“ท่านคงกลัวที่จะพบกับกุ้ยไท่เฟย?” ตอนนี้นางคงยังจะคอยรับใช้กุ้ยไท่เฟยอยู่เป็นแน่ พรุ่งนี้ตอนเช้าคงจะไปสวนดอกไม้เพื่อตัดดอกไม้ ท่านคงอยากจะใช้ช่วงนั้นเพื่อพบนาง?” ซูชิงชั่วพริบตาเดียวก็มองเรื่องราวได้ทะลุปรุโปร่ง“น่ารำคาญหรือไม่?” มู่หรงเจี๋ยเหลือบมองพวกเขาด้วยความไม่ถูกใจเซียวท่าหมุนกายจากไป “ข้าเองเริ่มรู้สึกจะรำคาญแล้ว ค่ำนี้ข้าไม่กินข้าวเป็นเพื่อนพวกเจ้าแล้ว ข้านัดเฉินหลิวหลิ่วเอาไว้“อ่า?” ซูชิงดึงเขาเอาไว้ในทันที “เจ้าเมื่อวานเพิ่งจะกลับเมืองหลวงมา วันนี้ก็นัดนางเสียแล้ว? เจ้าคงจะไม่ใช่?”“คิดอะไรอยู่? ข้าเพียงแต่ต้องการจะแนะนำชายหนุ่มให้กับนาง” เซียวท่าเอ่ยออกมา เดินจากมาเพียงคนเดียว“ข้าไปด้วย นำข้าไปด้วย” ซูชิงรีบร้อนไล่ตามมาเซียวท่าในแววตาส่องประกายความพึงพอใจออกมา ไม่ผิด อยากจะให้เจ้าตามมานั่นแหละซูชิงไหนเลยจะคิดได้ว่าเซียวท่า กลับมีใจคิดไม่ซื่อเหมือนกัน?พูดกลับไปก่อนหน้านี้ วันนี้แม่นมหยางเองก็เข้าวังไปพบกับฮองเฮาเช่นกัน“เซี่ยจื่ออันได้เอ่ยอะไรเกี่ยวกับอาการป่วยของเหลียงอ๋องบ้างหรือไม่?” ฮองเฮาเอ่ยถามแม่นมหยางตอบ “ทูลฮองเฮา คุณหนูใหญ่ทุกวัน หลังจากกลับมาจากร
เช้าวันรุ่งขึ้นที่จวนผู้สำเร็จราชการ มีโคมไฟสีขาวแขวนไว้ตรงประตูติดป้ายสีขาวที่เขียนคำว่าเตี้ยน ที่แสดงให้เห็นว่าได้มีคนตาย โคมไฟสีขาวก็แขวนไว้ที่หน้าประตูจวนเช่นกันขณะที่มู่หรงเจี๋ยเพิ่งจะตื่นนอนและกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า หนี่หรงก็เดินเข้ามา และกล่าวอย่างจริงจัง "ท่านอ๋อง มีคนจากเรือนของไท่เฟยมาส่งข่าวว่า เมื่อคืนนี้ป้าซือจูเสียชีวิตอย่างกะทันหันพ่ะย่ะค่ะ!"มู่หรงเจี๋ยหันหน้ากลับไปมองทันที แล้วกล่าวถามอย่างตกใจ "เจ้าว่ากระไรนะ?"หนี่หรงกล่าวอย่าโศกเศร้า "ในตอนเช้าตรู่ของวันนี้ที่บ่าวตื่นขึ้นมา ที่จวนก็เริ่มแขวนโคมไฟสีขาวแล้ว พอถามก็ถึงได้รู้ว่าที่แท้เมื่อคืนนี้ป้าซือจูได้เสียชีวิตอย่างกะทันหันพ่ะย่ะค่ะ"มู่หรงเจี๋ยรีบสวมชุดให้เรียบร้อยในทันที แล้ววิ่งออกจากประตูไป เขามุ่งไปที่เรือนชิงหนิงอย่างรวดเร็วร่างของป้าซือจูถูกวางไว้ในลานเรือน โลงถูกวางไว้ที่ด้านข้าง ส่วนกุ้ยไท่เฟยก็ยืนอยู่ข้าง ๆ เช็ดหน้าให้นางด้วยตนเองมู่หรงเจี๋ยยืนอยู่ที่ปากทางเข้าสู่ลานกว้าง มองดูผู้หญิงที่เลี้ยงดูเขามาทั้งชีวิตด้วยสายตาที่ว่างเปล่า เกิดความรู้สึกในใจที่ไม่รู้ว่าจุกหรือรู้สึกสำนึกผิดกันแน่เมื่อคืนน
กุ้ยไท่เฟยเกรี้ยวกราดขึ้นมาในทันที จากนั้นก็กล่าวอย่างดุดัน "นางกลัวว่าข้าจะทำร้ายลูกของตนเอง ดังนั้นจึงไม่ลังเลเลยที่จะสังหารข้าเพื่อตัดปัญหาในอนาคต นางคือคนที่คอยรับใช้อยู่ข้างกายข้ามาเนิ่นนานหลายปี ข้าเห็นนางเป็นเหมือนน้องสาวแท้ ๆไปเสียแล้ว แต่เพื่อเจ้าแล้ว นางกลับวางยาพิษสังหารข้า!"มู่หรงเจี๋ยมือเท้าเย็นไปหมด มองร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงที่เรียบง่าย การตายของนางช่างน่าเวทนา นางทำเพื่อเขาแท้ ๆบ่าวรับใช้อาฝูยังคงคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเขาเช่นเดิม เขายกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ในที่สุดป้าซือจูก็ตายได้เสียที ต่อไปก็จะเป็นเขาที่ได้อยู่ข้างกายกุ้ยไท่เฟย และได้เป็นที่โปรดปรานของนางแต่ว่าก่อนอื่น เขาจะต้องแสดงความจงรักภักดีให้นางเห็นก่อนดังนั้นเขาจึงกล่าว "ท่านอ๋อง ก่อนที่ป้าซือจู๋จะได้รับโทษ ได้ขอให้ทหารองครักษ์ไปบอกบางอย่างกับท่าน""บอกอะไร?" มู่หรงเจี๋ยจ้องไปที่เขาด้วยความรู้สึกสมเพช ตาทั้งสองแดงก่ำอาฝูกล่าว "นางให้ทหารองครักษ์ไปบอกท่านว่า นางหวังให้ท่านปกครองบ้านเมือง"มู่หรงเจี๋ยไม่เชื่อคำพูดของเขาแม้แต่น้อย แล้วขึ้นเสียงดัง "ไสหัวไปซะ!"อาฝูยังคุกเข่าอยู่กับที่ "ท่านอ๋อง คำพูดนี
จื่ออันไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในจวนอ๋องจริง ๆ วันนี้นางมายื่นหนังสือร้องขอเงินที่กรมคลัง การทำงานของที่นี่เป็นไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากแม่ของนางถูกแต่งตั้งให้เป็นตานชิงเสี้ยนจู่จึงได้รับที่ดินส่วนหนึ่ง ที่ดินส่วนนี้ตานชิงเสี้ยนจู่สามารถนำไปใช้ได้แต่ว่าเรื่องการสร้างเรือนอื่น ๆ นั้น ยังต้องขอความเห็นจากหวงไท่โฮ่วหรือผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดิอยู่ รอให้มีความคิดเห็นที่เป็นลายลักษ์อักษรลงมาก่อน กรมพระคลังจะไม่ประวิงเวลา และจะรายงานให้จื่ออันทราบ ภายในสามวันจะส่งหนังสือร้องขอให้ผู้สำเร็จราชการพิจารณาอย่างเป็นทางการก่อนที่จะสร้างเรือน จื่ออันต้องตัดเส้นทางที่ติดต่อจากทางจวนมหาเสนาบดีก่อน ทะเลสาบเทียมของจวนมหาเสนาบดี เชื่อมต่อกับสนามหญ้าบริเวณด้านหน้าและด้านหลัง และกลางทะเลสาบก็ยังมีภูเขาหินจำลองอยู่ด้วย ทางเดินคดเคี้ยว สามารถเดินทะลุจากสนามหญ้าด้านหน้าไปยังด้านหลังได้ นั่นก็หมายความว่า แม้จะปิดเส้นทาง แต่ว่าก็ยังเข้ามาทางทะเลสาบแล้วเดินมาตามทางเดินทะลุเข้ามาได้จื่ออันไปคุยกับฮูหยินผู้เฒ่าด้วยเรื่องนี้"เจ้าว่ากระไรนะ? จะตัดขาดทางเดินกับภูเขาหินจำลองออกจากกันหรือ?" พอฮูหยินผู้เฒ
นางหันหลัง แล้วกล่าวทิ้งท้ายอย่างเย็นชา "ไม่ว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย อย่างไรก็ต้องตัดขาดจากส่วนทางเดิน""เจ้ากล้า เจ้ากล้าเหรอ?" น้ำเสียงของฮูหยินผู้เฒ่าที่ตามหลังจื่ออันมาแฝงไปด้วยความเดือดดาลอย่างรุนแรง แต่จื่ออันก็ทำเป็นว่าไม่ได้ยินพอนางกลับมาถึงเรือนเซี่ยจื่อหย่วน ก็ได้หยิบป้ายวิญญาณของเซี่ยจื่ออันออกมาเช็ดเบา ๆ "ในที่สุดข้าก็ได้รู้ว่า ความเคียดแค้นของเจ้าเหตุใดถึงไม่จางหายไปจากใจของข้า เพราะว่าในวันนั้น พ่อแท้ ๆ ของเจ้าก็อยู่ห่างออกไปไม่ไกล มองดูผู้อื่นโบยเจ้าจนตาย เซี่ยจื่ออัน เจ้าวางใจเถิด ชีวิตของเจ้าที่ถูกศัตรูคร่าไปนั้น ข้าจะล้างแค้นให้เจ้าเอง"มีคนสะดุ้งตกใจในทันที จื่ออันมองไปทางนั้น ก็เห็นหยวนฉุ่ยยวี่ออกมาจากม่านประดับมุก ในมือของนางถือผ้าไหมทองเอาไว้ น้ำตาอาบหน้า"ข้าจำได้ว่าด้านในมีผ้าไหมทองอยู่พับหนึ่ง จึงอยากจะเอาออกมาตัดชุดให้เจ้า" หยวนฉุ่ยยวี่เช็ดน้ำตา จึงเดินเข้าไปหา และมองแผ่นป้ายวิญญาณในมือของนาง ดวงตาเหม่อลอย "ข้าไม่รู้เลยว่า เจ้าทำป้ายวิญญาณให้กับนางด้วย""ท่านแม่" เมื่อจื่ออันเก็บป้ายวิญญาณดีแล้ว ก็มองไปที่ดวงตาของนาง "ท่านมองเห็นแล้วหรือ
ในตอนเที่ยงคืน จื่ออันยังคงนอนไม่หลับ ได้แต่พลิกไปพลิกมาอยู่บนเตียง ช่วงแรก ๆ ที่มาถึงยุคโบราณนี้ นางนอนหลับไม่เพียงพอ และรู้สึกเหนื่อยล้ามาก ตอนนี้นางก็ค่อย ๆ กลับมาสู่วงโคจรเดิม นั่นก็คือการนอนไม่หลับความจำของจื่ออันคนเดิม มักจะผุดขึ้นกลางใจในยามค่ำคืนเสมอ ทำให้ความเคียดแค้นเพิ่มมากขึ้นที่นอกหน้าต่าง มีเสียงลอยมานางลุกขึ้นทันทีแม่นมหยางยังไม่ได้กลับออกมาจากวัง เสี่ยวซือก็คอยรับใช้ท่านแม่อยู่ในห้อง ส่วนตาวเหล่าต้าหากเขาไม่ได้รับคำสั่งก็จะเข้ามาที่หน้าประตูเรือนปีกไม่ได้ "ใคร?" กล่าวถามอย่าตื่นตระหนก"เจ้าจะเปิดประตูเอง หรือจะให้ข้าพังประตูเข้าไป" มีเสียงดังโหวกเหวกโวยวายดังมาจากนอกหน้าต่างจื่ออันชะงักไปเล็กน้อย เขาเหรอ? เขามาทำไมดึกดื่นขนาดนี้? หรือว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น? จื่ออันรีบเปิดประตูออก ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ยังทรงตัวได้ไม่มั่นคง เงาดำปกคลุมร่างนาง จากนั้นนางก็ถูกดึงเข้าไปอยู่ในอ้อมอกกว้างของเขา นางได้กลิ่นสุราฉุนเตะสมูกมาก ตามมาด้วยเสียงหายใจที่หนักหน่วงของเขา"เกิดเรื่องอะไรขึ้น? ท่านดื่มสุรามาอย่างนั้นหรือ?" จื่อวิตกกังวลเล็กน้อย เพราะไม่เคยเห็นเขาในสภาพเช่น
นิ้วอุ่น ๆ นวดลงไปบริเวณหว่างคิ้วของเขา ลากยาวไปจนถึงขมับ จากนั้นกดตรงขมับไปจนถึงหน้าผาก ด้วยนิ้วของนางทำให้ท่าทางของเขาค่อย ๆ ผ่อนคลายลงหลังจากที่เวลาล่วงเลยมาเป็นเวลานาน เขาดึงมือให้นางเข้ามาอยู่ตรงหน้าเขา ดวงตาของเขาแลดูเสียใจอย่างสุดซึ้ง น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาราวกับใจที่แตกสลาย “จื่ออัน รับปากข้า ต่อไปไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป นึกถึงความยิ่งใหญ่เอาไว้ "จื่ออันพยักหน้า "หม่อมฉันรู้เพคะ ทุกเรื่องที่หม่อมฉันทำในตอนนี้ ล้วนเพื่อให้มีชีวิตอยู่อย่างสงบสุข"“ไม่ว่าจะสามารถมีชีวิตอย่างสงบสุขได้หรือไม่ได้ ก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป เพียงมีชีวิตก็ยังมีความหวัง" มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างหนักแน่น“เพคะ!” จื่ออันยื่นมือออกไปลูบใบหน้าของเขา ทั้งรู้สึกเสียใจและประหลาดใจ คนที่ตายผู้นั้นมีความสำคัญกับเขามากจริง ๆ "หลับสักหน่อย ดีหรือไม่เพคะ?" จื่ออันพูดเสียงเบามู่หรงเจี๋ยมองไปยังนาง ในที่สุดก็ค่อย ๆ พยักหน้า "ดี!"ก็เหมือนกับตอนอยู่ที่ชานเมือง ทั้งสองคนนอนอยู่บนเตียงเดียวกันมือของนางวางไว้ในมือเขาตลอด เสียงลมหายใจแทบจะเป็นเสียงเดียวกัน"ข้าไม่เป็นอะไร!"หลังจากที่เงียบไ
จื่ออันนอนลง สองมือช้อนไว้ใต้ศีรษะ ดวงตาดำขลับจ้องมองไปยังเขา "มู่หรงเจี๋ย จู่ ๆ ข้านึกถึงหนึ่งขึ้นมาได้""เรื่องอะไร?" มู่หรงเจี๋ยจ้องมองไปยังนาง ท่าท่างนิ่งสงบของนางน่ามองยิ่งนัก ไม่ทันได้สนใจคำสรรพนามที่นางใช้เรียกตน"ทำไมอ๋องหลี่ถึงเลี้ยงสุนัขเล่า?"มู่หรงเจี๋ยดึงนางขึ้นมา และถูไปที่ใบหน้าของนาง "อย่าเปลี่ยนประเด็น บอกข้ามา เมื่อครู่นี้เจ้ายิ้มด้วยเรื่องอันใด"จื่ออันผลักมือของเขาออก "อย่าทำให้ทรงผมของหม่อมฉันยุ่งเหยิง หม่อมฉันเกล้าผมเป็นมวยด้วยตนเองเชียวนะ ท่านว่างามหรือไม่?""อย่านอกเรื่อง!" มู่หรงเจี๋ยโมโห"หม่อมฉันไม่ได้นอกเรื่องนะเจ้าคะ" จื่ออันยื่นมือออกมาจัดทรงผมเล็กน้อย แล้วพูดพึมพำ "ก็แค่รู้สึกว่าข้าอุตส่าแต่ตัวให้ดูดี แต่ท่านกลับไม่ชายตามองเลยสักนิดเดียว จึงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่นัก""จะบอกหรือไม่บอก เจ้าจะบอกข้ามาโดยดีหรือไม่?" มู่หรงเจี๋ยกระชากตัวนางมาอย่างรุนแรง มือข้างหนึ่งจับคอเสื้อของนางไว้ อีกข้างหนึ่งบีบคางของนาง พร้อมกับกล่าวอย่างขุ่นเคืองจื่ออันกะพริบตาเล็กน้อย มองเขาอย่างนิ่งเฉย จากนั้นก็ดื้อดึงขึ้นมา "ท่านอ๋อง!"บรรยากาศค่อนข้างจะดูพิกล มู่หรงเจ
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว