดว่าทำไมข้าถึงต้องมาอยู่ที่นี่? เป็นเพราะฮองเฮาเริ่มคลางแคลงใจในตัวท่าน ท่านคิดว่าฮองเฮายังจะเชื่อคำของท่านอีกหรือ? เมื่อไหร่ที่เซี่ยจื่ออันตายไป คนที่จะถูกฝังไปด้วยกันก็คือท่าน คราวนี้ท่านเลือกเจ้านายผิดแล้ว”หยวนฉุ่ยยวี่เอียงศีรษะสลบลงไปอีกครั้งมหาเสนาบดีเซี่ยไม่พบร่องรอยใดของเซี่ยจื่ออันจากหยวนฉุ่ยอวี่ ในใจรู้สึกกระสับกระส่ายอย่างมาก และเมื่อสาวใช้ของซีเหมินเสี่ยวเยว่เข้ามาบอกว่า ซีเหมิน
มหาเสนาบดีเซี่ยมาถึงยังเรือนของซีเหมินเสี่ยวเยว่ ก็สั่งให้เด็กรับใช้รออยู่ด้านนอก ตนเองตามเด็กรับใช้เข้าไปด้านในซีเหมินเสี่ยวเยว่ยืนรอต้อนรับอยู่ตรงระเบียง มหาเสนาบดีเซี่ยพบว่านางวันนี้ตั้งใจแต่งกาย สวมใส่ชุดกระโปรงผ้าซาตินรัดเอว แต่งหน้าปราณีตอย่างยิ่ง ใช้แป้งเสียจนมองไม่เห็นรอยแผล คิ้วโก่งงาม ริมฝีปากสีแดงเพลิง ผ้าไหมดำสามพันเส้นถูกดึงไว้เป็นหางม้า ปักปิ่นปักผมสีทองหยดน้ำแบบเฉียง เกิดเสียงดังกระทบกันมีเสน่ห์อย่างยากที่จะเอ่ยออกมาได้ นางลุกขึ้นยืนแล้วยิ้มอยู่ตรงระเบียงทางเดิน “ท่านมาแล้ว!” มหาเสนาบดีเซี่ย แม้ว่าจะเห็นนางแต่งกายในวันนี้ ก็ไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย เพียงแต่ยังนึกขึ้นมาว่ามีเรื่องที่ต้องร้องขอจากนาง จึงเอ่ยออกมาเสียงอ่อนโยน “ข้ามาแล้ว หลายวันมานี้สบายดีหรือไม่?” “ดี เพียงแต่คิดถึงท่านมากเหลือเกิน” นางกระโจนไปเบื้องหน้า พุ่งเข้าใส่อ้อมแขนของเขา กลิ่นหอมของผงหอมโชยเข้าจมูกเขา เขาอดทนต่อความรังเกียจของเขา กอดนางเข้ามาอย่างอ่อนโยน “ข้าเองก็คิดถึงเจ้า ทว่าเรื่องวุ่นวายพัวพันอยู่รอบกาย ไม่อาจมาเยี่ยมเจ้าได้” “ข้าเองก็รู้ ลำบากท่านแล้ว” นางปล่อยเขาออกมา สายตาจ้องมองมาย
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว