หยวนซื่อส่ายหน้า "ข้าไม่ชอบองค์รัชทายาท”มหาเสนาบดีเซี่ยก้มหน้าลง “ไม่มีใครสนใจหรอกว่าเจ้าชื่นชมหรือไม่? เพียงแค่อยากให้เจ้าพูดต่อหน้าเขา”หยวนซื่อยกคางขึ้นเล็กน้อยและตรัสว่า “ถ้าท่านยืนยัน ข้าก็จะพูด”มหาเสนาบดีเซี่ยมีสีหน้ายิ้ม “เอาล่ะ กระนั้นเจ้าก็ดูเองก็แล้วกันว่าสะดวกจะไปเมื่อไหร่ ข้าจะจัดการให้ใครสักคนพาเจ้าไปที่นั่น และให้เซี่ยฉวนไปกับเจ้าด้วย”“ไปตอนนี้เลย” หยวนซื่อพูดเบา ๆมหาเสนาบดีเซี่ยลุกขึ้นทันที นี่คือสิ่งที่เขาหมายถึงจริง ๆ เพราะตอนนี้เรื่องก็กระชั้นชิดเจียนตัวแล้ว พวกเขาต้องพยายามหาเวลา เกรงว่าอ๋องหนานหวายจะกลับมาสร้างความโกลาหลอีกครั้ง“กระนั้นข้าจะให้คนไปเตรียมรถม้าก่อน เจ้าไปแต่งตัวก่อนเถิด” หลังจากมหาเสนาบดีเซี่ยพูดจบ ก็หันหลังและเดินออกไปหยวนซื่อมองไปที่หลังของเขา และยืนขึ้นแม่นมหยางเดินเข้ามา “ฟูเหรินจะไปจริง ๆ หรือ?”“ใช่” หยวนซื่อตอบ และเดินเข้าไปในห้องชั้นใน นั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มองดูใบหน้าที่ไร้ชีวิตชีวาในกระจกของตัวเอง“ข้าคิดว่าท่านไม่ควรไปนะเจ้าค่ะ” แม่นมหยางรู้สึกผิดหวังกับหยวนซื่อมาก ความหมายที่มหาเสนาบดีเซี่ยพูดนั้น นางไม่รู้จริง ๆ หรือ?
เมื่อมองไปที่ใบหน้าที่เย่อหยิ่งและจองหองของเซี่ยฉวน หยวนซื่อก็หันศีรษะของนางเบา ๆ แล้วเปิดม่านด้านข้าง และกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “เซี่ยฉวน ก่อนที่ข้าจะอภิเษกกับเซียงแหยของเจ้า ข้าเคยศึกษาวิชาทํานายดวงชะตาของโจวอี้มาระยะหนึ่ง แล้วทุกอย่างบนโลกนี้ล้วนสร้างภาพการทํานายเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเห็นอะไรบนใบหน้าเจ้า ””เซี่ยฉวนยิ้มเยาะ “ท่านเห็นอะไร?”หยวนซื่อปิดม่านลง แล้วมองดูเขา “หว่างคิ้วของเจ้าเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความเสื่อมถอย ลมหายใจของเจ้าหมดลงแล้วย คงได้เตรียมจัดงานศพของเจ้า”เซี่ยฉวนหัวเราะเสียงดัง “คิดไม่ถึงเลยว่าท่านจะกลายเป็นคนวิเศษขึ้นมาได้”เขาขับรถม้าไปที่วังของผู้สำเร็จราชการองค์ชายอานได้ประทับอยู่ในวังของผู้สำเร็จราชการมาเป็นเวลาสองวันแล้ว เมื่อได้ยินว่ามีคนรายงานว่าหยวนซื่อต้องการเข้าเฝ้า เขาก็ลุกขึ้นยืนทันที แล้วนั่งลงสูดหายใจเข้าลึก ๆ “ให้นางเข้ามาเถิด”เขาพยายามสงบสติอารมณ์ มองดูนางเดินออกมาจากเงาของต้นไม้ ชุดสีเขียวกับต้นทับทิมดูคล้ายเป็นสีเดียวกัน ใบหน้าของนางไม่มีอารมณ์ใด ๆ แม้แต่ในดวงตาก็ดูมีชีวิตชีวาเมื่อหลายปีก่อนหัวใจของเขาเจ็บปวดอย่างอธิบายไม่ได้เขาจําได้ว่า
หยวนซื่อมองไปที่องค์ชายอาน แล้วถามว่า “ท่านอ๋องมีอะไรจะพูดกับหม่อมฉันอีกไหมเพคะ?”องค์ชายอานส่ายหัว “ไม่มีอะไรแล้ว”หยวนซื่อส่งเสียงอืมอีกคํา มองเซี่ยฉวนแล้วกล่าวว่า "ท่านอ๋องไม่มีอะไรจะพูดกับข้า กลับกันเถอะ”เซี่ยฉวนโกรธจัด แต่เพราะองค์ชายอาน เขาจึงไม่กล้าแสดงอาการกําเริบเสิบสาน จึงประสานมือแล้วเดินนําหน้าไปหยวนซื่อหันกลับไปมององค์ชายอัน ดวงตาคู่นั้นแฝงไว้ด้วยแววตาที่มากมาย แต่องค์ชายอานอ่านออกถึงความวิงวอนของเธอ ว่าขอให้องค์ชายช่วยดูแลธิดาของนางด้วยองค์ชายอานพยักหน้าเบา ๆ และสายตาที่ลุ่มหลงงมงายส่งนางออกไปเขาไม่เคยปิดบังความรู้สึกของเขาต่อหน้าหยวนซื่อ ซึ่งท่าท่างยังคงเป็นเหมือนเมื่อหลายปีก่อน และตอนนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้นเขาไม่รู้สึกละอายใจที่จะรักใครสักคนหลังจากที่เซี่ยฉวนกลับมา เขาได้บอกมหาเสนาบดีเซี่ยเกี่ยวกับการสนทนาระหว่างทั้งสองคนนั้นมหาเสนาบดีเซี่ยได้ยินดังนั้นก็โกรธเช่นกัน ด้วยสติปัญญาของหยวนซื่อ นางไม่ควรพูดเช่นนี้ นางมีร้อยวิธีในการดึงองค์ชายอันมาร่วมด้วยอะไรคือสาเหตุของความไม่เต็มใจของนาง? นางคิดว่าเขาแสร้งทำดีกับนางในครั้งนี้หรือไม่? หรือเพียงแค่ยังคงทดสอบ?
แผนแต่ละแผนในเมืองได้ถูกวางไว้แล้ว แต่ว่าอยู่ในลานเรือนแห่งนี้ กลับรู้สึกสงบสุขอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนองครักษ์ที่ประจำการในบริเวณใกล้เคียงมารายงานวันละสามครั้ง และเห็นได้ชัดว่าไม่มีใครมาที่นี่เพื่อค้นหาเขาเลยที่นี่คือถิ่นของเซียวท่า ไม่มีใครรู้ว่าเซียวท่ามีที่พักส่วนตัวที่นี่ อีกทั้งกองกำลังที่กำลังค้นหามู่หรงเจี๋ยจริง ๆ แล้วก็เป็นกองกำลังของอ๋องอานกับมู่หรงจ้วงจ้วง แม้แต่กุ้ยไท่เฟยก็ทำเป็นค้นหาซะใหญ่โตเพื่อตบตาผู้คน แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนักเพราะนางรู้เรื่องนี้ค่อนข้างดี เห็นมู่หรงเจี๋ยตายด้วยตาของนางเอง องครักษ์ก็กลับมารายงานว่าเซี่ยจื่ออานตายบนสุสานแล้วนางคิดว่าเป็นเซียวท่าที่เอาศพของมู่หรงเจี๋ยออกไป ซึ่งที่เขาทำเช่นนี้ก็เพื่อให้เรื่องนี้ดูเป็นปริศนา เขาคิดว่าตราบเท่าที่เจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารไม่เห็นศพของมู่หรงเจี๋ยเป็นเวลาหนึ่งวัน มู่หรงเจี๋ยก็จะไม่ถูกมองว่าตายไปแล้ว“เจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ที่แท้ก็ยังอ่อนหัดนัก คิดว่าถ้าเอาศพของอาเจี๋ยไป คนพวกนั้นจะไม่มีแผนการอะไรเหรอ? เหลียงไท่ฟู่รู้ตั้งแต่ที่เขาไปพัวพันเข้าวังไปเชิญหวงไท่โฮ่วให้ขึ้นปกครอง เหลียงไท่ฟู่ก็ได้สรุปเอา
ป้าซือจู๋ปลอบนางและพูดอย่างไม่จริงใจ “ใช่เพคะ หม่อมฉันเข้าใจดีว่าไท่เฟยไม่มีทางเลือกแล้ว”“จากระยะทางแล้ว อ๋องแปดจะมาถึงเมื่อใด?” น้ำเสียงของกุ้ยไท่เฟยเปลี่ยนไป สีหน้าดูอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย และความเศร้าโศกก่อนหน้านี้ก็ได้จางหายไปจากใบหน้าของนางป้าซือจู๋กล่าว “ก่อนที่ไท่เฟยจะลงมือ อ๋องหนานหวายได้เริ่มออกเดินทางแล้ว เมื่อคำนวณระยะเวลาดูตั้งแต่ตอนนั้น วันนี้ก็น่าจะมาถึงตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว แต่ว่าเพื่อไม่ให้ผู้คนเกิดความสงสัย คาดว่าเร็วสุดก็คงไม่เกินคืนพรุ่งนี้ เขาถึงจะเข้าเมืองมาได้”“จริงด้วย อ๋องแปดมักจะมัดระวังในการทำสิ่งต่าง ๆ เสมอ ถ้าเขาเข้าเมืองมาเร็วเกินไป ก็จะทำให้ผู้คนสงสัย แม้ว่าคืนพรุ่งนี้จะดูเร็วไปสักหน่อย แต่ก็สมเหตุสมผลดี อย่างไรเสียพี่ชายของเขาก็เสียชีวิต เขาก็ต้องเป็นทุกข์อยู่แล้ว เขาเร่งเดินทางทั้งวันทั้งคืนเพื่อกลับมา ไม่มีใครสงสัยแน่นอน”ป้าซื่อจู๋มองดูแผลที่หน้าผากของนางและกล่าว “วันนั้นไท่เฟยไม่ควรกระแทกไปจริง ๆ ถ้าเป็นอะไรขึ้นมา มันจะดีแล้วเหรอ?”กุ้ยไท่เฟยเอื้อมมือไปแตะแผลที่หน้าผากแล้วดื่มชาในถ้วยอีกครั้งพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “ถ้าไม่ทำเช่นนี้ นางจะออกคำสั่งหรือ
เสนาบดีกรมมหาดไทยกล่าว "ตอนนี้หวงไท่โฮ่วปฏิเสธที่จะพบพวกเรา และไม่มีพระราชเสาวนีย์ให้องค์รัชทายาทดูแลปกครองบ้านเมือง ทั้งยังไม่ได้บอกว่าพระองค์จะเป็นผู้ปกครองเอง แล้วมันจะเป็นเรื่องดีได้เช่นไร? พวกเรามัวเสียเวลาอยู่อย่างนี้ก็ไม่ใช่ทางออก ในทางกลับกันจะเป็นการเปิดโอกาสให้มู่หรงชวนแว้งกลับมากัดพวกเราได้”ใบหน้าของเหลียงไท่ฟู่มืดหม่น เขาไม่ได้พูดอะไร ในดวงตาฉายแววความเย็นชา ดูเหมือนว่าภายในใจเขาจะคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่แล้วหวงไท่โฮ่วนั่งอยู่บนที่นั่งสูงมองดูอ๋องหนานหวายที่สองสามปีมานี้ไม่ได้พบเจอกันเลย ในใจนางย่อมรู้สึกตื้นตันเป็นธรรมดา“ลุกขึ้น ให้แม่ดูเจ้าชัด ๆ หน่อยซิ"อ๋องหนานหวายก้าวไปข้างหน้า คุกเข่าลงอีกครั้ง ซบลงบนเข่าของหวงไท่โฮ่วร้องไห้อย่างขมขื่น “ลูกอกตัญูที่ไม่ได้อยู่ถวายการรับใช้เสด็จแม่ แถมยังต้องให้ท่านคอยเป็นห่วงอีก” อ๋องหนานหวายร้องไห้อย่างหนัก น้ำตาเปรอะเปื้อนกระโปรงของหวงไท่โฮ่วหวงไท่โฮ่วอดที่จะรู้สึกเป็นทุกข์ไม่ได้ นางก็หลั่งน้ำตาออกมา "เจ้าอยู่ที่แดนใต้ตัวคนเดียว ลำบากเจ้าแล้ว"“ไม่เลยพ่ะย่ะค่ะ นั่นเป็นสิ่งที่ลูกสมควรได้รับแล้ว ในตอนนั้นลูกยังอ่อนเยาว์นัก
แน่นอนว่าหวงไท่โฮ่วย่อมเข้าใจ แต่ว่านางกลับตำหนิเขาไปเล็กน้อย "เจ้าน่ะกังวลอย่างไร้เหตุผล ห่วงมากจนเกินไป เขาเร่งเดินทางทั้งวันทั้งคืนอย่างไม่หยุดหย่อน ไม่มีอะไรน่าสงสัยหรอก เป็นไปได้เหรอที่เขาจะรู้ว่าจะเกิดเรื่องกับอาเจี๋ยล่วงหน้า? เหลวไหล เขาต้องเดินทางกลับเมืองหลวงหลังจากได้รับข่าวเป็นแน่”เมื่อซุนกงกงเห็นนางพูดเช่นนี้ เขาก็ไม่ได้อธิบายอะไรอีก แค่ทำให้นางได้ฉุกคิดตั้งแต่มีพระราชเสาวนีย์ให้กลับมา เวลามันดูรวดเร็วเกินไป จำเป็นต้องป้องกันไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขายังคงเป็นอ๋องหนานหวายอ๋องหนานหวาย ขึ้นไปบนม้าและมุ่งหน้าไปที่จวนผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดิอย่างรวดเร็วเมื่อกุ้ยไท่เฟยเห็นบุตรชายที่ไม่ได้เจอกันเป็นเวลาหลายปี นางก็สะอื้นเรียก “เจ้ากลับมาแล้ว”อ๋องหนานหวายผละออกจากนางเบา ๆ "เสด็จแม่ ร่างของเขาหายไปได้เช่นไร? ท่านไม่ได้ส่งคนให้ไปตามหาหรือ?"“ตามหาแล้ว นำร่างกลับมาได้ก็ดี ไม่ได้ก็ช่าง อย่างไรเสีย พี่ชายของเจ้าก็ตายไปแล้ว แม่เห็นเขาตายด้วยตาของแม่เอง"กุ้ยไท่เฟยร้องไห้ด้วยความโศกเศร้าอ๋องหนานหวานพอได้ยินว่าเห็นเขาตายด้วยตาของนางเอง ท่าทางเขาก็ดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย “ศพ
ที่นอกชานเมืองเซียวท่าทำแผ่นจารึกแขวนไว้ที่ประตูนอกลานเรือนมีคำสามคำเขียนบนแผ่นนั้นว่า "เรือนแสนสุข" เขาอยากทำป้ายนี้มาตลอด แต่เนื่องจากเรื่องยุ่งยากวุ่นวายก่อนหน้านี้ทำให้เขาไม่ได้ทำ ตอนนี้มู่หรงเจี๋ยก็ได้รักษาตัวอยู่ที่นี่ เขากับซูชิงทั้งคนสองคนเลยใช้โอกาสนี้ทำป้ายนี่ขึ้นมามู่หรงเจี๋ยสามารถเดินลงไปที่พื้นได้แล้ว แต่จื่ออานบอกเขาว่าอย่าเดินไปไกลจนเกินไป ให้เดินไปมาภายในลานเรือนเท่านั้น“สตรีใจร้ายผู้นั้นล่ะ?” มู่หรงเจี๋ยเดินออกมา ก็เห็นทั้งสองคนกำลังแขวนป้ายอยู่ เลยกล่าวถาม“เห็นบอกว่าจะไปเก็บยาที่ตีนเขา ไปได้ครึ่งชั่วยามแล้วยังไม่เห็นกลับมาเลย” เซียวท่ากล่าวซูชิงกล่าวต่อ "ไม่ต้องเป็นห่วง ละแวกนี้ทั้งหมดล้วนมีคนของพวกเราอยู่ ถ้านางไม่กลัวหนูและแมลงสาบ ก็ไม่มีอะไรต้องให้กังวลหรอก"มู่หรงเจี๋ยขมวดคิ้ว “ใครบอกว่าข้าเป็นห่วงนาง? เร็วเข้า พวกเจ้ามานี่ ข้ามีของดีจะให้ชิม ”“ของดีอะไรกัน?” ซูชิงที่ได้ยินว่ามีของดี เขาก็โยนค้อนทิ้งและเดินเข้าไปหาเซียวท่ามองไปที่แผ่นป้าย เขายิ้มอย่างพึงพอใจและก็เดินตามเข้าไปหาของดีด้วยเช่นกันมู่หรงเจี๋ยหยิบชามมาสามชาม จากนั้นก็รินเหล้าจากไหใส่ชา
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว