เมื่อหลิวหลิ่วได้ยินว่าสนมเหมย กำลังพาจื่ออันไปวัดเจิ้งกั๋ว นางก็โบกมือแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “องค์หญิง นี่เป็นความตื่นตระหนกจากจินตนาการที่ท่านสร้างขึ้นมานั่นเอง บัดนี้ตกอยู่ในภาวะสงครามกันทั่วหย่อมหญ้า สนมเหมยจะทำร้ายจื่ออันได้อย่างไร? ตอนนี้นางต้องพึ่งพาจื่ออัน หากเกิดอะไรขึ้นกับจื่ออัน นางจะเป็นคนแรกที่ต้องทนทุกข์ทรมาน”“ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน แต่เหตุใดสนมเหมยถึงโกหก?” จ้วงจ้วงกล่าวเฉินไท่จวินยังคงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่เพื่อป้องกันไม่ให้ทุกคนตื่นตระหนก นางจึงกล่าวว่า “บางทีสนมเหมยอาจต้องการจุดธูปถวายพระด้วยตัวเอง เพื่อป้องกันไม่ให้ทุกคนพูดถึงนาง นางจึงบอกว่าเป็นคำสั่งของจักรพรรดิ เพราะมีมือสังหารเข้ามาในวัง ตำหนักเยว่ชิงก็ถูกลอบสังหารด้วย นางเป็นสตรี จึงอาจเชื่อว่าเป็นพรของพระโพธิสัตว์ ที่ช่วยนางให้รอดพ้นจากการลอบสังหาร จึงไปวัดเจิ้งกั๋วเพื่อขอบคุณพระและเทพเจ้า สำหรับความเมตตาที่ช่วยนางไว้ มันก็สมเหตุสมผลอยู่”จ้วงจ้วงรู้สึกโล่งใจขึ้นเล็กน้อย หลังจากฟังคำปลอบใจของเฉินไท่จวิน “ถูกต้อง บางทีข้าอาจจะอ่อนไหวเกินไปจริง ๆ”“ช่วงนี้มีเรื่องมากมายเกิดขึ้น เป็นเรื่องดีที่อง
เหล่าไท่จวินเป็นผู้บัญชาการทหาร เป็นเรื่องธรรมดาที่นางจะมีทักษะการขี่ม้าอันยอดเยี่ยม ตอนที่นางยังเป็นสาว นางได้ฝึกขี่ม้ากับเซียวเซียวด้วย ต่อมานางก็ได้ฝึกฝนทักษะการขี่ม้าที่เซียวเซียวสอน จนบรรลุทักษะขึ้นสูงหลิวหลิ่วที่มักจะเสียงดังก็ขี่ม้าได้ดี กลุ่มคนห้าคน รวมทั้งฉยงหวาและฉินจือ ก็ออกจากวังด้วยม้าเร็วห้าตัวเมื่อออกจากเมือง เนื่องจากมีการประกาศภาวะฉุกเฉิน คนทั้งเมืองจึงต้องถูกตรวจค้นอย่างเข้มงวด จ้วงจ้วงแสดงเหรียญตรา แล้วถามว่า “วันนี้รถม้าของสนมเหมยกลับเข้าเมืองมาแล้วหรือยัง?”“สนมเหมยหรือขอรับ? เข้ามาในเมืองแล้วขอรับ” ทหารรายงาน“เข้ามาในเมืองแล้วหรือ?” จ้วงจ้วงประหลาดใจ รีบหันไปมองเฉินไท่จวินเฉินไท่จวินก็ตกตะลึง “เจ้าเห็นหรือไม่ ว่าคนที่นั่งอยู่ข้างในคือสนมเหมย”“ไม่เห็นขอรับ แค่ตรวจดูเหรียญตราของสนมเหมยเท่านั้นขอรับ”“ตั้งแต่เมื่อไหร่?” จ้วงจ้วงถาม“ราวสี่ชั่วยามที่แล้วขอรับ!”จ้วงจ้วงพูดกับเฉินไท่จวิน “ท่านไปที่วัดเจิ้งกั๋วก่อน ข้ากับฉินจือ และฉยงหวาจะตามไปดูก่อน”“ได้เลย!” เฉินไท่จวินยกบังเหียนขึ้น แล้วออกจากเมืองไปพร้อมกับหลิวหลิ่วจ้วงจ้วงหันหลังกลับพร้อมกับฉินจือและฉยงหวา เ
เฉินไท่จวินเอ่ย “พระชายาประชวรอยู่ในเกี้ยวงั้นหรือ? พวกนางนั่งรถม้ามานะ”“รถม้าขึ้นภูเขาได้ยาก ดังนั้นโดยปกติผู้แสวงบุญที่ไม่อยากเดิน ก็จะนั่งเกี้ยวให้คนแบกขึ้นมา”“ตอนนี้ไปที่ไหนมาบ้างแล้ว?” เหล่าไท่จวินตัดสินใจไม่ได้อยู่ครู่หนึ่ง แต่วัดเจิ้งกั๋วนั้นมีชื่อเสียงที่ดีมาก ว่ากันตามเหตุผลแล้วคงเป็นไปไม่ได้ที่จะร่วมมือกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพื่อลักพาตัวจื่ออัน“ทั่วทั้งวัดเจิ้งกั๋วต่างค้นหามาหมดแล้ว ตอนนี้ก็ได้ส่งลูกศิษย์ไปหาตามภูเขาแล้ว แต่ว่าวัดเจิ้งกั๋วนั้นตั้งอยู่บนยอดเขาหลินซาน รอบ ๆ เขาหลินซานล้วนเป็นป่าทึบ และทอดยาวหลายร้อยลี้ หากเกิดอะไรขึ้นที่เขาหลินซานจริง ๆ คงยากที่จะค้นหา” เจ้าอาวาสทอดถอนใจเฉินไท่จวินรู้ถึงความซับซ้อนของภูเขาหลินซานดี ดังนั้นจึงเลือกที่จะสร้างวัดเจิ้งกั๋วที่นี่ เดิมทีก็เพื่อใช้ประโยชน์จากความงดงามของธรรมชาติ เทือกเขาหลินซานทอดยาวไปหลายร้อยลี้ มีป่าทึบอยู่ทึกหนแห่ง จุดที่สูงที่สุดของเทือกเขาสูงตระหง่านอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆ“สนมเหมยมาที่นี่กับพระชายา ท่านขึ้นมาสักการะหรือว่ามาทำอะไรหรือ?” เฉินไท่จวินเอาถาม“อันที่จริงแล้ว อาตมาพบเพียงสนมเหมยเท่านั้น สนมเหมยมาสัก
“พี่สะใภ้เจ็ดอยู่ที่ไหน?” อ๋องเยี่ยเอ่ยถามตามตรงโดยไม่อ้อมค้อม“ข้าได้บอกกับองค์หญิงไปแล้ว ว่าจื่ออันต้องการอยู่วัดเจิ้งกั๋วต่อ นางให้ข้ากลับมาก่อน”“พี่สะใภ้เจ็ดไม่อยู่ที่วัดเจิ้งกั๋ว ท่านเจ้าอาวาสยังไม่เห็นนางเลยด้วยซ้ำ ระหว่างทางขึ้นเขา ท่านทำอะไรกับนางใช่หรือไม่?”“อ๋องเยี่ย เหตุใดท่านจึงพูดเช่นนั้น? ทำไมข้าต้องทำอันตรายพระชายาด้วย?” สนมเหมยกล่าวอย่างขุ่นเคือง“อย่ามาตีหน้าซื่อกับข้า เรื่องนี้หากท่านไม่ยอมพูด ก็ไปอธิบายต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท”เมื่อสนมเหมยได้ยินว่าต้องเข้าเฝ้าจักรพรรดิ ก็เกิดหวั่นกลัวขึ้นมาเล็กน้อย ท่าทางน้ำเสียงจึงอ่อนลง แต่ก็ยังคงยืนกรานว่าไม่รู้ “ถึงอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท ข้าก็ยังพูดเช่นนี้ พระชายาต้องการอยู่ต่อที่วัดเจิ้งกั๋วเอง ข้าคงไม่อาจมัดตัวนางกลับมาได้หรอกจริงหรือไม่? ที่ท่านเจ้าอาวาสบอกว่าไม่ได้เจอนางเลยนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะระหว่างทางนางบอกว่ารู้สึกไม่สบาย จึงจ้างคนแบกเกี้ยวขึ้นเขาไปตลอดทาง เมื่อถึงวัดเจิ้งกั๋ว ท่านเจ้าอาวาสได้ยินว่านางไม่สบาย ก็ให้นางพักผ่อนอยู่ในเรือนปีก ตอนจะไป นางบอกว่าชอบความเงียบสงบของวัดเจิ้งกั๋ว เลยอยากพักอยู่ที่น
แต่สนมเหมยกลับยังส่ายหน้า “ไม่ อ๋องเยี่ย ท่านฆ่าข้าเสียเถอะ ข้าไม่อาจพูดอะไรได้ทั้งนั้น จื่ออันไม่ตายองค์ชายก็ต้องตาย ข้าทำใจอำมหิตได้เพียงครั้งนี้เท่านั้น”“ท่าน…” อ๋องเยี่ยโกรธจนแทบบ้า “ท่านไม่พูด หากพี่สะใภ้เจ็ดมีอันตราย ท่านคิดว่าพวกท่านแม่ลูกจะยังอยู่ได้หรือ?”“ข้าไม่อาจพูดได้ ถึงจะฆ่าข้า ข้าก็ไม่พูด” สนมเหมยยังคงดื้อรั้นองค์ชายสามยืนขึ้นและถอยหลังไปสองก้าว เขาปาดน้ำตาบนใบหน้า ก่อนจะพุ่งไปหยิบกรรไกรบนตู้ขึ้นมาจ่อที่ลำคอของตนสนมเหมยตกใจจนแทบขวัญหาย “องค์ชาย เจ้ากำลังทำอะไร? รีบวางลงเดี๋ยวนี้นะ!”องค์ชายสามมองไปยังสนมเหมย แล้วเอ่ยอย่างเศร้าโศก “ท่านแม่ ท่านคอยสอนสั่งลูกมาตลอดว่าต้องรู้จักคุณคน ท่านอาสะใภ้ดีต่อพวกเรามาก เมื่อก่อนท่านเคยทำร้ายนาง นางก็ยังไม่ถือสาเอาความท่าน และคอยช่วยเหลือพวกเราสองแม่ลูกเสมอ หากไม่ใช่เพราะนาง น่ากลัวว่าพวกเราก็จะถูกฆ่าตายไปนานแล้ว ตอนนี้ท่านจะเอาชีวิตของนางมาแลกกับชีวิตของลูก ลูกมีชีวิตอยู่ก็เป็นเพียงคนชั่วที่แทนคุณด้วยความแค้น เสด็จอาเจ็ดสอนลูกว่าเป็นชายชาตรี ต้องยืนหยัดเด็ดเดี่ยว ปกป้องคนที่ตนรัก แต่ท่านทำเช่นนี้ ก็เหมือนกับให้ลูกเป็นไอ้ขี้ขล
อ๋องเยี่ยถามสนมเหมยว่า “เจ้ามีผ้าเช็ดหน้าหรือไม่?”สนมเหมยยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ จากนั้นอ๋องเยี่ยก็หยิบมันมาพันรอบตะปูแล้วดึงออกมา ปรากฏว่ามันไม่มีเลือดติดอยู่เลยสีหน้าของเสี่ยวชิงเปลี่ยนไปเป็นน่าเกลียด “นี่มันเป็นไปได้ยังไง?”อ๋องเยี่ยถอนหายใจ “สิ้นเปลืองเนื้อหนังปลอมจริง ๆ ข้าต้องเสียเวลาทำใหม่”ทุกคนเห็นเขาหยิบกริชออกมาและกรีดลงไปเบา ๆ ที่หลังมือ จากนั้นก็ยกผิวหนังที่หลังมือขึ้น เผยให้เห็นมือที่ทำจากเหล็กสีเข้มเสี่ยวชิงอ้าปากค้าง “ท่านใช้มือปลอมมาตลอดงั้นรึ?”“ฉลาดนี่!” อ๋องเยี่ยก้าวถอยหลัง ออกคำสั่งอย่างไม่แยแส “พาตัวนางไป เค้นความจากนางให้ได้ว่ายาแก้พิษสำหรับองค์ชายสามอยู่ที่ใด”หลิงลี่ประสานมือ “เจ้าค่ะ!”นางรีบก้าวขึ้นไปจิกผมของเสี่ยวชิง กระชากลากถูอีกฝ่ายไปข้างหน้าอย่างแรง เอ่ยด้วยรอยยิ้มชั่วร้ายว่า“มาเถอะ มาคุยกันดี ๆ”เสี่ยวชิงถูกลากออกไป ไม่นานหลังจากนั้น เสียงกรีดร้องที่น่าสังเวชก็ดังมาจากข้างนอก เหมือนคนถูกสัตว์ร้ายในป่าเขมือบกินไม่นานหลังจากนั้น หลิงลี่ก็กลับมาแล้วกล่าวว่า “ท่านอ๋อง เรียบร้อยแล้ว ยาแก้พิษสำหรับองค์ชายสามถูกซ่อนไว้ใต้เตียงพระสนมเหมย ห่อด้วยกระดาษ
สนมเหมยกล่าวว่า “แต่ผู้ติดต่อคนนั้นจะมาปรากฏตัวให้เราจับได้ได้อย่างไร?”อ๋องเยี่ยกล่าว “พระสนมเหมย โปรดพาซานเอ๋อร์ออกไปเดินเล่นสักหน่อย ให้คนเห็นว่าซานเอ๋อร์ไม่มีอาการถูกพิษ คราวนี้ผู้ติดต่อจะต้องมาสอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์อย่างแน่นอน”สนมเหมยกล่าว “แม้ว่าผู้ติดต่อจะมาสอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ เขาก็ควรถามเสี่ยวชิงเป็นการส่วนตัว ทว่าเสี่ยวชิงตายไปแล้ว”อ๋องเยี่ยมองไปที่หลิงลี่ คราวนี้หลิงลี่เดินออกไปด้วยตัวเอง ทั้งที่ยังไม่ได้รับคำสั่งจากอ๋องเยี่ยองค์ชายสามเกิดความสงสัยจึงออกไปดู สักพักก็ได้ยินเสียงอาเจียน องค์ชายสามวิ่งกลับมาแทบสะดุดล้มคะมำ ใบหน้าซีดเผือดด้วยความตระหนก “เทพเซียนช่วย นางถูกถลกหนังหมดแล้ว”สนมเหมยตกใจมาก โผเข้ากอดองค์ชายสาม ก่อนจะมองดูอ๋องเยี่ยด้วยความหวาดกลัว “นี่… ต้องถึงขั้นแล่เนื้อเถือหนังกันเชียวหรือ?”อ๋องเยี่ยนั่งลงด้วยท่าทางสบาย ๆ เรียกองค์ชายสามเข้ามาหา “ซานเอ๋อร์ แม่นางผู้นั้นถูกถลกหนังหลังจากที่นางตายไปแล้วเท่านั้น แท้จริงแล้วมันไม่ใช่เรื่องสนุกเลย ไม่สามารถทำไปเพื่อความสนุกสนาน แต่เมื่อเราเจอกุ้ยไท่เฟยเมื่อไหร่ ข้าก็จะถลกหนังนางทั้งเป็นเช่นเดียวกัน แล้วจ
“ใครใช่ให้เจ้าโง่เองเล่า? ใช่ว่าเจ้าไม่เคยทำอะไรแบบนี้เสียหน่อย เคยเห็นเจ้าฉลาดกว่านี้ ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะสับสนในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้ แต่เอาเถอะ เจ้าช่วยให้สนมเหมยสามารถล่อชายาอ๋องเจ็ดออกไปได้ นี่ถือเป็นความดีความชอบ หากเจ้าหาทางลักลอบออกไปได้ จงไปพบกุ้ยไท่เฟย แล้วอยู่รับใช้นางเสีย”“ได้ ได้ ว่าแต่กุ้ยไท่เฟยอยู่ที่ไหนหรือ?” หลิงลี่ถาม“เจ้าออกจากวังแล้วไปหาใต้เท้าหลิน จากนั้นใต้เท้าหลินจะสั่งให้ใครสักคนพาเจ้าไปที่นั่น”“เข้าใจแล้ว ขอบคุณเจ้าค่ะกงกง!” หลิงลี่กล่าวขอบคุณชายคนนั้นหันหลังเดินจากไป ขณะที่เดินกลับ หลิงลี่เห็นชายคนหนึ่งปีนผ่านยอดไม้อย่างรวดเร็ว จึงติดตามเขาไปหลิงลี่กลับไปรายงานต่ออ๋องเยี่ย อ๋องเยี่ยยิ้มเยาะ “ใต้เท้าหลินคนนี้ หลานสาวของเขาได้แต่งงานกับอ๋องเหลียงหลังจากที่เขาถูกปลดออกจากตำแหน่ง เขาจึงอาศัยประโยชน์จากโอกาสนี้เข้ารับการเลื่อนตำแหน่งเป็นขุนนาง แต่กระนั้นเขากลับยังคิดคดไม่ซื่อตรง สมรู้ร่วมคิดทำชั่ว เอาล่ะ เจ้าไปเถอะ”“เจ้าค่ะ!” หลิงลี่หันหลังกลับและจากไปสนมเหมยกล่าว “ในเมื่อเรารู้แล้วว่าบุคคลนั้นเป็นสายลับของกุ้ยไท่เฟย เหตุใดจึงไม่จับตัวเขาไปเล่า?"“เจ้าจ
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว