ระยะยิงของเกาทัณฑ์แขนเสื้อนั้นไม่ได้ไกลนัก จึงมักถูกใช้งานโดยการผูกติดไว้ที่ข้อมือแต่มันก็มีข้อดี นั่นก็คือใช้งานสะดวกและพกพาง่ายลูกดอกพุ่งออกไปดั่งสายฝน ใบหน้าของชีจิ่นพลันเยือกเย็นลงในทันทีนางไม่ได้สนใจเลยว่าชีอวิ๋นถิงจะเป็นหรือตาย ขอแค่ลูกดอกเหล่านั้นสักดอกหนึ่งได้ยิงเข้าใส่ชีหยวนขอแค่ชีหยวนตายขอแค่นางตาย ตนก็จะได้รับความดีความชอบจากท่านอ๋อง!จวนหย่งผิงโหวอะไรกัน? ฮูหยินของผู้สืบทอดจวนหย่งผิงโหว หรือแม้แต่ฮูหยินโหวอะไรนั่น? จะเทียบได้กับเกียรติยศของพระชายาอ๋องฉีได้อย่างนั้นหรือ!กระทั่งไม่ต้องพูดถึงตำแหน่งพระชายาอ๋องฉีเลย แม้หลังจากอ๋องฉีถูกลดขั้นเป็นจวิ้นอ๋อง ก็ยังเหนือกว่าตำแหน่งโหวถึงสามขั้น!มีคนมากมายที่พยายามทั้งชีวิต แต่ไม่อาจก้าวข้ามช่องว่างนั้นไปได้ ยิ่งไปกว่านั้น นี่มันไม่ใช่แค่ก้าวเดียว แต่มันเป็นทั้งเส้นทาง!นางสูดหายใจเข้าลึกและสิ่งที่เห็นก็คือ ชีหยวนกลับผลักชีอวิ๋นถิงมาข้างหน้าโดยไม่ลังเล!ชีหยวนกล้าทำเช่นนี้จริงๆ !ชีจิ่นถึงกับชะงักงันไปชั่วขณะนางคิดว่าตัวเองนั้นใจแข็งพอแล้วแต่ไม่นึกเลยว่าชีหยวนจะไร้ความปรานียิ่งกว่าตัวนางเองเสียอีกรู้ทั้งร
ชีจิ่นสีหน้าไร้ความรู้สึกใดๆนางไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อยพี่ชายงั้นหรือ?ก็แค่คุณชายเสเพลที่ไม่มีอำนาจใดๆ ทำได้แค่พูดจาเหลวไหลไปวันๆ!ที่พึ่งพิงอะไรกัน?ก็แค่คนโง่เง่า คนไร้ประโยชน์ที่ดูดีภายนอกแต่ข้างในกลับกลวงเปล่าเท่านั้น!เขาจะคู่ควรกับนางได้อย่างไร?!ก็ดี ถือโอกาสนี้กำจัดทั้งชีอวิ๋นถิงและชีหยวนไปพร้อมกันเสียเลยชิชิบุตรชายบุตรสาวสายตรงของตระกูลตายหมดในคราวเดียวเชียว!นี่แหละคือผลกรรมของตระกูลชีที่ทอดทิ้งนาง!เป็นคนของตระกูลชีที่สมควรโดน!นางตื่นเต้นเกินไปจนเผลอหายใจผิดจังหวะ ต้องก้มลงไอไปสองสามครั้งผลลัพธ์คือเกาทัณฑ์แขนเสื้อของนางทั้งสิบดอกกลับพุ่งเข้าใส่ชีอวิ๋นถิงทั้งหมด!ทว่าไม่มีดอกใดโดนจุดสำคัญเลยราวกับว่ามีการคำนวณไว้แล้วอย่างแม่นยำบาดแผลของชีอวิ๋นถิงอยู่ที่ไหล่ แขน และขาเท่านั้นชีจิ่นเริ่มกระวนกระวายใจทำไมกัน?นังสารเลวชีหยวนไม่แม้แต่จะได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่นิดเดียว!นางหมดความอดทนแล้ว ชักแส้จากเอวออกมาแล้วฟาดไปทางชีหยวนอย่างรวดเร็วแส้นี้นางต้องแลกมาด้วยชีวิต ปลายแส้ชุบยาพิษเอาไว้ ขอแค่ฟาดให้ผิวหนังแตก พิษก็จะซึมลึกเข้าสู่กระดูก ทำให้คนคนนั้น
แม้แต่ชีจิ่นก็ยังเบิกตากว้างอยู่ด้านข้าง ถอยหลังไปหนึ่งช่วงนางปิดปาก มองชีหยวนด้วยความเหลือเชื่อ: “เขาเป็นพี่ชายแท้ๆ ของเจ้า! เจ้ายังลงมือได้ลงคอจริงๆ หรือ?!”......ชีหยวนส่งสายตาซับซ้อนให้นาง แล้วเลิกคิ้วนับรูบนร่างชีอวิ๋นถิง แล้วแค่นเสียงหัวเราะเยาะ: “ตอนเกิดเรื่องเขาเป็นพี่ชายแท้ๆ ของข้า แต่ตอนเจ้าจะใช้เขาเป็นเครื่องมือ เขาก็เป็นพี่ชายแท้ๆ ของเจ้าแล้วใช่ไหม?”พี่ชายแท้ๆ อะไรกัน?ถุย!ชาติก่อนนางเคยทำอะไรผิดงั้นหรือ?!นางผ่านความทุกข์ยากมาอย่างแสนสาหัส คิดว่าการถูกตระกูลโหวรับกลับมา จะเป็นการพ้นจากความลำบากเสียที คิดว่าในที่สุดนางก็จะมีครอบครัวให้พึ่งพิงแต่สิ่งที่รอคอยนางอยู่คืออะไร?!คือคำด่าทอนังสารเลว ลูกนอกคอกจากปากของชีอวิ๋นถิงไม่เคยเว้นว่างคือฝ่ามือของชีอวิ๋นถิง คือความเย็นชาห่างเหินและความระแวงจากนางหวังในทุกวันพวกเขาใช้การกระทำบอกนางว่า นางไม่มีคุณค่า นางไม่เป็นที่ต้อนรับแม้กระทั่งรู้ทั้งรู้ว่าชีจิ่นล้มลงไปเอง แล้วโยนความผิดให้ว่านางเป็นคนผลัก ชีอวิ๋นถิงก็ยังลงมือหักขานางโดยตรงความเจ็บปวดจากขาที่หัก นางจำไปชั่วชีวิตนางเคยวิงวอนชีอวิ๋นถิงอย่างไร หวังว่าชี
ในเมื่อถอยก็ต้องตาย เช่นนั้นสู้สุดชีวิตยังจะดีกว่าชีจิ่นจ้องชีหยวนที่ก้าวเข้ามาใกล้ทีละก้าวอย่างแน่วแน่ แอบกำปิ่นที่ฉวยโอกาสดึงออกมาตอนช่วงชุลมุนเมื่อครู่ เอาไว้ใต้แขนเสื้อแน่น รอจนกระทั่งชีหยวนเข้ามาใกล้ นางก็พุ่งตัวออกไปอย่างกะทันหัน และกระโดดขึ้นมา หวังจะปักปิ่นเข้าไปที่ลำคอของชีหยวนแต่น่าเสียดาย ชีหยวนไม่ให้โอกาสนั้นกับนางเลย ในเสี้ยววินาทีที่ชีจิ่นกระโจนขึ้นมา ชีหยวนก็รับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวนั้นแล้ว นางเหยียดขาออกไปถีบเข้ากลางท้องของชีจิ่นอย่างแรง ส่งร่างของนางลอยกระเด็นไปร่างของชีจิ่นปลิวกระแทกเข้ากับผนังด้านหลัง ความเจ็บปวดแล่นขึ้นมาจากแผ่นหลัง ภายใต้ความเจ็บที่ด้านหน้าและด้านหลังประเดประดังเข้าหากัน ทำให้นางกระอักเลือดออกมาในทันที ร่างกายของนางเริ่มกระตุกและอาเจียนออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ชีหยวนย่อตัวลง แงะมือของนางออก หยิบปิ่นทองในมือของนางขึ้นมา แล้วแกว่งมันไปมาต่อหน้านาง: “ดูเจ้าสิ ไร้ค่าเสียจริง อย่างน้อยข้ายังได้เรียนรู้วิธีฆ่าหมูจากพ่อแท้ๆ ของเจ้ามาบ้าง อย่าดูถูกการฆ่าหมูนะ มันต้องใช้ทั้งแรงและทักษะ ต้องรู้ว่าจะเชือดอย่างไรให้ตายสนิทในครั้งเดียว ไม่ให้เสียเวลาให้น้ำ
ชีหยวนนิ่งสงบ ไม่สะทกสะท้านใด ๆ ถึงขั้นลากเก้าอี้ตัวหนึ่งเข้ามานั่ง พลางยิ้มตาหยีจ้องมองชีจิ่น: “เป็นอะไรไป กำลังคาดหวังสิ่งใดอยู่หรือ? คาดหวังให้โหวผู้เฒ่าและฮูหยินผู้เฒ่าลงลงทัณฑ์ข้าที่นี่?” คิดไม่ถึงว่านางจะตรงไปตรงมาถึงเพียงนี้ สามคนภายในห้องต่างทอดสายตามองมาทางนาง โดยเฉพาะชีจิ่น นางใบหน้าแดงก่ำ เดิมทีก็บาดเจ็บสาหัสอยู่แล้ว บัดนี้ยังถูกชีหยวนยั่วให้เกิดโทสะ ยิ่งเจ็บแปลบที่หน้าอก จนต้องสูดลมหายใจเย็นเยียบ ฮูหยินผู้เฒ่าตั้งสติได้ ก็เหวี่ยงชีอวิ๋นถิงออกไปและหยัดกายขึ้นยืน ก่อนจะวิ่งรี่เข้าไปถึงเบื้องหน้าชีจิ่น ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็เหวี่ยงฝ่ามืออย่างสุดแรง ฟาดกกหูของชีจิ่นเข้าไปหนึ่งฉาดอย่างทารุณ นางอดทนจนอดทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ก็ชี้หน้าชีจิ่นพลางต่อว่าด้วยเสียงสั่นเครือ: “เจ้ามันเดรัจฉาน ตัวทำลายความสงบสุขครอบครัว! เรือนพวกข้าแม้มิอาจเรียกได้ว่ามีบุญคุณหนักเท่าขุนเขาสำหรับเจ้า แต่ก็นับว่าให้ความเมตตาและรักษาสัจจะอย่างถึงที่สุดแล้ว! หลายปีที่ผ่านมาพวกข้าเคยด้วยหรือที่ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างอยุติธรรม? ต่อให้รู้เรื่องชาติกำเนิดของเจ้าแล้ว แต่มารดาและพี่ชายของเจ้าก็ทะนุถนอมปกป้องเจ้าอย่างสุ
หากว่าชีอวิ๋นถิงพอจะมีมโนสำนึกสักเสี้ยวหนึ่ง มีสมองสักเสี้ยวหนึ่ง วางตัวให้เหมาะสมกับฐานะของตนเอง เรื่องทั้งหมดก็คงไม่เกิดขึ้นแล้ว ทว่าบัดนี้ จะพูดอะไรก็สายไปเสียแล้ว ชีหยวนหยัดกายลุกขึ้นยืน: “ในเมื่อข้ากล้าทำ ก็พร้อมจะยอมรับผลของการกระทำทั้งหมด หากโหวผู้เฒ่าและฮูหยินผู้เฒ่าต้องการให้ข้าชดใช้ ข้าก็จะยอมรับ” ทว่าโหวผู้เฒ่ากลับโบกมือทันทีโดยไม่ลังเล: “อาหยวน! เจ้าทำถูกต้องแล้ว! เขาหูเบา ทั้งยังโง่เขลาและโหดเหี้ยม คนพรรค์นี้หากปล่อยให้เป็นซื่อจื่อของจวนโหวข้าต่อไป ไม่ช้าก็เร็วจวนหย่งผิงโหวของพวกข้าจะต้องพบหายนะใหญ่เป็นแน่แท้” เขาย่อมรู้ว่าควรจะคัดเลือกอย่างไร ชีอวิ๋นถิงสิบคนก็ยังสำคัญไม่เท่าชีหยวนเพียงคนเดียว! ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็ซับน้ำตาพลางเอ่ยด้วยเสียงสะอึกสะอื้น: “เป็นเช่นนั้นจริง ไม่ใช่ว่าเจ้าจะไม่เคยเตือนเขามาก่อน แต่เป็นเขาเองที่ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ เลือกเดินในทางที่บิดเบี้ยวเกินไป” เห็นเขาสองคนพูดถึงขั้นนี้ ชีหยวนเองก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี นางเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยว่า: “ที่ข้ามิได้สังหารเขา นับว่าให้เกียรติและไว้หน้าพวกท่านผู้เฒ่าทั้งสองแล้ว” หากเป็นคนอื
บางทีอาจเป็นเพราะความไม่ราบรื่นในช่วงนี้มีเยอะมากเกินไปจริง ๆ สภาพจิตใจของนางหวังหนักอึ้งมาตลอด แม้แต่หัวใจก็ยังรู้สึกไม่สบายอยู่สักหน่อยด้วย โดยเฉพาะหลังจากตอนที่ได้เห็นแม่นมสวีตายไปกับตา นางถึงขั้นฝันร้ายติดต่อกัน หลายวันที่ผ่านมานี้นอนหลับไม่สนิทนัก บัดนี้แค่เดินเพียงไม่กี่ก้าว ก็รู้สึกแล้วว่าแน่นหน้าอกหายใจติดขัด ทั่วทั้งร่างกายรู้สึกอึดอัดไปหมด เห็นท่านโหวผู้เฒ่าชีและฮูหยินผู้เฒ่าชีสองคนต่างนั่งรอคอยตนเองอยู่ การตอบสนองแรกของนางคือสงสัยว่าใช่ชีอวิ๋นถิงไปก่อเรื่องอะไรอีกแล้วหรือไม่ มิเช่นนั้นพวกโหวผู้เฒ่าจะมีท่าทีเช่นนี้ได้อย่างไร? นางเปล่งเสียงถามหยั่งเชิงออกไป: “ท่านพ่อ ท่านแม่ มีเรื่องอันใดหรือ?” แสงเปลวเทียนรุบรู่ สีหน้าของโหวผู้เฒ่าและฮูหยินผู้เฒ่าดูคลุมเครือภายใต้แสงตะเกียง หัวใจของนางหวังยิ่งประหม่าเป็นกังวล แม้แต่หายใจเข้าออกยังรู้สึกลำบากเล็กน้อย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผ่านไปเนิ่นนานเพียงใด โหวผู้เฒ่าถึงจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า: “มีเรื่องจำต้องบอกกับเจ้าไว้…” หัวคิ้วของเขาก็ดูจะไม่เคยคลายออกจากกันมาก่อนเช่นกัน มองไปแล้วเห็นถึงความดุดันและเข้มงวด ครู่หน
จะไม่รู้สึกเจ็บปวดจริง ๆ ได้อย่างไรกันเล่า?! ถึงอย่างไรก็เป็นหลานชายในสายเลือดที่เติบโตในสายตาของตนเอง ทว่าฮูหยินผู้เฒ่าชีก็ทราบดีที่เรื่องมาถึงจุดนี้จะโทษชีหยวนไม่ได้คนที่สมควรกล่าวโทษที่สุดก็คือตัวชีอวิ๋นถิงเอง ที่จิตใจบิดเบี้ยว หัวใจไร้ซึ่งคุณงามความดีและความเมตตากรุณาต่อน้องสาว รองลงมาก็คือชีจิ่น ตอบแทนบุญคุณด้วยความแค้น ลืมบุญคุณ บีบจุดอ่อนของชีอวิ๋นถิง มาล่อลวงให้เขาก้าวเดินไปในทางที่ผิด ทว่ายามนี้พวกเขาสองคนคนหนึ่งก็พิการอีกคนก็ตายไปแล้ว พวกเขาได้ชดใช้ในสิ่งที่สมควรจะต้องชดใช้แล้ว เหลือก็แต่นางหวัง ฮูหยินผู้เฒ่าชีคว้าคอเสื้อของนางหวังไว้ บัดนี้ไม่มีฮูหยินผู้เฒ่าแห่งจวนโหวผู้เย่อหยิ่งอีกแล้ว มีเพียงผู้อาวุโสคนหนึ่งที่กำลังเดือดดาล นางจ้องมองนางหวังอย่างเย็นชา: “เมื่อปีนั้นข้าเคยพูดแล้ว ให้ข้าอบรมเลี้ยงดูชีอวิ๋นถิงไว้ข้างกาย ท่านโหวผู้เฒ่าเองก็เคยบอกว่าต้องการพาเขาเข้าไปในกองทัพ มิใช่ว่าเจ้าแสร้งป่วยเพื่อปฏิเสธหรอกหรือ? มิใช่ว่าเจ้าจงใจแช่เขาเอาไว้ในน้ำเย็น ให้เขาป่วยและหมดสิ้นหนทางตามไปด้วยหรอกหรือ?!” เรื่องที่ผ่านไปนานมากแล้วเหล่านี้ บัดนี้กลับถูกรื้อฟื้นขึ้นมา
เขาไม่เชื่อว่าชีหยวนกระทำไปโดยไร้เจตนา นางจงใจแน่นอน แก้แค้นที่ตนเคยลังเลในคราแรก!แล้วก็เสแสร้งต่อหน้าผู่อู๋ย่งเช่นนี้ผู่อู๋ย่งถามขึ้นด้วยสีหน้ามืดครึ้มตามคาด “อ๋องฉีพูดถ้อยคำขัดต่อฟ้าดินอันใดหรือ?”ไล่เฉิงหลงรีบแก้ต่างว่า “หาได้มีสิ่งใดไม่ ท่านผู้ตรวจการอย่าได้ถือสา ท่านอ๋องเพียงแค่โศกเศร้าเกินไปเท่านั้น”ผู่อู๋ย่งเหลือบสายตามองพวกเขาคราหนึ่ง เชิดคางขึ้นเล็กน้อยโดยไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ “ส่งท่านอ๋องขึ้นรถม้าให้ดี แล้วส่งกลับจวนอ๋องเสีย”พวกเขาจะกลับวังแล้วในเมื่อพาพระชายาหลิ่วกลับไปไม่ได้ เช่นนั้นก็ต้องรีบกลับไปฉลองปีใหม่ในวังหลวงวังหลวงคือสถานที่ที่ราชนิกุลควรอยู่คืนส่งท้ายปีเก่าจะมีงานเลี้ยงในวัง เหล่าพระญาติ ผู้สูงศักดิ์ ขุนนางฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ล้วนต้องเข้าร่วมวันขึ้นปีใหม่ก็มีพิธีเข้าเฝ้า นี่ล้วนเป็นกฎระเบียบแม้เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยจะจากไป ก็ไม่อาจหยุดยั้งสิ่งเหล่านี้ได้ฮ่องเต้หย่งชางพาองค์หญิงหมิงเฉิงและองค์ชายหย่งหรงเสด็จขึ้นรถม้าไปพร้อมกันด้วยท่าทีโศกเศร้าเล็กน้อยชีหยวนก็เตรียมตัวกลับจวนพร้อมกับท่านโหวผู้เฒ่าชีและชีเจิ้นเดิมทีพวกเขารับหน้าที่ลาดตระเวนเป็นการ
อ๋องฉีก้าวเข้ามาอีกก้าว ประชิดเกาทัณฑ์แขนเสื้อของชีหยวน เขาเม้มริมฝีปาก ดวงตาแดงก่ำ เส้นเลือดในดวงตาปูดโปน เขามองชีหยวน แววตาสั่นไหวอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมา “ชีหยวน เจ้ายโสอะไรนักหนา? เจ้าเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อสู้แทนคนพวกนั้นจนโค่นล้มพวกข้าลงได้ แล้วเจ้าจะได้ประโยชน์อันใด?”ชีหยวนกำลังไตร่ตรองว่าหากนางฆ่าอ๋องฉีเสียตอนนี้ จะจัดฉากให้เหมือนเป็นการฆ่าตัวตายได้อย่างแนบเนียนที่สุดอย่างไร ไม่มีเวลาจะใส่ใจวาจาเพ้อเจ้อของอ๋องฉีแม้แต่น้อยถึงขั้นนี้แล้ว ยังไม่คิดหาทางไสหัวไปดินแดนศักดินาอย่างปลอดภัยจากนี้ไปก็ยอมเป็นอ๋องพิการไปเสีย ยังมัวแต่หมกมุ่นเรื่องความรักในชาติก่อนเหล่านั้นอีกตำแหน่งฮ่องเต้ตกมาถึงเขาได้ ก็เป็นเพราะชาติก่อนเขายังไม่เสียสติถึงขั้นกักขังองค์หญิงเป่าหรงไว้เร็วนักมิเช่นนั้น ราชบัลลังก์ไหนเลยจะตกมาถึงเขาได้?ปลายนิ้วของนางขยับ กำลังจะจู่โจมลงมือฆ่า ก็พลันได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากเบื้องหลัง จึงหยุดมือทันที ดึงเกาทัณฑ์แขนเสื้อกลับเข้าไปลึกอย่างแนบเนียน แล้วทอดถอนใจยาวขณะมองอ๋องฉีนางเอ่ยว่า “ท่านอ๋อง ท่านพูดสิ่งใดออกมา ข้าน้อยไม่เข้าใจจริง ๆ”“เจ้าเสแสร้งอันใด?!” อ๋อ
จากนั้นเซียวอวิ๋นถิงก็รับตัวเขาไว้อย่างมั่นคง แล้วเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน “เอาอีกไหม?”เด็กผู้ชายนั้นล่อหลอกได้ไม่ยาก พวกเขามักจะยกย่องคนเก่ง และชอบเล่นกับคนที่โตกว่าบังเอิญว่าเซียวอวิ๋นถิงมีความอดทนสูงมาแต่ไหนแต่ไรฮ่องเต้หย่งชางตรัสด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าช่างไม่ถือโทษเลยนะ”คำพูดนี้แฝงความนัย เซียวอวิ๋นถิงย่อมเข้าใจดี จึงตอบอย่างตรงไปตรงมา “เสด็จปู่ เดิมทีหลานก็ไม่ได้มีความบาดหมางใดกับกุ้ยเฟยและพวกเขาเลย อีกทั้งความผิดไม่ควรลามไปถึงลูกหลาน เด็กๆ มีความผิดอันใดหรือ? พวกเขายังมีศักดิ์เป็นเสด็จอาของหลานด้วย”ราวกับว่าคนที่เพิ่งใช้คำพูดบีบบังคับให้เป่าหรงต้องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์เมื่อครู่นั้นไม่ใช่เขาฮ่องเต้หย่งชางพยักหน้า “เจ้าทำได้ดีมาก”เพียงประโยคนี้ก็ทำให้ขันทีเซี่ยที่อยู่ข้าง ๆ รู้สึกปลาบปลื้มแล้ว ต้องรู้ไว้ว่าองค์รัชทายาทไม่เคยได้รับคำชมเช่นนี้เลย!อีกด้านหนึ่ง พระชายาหลิ่วอุ้มเซียวโม่ที่ยังคงร้องไห้ไม่หยุดเพื่อพาไปพักผ่อนชีหยวนฉวยจังหวะนี้อยากจะขอโทษนาง เพราะครั้งนี้นางได้ใช้ประโยชน์จากอดีตของพระชายาหลิ่ว ทำให้พระชายาหลิ่วต้องออกหน้าเป็นดั่งคมดาบให้นางนางอาจใช้เล่ห์กล
ฮ่องเต้หย่งชางตัดสินพระทัยแน่วแน่ “ให้กรมพิธีการและกรมการทูตหารือกัน ตอบรับการอภิเษกสมรสขององค์หญิงแห่งแผ่นดินเรา ทุกพิธีการให้กรมพิธีการและกรมการทูตร่วมกันกำหนด แล้วให้สำนักขุนนางหลวงเป็นผู้ตัดสิน!”องค์หญิงหมิงเฉิงเฉลียวฉลาดตั้งแต่ยังเล็ก แต่ก็ไม่ได้เฉลียวฉลาดถึงขั้นเข้าใจความหมายของการแต่งเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ยังคงคิดว่าเป็นเพียงแค่การแต่งงานการแต่งงานไม่มีอะไรผิดปกติ เพราะแต่ก่อนเสด็จแม่ก็พร่ำสอนอยู่เสมอ ว่าพี่หญิงไม่อาจเอาแต่เล่นสนุกอย่างเอาแต่ใจตลอดไป สักวันก็ต้องแต่งงานในเมื่อเสด็จพ่อให้พี่สาวแต่งงาน เช่นนั้นก็หมายความว่าไม่มีปัญหาแล้วใช่หรือไม่?นางรู้สึกยินดีอยู่บ้าง แต่เพียงครู่เดียว เมื่อคิดถึงการจากไปของเสด็จแม่ หัวใจก็พลันห่อเหี่ยวลงส่วนองค์หญิงเป่าหรงไม่มีแม้แต่ความรู้สึกเศร้าหมองในฐานะคนที่มาจากยุคปัจจุบัน นางรู้ดีกว่าใครว่าตงอิ๋งเป็นเช่นไรชาติที่มีแต่ความวิปริตและไร้ซึ่งขอบเขตศีลธรรมสำหรับตงอิ๋งในยุคราชวงศ์ต้าโจว ตรงกับช่วงที่ไร้ซึ่งกฎหมาย เหล่าขุนศึกต่อสู้กันอย่างสับสนอลหม่านในสายตาของชาวตงอิ๋ง ผู้หญิงไม่มีค่าอะไรแม้แต่ในยุคปัจจุบัน สตรีของจักรพรรดิตง
นางมอบเกียรติให้ฮ่องเต้หย่งชาง บัดนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าฮ่องเต้หย่งชางจะยอมให้ความเป็นธรรมแก่นางหรือไม่นางจ้องมองฮ่องเต้หย่งชางอย่างจริงจังและละเอียดถี่ถ้วนสามีภรรยาในเยาว์วัย เติบโตมาด้วยกันผ่านความทุกข์ยากมาด้วยกันแต่กลับไม่อาจร่วมสุขกันได้ ในพระทัยของฮ่องเต้หย่งชางเองก็เจ็บปวดเช่นกันหน้าอกของเขาปวดหน่วงราวกับถูกบีบรัด มีหรือที่เขาจะไม่เข้าใจความตั้งใจของพระชายาหลิ่ว?นางเดินมาถึงขั้นนี้แล้วนางไม่แย่งชิง ไม่คิดเอาผิด และยังช่วยเสริมสร้างชื่อเสียงให้เขาในฐานะฮ่องเต้ผู้มีคุณธรรมเขาจะยอมปล่อยให้นางเสียเปรียบได้หรือ?แน่นอนว่าไม่ได้ดังนั้น พระสุรเสียงของฮ่องเต้หย่งชางจึงสงบลง “เรื่องนี้ เราจะให้กรมพิธีการหารือกัน หากเจ้ามุ่งมั่นเช่นนี้ เราก็จะให้เจ้าได้บำเพ็ญเพียรในวัง...”โดยทั่วไปแล้ว สตรีในราชวงศ์ที่ต้องการบวชจะต้องบำเพ็ญเพียรอยู่ในวังแต่พระชายาหลิ่วไม่ต้องการเช่นนั้น นางส่ายศีรษะทันที “ฝ่าบาท อย่าให้ต้องเดือนร้อนภาษีราษฎรเลย หม่อมฉันเห็นว่าที่นี่ก็ดีอยู่แล้ว เปลี่ยนจากวัดเป็นอารามเต๋านี่แหละ”แท้จริงแล้ว อารามไป๋อวิ๋นแต่เดิมก็คืออารามเต๋า เพียงแต่ว่าภายหลังพุทธศาสนาเ
ไม่ตาย ก็จงเตรียมตัวส่งมอบอำนาจและเกียรติยศเถิดสำหรับพวกเขาแล้ว เรื่องนี้เจ็บปวดยิ่งกว่าความตายเสียอีกผู้ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของเมฆา สิ่งที่ยากจะยอมรับที่สุดก็คือการร่วงหล่นสู่ผืนดินแต่ไม่นานพวกเขาก็จะพบว่า โลกมนุษย์นั้นก็มิใช่ที่เลวร้ายอะไรเวลาถูกถ่วงไว้นานเกินไป เซียวโม่เริ่มรู้สึกไม่สบายอีกแล้ว เขาเริ่มร้องไห้ไม่หยุดเขาเหมือนเด็กน้อยคนหนึ่ง ยิ่งกว่าองค์หญิงหมิงเฉิงและหย่งหรงเสียอีก ไม่เข้าใจการสังเกตสีหน้าผู้คนแม้แต่น้อยขณะนี้พระชายาหลิ่วเห็นว่าท้ายที่สุดก็ไม่อาจสังหารเป่าหรงได้ อีกทั้งอ๋องฉี องค์หญิงหมิงเฉิง และหย่งหรงก็มากันครบ พลันรู้สึกเบื่อหน่ายถึงขีดสุดนางมองไปที่ฮ่องเต้หย่งชางแล้วกล่าวว่า “พวกท่านกลับไปเถิด ขอให้พวกข้าแม่ลูกได้อยู่อย่างสงบเสียที”แต่การที่ฮ่องเต้หย่งชางเสด็จมาครั้งนี้ เดิมทีเป็นเพราะตั้งใจจะพาพระชายาหลิ่วกลับไปร่วมฉลองคืนวันส่งท้ายปีเก่าทว่าตอนนี้กลับเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ปัญหาตามกันออกมาเป็นระลอกจนเรื่องราวยุ่งเหยิงขึ้นไปอีก อยากจะพาพระชายาหลิ่วกลับไปยิ่งยากกว่าเดิมเสียแล้วฮ่องเต้หย่งชางสะกดกลั้นอารมณ์ ตรัสด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “หว่านหยิน เ
เหนือชั้นจริง ๆ! ในใจของเขาพลันรู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมาอีกครั้งเพราะอุบายอันแยบยลของชีหยวน นี่คือการเดิมพันที่ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่มีวันตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ผู่อู๋ย่งใช้กำลังภายใต้อิทธิพลของตนเองแจ้งข่าวให้อ๋องฉีรีบมาปกป้ององค์หญิง เช่นนั้นก็หมายความว่า กองกำลังที่ดูแลมาหลายปีของอ๋องฉีจะถูกเปิดโปงต่อหน้าผู้คน หากว่าไม่แจ้งให้อ๋องฉีมา เช่นนั้นเป่าหรงจะต้องเลือกผ้าแพรขาวหนึ่งผืน หรือไม่ก็สุราพิษหนึ่งจอก และจบชีวิตลงเช่นนี้ไปแล้ว สตรีคนนี้ น่ากลัวเกินไปแล้วจริง ๆ! นางแทบจะคำนวณหมากทั้งหมดของอ๋องฉีได้อย่างแม่นยำ ไม่พลาดแม้แต่เบี้ยตัวเดียว! อ๋องฉีถูกถามคาดคั้นเช่นนั้นเพียงเสี้ยวพริบตาเหงื่อเย็นก็ไหลพลั่ก ๆ ในฐานะองค์ชายที่จดจ้องบัลลังก์จักรพรรดิตาเป็นมัน เขาย่อมรู้ตัวดีว่าบัดนี้ได้ละเมิดข้อห้ามอันใหญ่หลวงไปแล้ว ทันใดนั้นทั้งแผ่นหลังพลันเปียกชุ่ม แต่ในเวลานี้ เขาพูดชื่อผู่อู๋ย่งออกมาไม่ได้อย่างเด็ดขาด! ไม่ได้ ผู่อู๋ย่งเป็นไพ่ตายใบสุดท้ายของเขาในตอนนี้แล้ว! เช่นนั้น เช่นนั้นแล้ว… อ๋องฉีหายใจถี่กระชั้น ความเจ็บปวดบีบรัดไปถึงช่องท้อง แม้แต่บาดแผลที่ขาซึ่งอาการทุเลาลงไปมากแล้
เดิมทีนางก็มิได้ตึงเครียดและสิ้นหวังมากถึงเหมือนที่เห็นเมื่อครู่แล้ว! จากอีกฟากหนึ่งของฝูงชน องค์หญิงเป่าหรงสบสายตาชีหยวนจากไกล ๆ เมื่อสายตาของสองคนสบประสาน ใบหน้าของเป่าหรงกลับไม่มีความอาฆาตแค้นไม่มีความบ้าคลั่งและยิ่งไม่มีความใจร้อนปรากฏ สิ่งเดียวที่สะท้อนอยู่ในดวงตาคือความเย้ยหยันและความเกลียดชังที่ลึกซึ้ง…เจ้าดูสิ เจ้าคิดว่าตัวเจ้าวางแผนรอบคอบไร้ที่ติ แต่ข้าก็ยังรอดปลอดภัยดี! ไล่เฉิงหลงเห็นชัดเจนทุกอย่าง ก็ทอดถอนใจนึกปลงตกในใจอย่างอดไม่ได้ พลาดท่าแล้วจริง ๆ เขาเหลือบสายตาอย่างพะว้าพะวังมองไปยังผู่อู๋ย่งซึ่งก้มหน้าก้มตาทำราวกับไร้ตัวตนอยู่ท่ามกลางฝูงชน ทันใดนั้นหัวใจก็เย็นยะเยือกขึ้นมา ขันทีเฒ่าใกล้ตายคนนี้ถือครองอำนาจมานานหลายปี มีอิทธิพลสูงสุดในหมู่องครักษ์เสื้อแพร ส่วนตนเองที่ต่อสู้ดิ้นรนอย่างสุดชีวิตมานานหลายปีเพียงนี้ กลับยังต้องพึ่งพิงมิตรภาพระหว่างบิดาของตนเองและฮ่องเต้ ถึงจะสามารถตั้งหลักอย่างมั่นคงได้ในหน่วยองครักษ์เสื้อแพร แต่ครั้งนี้หากเลือกยืนผิดฝ่ายเพียงครั้งเดียว เกรงว่าหลังจากนี้จะไม่มีโอกาสอีกแล้ว ขณะไล่เฉิงหลงคิดสะระตะอยู่ในใจ ทว่าชีหยวนกลับไม่มีท่าที
ตีงูไม่ตาย หายนะไม่สิ้นสุด หลังจากนี้ชีวิตของชีหยวน… ไม่สิ ชีหยวนไม่มีหลังจากนี้อีกต่อไปแล้ว องค์หญิงหมิงเฉิงเบะปาก ก่อนจะร้องไห้โยเยออกมา พลางเช็ดเลือดบนใบหน้า พลางร่ำไห้สะอึกสะอื้น: “ลูกได้ยินว่าเสด็จแม่ตายแล้ว เสด็จพ่อเป็นความจริงหรือเพคะ?” ดรุณีตัวน้อยยิ่งเลื่อนมือไปเช็ด คราบเลือดบนใบหน้ายิ่งปรากฏความน่าสะพรึงกลัวชัดเจนขึ้น แม้แต่ฮ่องเต้หย่งชางยังเกือบมีน้ำตาออกมา ไม่ว่าเมื่อใด ความไร้เดียงสาและความอ่อนโยนของเด็กน้อยก็มักจะกระทบจิตใจของผู้คนให้แสบสะท้านได้มากที่สุด แน่นอนว่าเซียวโม่มิใช่ว่าไม่น่าสงสาร และมิใช่ว่าจะไม่บริสุทธิ์ไร้เดียงสา ทว่าเมื่อได้เทียบกับธิดามังกรข้างกายพระโพธิสัตว์ผู้งามเพริศพริ้งน่าเอ็นดูตรงหน้า ก็ดูจะขัดตาอยู่ชัดเจนไม่น้อย หัวใจคนย่อมลำเอียงเสมอ สายตาที่ใช้มองสิ่งของก็ลำเอียงเช่นกัน เขาลูบศีรษะขององค์หญิงหมิงเฉิง เงียบมิได้เอ่ยวาจา ทว่าท่าทีกลับผ่อนคลายลงแล้วเล็กน้อย ทันใดนั้นก็หมุนศีรษะมาแล้วตะโกนว่า: “เหล่าเซี่ย นี่เจ้าตายไปแล้วหรือ? โลหิตบนใบหน้าขององค์หญิง…” ทว่าทันใดนั้นก็ชะงักงันไปอีกครั้ง ก่อนจะชี้นิ้วไปที่ชีหยวน: “เจ้ามาดูแลองค์หญิง