นางพลิกหน้ากระดาษอย่างรวดเร็ว ตอนนี้การค้นหาง่ายดายกว่าก่อนหน้ามาก เพราะอย่างน้อยก็รู้ว่ามันจะต้องอยู่ที่สองสามหน้าแรก“เจอแล้ว เจอแล้ว” โหรวเหยาเขย่าตำราในมือด้วยความตื่นเต้น ก่อนที่ทุกคนจะมารวมตัวกันทว่าทุกคนก็ต้องรู้สึกผิดหวังเมื่อเห็นเนื้อหาในตำราในตำรามีบันทึกใบสั่งยา แต่มันกลับไม่ครบถ้วน เพราะรายชื่อยาสามชนิดสุดท้ายบนหน้ากระดาษถูกแมลงกัดกินไปแล้วตำราทุกเล่มอยู่ในสภาพดีเยี่ยม แต่มีเพียงเล่มนี้ที่ถูกปลวกกัดกิน มันช่างเป็นความเมตตาจากสวรรค์จริง ๆเคราะห์ดีที่รายชื่อยาในบันทึกตรงกับใบสั่งยาของจื่ออัน ทั้งยังมีผลการรักษาที่คล้ายคลึงกันอีกด้วย อย่างไรก็ตาม พวกนางจำเป็นต้องรู้สมุนไพรสามชนิดที่ขาดหายไป“เกิดขึ้นได้อย่างไร? ความพยายามของพวกเราเสียเปล่าหรือ?” โหรวเหยากล่าวด้วยความผิดหวังจื่ออันอ่านรายชื่อสมุนไพรในใบสั่งยา ซึ่งมีบางส่วนเหมือนกับใบสั่งยาอันเดิมของนาง นอกจากนี้ยังยังมีสมุนไพรอีกสี่ชนิดที่ต้องเพิ่มเข้าอีกด้วย นางกวาดสายตาอ่านและพบว่ายาเหล่านี้มีคุณสมบัติช่วยคลายความร้อนและล้างพิษได้ เรียกได้ว่ามันคือยาแก้อักเสบนั่นเองหรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือยาทั้งสามชนิดมีฤทธิ์ต้า
แม้จะเป็นเพียงการพูดคุยทั่วไป แต่จื่ออันจริงจังกับเรื่องนี้ไม่น้อยอุตสาหกรรมยารักษาโรคในเป่ยโม่ยังด้อยพัฒนานัก และการแพทย์ก็ล้าหลังมากเช่นกัน หลายพื้นที่ในเป่ยโม่ยังคงนับถือหมอผี ซึ่งชาวบ้านบางคนเชื่อว่าหากเจ็บป่วยจะต้องไปหาหมอผีเพื่อทำพิธีปัดเป่าวิญญาณร้าย ถึงกระนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่คงไม่ยอมขอความช่วยเหลือเรื่องยารักษาโรคจากเป่ยโม่ง่าย ๆ เป็นแน่แม้ว่านางจะไม่เคยพบหน้าเขา แต่จื่ออันก็สามารถสรุปได้จากการตัดสินใจต่าง ๆ ของเขาว่าจะต้องเป็นจักรพรรดิที่มีความทะเยอทะยานเพียงอย่างเดียว ทว่าไม่มีความรักประชาชนแม้แต่น้อยจักรพรรดิเช่นนี้ไม่อาจเสียหน้าได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตกอยู่ในตำแหน่งด้อยกว่า แล้วเขาจะขอความช่วยเหลือจากต้าโจวได้อย่างไร? ก่อนหน้านี้ที่เดินทางไปยังต้าโจวเพื่อตามหาองค์ชายอันหรานมีความกดดันอย่างมาก เนื่องจากก่อนที่จะเริ่มสงคราม เขาต้องคลายความโกรธแค้นของประชาชนเสียก่อนแต่เป็นไปไม่ได้ที่ต้าโจวจะยื่นมาเข้ามาช่วยเหลือก่อน นับประสาอะไรกับเหล่าไท่จวินหากต้องการจัดการกับโรคระบาดอย่างจริงจัง พรรคจู่เหอจะต้องเอาชนะพรรคจู่จ้านให้ได้จื่ออันพลันคิดถึงองค์ชายเจ็ดและอดสงสัยไ
เสียงหัวเราะดังอยู่ข้างหลังของนางหลิงลี่จ้องเขม็งไปยังกลุ่มคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยความโมโห ขณะที่จื่ออันส่งท่าทางให้นางหยุดก่อนเดินไปยังเขตใต้หลิงลี่หันหลังเดินกลับไปยังห้องตนเองเช่นกัน ไม่นานชายคนหนึ่งสวมชุดซอมซ่อก็เดินออกจากห้องของนางไป ดูเหมือนว่าชายผู้นั้นจะเป็นชาวบ้าน เนื่องจากหน้าตาของเขาดูธรรมดายิ่งนักเขามุ่งหน้าไปยังเขตตะวันออก แต่ขณะที่เดินอยู่นั้น ก็เหลือบไปเห็นแท่งไม้อยู่ข้างถนน เขาจึงหยิบมันขึ้นก่อนเหวี่ยงไปมากลุ่มหมอหลวงนั่งลงตากยาสมุนไพรอีกครั้ง แม้จะไม่มีแสงแดดส่อง แต่พวกเขาก็ยังทำมันต่อไป“พี่หลี่ คำพูดของท่านตลกยิ่งนัก ท่านไม่เห็นหรือว่าพระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์โมโหจนหน้าเขียว ถึงกระนั้นก็ยังไม่กล้าที่จะเสียมารยาทกับพวกเรา ข้าช่างโล่งใจเหลือเกิน”“จริงรึ? แม้จะเป็นลูกศิษย์ของท่านหมอเวินอี้ แต่ก็ทำได้เพียงหลอกลวงชาวบ้านเท่านั้น ท่านหมอเวินอี้ตายไปนานแล้วมิใช่หรือ นางอายุเท่าไรกันนะ? เหตุใดนางถึงกล้าอ้างว่าเป็นศิษย์ของท่านหมอเวินอี้ ช่างหน้าหนาเสียจริง”“พวกเราจะไม่มอบความดีความชอบให้นางเด็ดขาด ดูจากท่าทีของนางแล้ว พวกเราคงทำอะไรไม่ได้เป็นแน่ หลังจากชา
หลิวหลิ่วถามด้วยความสงสัย “ข้าอยากรู้จริง ๆ ว่าเหตุใดหลิงลี่ถึงปลอมตัวเก่งเช่นนี้? แม้ข้าจะนอนห้องเดียวกับนางมาหลายวัน แต่ก็ไม่สามารถมองออกว่าชายผู้นั้นคือนาง ดูเหมือนว่านางจะโตขึ้นและสูงขึ้นด้วยนะ”แม่นมคลี่ยิ้มพร้อมกล่าวด้วยความภูมิใจ “นางสูงที่ใดกันเจ้าคะ? นางเสริมส้นรองเท้าต่างหาก”“เยี่ยมจริง ๆ!” หลิวหลิ่วตัดสินใจยกให้หลิงลี่เป็นต้นแบบของตนขณะเดียวกัน โหรวเหยามองหลิงลี่พร้อมครุ่นคิดบางอย่างในตอนนั้นเอง นางก็ความคิดบางอย่างที่คาดไม่ถึงก็ผิดขึ้นมา“ซูชิงชอบหลิงลี่!” นางอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาจื่ออันและหลิวหลิ่วมองนางด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่หลิวหลิ่วจะถามว่า “ท่านพูดว่าอะไรนะ? ซูชิงชอบหลิงลี่?”โหรวเหยาเผยรอยยิ้มขมขื่น “ใช่ เขาชอบหลิงลี่”“ท่านรู้ได้อย่างไร? แล้วมันเกิดขึ้นเมื่อไร?” หลิวหลิ่วถามโหรวเหยาสูดหายใจเข้าลึก ดวงตาของนางพลันเปลี่ยนเป็นสีแดง “ทั้งสองคนรู้จักกันมานานแล้ว ข้าไม่รู้ว่าเขาชอบหลิงลี่เมื่อไร เพราะก่อนเดินทางมาที่เป่ยโม่ ข้าถามเขาพร้อมรอยยิ้มว่าเมื่อกลับจากเป่ยโม่ พวกเรามาแต่งงานด้วยกันเถิด แต่เขากลับตอบว่าตนมีคนที่ชอบแล้ว และคนผู้นั้นก็คือหลิงลี่”เมื่
เนื่องจากซูมู่กำลังอยู่ในช่วงกักตัว ดังนั้นจื่ออันจึงปล่อยให้พวกเขาเข้าไปไม่ได้“พวกท่านจะทำอะไร? ใต้เท้าซูมู่เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางและต้องการพักผ่อน” จื่ออันหยุดอีกฝ่ายเอาไว้“พวกท่านก็เห็นว่าเราถูกทุบตี เหตุใดถึงไม่มาช่วยเล่า?” ท่านหมอหลี่ถามจื่ออันจื่ออันหันมองหลิวหลิ่ว “เจ้าเห็นหรือไม่?”หลิวหลิ่วส่ายหน้าพร้อมเผยสีหน้าไร้เดียงสา “ข้าไม่เห็นอะไรเลยเพคะ”“พวกเจ้า...” ท่านหมอหลี่โมโหมากจนทุบประตูอย่างแรก “ใต้เท้าซู ออกมาเดี๋ยวนี้ ท่านจะต้องฆ่ามันให้ได้”ซูมู่ที่อยู่ข้างในได้ยินเสียงตะโกนจึงเปิดประตูออก และเห็นเหล่าหมอหลวงหลายคนได้รับบาดเจ็บจึงอดไม่ได้ถามว่า “เกิดอะไรขึ้น? ท่านหมอหลี่ ท่านไปต่อสู้กับใครมารึ?”“พวกเราถูกชาวบ้านที่นี่ทุบตี ท่านเป็นคนรับผิดชอบเขตนี้ ดังนั้นท่านจะต้องจัดการให้พวกเราใช่หรือไม่?” ท่านหมอหลี่กล่าวด้วยความไม่พอใจ“ใครตี? แล้วพวกท่านเห็นชัดหรือไม่ว่าใครเป็นคนตี?”“ข้าเห็นชัดเจน มันต้องเป็นคนจากหมู่บ้านนี้แน่นอน ท่านโปรดส่งคนไปตามหามันทีเถิด” ท่านหมอหลี่ยืดหลังตรงพลางกล่าวด้วยท่าทางจองหองซูมู่หันมองจื่ออันเพื่อขอคำแนะนำจากนาง ก่อนที่จื่ออันจะพยักห
หลังจากที่เหล่าหมอหลวงถูกมัดและถูกกักบริเวณอยู่ในห้อง ในที่สุดหมู่บ้านมู่ไจ้ก็เงียบสงบเสียทีจื่ออันเริ่มเตรียมใบสั่งยา แม้จะไม่รู้ว่าจินเย่าฉือคืออะไร แต่ก็มียาบางชนิดที่สามารถใช้ทดแทนจินเย่าฉือได้ทว่าสิ่งที่จื่ออันกังวลอย่างมากในตอนนี้ คือองค์หญิงอันไม่สามารถโน้มน้าวองค์จักรพรรดิได้ในคืนเดียวกัน องค์หญิงอันได้สั่งให้บ่าวรับใช้มาส่งข่าวแก่จื่ออัน ว่านางได้ส่งใบสั่งยาให้องค์จักรพรรดิแล้ว แต่ไม่รู้ว่าพระองค์มีแผนการอะไรอยู่จื่ออันยิ่งกังวลมากกว่าเดิม เพราะหากองค์หญิงอันไม่สามารถโน้มน้าวใจองค์จักรพรรดิแห่งเป่ยโม่ได้ สถานการณ์ก็อาจเลวร้ายกว่าเดิมสองวันต่อมา ในที่สุดฉินโจวกลับมาถึงเมืองหลวงพร้อมทหารม้านับหนึ่งแสนนาย กองกำลังทหารของนางเดินทางผ่านเมืองที่เต็มไปด้วยโรคระบาดรุนแรง ซึ่งภาพเหล่านั้นทำให้ฉินโจวแทบไม่เชื่อสายตาตนเองนี่คือแผ่นดินเป่ยโม่ของนางหรือ?เดิมทีนางวางแผนจะเดินทางเข้าไปในพระราชวังเพื่อเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ แต่แม่ทัพเฒ่าฉินกลับหยุดนางเอาไว้ และขอให้กลับไปที่จวนเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน จากนั้นเขาจะติดตามนางเข้าไปในพระราชวังด้วยฉินโจวรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เพราะ
ฉินโจวพลันนึกถึงตอนที่ตนพูดคุยกับมู่หรงเจี๋ย แน่นอนว่ามู่หรงเจี๋ยเป็นผู้ที่ไม่อาจคาดเดาได้และรับมือยากที่สุดผลลัพธ์ของการเจรจาอยู่นอกเหนือความคาดหมายของนาง เนื่องจากมู่หรงเจี๋ยเห็นด้วยกับการเชิญองค์ชายอันหราน ในที่สุดองค์ชายอันหรายก็ถูกส่งไปเป็นองค์ประกันขณะที่ส่งตัวพระชายาของเขามาที่นี่มันราบรื่นเสียจนทำให้ใครหลายคนรู้สึกไม่สบายใจ“ท่านปู่ ตอนนี้มู่หรงเจี๋ยอยู่ที่ใดหรือ? เขาอยู่ที่หมู่บ้านมู่ไจ้ด้วยหรือไม่?” ฉินโจวถาม“เขาไม่ได้อยู่ที่หมู่บ้านมู่ไจ้ ข้าได้ยินมาว่ามู่หรงเจี๋ยลงจากเขาแล้ว แต่ไปที่ใดไม่มีใครรู้ ปู่กลัวว่าตอนนี้เขาจะกำลังปลอมตัวและวิ่งพล่านไปทั่วเมืองหลวง เพื่อพบกับคนจากพรรคจู่เหอ หากทั้งสองฝ่ายร่วมมือกัน พวกเราก็เจอปัญหาใหญ่แล้ว เมื่อถึงตอนนั้นมันจะต้องลำบากเป็นแน่”เขานึกถึงพรรคจู่เหอพร้อมสาปแช่ง “สมองของพวกพรรคจู่เหอมีแต่ขี้เลื่อยจริง ๆ พวกเขาคิดจริงหรือว่าความสงบสุขจะได้มาโดยง่าย ช่างไม่รู้เลยว่าสันติภาพที่แท้จริงได้มาจากการทำสงครามต่างหาก หากไม่สู้เช่นนั้นจะยับยั้งอีกฝ่ายได้อย่างไร? แล้วจะทำให้พวกมันกลัวจนไม่กล้าจู่โจมได้อย่างไร? แล้ว... แค่ก ๆ ๆ!”แม่ทัพเฒ่า
ฮองเฮาเฉาปลอบใจนาง “ท่านแม่ทัพใหญ่ อย่ากังวลไป ตอนนี้พวกเรากำลังเตรียมเสบียงและหญ้าเลี้ยงม้าส่งไปยังชายแดน ในตอนที่ท่านแม่ทัพใหญ่กลับมาคงจะเห็นแล้วว่าเกวียนบรรทุกเสบียงขนาดใหญ่กำลังมุ่งหน้าไปยังชายแดน”ฉินโจวกล่าว “หม่อมฉันเห็นแล้วเพคะ แต่ปริมาณเท่านั้นก็ยังไม่เพียงพอ นอกจากนี้ ระหว่างเดินทางกลับ หม่อมฉันเห็นว่าประชาชนในพื้นที่ภัยพิบัติต้องลี้ภัยไปยังที่อื่น ทั้งยังมีชาวบ้านมากมายหิวโหยอยู่ทุกแห่งหน เป็นเพราะราชสำนักไม่อาจส่งอาหารบรรเทาสาธารณภัยให้พวกเขาหรือไม่เพคะ?”มีเพียงฉินโจวเท่านั้นที่กล้าถามคำถามเช่นนี้ถึงกระนั้นก่อนหน้านี้ ฉินโจวไม่เคยถามคำถามและคิดสงสัยเกี่ยวกับการตัดสินใจขององค์จักรพรรดิ อย่างไรก็ตาม ระหว่างเดินทางกลับเมืองหลวงคราวนี้ ภาพที่เห็นทำให้นางอึ้งงันจริง ๆแผ่นดินไหวนับว่าเป็นเหตุการณ์ปกติที่เกิดขึ้นในเป่ยโม่ ดังนั้นองค์จักรพรรดิยังคงวางแผนบุกรุกแคว้นอื่น เพื่อช่วยประชาชนให้พ้นจากความทุกข์ทรมานต่อไปอย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้รุนแรงกว่าครั้งก่อน ๆมิใช่ว่าไม่เคยเกิดโรคระบาดมาก่อน และพวกเขาก็สามารถควบคุมได้อย่างรวดเร็วเหตุการณ์แผ่นดิน
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว