ร่างไร้วิญญาณที่แขนขากระจัดกระจายอยู่ทั่วเรือน ล้วนเกิดจากเส้นไหมวิญญาณโลหิต “เหตุใดข้าจะไม่กล้ากลับมาเล่า?”นางส่ายนิ้ว ก้าวไปข้างหน้าช้า ๆ พร้อมเส้นไหมวิญญาณโลหิตที่บางราวกับเส้นผม ดวงตาเฉียบคมวาววับสะท้อนแสง“พวกเจ้ากลัวว่านางมารเช่นข้าคนนี้จะกลับมาหรือ? อะไรกัน? เป็นหัวหน้าตระกูลไป๋มาหลายปี ลืมไปแล้วหรือว่าครั้งนั้น นางมารเช่นข้ากวาดล้างตระกูลไป๋อย่างไร?”เมื่อไป๋เส้าเจี๋ยได้ยิน ดวงตาสีแดงก่ำก็เต็มไปด้วยความโกรธภาพในปีนั้น ก็คล้ายเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้การเสียชีวิตอันน่าสลดใจของบิดามารดา เลือดของทุกคนในตระกูลไป๋ที่ไหลรินราวกับแม่น้ำเขาหายใจเข้าลึก ๆ ไม่อาจระงับความโกรธอันท่วมท้นได้อีกต่อไป“ความแค้นที่ฆ่าล้างตระกูลไป๋ ชีวิตนี้ข้าไม่กล้าลืม! ข้าจะใช้เลือดของเจ้า สักการะดวงวิญญาณของทุกคนที่ตายไปแน่นอน!”“หึๆ......”ไป๋ซวงแค่นหัวเราะอย่างอดไม่ได้ สายตามองดูเขาอย่างเหยียดหยาม“หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว บุกเข้าไป!” ขณะที่พูด ไป๋ซวงก็ค่อย ๆ โบกสะบัดเส้นไหมวิญญาณโลหิต“ชายารักไปดูการต่อสู้เถอะ เรื่องฆ่าคนเช่นนี้ ปล่อยให้ข้าจัดการเอง” จวินจิ๋วอินก้าวไปข้างหน้า ไม่อยากให้ไป
มองเห็นเส้นไหมวิญญาณโลหิตกระเพื่อมเหมือนคลื่นน้ำเมื่อไป๋เส้าเจี๋ยเห็นเช่นนั้น เขาก็ทะยานขึ้นไปทันทีในมือยาวถือกระบี่ เขาหมุนข้อมืออย่างรวดเร็ว สร้างลวดลายกระบี่บุที่สวยงามและคมกริบออกมามองเห็นไอกระบี่นับไม่ถ้วนพลุ่งพล่าน ราวกับมังกรที่ดุร้ายด้วยพลังกดดันอันท่วมท้น เขารีบพุ่งตรงไปที่ด้านหน้าของไป๋ซวงทว่าพริบตานั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างน่าเศร้ามีไอสีดำจาง ๆ ล้อมรอบมังกรร้ายนั้นเอาไว้โฮก…เมื่อเสียงคำรามดังขึ้น ฟันอันแหลมคมของมังกรก็ปรากฏขึ้นตามกันมาไป๋ซวงมองภาพตรงหน้าที่ดูคล้ายมังกรโจนสมุทร พร้อมรอยยิ้มขี้เล่นบนริมฝีปากนางยืนนิ่งอยู่ในอากาศ ดวงตาปิดหรี่ ก่อนจะกางนิ้วออกเล็กน้อยสองมือซ้ายขวาประสานกัน ราวกับกำลังเล่นกับสมบัติทรงกลมทันทีที่ลืมตาขึ้นอีกครั้ง เส้นไหมวิญญาณโลหิตที่ราวกับน้ำกระเพื่อมก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับแสงเย็นยะเยือกและแผ่ออกไปด้วยความเร็วดุจสายฟ้ามังกรร้ายที่อยู่กลางอากาศหันร่างหลบ หลีกเลี่ยงเส้นไหมวิญญาณโลหิตที่ซุกซ่อนอยู่ในอากาศอย่างว่องไวมุมปากของไป๋เส้าเจี๋ยปรากฏรอยยิ้มเยาะขึ้น เหวี่ยงกระบี่เร็วขึ้นอีกครั้ง“ไป๋ซวง ไม่ว่าเส้นไหมวิญญาณโลหิตของเ
องครักษ์ตระกูลไป๋ที่ไป๋เส้าเจี๋ยพามา ไม่มีเวลาแม้แต่จะกรีดร้อง พวกเขาก็ถูกตัดท่อนร่างนับไม่ถ้วนด้วยเส้นไหมวิญญาณโลหิต และล้มลงกับพื้นเสียงดังตุบ ๆๆหมอกเลือดปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า ทำให้เงาคนดูพร่าเลือนเมื่อหมอกเลือดสลายไป ดวงตาของไป๋เส้าเจี๋ยก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความไม่อยากจะเชื่อจากนั้นก็มีเสียงปังดังออกมาจากร่างกายของเขาร่างก็แยกออกจากกัน แขนขาขาดออกจากร่างล้มลงกับพื้นดังตุบเสียงกรีดร้องดังหนวกหูจึงดังขึ้น“ไป๋ซวง เจ้ามันหญิงสารเลว เจ้าต้องไม่ตายดี!”ไป๋เส้าเจี๋ยที่แขนขาถูกตัดขาด ทำได้เพียงมองดูอย่างทำอะไรไม่ได้สตรีที่คล้ายเดินออกมาจากนรกผู้นั้น ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มมีเสน่ห์“ข้าตายอย่างไร เกรงว่าเจ้าคงไม่มีเป็นวันได้เห็นแล้ว แต่ข้าสามารถตัดสินใจได้เลย ว่าเจ้าจะตายอย่างไร!”ไป๋ซวงหยิบผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมสีขาวออกมา แล้วค่อย ๆ บรรจงเช็ดเส้นไหมวิญญาณโลหิตให้สะอาดเส้นไหมวิญญาณโลหิตเป็นอาวุธชั้นยอด คมกริบเป็นที่สุด สามารถสังหารหลายพันคนได้โดยไม่ทิ้งร่องรอยเลือดนางเช็ดเส้นไหมวิญญาณโลหิต เป็นเพียงนิสัยส่วนตัวเท่านั้น นางยิ้ม ก่อนจะเก็บเส้นไหมวิญญาณเลือดเข้าไปในกำไ
เขาทนไม่ไหวแล้วจริง ๆไป๋ซวงไม่ใช่คนด้วยซ้ำ!นางเป็นตัวตนที่น่ากลัวยิ่งกว่าปีศาจ!สิ่งที่ไป๋ซวงกำลังรอก็คือคำพูดนี้ของไป๋เส้าเจี๋ยนางจึงเก็บกระบี่กลับมาและมองไปที่ไป๋เส้าเจี๋ยอย่างเย็นชา“สัญญากับข้า ไม่เช่นนั้นต่อให้เจ้าฆ่าข้า เจ้าก็ไม่อาจหาไป๋เฉินเจอได้”“ได้”ไป๋ซวงพูดอย่างเฉยเมย แต่ไป๋เส้าเจี๋ยดูเหมือนจะโล่งใจเขาถอนหายใจยาวอย่างไม่เต็มใจ ก่อนจะพูดออกมาช้าๆ“ไป๋เฉินอยู่ในสำนักศึกษาเต๋อของตระกูลไป๋”“เหลิ่งเย่ พาคนกลับไป แล้วส่งคนไปตรวจสอบที่สำนักศึกษาเต๋อ ถ้าไป๋เฉินอยู่ที่สำนักศึกษาเต๋อให้ฆ่าไป๋เส้าเจี๋ยได้เลย ถ้าเขาไม่อยู่ที่สำนักศึกษาเต๋อ ให้ทำให้ไป๋เส้าเจี๋ยเป็นหมูมนุษย์ แล้วเลี้ยงไว้ที่ประตูสำนักศึกษาเสีย”เมื่อไป๋ซวงพูดจบ นางก็ไม่สนใจไป๋เส้าเจี๋ยอีก มุ่งตรงไปที่ไป๋หงหย่วนทันทีเหลิ่งเย่เหลือบมององค์ชายราวกับมีคำถามทว่าสายตาของจวินจิ๋วอิ่นจับจ้องไปที่ไป๋ซวงอยู่ตลอดเวลาเมื่อรู้สึกว่าเหลิ่งเย่ไม่เคลื่อนไหวสักที จึงอดไม่ได้ที่จะหันไปมองในดวงตามีความไม่พอใจปะทุขึ้นมา“ยืนนิ่งอยู่ทำไม? รีบไปจัดการสิ” ร่างกายของเหลิ่งเย่สั่นเล็กน้อย รีบหันไปทำงานของตนทันที“เดี
“ซวี่เป่า หลานชายของท่านยังรอท่านอยู่ที่บ้านนะขอรับ!”“หลาน... หลานชาย...”ไป๋หงหย่วนตกใจอย่างยิ่ง ลิ้นพันพูดไม่ชัดขึ้นมากะทันหันไม่ได้เจอกันมาเจ็ดปี ตอนนี้ซวงเอ๋อร์อายุยี่สิบหนาวแล้วควรสร้างครอบครัวแล้ว!แต่ถึงอย่างไร เขาก็พลาดช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของลูกสาวไปแล้ว อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจไป๋ซวงจ้องมองจวินจิ๋วอิ่นด้วยความโกรธ นางยังไม่คิดจะบอกท่านพ่อนางเรื่องของพวกเราแต่จวินจิ๋วอิ่นกลับยิ้มอย่างภาคภูมิใจ ไม่แม้แต่จะมองหน้าไป๋ซวง“ท่านพ่อตา ลูกเขยแบกท่านเองขอรับ”พูดจบ เขาก็ค่อยๆ นั่งยองๆ ต่อหน้าไป๋หงหย่วนไป๋หงหย่วนมองไปที่เสื้อผ้าอันงดงามของจวินจิ๋วอิ่น ก็รู้ว่าเขามีสถานะที่ไม่ธรรมดาแล้วหันกลับมามองดูเสื้อผ้าขาดเป็นรูของตน เขากล้าดีอย่างไรมาแบกข้ากัน?“ไม่ได้หรอก เสื้อผ้าของข้าสกปรกมา จะไปทำให้เสื้อผ้าของเจ้าสกปรกได้อย่างไร?”ไป๋หงหย่วนมองไปยังไป๋เฉิงจื้อที่เพิ่งตื่นขึ้นมาไม่ไกลและโบกมืออย่างรวดเร็ว“พี่เฉิงจื้อ ท่านมาช่วยข้าที”ไป๋ซวงขมวดคิ้ว นี่คงเป็นสมาชิกของตระกูลไป๋ด้วยเมื่อครู่ตอนที่นางเข้ามา ยังชี้กระบี่ไปที่ท่านพ่อของตนด้วยซ้ำแต่แววตาของท่านพ่อ กลับดูเ
ไม่เพียงแต่ไป๋เฉิงจื้อเท่านั้น แม้แต่ไป๋หงหย่วนที่อยู่ด้านข้างยังมองไป๋ซวงด้วยความตกใจหลังจากนั้นไม่นาน ไป๋เฉิงจื้อก็กลับมามีสติอีกครั้งเขามองไป๋ซวงด้วยความไม่อยากจะเชื่อ สายตาแฝงไปด้วยความสับสนอย่างยิ่ง “ซวงเอ๋อร์ เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”ไม่ว่าไป๋ซวงจะมีความสามารถแค่ไหน สุดท้ายนางก็ยังเป็นสตรีตอนนี้ไป๋หงหย่วนกลายเป็นคนไร้ประโยชน์แล้วและเขารู้ดีว่าตนเองไม่ใช่ผู้ที่สามารถท้าชิงตำแหน่งหัวหน้าตระกูลได้อย่างแน่นอนใบหน้าของไป๋ซวงไร้การแสดงออกที่เกินงามเมฆาสงบนิ่ง สายลมพัดเบา ๆ ราวกับว่านางกำลังพูดถึงเรื่องธรรมดา“ไป๋เส้าเจี๋ยตายอนาถเช่นนี้ ตระกูลไป๋ไม่ยอมรามือง่าย ๆ แน่ แม้ว่าจะต้องแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งหัวหน้าตระกูลไป๋ หัวหน้าตระกูลคนใหม่ก็จะทำบางอย่างเพื่อรักษาเสถียรภาพของตำแหน่งหัวหน้าตระกูล ส่วนื่นลุงเฉิงจื้อ ไป๋เส้าเจี๋ยตายอนาถที่นี่ ตระกูลไป๋ก็ไม่ยอมปล่อยท่านไปเช่นกัน”ท้ายที่สุดแล้ว ผู้คนเกือบทั้งหมดที่ไป๋เส้าเจี๋ยพามาก็พากันตายอย่างน่าอนาถเกือบทั้งหมดแต่ไป๋เฉิงจื้อกลับไม่ได้รับบาดเจ็บเท่าไรนักอาศัยแค่สิ่งนี้เพียงอย่างเดียว ตระกูลไป๋ก็ไม่มีทางยอมปล่อยไป๋เฉิงจื้อ
เมื่อไป๋ซวงได้ยินเช่นนี้ นางก็ยิ้มและขอบคุณเขา “ถ้าเช่นนั้น ก็ต้องขอบพระทัยท่านอ๋องแล้วเพคะ”จากนั้น นางก็หันไปมองไป๋เฉิงจื้อ“ท่านลุงเฉิงจื้อ ข้าไม่ชอบพูดอ้อมค้อม ถ้ามีอะไรข้าก็จะพูดออกมาตรงๆ ข้าอยากสร้างตระกูลไป๋ขึ้นมาใหม่ โดยมีท่านพ่อเป็นประมุขตระกูล”ทันทีที่ไป๋ซวงพูดจบ ไป๋หงหย่วนก็ส่ายหัวทันที“ซวงเอ๋อร์ ร่างกายของพ่อ…”ไป๋ซวงไม่ยอมให้ไป๋หงหย่วนพูดจบ ขัดจังหวะเขาขึ้นมา“ซวงเอ๋อร์บอกแล้วว่าสามารถรักษาอาการท่านได้ ณ ที่นี่ ซวงเอ๋อร์สัญญากับท่านพ่อและท่านลุงเฉิงจื้อว่าภายในครึ่งปี ร่างกายของท่านพ่อจะฟื้นตัวกลับสู่สภาพสูงสุดได้อย่างเต็มที่ และหลังจากนั้นหนึ่งปีก็ทำให้ระดับการฝึกปรือของท่านพ่อ ก้าวข้ามไป๋เส้าเจี๋ยได้”ไป๋ซวงดูเหมือนจะกลัวว่าไป๋หงหย่วนจะไม่เชื่อ ดังนั้นน้ำเสียงของนางจึงหนักแน่นขึ้นเล็กน้อย“ท่านพ่อ ซวงเอ๋อร์ไม่ใช่คนพูดโกหก อีกอย่าง ท่านต้องเชื่อในความสามารถของนักหลอมโอสถระดับเก้า”“ระดับเก้า... นักหลอมโอสถระดับเก้า...”จู่ๆ ไป๋เฉิงจื้อก็มองไป๋ซวงด้วยความประหลาดใจ สายตาปรากฏร่องรอยความไม่อยากจะเชื่อออกมาวันนี้ ไป๋ซวงทำให้เขาตกใจมากเกินไปแล้วไป๋ซวงพยักหน้า
จีหรงที่วิ่งเหยาะ ๆ ตามมาข้างหลัง ยืนจับเข่าหอบหายใจ“ซวี่เป่า เจ้าวิ่งช้าลงหน่อย ย่าตามเจ้าไม่ทัน”ไป๋ซวงยิ้ม ลูบผมของซวี่เป่าเบา ๆ“คิดถึงแม่แล้วใช่หรือไม่?”ซวี่เป่าพยักหน้าเหมือนไก่จิกข้าวพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า“ท่านแม่จากไปหลายวัน ซวี่เป่าคิดถึงท่านมากขอรับ”“แม่ก็คิดถึงซวี่เป่าเหมือนกัน”ไป๋ซวงกอดซวี่เป่าแล้วเดินไปหาไป๋หงหย่วนด้วยรอยยิ้มจวินจิ๋วอิ่นมองไปที่ซวี่เป่าอย่างน้อยใจ เอ่ยปากเย้าว่า“ซวี่เป่าไม่คิดถึงพ่อหรือ พ่อก็คิดถึงซวี่เป่าเหมือนกันนะ”ซวี่เป่าเหลือบมองจวินจิ๋วอิ่นอย่างขอไปที และยิ้มอย่างไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย“คิดถึงขอรับ”จากนั้นจึงหันไปมองคนที่นั่งรถเข็นอยู่ไม่ไกลจู่ๆ จวินจิ๋วอิ่นก็รู้สึกเศร้าในใจเขาเพียงแค่จากไปไม่กี่วัน เหตุใดซวี่เป่าไม่หอมเขาแล้ว?ไป๋ซวงวางซวี่เป่าลงบนพื้นแล้วมอง มองซวี่เป่าอย่างจริงจัง“ซวี่เป่า นี่คือท่านตาของเจ้า ทักทายท่านตาเร็ว”ซวี่เป่ามองไปที่ไป๋หงหย่วนที่มีรอยแผลประปราย คิ้วเล็ก ๆ ย่นเข้าหากันทันทีไป๋หงหย่วนมองไปที่เสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งของตน ก่อนจะคิดได้ว่าซวี่เป่าไม่ต้องการเห็นอะไรเช่นนี้เขาดูเขินอายเล็กน้อยและกำลั
ไป๋ซวงยิ้มหวาน แต่สำหรับนักพรตชราแล้ว กลับเหมือนน้ำผึ้งอาบยาพิษนักพรตชราเห็นแล้ว ขนลุกซู่ไปทั่วทั้งแผ่นหลัง“มีคนชวนท่านอ๋องของข้าออกไปล่าสัตว์เป็นเรื่องโกหก วางยาพิษท่านอ๋องกลางทางต่างหากคือเรื่องจริง!”ไป๋ซวงพูดจบ รอยยิ้มบนใบหน้าก็พลันหายไปแทนที่ด้วยแววตาที่ดุดันและเย็นเยียบโจวหลิงซางและโจวหวันฉี่ที่ยืนตกตะลึงอยู่ข้าง ๆ รวมถึงฮองเฮาเจียงเถียนและจวินหงคังตอนนี้ทุกคนต่างหน้าซีดเผือด!โจวหลิงซางกลืนน้ำลายลงคออย่างประหม่า ฝืนทำท่าทางสงบพลางก้าวไปข้างหน้าสองก้าว“พระชายาองค์ชายเก้า นี่ท่านหมายความว่าอย่างไร?”“หรือว่าข้ายังพูดไม่ชัดเจนพอ?”ไป๋ซวงลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้โจวหลิงซาง“ท่านอ๋อง สิ่งที่ข้าพูดเป็นความจริงหรือไม่?”จวินจิ๋วอิ่นยังคงจมดิ่งอยู่ในคำว่า ‘ท่านอ๋องของข้า’ จนถอนตัวจากความหวานนั้นไม่ได้เมื่อได้ยินดังนั้น ก็พลันยิ้มพลางเดินเข้าไปใกล้ไป๋ซวง“ฮูหยินพูดถูกที่สุด”“เหลวไหล จวินจิ๋วอิ่น พวกเราก็แค่แข่งขันล่าสัตว์เท่านั้น เหตุใดข้าถึงต้องวางยาพิษท่านด้วย? ข้าเป็นถึงองค์ชายสามแห่งแคว้นโจวอู้ ไม่ใช่คนที่ใครจะใส่ร้ายป้ายสีได้ง่าย ๆ ”
เวลานี้ สวีเหว่ยถือกระบี่แสงพุทธ ฟาดฟันกระบี่ไปที่ต้นไม้ใหญ่อายุร้อยปีที่เพิ่งจะหักโค่นลงเบา ๆ ภายในชั่วพริบตา ต้นไม้ใหญ่อายุร้อยปีต้นนั้น ก็ถูกตัดจนถึงโคนต้นสวีเหว่ยรู้สึกราวกับได้สมบัติล้ำค่า หันไปทางไป๋ซวงแล้วโขกศีรษะคำนับอย่างแรงสามครั้ง“ขอบพระทัยพระชายาองค์ชายเก้า ข้าน้อยจะตั้งใจฝึกฝนอย่างเต็มที่ ไม่ทำให้พระชายาผิดหวังพ่ะย่ะค่ะ” ไป๋ซวงพยักหน้าเล็กน้อย พร้อมกับทำสีหน้าราวกับจะบอกว่า ‘เจ้าเชื่อฟังดีมาก’นักพรตชราชุดขาวมองไป๋ซวงด้วยความไม่อยากจะเชื่อ ดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ“เมื่อครู่เจ้าทำอะไรลงไป?”แน่นอนว่าเขาไม่มีทางเชื่อว่า สวีเหว่ยไอ้ขยะไร้ค่านั่น จะสามารถครอบครองกระบี่แสงพุทธของเขาได้“เจ้าก็เดาออกอยู่แล้วมิใช่หรือ?”ไป๋ซวงยิ้มแต่ไม่ตอบ พลางเหลือบมองไปที่เส้นเลือดบริเวณจุดชีพจรของเขาทันใดนั้น นักพรตชราชุดขาวก็ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นด้วยท่าทางสิ้นหวังใช่แล้ว หากต้องการให้กระบี่แสงพุทธที่เลือกนายแล้ว เชื่อฟังคำสั่งของผู้อื่นเช่นนั้น มีเพียงทางเดียวคือต้องเปลี่ยนนายของกระบี่แสงพุทธ ลวดลายกระบี่อันงดงามเมื่อครู่นั้น แท้จริงแล้วแฝงไว้ด้วยพลังวิญญาณที่แข็งแกร
ทุกคนสำลักจนต้องโบกมือไปมา ใช้แขนเสื้อปิดปากและจมูกทว่ามนุษย์ยักษ์นั้น ก็ไม่ได้ปล่อยนักพรตชราไปเพราะเหตุนี้นักพรตชราเห็นดังนั้นจึงรีบเก็บพลังวิญญาณของตนกลับคืน อาศัยช่วงที่ควันฝุ่นฟุ้งกระจาย หายตัวไปแล้วปรากฏตัวต่อหน้าไป๋ซวงคมกระบี่อันแหลมคม จ่อตรงไปที่คอของไป๋ซวง“อย่าขยับ มิฉะนั้นข้าจะฆ่านางเดี๋ยวนี้!”จวินจิ๋วอิ่นเห็นดังนั้น ก็รีบเก็บพลังวิญญาณของตนเองในทันที“เจ้าต้องการทำอะไรกันแน่?”สายตาอันคมกริบของจวินจิ๋วอิ่น จ้องมองไปที่นักพรตชราผู้นั้นอย่างเต็มไปด้วยคำเตือนนักพรตชราหัวเราะอย่างลำพองใจ สายตามองสำรวจไป๋ซวงไม่หยุด“เจ้าคือศิษย์ของตาเฒ่าเฮยฉีนั่น?”“ตาเฒ่าเฮยฉีอะไรกัน ข้าไม่รู้จัก!”ไป๋ซวงยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา“เป็นไปไม่ได้ ของในร้านฟู่หลิงซวนนั้น รวมถึงสมุนไพรในร้านเจินเฉ่าเก๋อ หากมิใช่ของตาเฒ่าเฮยฉี แล้วเด็กน้อยอย่างเจ้าจะไปหามาจากไหนได้?”สีหน้าของนักพรตชราชุดขาวเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ แถมยังรู้สึกโกรธขึ้นมาเพราะคำพูดของไป๋ซวงไป๋ซวงยกยิ้มมุมปาก ไม่แม้แต่จะมองนักพรตชราชุดขาว“ของของข้า เหตุใดต้องบอกเจ้าด้วย?”“มีอย่างที่ไหนกั
ไป๋ซวงรู้สึกได้ถึงจิตสังหารจากนักพรตชราชุดขาวผู้นั้นทว่านางเพิ่งคิดจะลงมือ ก็เห็นจวินจิ๋วอิ่นยืนอยู่ตรงหน้าตัวเองแล้วสะบัดแขนเสื้อกว้างเบา ๆ พลังวิญญาณสายหนึ่งก็พุ่งออกไปเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ราวกับว่าอากาศสั่นสะเทือนไปหลายครั้งสีหน้าของจวินจิ๋วอิ่นเต็มไปด้วยความเย็นชา ดวงตาคมกริบราวกับมีดมองไปยังนักพรตชราชุดขาวนักพรตชราชุดขาวผู้นั้นยืนอยู่กลางอากาศ มือทั้งสองข้างไขว้หลังชุดคลุมยาวตัวใหญ่ พลิ้วไสวอยู่กลางอากาศ และในขณะนี้ ทหารองครักษ์ก็กรูกันเข้ามา ล้อมรอบนักพรตชราชุดขาวผู้นั้นอย่างช้า ๆ “บังอาจนักเจ้ามือสังหาร ยังไม่ยอมจำนนอีก!”สวีเหว่ย หัวหน้าทหารองครักษ์ถือกระบี่วิเศษ ปลายกระบี่ชี้ตรงไปที่นักพรตชราชุดขาวนักพรตชราชุดขาวหัวเราะลั่น มองสวีเหว่ยด้วยสายตาเหยียดหยามยิ่งไปกว่านั้น สายตายังมองกวาดมองทุกคนอย่างไม่เกรงกลัวราวกับกำลังกวาดมองฝูงมดปลวก“แค่ระดับจอมปราชญ์ยุทธ์ ก็กล้ามาอวดดีต่อหน้าข้า!”พูดจบ ก็ปล่อยแรงกดดันลงมาสวีเหว่ยขมวดคิ้วแน่น คุกเข่าลงกับพื้นเสียงดังตุบปากยังถูกบังคับให้กระอักเลือดออกมาหนึ่งคำจากนั้น แรงกดดันยังไม่จบสิ้นแรงกดดันที่ต่อเนื่อง
น่าเสียดายที่โจวหลิงซางกลับเชิญจวินจิ๋วอิ่นไปเข้าร่วมการล่าสัตว์ด้วยกันอย่างกระตือรือร้นท่ามกลางเสียงเรียกของผู้คน ทั้งสองคนไม่เพียงแต่รับคำท้า แต่ยังตั้งรางวัลอีกด้วยผู้ชนะสามารถสั่งให้ผู้แพ้ทำอะไรก็ได้หนึ่งอย่างดังนั้น สงครามระหว่างบุรุษสองคนจึงเริ่มขึ้นเมื่อจุดธูปขึ้น ทั้งสองคนก็ควบม้าออกไปอย่างบ้าคลั่งการแข่งขันครั้งนี้ ใครล่าได้จำนวนมากที่สุดจะเป็นผู้ชนะเมื่อธูปเผาไหม้จนหมด ทั้งสองคนก็ควบม้ากลับมาพร้อมกันเหยื่อที่อยู่บนหลังม้าของทั้งสอง ดูเหมือนจะพอ ๆ กันเมื่อเห็นทั้งสองคนกลับมา ทันใดนั้นก็มีองครักษ์เข้ามาตรวจนับจำนวนเหยื่อที่ล่าได้ภายในเวลาธูปหนึ่งดอก โจวหลิงซางล่าสัตว์ได้สี่สิบสองตัวส่วนบนหลังม้าของจวินจิ๋วอิ่น มีสัตว์อยู่สี่สิบสามตัวยังดีที่ต่างกันแค่ตัวเดียว!โจวหลิงซางครุ่นคิดในใจ เมื่อครู่ เขาแอบมองจวินจิ๋วอิ่นจากระยะไกลความสามารถในการขี่ม้าและยิงธนูของเขานั้น ช่างยอดเยี่ยมจริง ๆ เนื่องจากผู้คนในดินแดนฮุ่นตุ้นล้วนเป็นผู้ฝึกตน เพื่อสัมผัสกับความสนุกสนานในการล่าสัตว์ของคนธรรมดา จึงได้มีการจัดงานล่าสัตว์ฤดูใบไม้ร่วงขึ้นและกฎข้อแรกของงานล่าสัตว์ฤดูใบ
หลายวันมานี้ นางพยายามทุกวิถีทางที่จะเข้าใกล้ไป๋ซวงแต่ก็จนปัญญา ไป๋ซวงไม่เคยให้โอกาสนางเข้าใกล้เลยแม้แต่น้อยหากเป็นเช่นนี้ต่อไป นางจะสืบหาตัวคนที่อยู่เบื้องหลังไป๋ซวงได้อย่างไรโจวหลิงซางมองผิวน้ำอันเงียบสงบด้วยแววตาเย็นเยียบใช้นิ้วชี้ หมุนแหวนหยกขาวที่อยู่บนนิ้วหัวแม่มือเบา ๆ “หวันฉี่ เสด็จพ่อรอไม่ไหวแล้ว งานล่าสัตว์ครั้งนี้เป็นโอกาสสุดท้ายของเรา”“แต่เสด็จพี่ ท่านก็เห็นแล้วนี่ว่าพวกเขาไม่ให้โอกาสข้าเข้าใกล้เลย”โจวหวันฉี่จะไม่ร้อนใจได้อย่างไรจดหมายของเสด็จพ่อ นางก็เห็นแล้วเช่นกันถ้อยคำที่รุนแรงนั้น แสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจของเสด็จพ่อแล้วหากพวกเขายังไม่สามารถให้คำตอบที่น่าพอใจแก่เสด็จพ่อได้ เกรงว่าเสด็จพ่อจะต้องเปลี่ยนคนมาแทนและฐานะของพวกเขาพี่น้องสองคนก็จะสั่นคลอนแล้ว“ดังนั้น พี่จึงให้ฮ่องเต้จัดงานล่าสัตว์นี้ขึ้นมา ที่นี่เป็นสถานที่ที่สามารถเข้าใกล้ไป๋ซวงได้ง่ายที่สุด”โจวหลิงซางกล่าวจบก็ส่งสายตาที่มั่นใจให้กับโจวหวันฉี่จากนั้น ก็เดินตรงไปยังกระโจมของจวินหงคังเวลานี้ แม้ว่าจวินหงคังจะยังไม่สามารถเดินได้ แต่บาดแผลอื่น ๆ ตามร่างกาย ก็ได้รับการรักษาจนเกือบหายด
งานล่าสัตว์ฤดูใบไม้ร่วงครั้งนี้ เนื่องจากมีองค์หญิงและองค์ชายสามแห่งแคว้นโจวอู้เข้าร่วมด้วย พื้นที่จึงใหญ่กว่าครั้งก่อน ๆ เล็กน้อยขุนนางทุกคนสามารถพาคนในครอบครัวเข้าไปด้านในได้สองคนดังนั้น โดยทั่วไปแล้ว ขุนนางหนึ่งคนจะพาภรรยาและลูกมาด้วยหนึ่งคนและเด็กคนนั้นต้องเป็นคนที่ได้รับการอบรมสั่งสอนเป็นพิเศษจากครอบครัวอย่างแน่นอนเดิมทีจีหรงก็ควรจะมาด้วย แต่นางทุ่มเทใจให้กับซวี่เป่า จึงไม่สนใจการล่าสัตว์แม้แต่น้อยดังนั้น นางจึงอยู่ที่เมืองหลวงเป็นเพื่อนซวี่เป่าขบวนเดินทางมาถึงภูเขาเจี้ยงเหลียง ทุกคนต่างปฏิบัติตามคำแนะนำ ไปพักผ่อนในกระโจมของตนเองไป๋ซวงนั่งอยู่ที่หน้าโต๊ะด้วยความเบื่อหน่าย จิตใจรู้สึกหนักอึ้งใบหน้าของจวินจิ๋วอิ่นเผยรอยยิ้มเอ็นดู แล้วค่อย ๆ นั่งลงตรงหน้านาง“เป็นอะไรไป?”ไป๋ซวงเงยหน้าขึ้น สายตาแฝงไปด้วยความสงสัย“ทรัพย์สินของท่านเยอะหรือไม่?”จวินจิ๋วอิ่นชะงักไปครู่หนึ่ง ดูเหมือนจะคาดไม่ถึงเลยว่าไป๋ซวงจะถามเช่นนี้เขายิ้มสดใสมากขึ้น แล้วยื่นมือไปกุมมือเล็ก ๆ ของนาง“ก็พอได้ น่าจะมากพอให้ฮูหยินใช้อย่างสบาย ๆ ”ไป๋ซวงปัดมือของเขาออก สายตาหม่นหมองยิ่งกว่าเดิม“ข
จวินจิ๋วอิ่นไม่ได้หยุดฝีเท้า เพียงแต่ตอบกลับอย่างเย็นชา“วันนั้นถ้าไม่มีซวี่เป่าช่วยไว้ เกรงว่าเสด็จพ่อคงไม่ได้เจอหน้าลูกตลอดกาลแล้ว”จวินหงคังต้องการเอาชีวิตของเขา แต่เขาแค่เอาขาทั้งสองข้างของอีกฝ่ายไปเท่านั้นจวินฉงได้ยินดังนั้น ก็ไม่ได้พูดอะไรอีกทันทีความรักในครอบครัวราชวงศ์นั้น บางเบาราวกับปีกจักจั่นเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจสูงสุด การห้ำหั่นกันเองในครอบครัว การฆ่าฟันกันเองระหว่างพี่น้องก็ถือเป็นเรื่องเล็กน้อยเขาก็ผ่านการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นเช่นนี้มาแล้วเช่นกันแล้วเขาจะมีสิทธิ์อะไรที่จะเรียกร้องให้ลูก ๆ รักใคร่ปรองดองกันกันเล่า?เขาหวังเพียงแค่ว่า ลูกของตนจะสามารถเอาชีวิตรอดจากเกมการต่อสู้แย่งชิงนี้ไปได้ไม่ว่าอย่างไร ขอแค่มีชีวิตรอดก็พอส่วนเขาก็ควรจะทำอะไรสักอย่าง เพื่อตัดความคิดที่ไม่ควรมีของผู้อื่นเสียจวินจิ๋วอิ่นออกมาจากวังหลวง ไม่ได้กลับไปที่จวนอ๋องด้วยซ้ำเขาพาองครักษ์ลับสิบคน มุ่งหน้าไปยังจวนองค์ชายสามโดยตรงเป็นเวลากลางวันแสก ๆ แต่กลับพังประตูเข้าไปองครักษ์ของจวนองค์ชายสาม ยังไม่ทันได้เข้าใจสถานการณ์ว่ามันเกิดอะไรขึ้นก็ถูกซัดจนกระเจิง ใบหน้าปูดบวมกันทุกคน
มือสังหารถูกฆ่าตายในที่เกิดเหตุสิบคน จับเป็นได้สามคนและหลังจากการสอบสวน พบว่าทั้งสามคนนั้นเป็นคนของท่านอ๋องเก้าด้วยเหตุนี้ เจียงเถียนจึงไปร้องไห้ฟูมฟายกับจวินฉงในคืนนั้นจวินฉงจึงจำต้องเรียกตัวจวินจิ๋วอิ่นเข้าวังในคืนนั้นจวินฉงนำหลักฐานที่ส่งมาจากจวนองค์ชายสาม โยนใส่มือของจวินจิ๋วอิ่น“ว่าอย่างไร?”จวินจิ๋วอิ่นถือหนังสือรับสารภาพที่เปื้อนเลือดเหล่านั้น มุมปากอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มเยาะเย้ยออกมา“ไม่มีอะไร!”จากนั้น ก็วางหลักฐานความผิดลงในมือของจวินฉงอีกครั้ง“คนพวกนั้นเป็นคนของเจ้าจริง ๆ หรือ?”จวินฉงไม่สนใจหลักฐานความผิดเหล่านั้น และมองเขาด้วยสายตาล้ำลึก“หากข้าต้องการเอาชีวิตของเขา ตอนนั้นข้าคงไม่ทำแค่หักขาของเขาเท่านั้น”จวินจิ๋วอิ่นไม่หลบเลี่ยงแม้แต่น้อย นั่งลงหน้าโต๊ะที่อยู่ทางด้านข้างอย่างไม่เกรงกลัว“ก็จริง พ่อก็เดาว่าไม่ใช่ฝีมือของเจ้า”เรื่องนี้ จวินฉงยังคงมั่นใจในตัวเองมากเรื่องที่จวินจิ๋วอิ่นลอบสังหารจวินหงคัง เขารู้มาตั้งนานแล้วแม้กระทั่งในวินาทีที่ข่าวเข้ามาถึงวังหลวง เขาก็เดาได้แล้วว่าเป็นฝีมือของจวินจิ๋วอิ่นเพราะว่าก่อนหน้านี้ คนเหล่านั้นลอบสังหารจ