จ้าวหรุ่ยหรุ่ยมิเชื่อว่าหลิงอวี๋จะเป็นฝ่ายวิ่งเข้าหาความตายเสียเอง ทว่าหากตีไปอีกครั้งจริง ๆ แล้วหลิงอวี๋เอาตัวไปเสี่ยงเข้าจริง ๆ จะทำอย่างไรเล่า?นางจะต้องพาหลิงอวี๋ไปที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์แบบที่ยังมีชีวิตอยู่ จึงจะนำหยกหล้าสุขาวดีออกมาจากร่างของนางได้ หากว่าหลิงอวี๋ตายไป เช่นนั้นแล้วศพนั้นก็จะไม่มีประโยชน์ใด ๆ สำหรับตน“นางสารเลว เจ้ายังกล้ามาขู่ข้าอีกรึ!”ใจของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยได้โอนอ่อนลงแล้ว แต่ปากยังมิยอมแสดงให้เห็นว่าตนด้อยกว่า นางดึงมือหลิงอวี๋อย่างแรงและเตะออกไป“หากเจ้าอยากตายก็เชิญไปตายเสีย! อย่างมากข้าก็มิเอาของสิ่งนั้นแล้ว แต่ข้าจะมิยอมให้คนชั้นต่ำเช่นเจ้ามาทำตัวไร้มารยาทกับข้าเป็นอันขาด!”จ้าวหรุ่ยหรุ่ยเหยียบลงไปบนใบหน้าหลิงอวี๋อย่างรุนแรง จากนั้นก็อาศัยความได้เปรียบของตนถอยออกไป“ตอนนี้เราอยู่ห่างจากเมืองหลวงแดนเทพหนึ่งพันกว่าลี้ เจ้ารีบรักษาตัวให้หายโดยเร็ว เราต้องรีบไปที่เมืองหลวงแดนเทพ!”จ้าวหรุ่ยหรุ่ยจ้องมองหลิงอวี๋อย่างโหดเหี้ยม จากนั้นจึงเปิดประตูให้เสี่ยวเอ้อร์ยกอาหารเข้ามาแม้ว่าหลิงอวี๋จะโดนเตะไปแล้วสองครั้ง แต่กลับมองท่าทีข่มขู่ของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยออก นางกำลังก
จ้าวหรุ่ยหรุ่ยอยู่ในรถม้าข้างหน้า เมื่อนางได้ยินคำพูดของหลิงอวี๋เข้า สีหน้าของนางก็มืดมนลง นางกำลังคิดว่าจะออกไปห้าม แต่ก็คิดว่าหากหัวหน้าสำนักคุ้มภัยป่วยหนักขึ้นมา ก็จะส่งผลกระทบต่อแผนการเดินทางได้ นางจึงอดทนไว้ก่อนถึงอย่างไรตัวตนของหลิงอวี๋ในตอนนี้ก็เป็นนางรับใช้ของตน ดังนั้นแม้ว่าต่อให้นางรักษาหัวหน้าสำนักคุ้มภัยจนหายได้ ความดีความชอบก็จะตกเป็นของตนอยู่ดีจ้าวหรุ่ยหรุ่ยเลิกม่านรถม้าขึ้น แล้วเอ่ยอย่างใจดี “อวี้หนู เจ้าไปตรวจให้เขาเถิด! การช่วยชีวิตคนหนึ่งคนดีเสียยิ่งกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้นอีก เรามิควรนิ่งดูดาย!”หลิงอวี๋มิได้ใส่ใจเรื่องที่จ้าวหรุ่ยหรุ่ยขโมยความดีความชอบไป จุดประสงค์ของนางก็คือต้องการที่จะใช้โอกาสนี้สั่งยาให้หัวหน้าสำนักคุ้มภัย แล้วหาเครื่องสมุนไพรที่ใช้ป้องกันตัวหลิงอวี๋ลงจากรถม้าแล้วเดินเข้าไปวัดชีพจรของหัวหน้าหม่า จากนั้นก็สั่งยาและให้หม่าเปียวส่งผู้คุ้มกันคนหนึ่งไปซื้อเครื่องยาสมุนไพรมาจ้าวหรุ่ยหรุ่ยเองก็เป็นคนเจ้าแผนการเช่นกัน มีหรือที่นางจะไว้ใจหลิงอวี๋ นางจึงอ้างว่าจะช่วยหลิงอวี๋ตรวจสอบดูว่ามีคำใดเขียนผิดหรือไม่ จากนั้นก็นำตำรับยาไปตรวจสอบอย่างละเอียด
ทั้งกลุ่มเดินทางกันต่อไป และในที่สุดพลบค่ำของสองวันต่อมาพวกเขาก็มาถึงที่เมืองจงกวนกันแล้วเมืองจงกวนแห่งนี้ใหญ่โตมาก แม้จะเป็นตอนพลบค่ำแล้วแต่ที่ประตูเมืองก็ยังคงมีผู้คนสัญจรไปมาทุกคนอยู่กันที่ประตูเมืองเกือบหนึ่งชั่วยาม กระทั่งจัดการหนังสือผ่านแดนเสร็จเรียบร้อย จึงได้รับอนุญาตให้เข้าไปในเมืองได้หลิงอวี๋กับป้าวซวนพยายามที่จะควบคุมความรู้สึกตื่นเต้นของพวกนางเอาไว้ พวกนางวางแผนที่จะหลบหนีกันในวันพรุ่งนี้คืนนี้เป็นวันที่สิบแล้วที่ป้าวซวนกินยาพิษของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยเข้าไป และจ้าวหรุ่ยหรุ่ยก็จะให้ยาแก้พิษกับนางหลิงอวี๋บอกป้าวซวนว่า เมื่อรับยาแก้พิษมาแล้วมิต้องรีบกิน ให้กินยาลงไปเล็กน้อย เพื่อที่ตนจะได้ตรวจสอบสูตรยา และจะได้เตรียมยาแก้พิษให้นางด้วยป้าวซวนเชื่อฟังและทำตามคำพูดของหลิงอวี๋ ในคืนนั้นจึงรบเร้าให้จ้าวหรุ่ยหรุ่ยมอบยาแก้พิษแก่นาง เมื่อตอนเข้าพักที่โรงเตี๊ยมแล้วเมื่อจ้าวหรุ่ยหรุ่ยเห็นว่านางมีท่าทางกลัวตายเช่นนั้น นางจึงให้ยาแก้พิษไปอย่างอารมณ์มิดีนักป้าวซวนกินยาแก้พิษเข้าไปต่อหน้าจ้าวหรุ่ยหรุ่ย แต่กลับอมเอาไว้ในปาก มิได้กลืนยาลงไป กระทั่งตอนที่นางไปเข้าห้องน้ำ นางจึงกัดยา
“เจ้ามิรู้หรือว่าที่ที่อันตรายที่สุดก็คือที่ที่ปลอดภัยที่สุด?”หลิงอวี๋ยิ้มปลอบใจแล้วเอ่ยออกมา “เรากลับไปที่โรงเตี๊ยม ก็จะดูได้ด้วยว่าเมื่อจ้าวหรุ่ยหรุ่ยหาพวกเรามิเจอแล้วนางจะทำอย่างไรต่อ! เจ้ามิต้องกังวล มากับข้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างแน่นอน!”ภายใต้การชักชวนของหลิงอวี๋ ป้าวซวนจึงเดินตามหลิงอวี๋กลับไปอย่างจนใจทั้งสองคนเดินเข้าไปทางประตูหลัก แสร้งทำเป็นจะรีบเดินทางแล้วมากินอาหารเช้า และนั่งลงตรงที่นั่งริมหน้าต่างจ้าวหรุ่ยหรุ่ยที่อยู่เรือนด้านหลังพบแล้วว่าหลิงอวี๋กับป้าวซวนหายไป นางก็โกรธมากจนอยากจะทุบโรงเตี๊ยมแห่งนี้ทิ้งไปเสียแต่นางยังคงข่มความโกรธไว้ และขอความช่วยเหลือจากสำนักคุ้มภัยและกลุ่มพ่อค้าอย่างน่าสงสาร ให้พวกเขาช่วยตนตามหาจ้าวหรุ่ยหรุ่ยแสร้งทำเป็นจิตใจดีต่อหน้าคนเหล่านี้ นางร้องไห้และบอกว่านางรับใช้ทั้งสองของตนนั้น จะต้องถูกคนร้ายลักพาตัวไปอย่างแน่นอนพวกพ่อค้าและคนจากสำนักคุ้มภัยล้วนได้รับตำรับยาแก้ท้องเสียนั้นไปแล้ว ดังนั้นเพื่อตอบแทนกันและกัน พวกเขาจึงระดมทุกคนให้ช่วยกันตามหา และบางคนก็บอกว่าจะไปรายงานทางการ และขอให้ทางการส่งคนมาช่วยตามหาด้วยหลิงอวี๋กับป้าวซวนก็
“หลิงอวี๋!” “ในปีนั้นเจ้าวางแผนการชั่วร้ายใส่ข้าอย่างไร้ยางอาย… จากนั้นยังใช้ป้ายทองอาญาสิทธิ์ที่องค์จักรพรรดิพระราชทานให้มาบีบบังคับให้ข้าแต่งงานกับเจ้า...” “มาตอนนี้ยังลอบขโมยของล้ำค่าที่เสด็จแม่ของข้าทิ้งเอาไว้ เพื่อเติมเต็มสิ่งที่เจ้าขาดหายไป! ยิ่งไปกว่านั้นคือทำร้ายเฮยจื่อเสียจนปางตาย!” “หากว่าข้ายังไว้ชีวิตเจ้าอีก ข้าก็คงจะไม่แซ่เซียวแล้ว!” ใคร? ใครกำลังพูดอยู่กัน ขณะที่เธอกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงแส้ “เพียะ!” ดังขึ้น ทั่วทั้งตัวของหลิงอวี๋เจ็บปวดจนสั่นสะท้าน จนต้องลืมตาขึ้นมาทันที... จากนั้นเมื่อมองเห็นด้านหน้าของเธอ มีชายหนุ่มหล่อเหลา สูงส่งราวกับเทพเจ้านั่งอยู่บนรถเข็น จ้องมองยังเธออย่างแข็งกร้าว “โบย! ห้าสิบแส้! อย่าให้ขาดแม้แต่หนึ่ง!” “โบยให้ตาย แล้วจงลากไปโยนทิ้งที่สุสานรวมซะ!” เพียะ! เพียะ! เพียะ! เสียงแส้ดังออกมาพร้อมกับเสียงลมครั้งแล้วครั้งเล่ากระแทกลงบนกายของหลิงอวี๋ หลิงอวี๋เจ็บปวดจนดวงตามืดมน อีกเพียงนิดเกือบจะเป็นลมไป... หลิงอวี๋ที่เกือบจะสิ้นลมไป เธอนึกไม่ออกว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น? ท่านอ๋องอะไรกัน? เฮยจื่ออะไร? เมื่อคร
“อย่าตีท่านแม่ของข้า...” หลังจากที่เสี่ยวเมาล้มบนพื้น กระอักเลือดออกมาแล้วก็คลานเข้าไปหาหลิงอวี๋อย่างไม่ยินยอม ยังคิดที่จะใช้ร่างกายที่อ่อนแอของตนช่วยรับแส้ให้กับนางอีก หลิงอวี๋มองไปยังมุมปากของเสี่ยวเมาที่ยังคงมีเลือดไหลซึม ในใจก็ยิ่งสั่นสะท้านขึ้นมา… ในความทรงจำนั้น หลิงอวี๋ใส่ใจเสี่ยวเมาน้อยนัก ทำให้เสี่ยวเมาที่คลอดมาแข็งแรงมาก กลับยิ่งเลี้ยงดูก็ยิ่งผอมบาง... “ท่านอ๋อง… นี่? โบยต่อหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” มือเฆี่ยนเอ่ยถามออกมาอย่างระมัดระวัง “ลากลูกนอกสมรสนั่นออกไป โบยต่อ!” ชายหนุ่มสูงส่งราวกับเทพเจ้านั้น ถึงแม้ว่าจะเห็นเสี่ยวเมากระอักเลือดออกมา ก็ยังคงดูเฉยชาไร้ซึ่งอารมณ์ดั่งเก่า “เสี่ยวเมา ไปเถอะ ปกตินางก็ไม่ได้ดูแลเจ้าดีนัก เจ้ายังสนใจว่านางจะเป็นตายไปเพื่อเหตุอันใด!” หญิงชราคนหนึ่งวิ่งเข้ามา เมื่ออุ้มเสี่ยวเมาได้ก็ออกไป “อย่าตีท่านแม่… ปล่อยข้า!” เสี่ยวเมายังคงร้องตะโกนออกมาอย่างเศร้าโศก ไม่สนใจว่าตรงมุมปากของตนจะมีเลือดไหลออกมา ดิ้นรนอย่างแรงอยู่ในอ้อมแขนของหญิงชรา หญิงชรากอดเขาเอาไว้แน่น มือเฆี่ยนยังคงโบยแส้ลงไปบนกายของหลิงอวี๋ เสี่ยวเมาเองก็ไม่รู้ว่าไปเอาแรง
“ตึกตึก… ตึก...” ไม่รู้ว่าสลบไปนานเท่าใด หลิงอวี๋ได้ยินเสียงนาฬิกาดังตึกตึกแว่ว ๆ จนลืมตาขึ้นมา... ทันใดนั้น ดวงตาของหลิงยวี่ก็สว่างขึ้น เธอพบว่าตัวเองอยู่ในห้องทดลองอิสระของตนที่วิทยาลัยแพทย์ หรือว่าตนจะเดินทางข้ามเวลากลับมาแล้ว? หลิงอวี๋ลุกขึ้นมาอย่างตื่นเต้นขึ้นมา ทว่าเพียงเคลื่อนไหวร่างกายก็รู้สึกได้ว่าทั่วทั้งร่างเจ็บปวด และยังมีเลือดสดไหลออกมา... เธอก้มหัวลงไปมองก็พบว่าร่องรอยบาดเจ็บของแส้ก็ถูกนำกลับมาด้วย! เธออดทนต่อความเจ็บปวดตามหากล่องยา แล้วฉีดยาบาดทะยักให้กับตนเอง ก่อนจะรีบจัดการบาดแผลอย่างรวดเร็ว มีรอยแส้มากมายอยู่ตรงหน้าอก แผ่นหลัง และบนใบหน้า ล้วนแต่ลึกลงสู่ผิวหนัง มองดูแล้วช่างน่าหวาดกลัวและโหดร้าย ขณะที่หลิงอวี๋กำลังจัดการอาการบาดเจ็บบนร่างกายอยู่ทางนี้นั้น ก็ก่นด่าสาปแช่งเซียวหลินเทียนไปพลาง สาปแช่งให้เขาไม่ได้ตายดี ขาดลูกหลานสืบสกุล... เมื่อคำด่า “ขาดลูก” สองคำนี้ออกมา ก็คิดถึงเสี่ยวเมาที่ปกป้องตนจนไม่อาจสาปแช่งต่อไปได้ เธอไม่ได้หวังให้เสี่ยวเมาตายไป! บาดแผลของหลิงอวี๋เพิ่งจะใส่ยาลงไป ขณะที่กำลังสวมเสื้อผ้าอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังลอยมา เ
หลิงอวี๋คิดที่จะหยิบเครื่องมือและยาเพื่อไปช่วยรักษาเสี่ยวเมา ทว่าประตูห้องใหญ่ก็ถูกเปิดขึ้นในทันที นางรับใช้แม่นมที่อยู่ด้านนอกอาจจะเข้ามาได้ทุกเมื่อ หลิงอวี๋จึงไม่กล้าที่จะทำอะไรผลีผลาม ทำได้เพียงแต่สงบนิ่งรอคอยเวลา พ่อบ้านฟั่นด้านนอกนั้นถูกแม่นมลี่ถามไถ่จนรู้สึกรำคาญใจ จึงใช้เท้าเตะแม่นมลี่ แล้วเอ่ยออกมาอย่างเย็นชาไร้ปรานี “ไสหัวไป สุนัขดี ๆ จะต้องไม่มาขวางทาง” เมื่อหลิงอวี๋มองออกไป ก็พบว่าแม่นมลี่ถูกผลักจนล้มลงบนพื้นอย่างแรง ดูเหมือนว่า แม่นมลี่เองก็คงจะถูกแส้หวดมาก่อน เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง บนใบหน้ายังมีคราบเลือดอยู่ไม่น้อย... “แม่นมลี่ เจ้าอย่ามามัวเสียเวลาอีกเลย รีบจัดการเก็บกวาดอยู่ในเรือนบุหงาเสียดี ๆ เถิด!” นางรับใช้ที่ดูหยิ่งยโสคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหน้าของแม่นมลี่ เอ่ยออกมาอย่างได้ใจ “พ่อบ้านฟั่นได้เลื่อนขั้นให้ข้าเป็นนางรับใช้ใหญ่แล้ว ต่อไปทุกคนในเรือนบุหงาจะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของข้า” “ท่านอ๋องทรงรับสั่งมาแล้วว่า หากพวกเจ้ายังจะไม่เชื่อฟัง ข้าก็มีอำนาจทีจะทุบตีพวกเจ้าจนตายได้!” “หลิงผิง เจ้าเป็นนางรับใช้ข้างกายของพระชายา สัญญาทาสยังอยู่ในมือของพระชายา เจ้าม
“เจ้ามิรู้หรือว่าที่ที่อันตรายที่สุดก็คือที่ที่ปลอดภัยที่สุด?”หลิงอวี๋ยิ้มปลอบใจแล้วเอ่ยออกมา “เรากลับไปที่โรงเตี๊ยม ก็จะดูได้ด้วยว่าเมื่อจ้าวหรุ่ยหรุ่ยหาพวกเรามิเจอแล้วนางจะทำอย่างไรต่อ! เจ้ามิต้องกังวล มากับข้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างแน่นอน!”ภายใต้การชักชวนของหลิงอวี๋ ป้าวซวนจึงเดินตามหลิงอวี๋กลับไปอย่างจนใจทั้งสองคนเดินเข้าไปทางประตูหลัก แสร้งทำเป็นจะรีบเดินทางแล้วมากินอาหารเช้า และนั่งลงตรงที่นั่งริมหน้าต่างจ้าวหรุ่ยหรุ่ยที่อยู่เรือนด้านหลังพบแล้วว่าหลิงอวี๋กับป้าวซวนหายไป นางก็โกรธมากจนอยากจะทุบโรงเตี๊ยมแห่งนี้ทิ้งไปเสียแต่นางยังคงข่มความโกรธไว้ และขอความช่วยเหลือจากสำนักคุ้มภัยและกลุ่มพ่อค้าอย่างน่าสงสาร ให้พวกเขาช่วยตนตามหาจ้าวหรุ่ยหรุ่ยแสร้งทำเป็นจิตใจดีต่อหน้าคนเหล่านี้ นางร้องไห้และบอกว่านางรับใช้ทั้งสองของตนนั้น จะต้องถูกคนร้ายลักพาตัวไปอย่างแน่นอนพวกพ่อค้าและคนจากสำนักคุ้มภัยล้วนได้รับตำรับยาแก้ท้องเสียนั้นไปแล้ว ดังนั้นเพื่อตอบแทนกันและกัน พวกเขาจึงระดมทุกคนให้ช่วยกันตามหา และบางคนก็บอกว่าจะไปรายงานทางการ และขอให้ทางการส่งคนมาช่วยตามหาด้วยหลิงอวี๋กับป้าวซวนก็
ทั้งกลุ่มเดินทางกันต่อไป และในที่สุดพลบค่ำของสองวันต่อมาพวกเขาก็มาถึงที่เมืองจงกวนกันแล้วเมืองจงกวนแห่งนี้ใหญ่โตมาก แม้จะเป็นตอนพลบค่ำแล้วแต่ที่ประตูเมืองก็ยังคงมีผู้คนสัญจรไปมาทุกคนอยู่กันที่ประตูเมืองเกือบหนึ่งชั่วยาม กระทั่งจัดการหนังสือผ่านแดนเสร็จเรียบร้อย จึงได้รับอนุญาตให้เข้าไปในเมืองได้หลิงอวี๋กับป้าวซวนพยายามที่จะควบคุมความรู้สึกตื่นเต้นของพวกนางเอาไว้ พวกนางวางแผนที่จะหลบหนีกันในวันพรุ่งนี้คืนนี้เป็นวันที่สิบแล้วที่ป้าวซวนกินยาพิษของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยเข้าไป และจ้าวหรุ่ยหรุ่ยก็จะให้ยาแก้พิษกับนางหลิงอวี๋บอกป้าวซวนว่า เมื่อรับยาแก้พิษมาแล้วมิต้องรีบกิน ให้กินยาลงไปเล็กน้อย เพื่อที่ตนจะได้ตรวจสอบสูตรยา และจะได้เตรียมยาแก้พิษให้นางด้วยป้าวซวนเชื่อฟังและทำตามคำพูดของหลิงอวี๋ ในคืนนั้นจึงรบเร้าให้จ้าวหรุ่ยหรุ่ยมอบยาแก้พิษแก่นาง เมื่อตอนเข้าพักที่โรงเตี๊ยมแล้วเมื่อจ้าวหรุ่ยหรุ่ยเห็นว่านางมีท่าทางกลัวตายเช่นนั้น นางจึงให้ยาแก้พิษไปอย่างอารมณ์มิดีนักป้าวซวนกินยาแก้พิษเข้าไปต่อหน้าจ้าวหรุ่ยหรุ่ย แต่กลับอมเอาไว้ในปาก มิได้กลืนยาลงไป กระทั่งตอนที่นางไปเข้าห้องน้ำ นางจึงกัดยา
จ้าวหรุ่ยหรุ่ยอยู่ในรถม้าข้างหน้า เมื่อนางได้ยินคำพูดของหลิงอวี๋เข้า สีหน้าของนางก็มืดมนลง นางกำลังคิดว่าจะออกไปห้าม แต่ก็คิดว่าหากหัวหน้าสำนักคุ้มภัยป่วยหนักขึ้นมา ก็จะส่งผลกระทบต่อแผนการเดินทางได้ นางจึงอดทนไว้ก่อนถึงอย่างไรตัวตนของหลิงอวี๋ในตอนนี้ก็เป็นนางรับใช้ของตน ดังนั้นแม้ว่าต่อให้นางรักษาหัวหน้าสำนักคุ้มภัยจนหายได้ ความดีความชอบก็จะตกเป็นของตนอยู่ดีจ้าวหรุ่ยหรุ่ยเลิกม่านรถม้าขึ้น แล้วเอ่ยอย่างใจดี “อวี้หนู เจ้าไปตรวจให้เขาเถิด! การช่วยชีวิตคนหนึ่งคนดีเสียยิ่งกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้นอีก เรามิควรนิ่งดูดาย!”หลิงอวี๋มิได้ใส่ใจเรื่องที่จ้าวหรุ่ยหรุ่ยขโมยความดีความชอบไป จุดประสงค์ของนางก็คือต้องการที่จะใช้โอกาสนี้สั่งยาให้หัวหน้าสำนักคุ้มภัย แล้วหาเครื่องสมุนไพรที่ใช้ป้องกันตัวหลิงอวี๋ลงจากรถม้าแล้วเดินเข้าไปวัดชีพจรของหัวหน้าหม่า จากนั้นก็สั่งยาและให้หม่าเปียวส่งผู้คุ้มกันคนหนึ่งไปซื้อเครื่องยาสมุนไพรมาจ้าวหรุ่ยหรุ่ยเองก็เป็นคนเจ้าแผนการเช่นกัน มีหรือที่นางจะไว้ใจหลิงอวี๋ นางจึงอ้างว่าจะช่วยหลิงอวี๋ตรวจสอบดูว่ามีคำใดเขียนผิดหรือไม่ จากนั้นก็นำตำรับยาไปตรวจสอบอย่างละเอียด
จ้าวหรุ่ยหรุ่ยมิเชื่อว่าหลิงอวี๋จะเป็นฝ่ายวิ่งเข้าหาความตายเสียเอง ทว่าหากตีไปอีกครั้งจริง ๆ แล้วหลิงอวี๋เอาตัวไปเสี่ยงเข้าจริง ๆ จะทำอย่างไรเล่า?นางจะต้องพาหลิงอวี๋ไปที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์แบบที่ยังมีชีวิตอยู่ จึงจะนำหยกหล้าสุขาวดีออกมาจากร่างของนางได้ หากว่าหลิงอวี๋ตายไป เช่นนั้นแล้วศพนั้นก็จะไม่มีประโยชน์ใด ๆ สำหรับตน“นางสารเลว เจ้ายังกล้ามาขู่ข้าอีกรึ!”ใจของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยได้โอนอ่อนลงแล้ว แต่ปากยังมิยอมแสดงให้เห็นว่าตนด้อยกว่า นางดึงมือหลิงอวี๋อย่างแรงและเตะออกไป“หากเจ้าอยากตายก็เชิญไปตายเสีย! อย่างมากข้าก็มิเอาของสิ่งนั้นแล้ว แต่ข้าจะมิยอมให้คนชั้นต่ำเช่นเจ้ามาทำตัวไร้มารยาทกับข้าเป็นอันขาด!”จ้าวหรุ่ยหรุ่ยเหยียบลงไปบนใบหน้าหลิงอวี๋อย่างรุนแรง จากนั้นก็อาศัยความได้เปรียบของตนถอยออกไป“ตอนนี้เราอยู่ห่างจากเมืองหลวงแดนเทพหนึ่งพันกว่าลี้ เจ้ารีบรักษาตัวให้หายโดยเร็ว เราต้องรีบไปที่เมืองหลวงแดนเทพ!”จ้าวหรุ่ยหรุ่ยจ้องมองหลิงอวี๋อย่างโหดเหี้ยม จากนั้นจึงเปิดประตูให้เสี่ยวเอ้อร์ยกอาหารเข้ามาแม้ว่าหลิงอวี๋จะโดนเตะไปแล้วสองครั้ง แต่กลับมองท่าทีข่มขู่ของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยออก นางกำลังก
กระทั่งมาถึงที่เมือง จ้าวหรุ่ยหรุ่ยก็หาโรงเตี๊ยมและเปิดห้องพักหนึ่งห้องส่วนป้าวซวนก็ช่วยประคองหลิงอวี๋เข้าไปในห้องนั้นภายในห้องมีเตียงเพียงเตียงเดียว ดังนั้นจึงมิสามารถนอนสองคนได้แน่ป้าวซวนจนใจ จึงขอผ้านวมเก่าที่ปูเตียงมาจากเสี่ยวเอ้อร์แล้วนำมาปูไว้ที่มุมห้องให้หลิงอวี๋นอนจ้าวหรุ่ยหรุ่ยออกไปถามข้อมูลจากเจ้าของโรงเตี๊ยม แล้วให้ป้าวซวนเฝ้าหลิงอวี๋เอาไว้ และเพื่อให้ป้าวซวนเชื่อฟังมิหนีไปไหน จ้าวหรุ่ยหรุ่ยจึงหยิบเม็ดยาพิษออกมา จากนั้นก็ยัดเข้าไปในปากของป้าวซวน“ยาแก้พิษนี้จะต้องกินทุก ๆ สิบวัน หากเจ้ากล้าหนีไป เจ้าก็รอพิษกำเริบจนตายไปได้เลย!”จ้าวหรุ่ยหรุ่ยขู่ป้าวซวน ก่อนจะเดินออกไปอารมณ์ของป้าวซวนตกต่ำลงไปทันที เดิมทีนางคิดว่าจะโน้มน้าวหลิงอวี๋ให้หนีไปกับตน แต่ตอนนี้ตนถูกจ้าวหรุ่ยหรุ่ยวางยาพิษเสียแล้ว หากนางหนีไป นางก็จะต้องตาย“ป้าวซวน เจ้าอยากหนีหรือไม่?”หลิงอวี๋ถือโอกาสที่จ้าวหรุ่ยหรุ่ยมิอยู่ แล้วรีบพูดคุยกับป้าวซวนอย่างรวดเร็ว“ข้าอยาก แต่เจ้ามิเห็นหรือเมื่อครู่? นางป้อนยาพิษให้ข้าไปแล้ว!”ป้าวซวนเอ่ยขึ้นมาด้วยความสิ้นหวัง “สตรีผู้นั้นโหดร้ายถึงเพียงนั้น ทั้งยังวางแผน
จ้าวหรุ่ยหรุ่ยเกลียดหลิงอวี๋และเซียวหลินเทียน หากมิใช่เพราะสองสามีภรรยานี้ข่มตน พลังของนางจะสูญหายไปได้อย่างไร และจะต้องตกต่ำถึงขั้นต้องสังหารเฉียวเค่อได้อย่างไร!ในเวลานี้หลิงอวี๋สูญเสียความทรงจำไปแล้ว หากนางมิใช้โอกาสนี้สร้างความขัดแย้งระหว่างพวกเขา และทำลายความสัมพันธ์ของทั้งสองคนไป ความทุกข์ทรมานของนางจะมิเสียเปล่าหรือ?“อวี้หนู หากในภายภาคหน้าเจ้ามีโอกาสได้พบกับเซียวหลินเทียน เจ้าต้องระวังตัวไว้!”จ้าวหรุ่ยหรุ่ยพยายามใส่ร้ายเซียวหลินเทียนอย่างเต็มที่ “เจ้าสังหารสตรีที่เขารักที่สุดไป เขาเคยสาบานเอาไว้ว่า หากจับตัวเจ้าได้ เขาจะทำให้เจ้าตายทั้งเป็น!”“จริงสิ เขายังเคยเฆี่ยนตีเจ้า และปล่อยให้คนรับใช้ของเขาเหยียดหยามเจ้าอีกด้วย! หากเจ้าจำอดีตได้ ก็น่าจะรู้ว่าเจ้ายังมีลูกชายอีกหนึ่งคน ซึ่งก็ถูกเขาสังหารไปแล้วเช่นกัน!”ถึงอย่างไรหลิงอวี๋ก็ลืมเรื่องในอดีตไปแล้ว จ้าวหรุ่ยหรุ่ยจึงนำเรื่องราวของหลิงอวี๋ที่ตนเคยสืบมาหลอกลวงหลิงอวี๋เสียในขณะที่นางกำลังสาธยายอยู่นั้น ในหัวของหลิงอวี๋ก็มีภาพบางส่วนปรากฏขึ้นมาจริง ๆนางถูกคนรับใช้หลายคนลากตัวออกไป และบุรุษผู้นั้นก็เอ่ยขึ้นมาอย่างโหดเหี้ยม
จ้าวหรุ่ยหรุ่ยให้หลิงอวี๋พักผ่อนเพียงคืนเดียวเท่านั้น วันรุ่งขึ้นนางก็อ้างว่าจะไปตามหาคนในครอบครัว แล้วจ่ายเงินสิบตำลึงให้ลูกชายของป้าซุนไปส่งพวกนางที่ตัวเมือง หลังจากป้าซุนได้รับเงินมาแล้ว ก็มอบอาภรณ์เก่าของลูกสะใภ้ตนให้กับหลิงอวี๋อย่างใจดีหลิงอวี๋ประคองร่างกายที่เพิ่งแท้งแล้วไปเปลี่ยนกระโปรงที่เปื้อนเลือดของตน จากนั้นก็ขึ้นไปนั่งบนรถม้าหลิงอวี๋รู้สึกอ่อนเพลีย จึงนอนบนรถม้าและผล็อยหลับไปส่วนป้าวซวนหวาดกลัวจ้าวหรุ่ยหรุ่ย จึงมิกล้าพูดอะไรเช่นกันภายในรถม้าจึงมีแต่ความเงียบการเดินทางสามสิบลี้บนรถม้าที่โยกไปมานั้นช่างยาวนาน จ้าวหรุ่ยหรุ่ยมิได้ง่วงนอน จึงมองหลิงอวี๋ที่นอนหลับอยู่บนแผ่นไม้ของรถม้า นางผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าสกปรก ทั้งยังสวมชุดผ้าหยาบที่เต็มไปด้วยรอยปะทั้งตัวอีกฮองเฮาผู้สูงส่งในอดีต ตอนนี้ต่างอะไรกับสตรีชนบทกันเล่า?ความรู้สึกภาคภูมิใจพลุ่งพล่านขึ้นมาในหัวใจของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยทันที นางเหยียบไปบนหน้าอกของหลิงอวี๋ ทั้งยังบดขยี้ลงไปอย่างร้ายกาจ พลางเอ่ยออกไปอย่างเยาะเย้ย“อวี้หนู เจ้าดูเถิดว่าข้าดีกับเจ้าแค่ไหน เจ้าตั้งครรภ์ลูกนอกสมรสข้าก็มิรังเกียจเจ้า ทั้งยังพาเจ้า
กระทั่งหลิงอวี๋ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง นางก็รู้สึกว่าที่ท้องน้อยของตนยังปวดอยู่เล็กน้อยคราวนี้นางมิเห็นดวงอาทิตย์แล้ว เหนือหัวของนางเป็นหลังคาสีเทา ๆ และมีเนื้อแห้งห้อยอยู่บนคานนี่คือที่ใดกัน?ลูกของนางยังอยู่หรือไม่?ขณะที่หลิงอวี๋กำลังจะยื่นมือออกไปแตะที่ท้องน้อยของตน นางก็ได้ยินเสียงพูดคุยมาแว่ว ๆ“ท่านป้า พวกเรานายบ่าวถูกคนเลวทำร้ายมาจึงมาลำบากอยู่ที่นี่ ขอบคุณท่านป้ามาก ๆ ที่รับพวกเรา! เมื่อพวกเราตามหาครอบครัวเจอแล้ว เราจะตอบแทนท่านอย่างดีแน่นอน!”เสียงของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยตามมาด้วยเสียงที่ค่อนข้างมีอายุเอ่ยขึ้นมา “คุณหนูจ้าวเกรงใจกันเกินไปแล้ว พวกเจ้าพักอยู่ที่นี่ให้สบายใจเถิด หากต้องการสิ่งใดก็บอกมา ข้าจะให้ลูกชายข้าไปซื้อมาให้พวกเจ้าเอง!”“ท่านป้า ท่านเตรียมอาหารให้พวกเราก็พอแล้ว! จริงสิ ท่านป้า ข้าขอถามท่านสักหน่อยเถิด ที่นี่คือที่ไหนหรือ? อยู่ห่างจากเมืองหลวงแดนเทพเท่าไร?”หลิงอวี๋รีบเงี่ยหูฟังทันที นางจะต้องหนีไปจากเงื้อมมือของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยให้จงได้ หากรู้ทิศทางแล้วก็จะหลบหนีได้ง่าย“หมู่บ้านของเราชื่อหมู่บ้านหนิงหย่วน อยู่ห่างจากตัวเมืองสามสิบกว่าลี้ ที่เจ้าถามว่าอยู่ห่
“หรุ่ยหรุ่ย เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้!”ป้าวซวนตั้งสติได้ก็พุ่งเข้าไป คิดว่าจะดึงจ้าวหรุ่ยหรุ่ยไว้แต่คาดมิถึงว่าจ้าวหรุ่ยหรุ่ยจะใช้หลังมือตบป้าวซวนอย่างแรงจนทำให้ป้าวซวนล้มลงไป“ป้าวซวน เจ้าคิดว่าเจ้ายังเป็นคุณหนูสามของตระกูลป้าวอยู่รึ?”จ้าวหรุ่ยหรุ่ยปล่อยหลิงอวี๋ที่กำลังขดตัวด้วยความเจ็บปวดไว้ชั่วคราว แล้วพุ่งเข้าไปเหยียบที่ข้อมือของป้าวซวน จากนั้นก็โน้มตัวเข้าไปมองนางพร้อมกับรอยยิ้มเยาะ“เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่นี่คือที่ใด? ที่นี่แดนเทพ!”“ที่นี่อยู่ห่างจากตระกูลป้าวของเจ้ามิรู้กี่พันลี้! ข้าจะบอกเจ้าให้ นับแต่นี้ไป เจ้ามิใช่คุณหนูตระกูลป้าวอีกต่อไปแล้ว เจ้าคือนางรับใช้ของข้า จ้าวหรุ่ยหรุ่ย!”“ข้าบอกให้เจ้าทำอะไรเจ้าก็ต้องทำ มิเช่นนั้นข้าจะเฉือนหน้าเจ้าเช่นเดียวกับที่ข้าทำกับนาง!”หลิงอวี๋เจ็บปวดจนแทบจะสลบแล้ว และเลือดของนางก็เปื้อนอยู่เต็มกระโปรงไปหมดเมื่อนางได้ยินคำพูดของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยในขณะที่นางกำลังอยู่ในอาการมึนงงนั้น นางจึงได้รู้ว่าจ้าวหรุ่ยหรุ่ยเป็นคนที่กรีดหน้าตน มิใช่พวกค้ามนุษย์ที่ทำจ้าวหรุ่ยหรุ่ยหลอกตนมาตลอด!“เจ้าพูดเรื่องเพ้อฝันอยู่รึ? ข้ามิใช่นางรับใช้ของเจ้านะ!”ป้