เมื่อเทียบกับความงามสง่าเจิดจ้าขององค์หญิงเป่าหรงที่ราวกับเทพธิดาแล้ว อ๋องฉีกลับดูราวกับคนเร่ร่อนตามท้องถนน หนวดเครารุงรัง ดูแล้วช่างขัดตาเป็นที่สุดสีหน้าขององค์หญิงเป่าหรงพลันมืดครึ้มลงทันที “พวกเจ้ามีปัญญารับใช้กันแค่นี้หรือ?!”นางเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้มาโดยตลอด ถึงขั้นกล้าไม่เกรงใจฮองเฮาเฝิงด้วยซ้ำ ครั้นเมื่อขันทีสวีและคนอื่น ๆ ได้ยินนางตำหนิ ต่างก็ตกใจจนไม่กล้าพูดอะไร รีบคุกเข่าลงทั้งห้องทั่วทั้งห้องก็พลันเงียบกริบ จนแทบไม่มีใครกล้าหายใจเสียงดังโชคดีที่องค์หญิงเป่าหรงขมวดคิ้วแล้วกล่าวขึ้นว่า “คุกเข่ากันทำไม? ออกไปรอข้างนอก!”ขันทีสวีและคนอื่นๆ พลันโล่งใจ รีบลุกขึ้นแล้วถอยออกไปอย่างรวดเร็วภายในห้องจึงเหลือเพียงพี่น้องสองคนเท่านั้นอ๋องฉีเก็บซ่อนความดุร้ายบนใบหน้า เมื่ออยู่กับน้องสาวท่าทีก็อ่อนโยนขึ้นมาก “เสด็จแม่ให้เจ้ามาหรือ?”เขานิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วอดไม่ได้ที่จะเผยสีหน้าหม่นหมอง “ข้าไม่กตัญญู ทำให้เสด็จแม่ต้องอับอายถึงเพียงนี้ แล้วยังสร้างเรื่องวุ่นวายใหญ่โตขนาดนี้อีก”เรื่องของอ๋องเฉิงกับนายท่านรองหลิ่วกลายเป็นที่เล่าลือกันไปทั่วเมืองเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยไม่ได้ทำสิ
ไม่รู้เพราะเหตุใด ยามมองไปที่องค์หญิงเป่าหรง อ๋องฉีมักจะรู้สึกเหมือนเห็นเงาของชีหยวนวิธีการลงมือจัดการเรื่องต่าง ๆ สองคนนี้ช่างเหมือนกันเหลือเกินชีหยวนนั้นไม่เลือกวิธีการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายองค์หญิงเป่าหรงเองก็ไม่ต่างกันนักเมื่อเยาว์วัย เพียงเพื่อแย่งชิงความโปรดปรานให้หลิ่วกุ้ยเฟยน้อย นางถึงกับยอมกระโดดลงไปในทะเลสาบเย็นเฉียบด้วยตนเองทุกครั้งที่จำเป็นต้องให้นางป่วย นางก็ป่วยได้อย่างเหมาะเจาะพอดีด้วยเหตุนี้ หลิ่วกุ้ยเฟยน้อยจึงเชื่อฟังนางเสมอมาตอนนี้อ๋องฉีมองดูน้องสาว ก็พลันเหม่อลอยไปชั่วขณะ “นางราวกับมีโชคช่วย ข้าใช้มาหลายวิธีแล้ว...”การยอมรับความล้มเหลวเป็นเรื่องที่ยากยิ่งแต่ต่อหน้าน้องสาวของตน กลับไม่ได้มีความสำคัญอะไรนักอย่างไรเสียองค์หญิงเป่าหรงก็มีความหนักแน่นมั่นคงมากกว่าเขาเสมอเมื่อได้ยินคำพูดของอ๋องฉี องค์หญิงเป่าหรงก็หัวเราะเสียงดัง “โชคช่วยหรือ? เสด็จพี่ ท่านโง่ไปแล้วหรือไร?”นางเอ่ยขึ้นอย่างเรียบเฉย “ต่อให้นางจะมีโชคช่วยจริง ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร”เพราะนางไม่เคยเชื่อในเรื่องโชคดีอะไรนั่นเลยแม้แต่น้อยต่อหน้าน้องสาวนั้น อ๋องฉีแทบไม่เคยโต้เถียงเลย เมื่อได
เด็กที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็ก ไหนเลยจะใจแข็งใจลงมือได้จริง ๆ?หากไม่ใช่เพราะเรื่องในหอนางโลมที่ลุกลามใหญ่โต ฮ่องเต้หย่งชางก็คงไม่ตัดสินใจเด็ดขาดถึงขั้นลดบรรดาศักดิ์พระโอรสจากชินอ๋องเป็นจวิ้นอ๋อง และยังกักบริเวณอยู่ที่จวนห้ามออกไปไหนเป็นเวลาถึงครึ่งปีปกติก็ก็พอทำเนา แต่ยามนี้ใกล้ถึงวันปีใหม่ ประกอบกับคำพูดขององค์หญิงเป่าหรง พระองค์ก็พลันใจอ่อนขึ้นมาสองเดือนมานี้จวนฉู่กั๋วกงสูญเสียทั้งหลิ่วจิงหงและคุณชายรองตระกูลหลิ่ว ฉู่กั๋วกงและฮูหยินฉู่กั๋วกงเองก็ล้มป่วย ตระกูลกลับเงียบเหงาไร้ผู้มาเยือนพระองค์ผ่อนลมหายใจยาว ขมวดพระขนง “เขาปกครองดูแลไม่เข้มงวด ได้ยินมาว่าตอนนี้ยังสร้างเรื่องวุ่นวายอีก ให้เขาได้รู้จักสำนึกเสียบ้างก็ดีแล้ว!”องค์หญิงเป่าหรงเขย่าพระกรของฮ่องเต้หย่งชางเบา ๆ “เสด็จพ่อทรงเข้าใจผิดแล้วเพคะ ลูกไม่ได้มาขอความเมตตาให้เสด็จพี่ แต่แค่คิดว่าองค์หญิงหมิงเฉิงเองก็ไม่ได้พบเสด็จพี่มาหลายวันแล้ว ทุกวันเอาแต่คิดถึงเสด็จพี่ด้วยแววตาแสนเศร้า...”เมื่อคิดถึงองค์หญิงหมิงเฉิงที่ยังเยาว์วัย พระทัยของฮ่องเต้หย่งชางก็อ่อนยวบลงอีกครั้งอย่าห้ามไม่ได้บวกกับเสียงวิงวอนอ่อนหวานของธิดาที่อยู
เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยเม้มริมฝีปากแน่นโดยไม่กล่าวคำใดกลับเป็นองค์หญิงหมิงเฉิงที่โอบพระศอของฮ่องเต้หย่งชางไว้แน่น “เสด็จพ่อ อย่าโทษเสด็จแม่เลยเพคะ เป็นลูกที่ไม่รู้ความ ลูกไม่ยอมเชื่อฟัง เอาแต่รบเร้าจะไปหาเสด็จพี่ จนทำให้เสด็จแม่ต้องร้องไห้”เมื่อได้ยินว่าพูดถึงอ๋องฉีอีกครั้ง ฮ่องเต้หย่งชางก็ได้แต่ทอดถอนใจ ก่อนจะดึงมือธิดาออก “พ่อเคยบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่าเส็จพี่ของเจ้าทำผิด ตอนนี้ยังเข้าวังมาพบเจ้าไม่ได้?”องค์หญิงหมิงเฉิงเหลือบมององค์หญิงเป่าหรงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก่อนสะอื้นพลางกล่าวว่า “แต่ลูกฝันถึงเสด็จพี่ ลูกคิดถึงเสด็จพี่เหลือเกิน...”ครานี้ไม่เพียงแค่องค์หญิงหมิงเฉิงเท่านั้นที่ร้องไห้ องค์หญิงเป่าหรงและเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยที่อยู่ข้าง ๆ ก็ล้วนหลั่งน้ำตาเงียบ ๆ ไปด้วยเมื่อทอดสายตามองทั่วทั้งห้องที่เต็มไปด้วยบรรยากาศเศร้าสร้อย แล้วนึกถึงว่าเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยไม่ได้กินไม่ได้หลับมาหลายวัน ฮ่องเต้หย่งชางนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตรัสว่า “เอาละ ให้เขาเข้าวังมาพบพวกเจ้า จะได้ไม่ต้องมัวแต่ห่วงหาอาวรณ์กันไปมากกว่านี้”ตรัสจบก็เปล่งเสียงเรียกขันทีเซี่ยเข้ามาขันทีเซี่ยเพียงกวาดตามองบรรยากาศ
ฮ่องเต้หย่งชางนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตรัสขึ้นอีกว่า “เมื่อไม่นานมานี้ สำนักทอผ้าเจียงหนานถวายผ้าไหมทอดิ้นเงินดิ้นทองเข้ามา เรายกให้เจ้าทั้งหมด!”ผ้าไหมทอดิ้นเงินดิ้นทองถือเป็นของล้ำค่า โดยเฉพาะผ้าไหมทอดิ้นเงินดิ้นทองชั้นเลิศที่สามารถนำมาใช้แทนทองคำและเงินได้โดยตรงทุกปลายปี สำนักทอผ้าเจียงหนานจะส่งเครื่องบรรณาการเข้ามาอย่างน้อยห้าพันถึงหกพันพับ หากตีเป็นเงินคร่าว ๆ แล้วก็นับเป็นจำนวนที่มหาศาล!องค์หญิงเป่าหรงช่างเป็นที่โปรดปรานโดยแท้เหล่านางกำนัลและขันทีต่างเข้าใจดี มองสบตากันไปมาขณะที่บรรยากาศเต็มไปด้วยความชื่นมื่น ขันทีเซี่ยผู้รับใช้ใกล้ชิดฮ่องเต้หย่งชางมาโดยตลอด ผู้ที่แม้ภูเขาจะถล่มลงมาก็ยังสามารถรักษาสีหน้าให้สงบนิ่งได้กลับเร่งฝีเท้าเข้ามาในตำหนักชั้นใน ก่อนเอ่ยเรียกฝ่าบาทด้วยน้ำเสียงร้อนรนฮ่องเต้หย่งชางกำลังหยอกล้อองค์หญิงหมิงเฉิงอยู่ ได้ยินเช่นนั้นก็ขานรับเบา ๆ แล้วจึงเงยพระพักตร์ทอดพระเนตรขันทีเซี่ยขันทีเซี่ยไม่กล้าล่าช้า กราบทูลด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ฝ่าบาท... อ๋องฉีเกิดเรื่องแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”เกิดเรื่อง?!ฮ่องเต้หย่งชางพลันเก็บรอยยิ้ม วางองค์หญิงหมิงเฉิงลง พระพักตร์พ
องค์หญิงเป่าหรงกวาดสายตามองไปรอบ ๆ เห็นว่าบรรดาสนมคนสำคัญในวังบูรพาล้วนมารวมกันเกือบครบแล้ว แม้แต่เหล่าพระราชนัดดาและจวิ้นจู่ก็อยู่ที่นี่ด้วยเว้นเพียงแต่เซียวอวิ๋นถิงที่ไม่อยู่นางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยขณะนั้นเอง ฮ่องเต้หย่งชางสูดลมหายใจลึก ยกพระหัตถ์ขึ้น ปรามรัชทายาทที่กำลังจะพูดให้เงียบลงพระองค์ตรัสถามหมอหลวงหูและคนอื่น ๆ ว่า “พวกเจ้าคิดว่าขาของอ๋องฉีเป็นอย่างไรบ้าง?”หมอหลวงหูและคนอื่น ๆ ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยวาจาไปชั่วขณะจนกระทั่ง ฮ่องเต้หย่งชางแผดเสียงถามด้วยความโกรธ “เป็นใบ้กันหมดหรือ? เราถามว่าขาของอ๋องฉีเป็นอย่างไร?!”ฝ่ายตรวจการสำนักสกุลซุนเงยหน้าขึ้นอย่างสั่นเทา “ฝ่าบาท ฝ่าบาท ขาของอ๋องฉี... หักพ่ะย่ะค่ะ...”(ฝ่ายตรวจการสำนักสกุลซุน เราไม่แน่ใจคำนี้นิดหน่อย แต่เห็นในชีทเป็นคำนี้น่ะค่ะ)ฮ่องเต้หย่งชางปิดดวงเนตรลง ก่อนก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวเด็กคนนี้ที่เกิดมาในอ้อมแขนของเขา เด็กคนนี้ที่เขาทะนุถนอมมาสิบกว่าปี เด็กหนุ่มที่เคยกระฉับกระเฉงสดใส ภาพที่เขารบเร้าว่าอยากเรียนขี่ม้าราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้แต่อยู่ดี ๆ ทำไมถึงขาหักเสียแล้ว?เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยกรีดร้องออกมา ก
เมื่อได้รับข่าว ท่านโหวผู้เฒ่าชีก็รีบร้อนมาหอหมิงเยว่ทันที พอเห็นชีหยวนก็ถอนหายใจหนัก “อ๋องฉีเกิดเรื่องแล้ว...”เขามองชีหยวนด้วยสีหน้าซับซ้อนไม่มีใครรู้เรื่องการบาดเจ็บของอ๋องฉีดีไปกว่าพวกเขา มันเป็นเพราะในตอนที่พวกเขาตามฆ่าชีหยวน แต่สุดท้ายกลับถูกชีหยวนเล่นงานเสียเองต่างหากตอนนี้กลับโยนความผิดไปให้รัชทายาทแทนเห็นได้ชัดว่า อ๋องฉีและพรรคพวกเริ่มลงมือแล้วหลังจากพ่ายแพ้มาหลายครั้งเพียงแต่คาดไม่ถึงว่าจะไม่ได้พุ่งเป้ามาที่ชีหยวน แต่หันไปที่รัชทายาทโดยตรงก็ใช่สิ ที่พึ่งของชีหยวนก็คือเซียวอวิ๋นถิงแต่เซียวอวิ๋นถิงก็เป็นพระราชนัดดา ตราบใดที่รัชทายาทเกิดเรื่อง ตำแหน่งพระราชนัดดาของเขาจะยังอยู่ต่อไปได้หรือ?นี่เป็นหมากที่แยบยลและเฉียบขาด ได้ประโยชน์หลายต่อในคราวเดียวบางทีอาจเพราะใช้ชีวิตราบรื่นมานานเกินไป แม้แต่ท่านโหวผู้เฒ่าชีก็ยังรู้สึกไม่ค่อยสบายใจดังนั้นเมื่อตอนนี้ความยากลำบากถาโถมเข้ามา เขากลับไม่ได้รู้สึกหวาดหวั่นมากนัก เพราะช่วงนี้มีเรื่องยากจะยอมรับมากมายอยู่แล้ว เพียงเพิ่มเข้ามาอีกเรื่องเท่านั้นเองเขานั่งลงตรงข้ามชีหยวน จ้องมองปฏิกิริยาของนางชีหยวนรับคำเบา ๆ ก่อนกล่
สารถีที่ควบม้าก็เช่นเดียวกันใช่ ทุกครั้งล้วนเป็นอุบัติเหตุอุบัติเหตุที่ไร้ร่องรอยข้อผิดพลาดใด ๆแต่ครั้งนี้ต่างออกไป ครั้งนี้เป็นเรื่องของขาของอ๋องฉี!เมื่อนึกถึงคำวินิจฉัยของเหล่าหมอหลวงที่กล่าวว่า ขาของอ๋องฉีอาจไม่สามารถเดินได้อีกต่อไป พระทัยของฮ่องเต้หย่งชางพลันปวดร้าว ตรัสอย่างเฉยชา “ไม่ต้องไปสนใจเขา!”ขันทีเซี่ยไม่กล้าพูดอะไรอีก ได้แต่ก้มศีรษะรับคำอย่างนอบน้อม คอยรับใช้ฮ่องเต้หย่งชางสะสางฎีกาต่อไปผ่านไปเนิ่นนาน ฮ่องเต้หย่งชางหยุดพักจากการตรวจฎีกา ตรัสถามขึ้นเรียบ ๆ “ยังคุกเข่าอยู่ข้างนอกอีกหรือ?”ขันทีเซี่ยรีบออกไปแอบดู ครู่หนึ่งก็กลับมารายงาน “กราบทูลฝ่าบาท... ยังคุกเข่าอยู่พ่ะย่ะค่ะ”นี่ก็ผ่านไปครึ่งคืนแล้วฮ่องเต้หย่งชางทั้งโกรธทั้งหงุดหงิด เหวี่ยงพู่กันลงกับโต๊ะแล้วตรัสเสียงเย็นชา “เรียกเขาเข้ามา!”ขันทีเซี่ยเข้าใจดี จึงก้าวเร็ว ๆ ออกไป เมื่อไปถึงข้างตัวเซียวอวิ๋นถิง ก็เอ่ยเตือนเขาให้ไปเปลี่ยนชุด “จะได้ไม่เป็นการรบกวนฝ่าบาท”เซียวอวิ๋นถิงไม่โต้แย้ง ไปยังตำหนักข้างเพื่อเปลี่ยนอาภรณ์ จากนั้นจึงเข้าตำหนักไท่จี๋ฮ่องเต้หย่งชางประทับอยู่เบื้องบนทอดพระเนตรเซียวอวิ๋นถิ
… ราชบุตรเขยลู่กำหมัดแน่น ฝืนตนเองไว้ไม่ให้หัวเราะพรวดออกมา ปราดเปรื่อง! ช่างปราดเปรื่องยิ่งนัก! วาทศิลป์ระดับนี้ ต่อให้เป็นขุนนางตรวจการก็ยังต้องยอมศิโรราบด้วยความเต็มใจ ความสามารถในการประจบประแจงสอพลอ ต่อให้เป็นขุนนางกังฉิน ก็ยังต้องทุบโต๊ะตะโกนชื่นชม ชีหยวน ช่างเป็นบุปผาที่งดงามได้อย่างน่ามหัศจรรย์จริง ๆ เขาทอดสายตามองไปทางโหวผู้เฒ่าและชีเจิ้นด้วยสายตาชื่นชม สามารถอบรมสั่งสอนบุตรีให้เป็นคนวิเศษยอดเยี่ยมได้แบบนี้ สกุลชีไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ! โหวผู้เฒ่าชีและชีเจิ้นที่ถูกสายตาจดจ้องอยู่แบบนี้จะทำอะไรได้อีก? พวกเขาดึงสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง ก่อนจะคุกเข่าตามชีหยวน: “ฝ่าบาททรงพระปรีชาสามารถ!” สวรรค์! ตอนนี้พวกเขาอยากได้ยาลูกกลอนเจิ้นหยวนมาบรรเทาอาการปวดศีรษะจะแย่อยู่แล้วใหตายเถิด! ฮ่องเต้หย่งชางกระแอมออกมาหนึ่งที คำพูดไพเราะผู้คนล้วนโปรดปราน แล้วฮ่องเต้มิใช่คนหรืออย่างไร? วันทั้งวันตั้งแต่เช้าถึงค่ำพวกเขาต้องทนฟังขุนนางตรวจการพ่นคำนั้นคำนี้ ยิ่งเจอคนแบบผู้ตรวจการเถี่ย ยังไม่ทันไรก็พยายามก้าวก่ายชีวิตวังหลังของเขาให้ได้ไม่เลิกรา พันสิ่งหมื่นสิ่งผ่านไป แต่การประจบสอพลอไม
นางเอ่ยพลาง น้ำตาก็ร่วงเผาะ ๆ ลงมา: “การตายของเสด็จแม่ข้าอนาถปานนี้แล้ว ท่านป้า ท่านยังจะคิดเล็กคิดน้อยกับคนตายอีกหรือ?!” ไล่เฉิงหลงเห็นกับตาว่าชีหยวนแอบทำท่าเตะบอกใบ้พระชายาหลิ่ว เขาเบนสายตามองไปทางอื่น ทันใดนั้นพระชายาหลิ่วก็เตะเป่าหรงไปหนึ่งที ลูกเตะนี้อัดอั้นมานานมากแล้ว แม่ลูกคู่นี้น่ารำคาญยิ่งนัก! นับแต่นางกลับมาก็เอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด เอาแต่แสดงความอ่อนแอไม่หยุด เอาแต่สำนึกผิดไม่หยุด สำนึกผิดแล้ว แต่เรื่องเลวทรามชั่วช้าก็ยังคงทำต่อไปเรื่อย ๆ ไม่หยุดเช่นกัน ไม่เห็นว่าจะไม่เป็นธรรมเลยสักนิด เป่าหรงถูกเตะจนกระเด็นล้มไปกับพื้น มือกุมท้องน้อยแน่นพลางตะโกนร้องเรียกเสด็จพ่อในทันใด ฮ่องเต้หย่งชางขุ่นเคืองขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว สวัสดิการที่เขามอบให้เกินไปจริง ๆ เรื่องนี้มิได้ผิด แต่ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็สามารถหารือกันได้! หากว่าไม่เหมาะสม ก็แค่เรียกกรมพิธีการมาหารือ หรือจะทำตามราชวงศ์ก่อนหน้า แล้วค่อยพิจารณากฎเกณฑ์ที่กำหนดขึ้นใหม่อีกครั้งจะเป็นอะไรไป! เหตุใดพระชายาหลิ่วจะต้องลงไม้ลงมือกับเด็กคนหนึ่งด้วย?! เขาโผเข้าไปพยุงองค์หญิงเป่าหรงขึ้นมา แต่ใครเล่าจะทราบพระชายาห
หัวใจของขันทีเซี่ยแทบจะกระเด็นออกมาถึงคอหอยสวรรค์ช่วยด้วยเถอะ!ไม่ว่าท่านอ๋องจะทำอะไรก็ลำบากไปหมดจริง ๆ ถ้าไม่ลุกขึ้นมาพูดอะไร คนทั่วหล้าก็จะตราหน้าว่าเขาเป็นหลานอกตัญญู เป็นคนโง่เขลาอ่อนแอแต่ถ้าลุกขึ้นมาพูดตอนนี้ เกรงว่าในความพิโรธของฮ่องเต้หย่งชาง อาจจะปลดเขาจากตำแหน่งพระราชนัดดาองค์โตได้เลย!ไม่รู้ทำไม ขันทีเซี่ยเผลอหันมองไปทางชีหยวนโดยไม่รู้ตัวแต่ชีหยวนไม่มีเวลาสนใจว่าใครมองนางทั้งนั้น นางแค่จับชายแขนเสื้อของ พระชายาหลิ่วเอาไว้ เขย่าเบา ๆ ส่งสายตาเป็นสัญญาณ และกดเสียงลงต่ำ “พระชายา ถึงขนาดนี้แล้ว ยังจะทนอีกหรือ? คนที่ฆ่าท่านแม่ของท่าน จะปล่อยให้นางแย่งชิงตำแหน่งของท่าน ให้นางเข้าไปในสุสานหลวงได้อีกหรือ?”……ไล่เฉิงหลงแอบเหลือบมองชีหยวนอีกรอบเสียงกระซิบของคุณหนูใหญ่ตระกูลชีนี้ ให้มันเบากว่านี้ไม่ได้เลยหรือ?เขาเป็นถึงองครักษ์เสื้อแพรนะ!นางยังมีความเคารพขั้นพื้นฐานต่อองครักษ์เสื้อแพรบ้างหรือไม่เนี่ย?!ไม่เพียงแค่ไม่กลัว นางยังยุยงให้พระชายาหลิ่วลุกขึ้นก่อเรื่องอีกด้วย!องค์หญิงเป่าหรงที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ พลันเปลี่ยนเป็นยิ้มออกมาในทันทีแม้เสด็จแม่จะตายอย
องค์หญิงเป่าหรงแทบจะเสียสติด้วยความโกรธแล้วนางเคยคิดมาตลอดว่าตัวเองเป็นคนที่ชั่วร้ายที่สุดในโลกนี้แล้ว ไม่มีใครจะร้ายกว่านางได้อีกแล้วแต่ไม่คิดเลยว่าจะมีจริง ๆ!นางเป็นคนสั่งให้ซวงฮวาไปบอกให้แม่ชีคนนั้นหลอกล่อให้ชีหยวนออกไป จากนั้นก็แอบใส่ผงปาโต้วลงไปในยาแต่ผงปาโต้วพวกนั้นนั้นไม่มีผลอะไรกับอาการป่วยของเสด็จแม่ได้เลยนางรู้อยู่แก่ใจดี เสด็จแม่ไม่ได้ป่วยจริง!โรคชี่ถูกปิดกั้นอะไรนั่น ก็แค่ฉีหยวนกุเรื่องขึ้นมาเพื่อเปิดโปงว่าเสด็จแม่ของนางแกล้งเป็นลมเท่านั้น!นางแค่อยากให้เสด็จแม่ดูเหมือนป่วยเล็กน้อย เพื่อหลอกล่อให้เสด็จพ่อลงโทษชีหยวนได้ง่ายขึ้น!พอดีกับที่พระชายาหลิ่วกำลังทำให้เสด็จพ่อลำบากพระทัย ไม่ยอมให้อภัยเสด็จพ่อ แถมยังโกรธไม่เลิก จนเป็นเรื่องวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วราชสำนัก ถึงขั้นต้องมาฉลองวันปีใหม่กันที่อารามไป๋อวิ๋นเสด็จพ่อที่กำลังหงุดหงิด ถ้ารู้ว่าชีหยวนรักษาเสด็จแม่ของนางจนแย่ลงล่ะก็ ต้องสั่งประหารชีหยวนแน่นอน!แต่ใครจะรู้ล่ะ ใครจะรู้ว่ายานั่นกลับมีโหราเดือยไก่ด้วย!นางไม่ได้ใส่!นางไม่ได้ใส่เลยจริง ๆ!แล้วใครเป็นคนใส่กัน?!องค์หญิงเป่าหรงชี้หน้าด่าชีหยวนอย่างเกรี
นางยืนตัวตรงหลังตรงไม่ไหวติงจากนั้นพูดอย่างสงบนิ่งว่า “มีคนจงใจสับเปลี่ยนยาของหม่อมฉัน”ขณะนั้นเอง พระชายาหลิ่วก็วิ่งร้องไห้เข้ามา “เซียวเสี่ยนเจียว! เจ้ารีบไปดูอาโม่เร็วเข้า อาโม่เขาอาเจียนไม่หยุด ถ่ายท้องไม่หยุด อาการหนักมาก เจ้ารีบหาหมอมาดูเขาทีเถอะ!”แม้ว่าในพระทัยของฮ่องเต้หย่งชาง จะยุ่งเหยิงไปหมด แต่ชีวิตของลูกก็ต้องช่วยไว้ก่อนพระองค์จึงสั่งหมอทั้งหลายทันที “รีบไปตรวจดูอาการอ๋องเร็วเข้า! หากอ๋องเป็นอะไรไป พวกเจ้าก็อย่าหวังจะรอดเหมือนกัน!”หมอหลวงแต่ละคนขาสั่นพากันรีบออกไปจู่ ๆ ชีหยวนก็เอ่ยถามพระชายาหลิ่ว ที่กำลังจะออกไป “พระชายา ท่านบอกว่าท่านอ๋องอาเจียนไม่หยุด ถ่ายท้องไม่หยุดอย่างนั้นหรือเจ้าคะ?”พระชายาหลิ่วตอบรับด้วยเสียงสะอื้น สีหน้าของชีหยวนเคร่งขรึมลงทันที นางคุกเข่าลงแล้วโขกศีรษะต่อหน้าฮ่องเต้หย่งชาง “ฝ่าบาท! ขอพระองค์ทรงอนุญาตให้หม่อมฉันไปดูอาการของท่านอ๋องด้วยเพคะ บางทีหม่อมฉันอาจจะรู้สาเหตุโรคของท่านอ๋องก็เป็นได้เพคะ!”ถึงตอนนี้แล้ว อย่างไรพระโอรสที่มีชีวิตก็สำคัญกว่ามิฉะนั้น บรรดาขุนนางคงจะด่ากันขรม กฎเกณฑ์ราชสำนักก็คงกดดันพระองค์ ไหนจะพวกเมืองขึ้นเล็ก ๆ
ช่างเป็นเด็กสาวที่ประหลาดจริง ๆแม้ว่าไล่เฉิงหลงจะคิดเช่นนั้น แต่ก็ยังทำตามหน้าที่ ก้าวไปข้างหน้าหมายจะไปจับคุมตัวนางแต่ในตอนนั้นเอง ชีหยวนกลับก้าวไปข้างหน้า คุกเข่าลงตรงหน้า ฮ่องเต้หย่งชาง “ฝ่าบาท หม่อมฉันมีทั้งตระกูลโหวอยู่เบื้องหลัง บิดาของหม่อมฉันก็เป็นขุนนางคนสำคัญของพระองค์ เว้นเสียแต่ว่าหม่อมฉันจะเสียสติไปแล้วจริง ๆ มิเช่นนั้นหม่อมฉันจะลอบวางยาพิษกุ้ยเฟยได้อย่างไรเพคะ?”ฮ่องเต้หย่งชางจ้องมองนางอย่างไร้ความรู้สึกชีหยวนไม่แม้แต่จะหวาดหวั่นเกรงกลัว นางยกเปลือกตาขึ้นประสานตากับฮ่องเต้หย่งชางโดยตรง ครั้งนี้แม้แต่ไล่เฉิงหลงก็อดสะดุ้งไม่ได้ จ้องตาฮ่องเต้ตรง ๆ เด็กสาวคนนี้ไม่ธรรมดาจริง ๆฮ่องเต้หย่งชางทรงพระสรวลอย่างเย็นชา แล้วทรงชี้ไปที่เหล่าหมอพื้นบ้าน และตะกอนยาเหล่านั้น “แล้วเจ้าจะอธิบายอย่างไร? ในนี้มีโหราเดือยไก่ ซึ่งมีพิษร้ายแรง?! ยานี่เจ้าต้มเอง เขียนตำรับยาเองกับมือ หรือว่านี่มันผิดงั้นหรือ?!”ชีหยวนพยักหน้า “ไม่ผิดเพคะ เป็นใบจ่ายยาที่หม่อมฉันเขียนเองจริง ๆ ดังนั้นหม่อมฉันมีหลักฐานบันทึกไว้”นางหันไปมองนางกำนัลชื่อซวงฮวา ที่ยืนอยู่ข้างหลังองค์หญิงเป่าหรง “กูกูผู้น
อย่าว่าแต่คุกเข่าเลย ต่อให้องค์หญิงเป่าหรงจะเอาหัวโขกพื้นจนแตกอยู่ที่นี่ ชีหยวนก็สมควรได้รับ!เซียวอวิ๋นถิงรีบคว้าโอกาสทันที เขาขมวดคิ้ว “เสด็จอาหญิงเป่าหรง ท่านทั้งร้องไห้และโวยวาย พวกเราเพิ่งเข้ามา ท่านก็ลงมือบีบคอคน แถมยังลงไม้ลงมือตบตีคน ตอนนี้ยิ่งแล้ว ลงไปนั่งคุกเข่าให้อีก ท่านนี่มันเสียเกียรติของราชวงศ์เราโดยแท้!”เขาฉวยโอกาสก่อนที่ฮ่องเต้หย่งชางจะโกรธ รีบพูดขึ้นว่า “เสด็จปู่ยังอยู่ที่นี่ เสด็จปู่ยังอยู่ที่นี่ ความจริงยังไม่ถูกตรวจสอบให้ชัดเจน สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือหาสาเหตุการตายของกุ้ยเฟยให้ได้ ท่านทำแบบนี้ มิเท่ากับทำให้กุ้ยเฟยจากไปอย่างไม่สงบหรือ?”ฮ่องเต้หย่งชางก็คิดเช่นนี้เหมือนกันพระองค์สูดหายใจลึก พระพักตร์เคร่งขรึม แล้วหันไปถามชีหยวน “เจ้าเป็นคนรักษากุ้ยเฟย และเป็นคนจ่ายยาให้กุ้ยเฟยเอง? และเป็นคนต้มยาให้กุ้ยเฟยเอง?”องค์หญิงเป่าหรงรู้สึกพึงพอใจนางตระเตรียมไว้นานแล้ว ทุกเรื่องให้ชีหยวนเป็นคนจัดการด้วยตัวเอง ไม่มีทางให้นางพ้นผิดไปได้เลยแค่คิดไม่ถึงว่าชีหยวนจะวางยาจริง ๆ!นางอยากให้ชีหยวนตาย แต่จะคิดให้เสด็จแม่ตัวเองตายได้อย่างไรเล่า? เสด็จแม่เป็นที่โปรดปรานขนาด
เดิมทีตอนที่องค์หญิงเป่าหรงพุ่งเข้าหาตนนั้น ชีหยวนสามารถหลบได้อย่างสบาย ด้วยฝีมือห่วย ๆ ของเป่าหรง ชีหยวนแค่เตะเข้าที่หัวเข่าเบา ๆ สักที ก็สามารถส่งนางไปนั่งเป็นคู่ขากับพี่ชายของนาง กลายเป็นคนขาพิการไปอีกคนได้แล้วทว่านางมีประสาทหูที่ไวมาก นางได้ยินเสียงฝีเท้าหลายคนดังมาจากข้างหลัง รู้ได้ทันทีว่า ฮ่องเต้หย่งชาง น่าจะได้ข่าวแล้ว กำลังรีบมาแน่ ๆ นางเลยปล่อยให้องค์หญิงเป่าหรงกระโจนเข้ามาบีบคอตนเองแต่บีบคอสินะ?นางโดนบีบคอ ยืนไม่ไหว ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรใช่หรือไม่ล่ะ?ดังนั้นนางเลยแอบเกี่ยวขาองค์หญิงเป่าหรงอย่างมีชั้นเชิง ทิ้งตัวล้มลงกับพื้นทันที และตัวนางผ่อนแรงไปกว่าครึ่ง ทว่าองค์หญิงเป่าหรงนี่สิ ล้มหัวทิ่มพื้นไม่เป็นท่า จนหน้าผากบวมเป็นลูกเท่าหน้าผากของเทพเจ้าซิ่วแชกงในขณะนี้นางไม่มีแรงและความคิดที่จะบีบคอชีหยวนต่อแล้วเมื่อเห็นฮ่องเต้หย่งชางเดินเข้ามาพอดี ก็รีบกระโจนเข้าไปซบอกฮ่องเต้หย่งชางอย่างน่าสงสาร ร้องไห้สะอื้น “เสด็จพ่อ! เสด็จพ่อ! เสด็จแม่ของลูกสิ้นแล้ว เสด็จแม่ของลูกสิ้นแล้ว!”นางเสียใจจริง ๆ ความเจ็บปวดที่แท้จริงเท่านั้นที่ทำให้ผู้คนเห็นอกเห็นใจน้ำตาของนางราวกั
เขาเมินเฉยต่อคำเตือนของขันทีเซี่ย ก้าวขึ้นบันได แล้วเอ่ยเสียงดังว่า “เสด็จปู่ ข้า…...”เขาจะรับทุกอย่างแทนชีหยวนเองเขาจะทำให้นางรู้ว่า นางไม่ได้มีแค่ตัวคนเดียว นางก็มีคนที่เป็นที่พึ่งพิงได้เหมือนกัน!ขันทีเซี่ยเหงื่อแตกพลั่กด้วยความร้อนรน หากพระองค์เอาตัวเองไปพัวพันกับเรื่องนี้ ไม่เพียงแต่ตำแหน่งจะหมดหวัง แม้แต่ชีวิตก็อาจรักษาไว้ไม่ได้เลย!โชคดีที่ในจังหวะนั้นเอง ราชบุตรเขยลู่จากเรือนกรรมฐานองค์หญิงใหญ่วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น เขาดึงเซียวอวิ๋นถิงออกไป แล้วรีบทูลรายงานต่อฮ่องเต้หย่งชางและพระชายาหลิ่วว่า “ฝ่าบาท พระชายา เกิดเรื่องใหญ่แล้วพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายทรงอาเจียนไม่หยุด ท้องเสียอย่างหนัก พระวรกายอ่อนแรงมาก เกรงว่าจะไม่ไหวแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”จะไม่ไหวแล้ว?!เซียวโม่?!ฮ่องเต้หย่งชางถึงกับชะงักไป เดิมที่โกรธเกรี้ยวอยู่เต็มอก ตอนนี้กลับรู้สึกสับสนเพิ่มขึ้นอีก พระองค์รีบหันไปสั่งการกับไล่เฉิงหลง “ไล่เฉิงหลง! รวมคนทั้งหมดในอารามไป๋อวิ๋น ค้น ค้นให้ทั่ว ตรวจสอบให้ดี! ดูสิว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่! เริ่มจากตำหนักของอ๋องก่อน ส่วนข้าจะไปหากุ้ยเฟยก่อน!”เดิมทีพระชายาหลิ่วค