นางหลู่ในฐานะสะใภ้ใหญ่ของตระกูล ต้องเป็นผู้จัดงานวันเกิดให้แม่สามี จึงยุ่งจนหัวหมุนเมื่อพบนางหวัง ก็ยังถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงว่า: “อาการป่วยของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? ช่วงนี้ในเรือนยุ่งกันมาก ไม่รู้ว่าโสมที่ส่งไปให้ ได้ใช้หรือไม่?”หัวข้อสนทนาภายในบ้านเหล่านี้ ทำให้นางหวังรู้สึกดีขึ้นมาก นางไอออกมาด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างซีดเซียว: “ไม่ใช่โรคร้ายแรงอะไรหรอก แค่เป็นหวัดนิดหน่อยเท่านั้น พี่สะใภ้เกรงใจเกินไปแล้ว”นางหลู่เพียงยิ้ม แล้วดึงชีหยวนเข้ามาหา “เจ้าเด็กคนนี้ งานแข่งตีคลีเมื่อคราวก่อน เจ้าแสดงความสามารถจนเป็นที่กล่าวถึงไปทั่ว วันหน้าลองพาน้องหญิงของเจ้าไปฝึกขี่ม้าเสียหน่อยสิ! นางเอาแต่รบเร้าข้าทุกวัน ให้ข้าช่วยขอให้เจ้ามาเป็นอาจารย์ของนาง!”บรรยากาศเปลี่ยนไปทันที นางหวังรู้สึกซับซ้อนในใจ...... นอกจากตัวนางกับชีอวิ๋นถิงแล้ว ดูเหมือนชีหยวนจะอ่อนโยนกับทุกคนได้หมดนางหลู่ยิ้มแย้มพลางจูงชีหยวนไปคารวะอวยพรวันเกิดแก่ฮูหยินผู้เฒ่าหวังทว่าอารมณ์ของฮูหยินผู้เฒ่าหวังในเพลานี้กลับไม่ดีนัก กล่าวด้วยเสียงต่ำ: “ก็แค่วันเกิดครบหกสิบปีของข้า อีกทั้งตำแหน่งของข้านั้นก็ไม่สูงส่งอะไร ยังมีฮูหยินตรา
นางเม้มริมฝีปากเล็กน้อย มือแตะลงบนรอยแผลเป็นอยู่ชั่วขณะพลางเอ่ยถามเบาๆ: “บาดเจ็บได้อย่างไร?”ชีหยวนดึงแขนเสื้อให้เรียบร้อย โชคดีที่ฮูหยินผู้เฒ่าหวังไม่ได้เห็นแขนอีกข้าง ที่ยังผูกมีดเกาทัณฑ์แขนเสื้อเอาไว้อยู่นางตอบเสียงเรียบ: “หลานจำไม่ได้แล้ว คงเป็นตอนที่ช่วยเชือดหมูช่วงปีใหม่ปีใดปีหนึ่ง แล้วพลาดถูกมีดเชือดหมูบาดเข้า”นางจำไม่ได้แล้วจริงๆ แต่ฮูหยินผู้เฒ่าหวังกลับแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่แล้วนางก็คิดไว้แล้วว่า ความสามารถต้องแลกมาด้วยราคาเสมอเด็กสาวที่สามารถยึดบังเหียนไว้ได้แม้ในขณะที่ตกจากหลังม้า ในชีวิตนี้ย่อมผ่านความยากลำบากมานับไม่ถ้วนขณะนั้นเอง มีเสียงรายงานจากข้างนอกว่า คนจากจวนฉู่กั๋วกงและจวนเฉิงกั๋วกงมาเยือนฮูหยินผู้เฒ่าหวังสูดลมหายใจลึกๆ ตั้งสติ ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างแผ่วเบา: “เด็กดี ช่างเป็นเด็กดีจริงๆ เจ้าไปเล่นกับน้องหญิงของเจ้าก่อนเถิด เดี๋ยวไว้เราค่อยคุยกันอีก”ชีหยวนรับคำ เมื่อเห็นหวังฉานเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มและดึงตัวนาง ก็ก้มหน้าลงซ่อนแววตาที่เย็นชาฮูหยินฉู่กั๋วกงมาแล้ว ดูท่าปัญหาคงใกล้เข้ามาแล้วหวังฉานจูงมือนางเดินออกไป ตลอดทางนางร่าเริงเหมือนลูกกวางตัว
แสงจันทร์ค่อย ๆ ลาลับขอบฟ้า ทันใดนั้น สวี่อินอินก็รู้สึกเหมือนกับว่ามีภูเขาลูกหนึ่งทับลงบนร่างกายของตนเองความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วอก นางรู้สึกราวกับปลาที่ขาดน้ำ พยายามอ้าปากเพื่อสูดอากาศหายใจ ก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงสิ่งที่ปรากฏแก่สายตาคือ ใบหน้าที่ดูดุร้าย ส่วนประกอบบนใบหน้าดูแข็งกระด้างเป็นติงเฉิงหย่ง!สวี่อินอินตกตะลึงอย่างยิ่ง ฉากนี้ช่างคุ้นเคยเสียจริงแต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร?นางยังไม่ทันได้ไตร่ตรอง เสียงเล็กแหลมของหลี่ซิ่วเหนียงก็ดังขึ้น “เจ้าจะเล่นก็เล่นไป แต่อย่าทำให้ตายเสียล่ะ!”เป็นหลี่ซิ่วเหนียง แม่บุญธรรมของนาง!สวี่อินอินโกรธจนดวงตาแทบถลนออกมา สั่นเทิ้มไปทั้งตัวนางกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง ย้อนเวลากลับมาเมื่อสิบสามปีก่อน!ตอนที่นางเพิ่งจะรู้ว่าตนเองเป็นคุณหนูใหญ่แห่งจวนหย่งผิงโหวในเมืองหลวงหลังจากที่จวนหย่งผิงโหวมาตรวจสอบแล้ว พวกเขาบอกว่าจะส่งคนมารับนางทว่า ในคืนนั้นเองนางก็เกิดเรื่องขึ้นแล้ว!หลี่ซิ่วเหนียงขังนางเอาไว้ในห้องเก็บฟืน แล้วพาติงเฉิงหย่งมา นางต่อสู้อย่างสุดกำลังจึงรอดพ้นจากการถูกข่มเหง แต่วันรุ่งขึ้น หลี่ซิ่วเหนียงก็พาคนมาจับนางในข้อ
หลี่ซิ่วเหนียงนำผู้คนกลุ่มหนึ่งรีบรุดฝ่าแสงจันทร์กลับไปที่นางหามา ล้วนขึ้นชื่อว่าเป็นผู้หญิงขี้นินทาประจำหมู่บ้าน สามารถพูดจาบิดเบือนความจริงได้เมื่อคนเหล่านี้เห็นสวี่อินอินและติงเฉิงหย่งนอนอยู่บนเตียงเดียวกัน คงจะถ่มน้ำลายรุมด่าทอสวี่อินอินจนไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดแน่!ฮึ คุณหนูสูงศักดิ์ที่ยังไม่ทันกลับบ้านก็เสียความบริสุทธิ์ไปเสียแล้ว ยังจะเรียกว่าคุณหนูสูงศักดิ์ได้อีกหรือ?นางเคยเป็นแม่นมอยู่ในจวนโหว ย่อมรู้ดีว่าพวกชนชั้นสูงเหล่านั้นทั้งเรื่องมากและจู้จี้จุกจิก มีหรือที่จะอยากได้หญิงสำส่อนที่เคยนอนกับคนอื่นแล้ว?เมื่อถึงตอนนั้น หญิงสำส่อนที่เสียตัวก่อนแต่งงาน กับคุณหนูผู้สูงศักดิ์ที่มีความรู้ความสามารถ ต่อให้จวนหย่งผิงโหวหลับตาเลือก ก็คงเลือกได้ไม่ยากคิดจะกลับไปขวางทางลูกสาวของนาง ฝันไปเถอะ!คิดได้ดังนั้น หลี่ซิ่วเหนียงก็แทบทนรอไม่ไหวแล้ว อยากจะรีบกลับถึงบ้านเสียเดี๋ยวนี้เลยใครจะไปรู้ว่า ห่างจากประตูบ้านประมาณหนึ่งร้อยเมตร หัวหน้าหมู่บ้านกลับพาคนกลุ่มใหญ่ถือคบเพลิงมาล้อมพวกนางเอาไว้หลี่ซิ่วเหนียงชะงักไปครู่หนึ่ง “หัวหน้าหมู่บ้าน? ท่านทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไร?”หัวหน้าหม
“ข้าก็คือสวี่อินอินน่ะสิ” นางแสยะยิ้มมุมปาก “เพียงแต่ไม่ใช่สวี่อินอินคนเดิมที่ยอมให้เจ้าข่มเหงรังแกอีกแล้ว”“แผนการของลูกสาวแท้ ๆ ของเจ้าล้มเหลว พวกเจ้าสองคนก็ตายแล้ว” สวี่อินอินโน้มตัวเข้าไปใกล้หลี่ซิ่วเหนียงน้ำเสียงของนางราวกับภูตผี “เจ้าเดาสิว่าหลังจากข้ากลับไป นางยังจะมีชีวิตที่ดีอีกหรือไม่?”หลี่ซิ่วเหนียงสติแตก ทันใดนั้นนางก็เริ่มคลุ้มคลั่ง ดิ้นรนอย่างรุนแรงอยู่ในกรง “นางสารเลว ข้าจะฆ่าเจ้า ข้าจะฆ่าเจ้า! เจ้าต้องไม่ตายดีแน่!”สวี่อินอินกลัวจนถอยหลังไปสองสามก้าว ล้มลงนั่งกับพื้นจากนั้นก็ร้องไห้ขอร้องด้วยความหวาดกลัว “ท่านแม่ อย่าฆ่าข้า อย่าฆ่าข้า!”หัวหน้าหมู่บ้านแค่นเสียง “จะตายอยู่แล้วยังไม่สำนึกผิด ชั่วร้ายที่สุด! ถ่วงน้ำเดี๋ยวนี้!”กรงถูกยกขึ้น สวี่อินอินมองหลี่ซิ่วเหนียงที่ยังคงดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งอยู่ในกรง จากนั้นค่อย ๆ ยิ้มอย่างชั่วร้ายทันใดนั้น เสียงตูมดังขึ้น กรงหมูก็ตกลงไปในทะเลสาบ เกิดคลื่นขนาดใหญ่ซัดกระเซ็นเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ก็มีคนจากจวนหย่งผิงโหวมาถึง เป็นแม่นมคนหนึ่งที่วางมาดใหญ่โตสวี่อินอินมองแวบเดียวก็จำได้ทันทีว่า คนที่วางมาดโอหังยิ่งกว่านายหญิงคนนี
อากาศบนผิวน้ำสดชื่นกว่าอากาศในน้ำมากแม่นมฮวาคิดจะฆ่านางให้จมน้ำตายจริง น่าขันสิ้นดีนางต้องรับผิดชอบเรื่องต่าง ๆ ภายในบ้านมาตั้งแต่ตอนที่เริ่มหัดกินข้าวเองได้เหล่าชาวนาต้องจ่ายค่าเช่าทำนาให้กับเจ้าของที่ดิน หลี่ซิ่วเหนียงและคนขายเนื้อสวี่ก็ใช้สารพัดวิธีกดขี่ขูดรีดเงินจากนางขึ้นเขาเก็บเห็ด ตัดฟืน เก็บเมล็ดชา ลงน้ำจับปลา จับเต่า สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นงานถนัดของนางสวี่อินอินเงยหน้าโผล่พ้นน้ำ รู้สึกได้ว่าแรงดิ้นรนของแม่นมฮวาค่อย ๆ น้อยลง จนกระทั่งไม่มีแรงเหลืออยู่สายลมอ่อน ๆ พัดมาจากริมฝั่ง นางอ้าปากจาม กำลังจะดำลงไปลากแม่นมฮวาขึ้นมา เพื่อให้ทุกคนได้เห็นภาพเหตุการณ์ ‘วีรกรรมช่วยชีวิต’ ของนางแต่ใครจะรู้ว่าขณะที่ยกมือขึ้น ข้อศอกของนางกลับไปกระแทกเข้ากับบางอย่างสัมผัสนี้ทำให้นางรู้สึกเย็นวาบไปถึงกระดูกสันหลัง สมองพลันว่างเปล่า จากนั้นก็ตระหนักได้ในทันทีว่า มีคนอื่นอยู่ในน้ำด้วย!หรือว่าแม่นมฮวาจะยังเตรียมคนไว้ในน้ำอีก?หากเป็นเช่นนั้น...ในชั่วพริบตา เลือดในร่างกายของนางก็เดือดพล่านขึ้น แต่สมองกลับสงบลงอย่างประหลาด นางค่อย ๆ ปล่อยแม่นมฮวา และพุ่งตัวไปด้านหลังอย่างรวดเร็วโดยอาศั
สวี่อินอินเป็นที่รักของผู้คนในหมู่บ้านต่างจากคนขายเนื้อสวี่และหลี่ซิ่วเหนียงที่ใจดำ สวี่อินอินเป็นเด็กที่เชื่อฟังและรู้ความ คนเราย่อมมีความรู้สึก เห็นสวี่อินอินอายุยังน้อยแต่ต้องลำบากเช่นนี้ คนในหมู่บ้านจึงดูแลนางเป็นพิเศษสวี่อินอินก็เป็นเด็กที่รู้จักบุญคุณ กินข้าวบ้านไหนก็ไปช่วยเขาเลี้ยงหมู ดื่มน้ำบ้านใครก็ไปช่วยเขาตัดฟืนดังนั้นตอนนี้หัวหน้าหมู่บ้านมองนาง ก็เหมือนกับมองลูกหลานของตัวเองยังไม่ทันได้กลับไป บ่าวไพร่ของจวนโหวก็คิดจะฆ่าสวี่อินอินแล้ว ถ้ากลับไป จะมีชีวิตที่ดีได้อย่างไร?อีกอย่าง อย่างน้อยในหมู่บ้าน สวี่อินอินก็เข้ากับทุกคนได้เป็นอย่างดี หากนางสามารถยืนหยัดอยู่ในจวนโหวได้ ในอนาคตก็จะเป็นผลดีต่อหมู่บ้านด้วยเขาตอบรับทันที “ได้! แม่หนูไม่ต้องกลัว ข้าจะไปแจ้งหน่วยปราบปรามเดี๋ยวนี้!”เห็นหัวหน้าหมู่บ้านกำลังจะไปแจ้งทางการจริง ๆ บ่าวไพร่ของจวนหย่งผิงโหวก็นั่งไม่ติดแล้วโดยเฉพาะสาวใช้ที่แต่งตัวงดงามคนนั้น นางรู้ดีแก่ใจว่าแม่นมฮวาตั้งใจนัดสวี่อินอินไปที่ริมทะเลสาบ เพื่อจะฆ่าสวี่อินอินให้จมน้ำตายจริง ๆ หากแจ้งทางการจริง ๆ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จวนโหวจะเสียหน้าตัวนางเอ
แม่นมจางควบอาชาเร็วกลับเมืองหลวงแล้วนางหวังฮูหยินหย่งผิงโหวอ่านบันทึกบัญชีที่หัวหน้าหมู่บ้านนำมามอบให้เรียบร้อยแล้ว ขณะที่กำลังจะจิบน้ำชา ก็ได้ยินเสียงของชีอวิ๋นถิงคุณชายใหญ่แว่วดังมาจากด้านนอกนางพลันวางน้ำชาในมือทันใด จ้องมองชีอวิ๋นถิงที่เพิ่งเข้ามา : “เห็นเจ้าดูร้อนรนกระวนกระวายนัก ไปทำอะไรมาหรือ? เพิ่งจะยามนี้เองเหตุใดจึงกลับมาแล้ว?”บุตรธิดาสกุลชีถูกแบ่งตามลำดับอาวุโส ชีอวิ๋นถิงเป็นบุตรคนแรกของนางหวัง และเป็นหลานชายสายหลักคนโตสุด คนทั้งตระกูลล้วนมองเขาประหนึ่งเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างไรอย่างนั้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อชีอวิ๋นถิงอยู่ต่อหน้ามารดา ครั้นหยิบขนมกุ้ยฮวาขึ้นชิ้นหนึ่งพลางผุดยิ้มอย่างดี ส่งเข้าปากแล้วคำหนึ่ง ค่อยเอ่ยขึ้นว่า : “วันนี้จะออกไปชมงิ้วร่วมกับสหายที่หอจิ่นซิ่ว”“น้องหญิงของเจ้ากลับมาถึงวันนี้ เจ้ายังมีจิตใจไปชมงิ้วอีกหรือ?” นางหวังขมวดหัวคิ้ว ท่าทางไม่สบอารมณ์เล็กน้อย “ในฐานะที่เจ้าเป็นพี่ชายแท้ ๆ ก็สมควรอยู่ต้อนรับคนกลับสู่เหย้าด้วยตนเองสิ!”ชีอวิ๋นถิงพ่นลมฮึออกจากจมูก เบะปากอย่างดูแคลน : “ท่านแม่ จะให้ข้าไปรับเด็กบ้านนอกกลับมา ท่านอยากทำให้เจ้าเด็กอ่อนต่อโลกน
นางเม้มริมฝีปากเล็กน้อย มือแตะลงบนรอยแผลเป็นอยู่ชั่วขณะพลางเอ่ยถามเบาๆ: “บาดเจ็บได้อย่างไร?”ชีหยวนดึงแขนเสื้อให้เรียบร้อย โชคดีที่ฮูหยินผู้เฒ่าหวังไม่ได้เห็นแขนอีกข้าง ที่ยังผูกมีดเกาทัณฑ์แขนเสื้อเอาไว้อยู่นางตอบเสียงเรียบ: “หลานจำไม่ได้แล้ว คงเป็นตอนที่ช่วยเชือดหมูช่วงปีใหม่ปีใดปีหนึ่ง แล้วพลาดถูกมีดเชือดหมูบาดเข้า”นางจำไม่ได้แล้วจริงๆ แต่ฮูหยินผู้เฒ่าหวังกลับแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่แล้วนางก็คิดไว้แล้วว่า ความสามารถต้องแลกมาด้วยราคาเสมอเด็กสาวที่สามารถยึดบังเหียนไว้ได้แม้ในขณะที่ตกจากหลังม้า ในชีวิตนี้ย่อมผ่านความยากลำบากมานับไม่ถ้วนขณะนั้นเอง มีเสียงรายงานจากข้างนอกว่า คนจากจวนฉู่กั๋วกงและจวนเฉิงกั๋วกงมาเยือนฮูหยินผู้เฒ่าหวังสูดลมหายใจลึกๆ ตั้งสติ ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างแผ่วเบา: “เด็กดี ช่างเป็นเด็กดีจริงๆ เจ้าไปเล่นกับน้องหญิงของเจ้าก่อนเถิด เดี๋ยวไว้เราค่อยคุยกันอีก”ชีหยวนรับคำ เมื่อเห็นหวังฉานเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มและดึงตัวนาง ก็ก้มหน้าลงซ่อนแววตาที่เย็นชาฮูหยินฉู่กั๋วกงมาแล้ว ดูท่าปัญหาคงใกล้เข้ามาแล้วหวังฉานจูงมือนางเดินออกไป ตลอดทางนางร่าเริงเหมือนลูกกวางตัว
นางหลู่ในฐานะสะใภ้ใหญ่ของตระกูล ต้องเป็นผู้จัดงานวันเกิดให้แม่สามี จึงยุ่งจนหัวหมุนเมื่อพบนางหวัง ก็ยังถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงว่า: “อาการป่วยของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? ช่วงนี้ในเรือนยุ่งกันมาก ไม่รู้ว่าโสมที่ส่งไปให้ ได้ใช้หรือไม่?”หัวข้อสนทนาภายในบ้านเหล่านี้ ทำให้นางหวังรู้สึกดีขึ้นมาก นางไอออกมาด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างซีดเซียว: “ไม่ใช่โรคร้ายแรงอะไรหรอก แค่เป็นหวัดนิดหน่อยเท่านั้น พี่สะใภ้เกรงใจเกินไปแล้ว”นางหลู่เพียงยิ้ม แล้วดึงชีหยวนเข้ามาหา “เจ้าเด็กคนนี้ งานแข่งตีคลีเมื่อคราวก่อน เจ้าแสดงความสามารถจนเป็นที่กล่าวถึงไปทั่ว วันหน้าลองพาน้องหญิงของเจ้าไปฝึกขี่ม้าเสียหน่อยสิ! นางเอาแต่รบเร้าข้าทุกวัน ให้ข้าช่วยขอให้เจ้ามาเป็นอาจารย์ของนาง!”บรรยากาศเปลี่ยนไปทันที นางหวังรู้สึกซับซ้อนในใจ...... นอกจากตัวนางกับชีอวิ๋นถิงแล้ว ดูเหมือนชีหยวนจะอ่อนโยนกับทุกคนได้หมดนางหลู่ยิ้มแย้มพลางจูงชีหยวนไปคารวะอวยพรวันเกิดแก่ฮูหยินผู้เฒ่าหวังทว่าอารมณ์ของฮูหยินผู้เฒ่าหวังในเพลานี้กลับไม่ดีนัก กล่าวด้วยเสียงต่ำ: “ก็แค่วันเกิดครบหกสิบปีของข้า อีกทั้งตำแหน่งของข้านั้นก็ไม่สูงส่งอะไร ยังมีฮูหยินตรา
ชีหยวนปล่อยชายแขนเสื้อกว้างลง ปกปิดเที่กาทัณฑ์แขนเสื้อ ก่อนลุกขึ้นยืนส่องกระจก ตรวจดูให้แน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดผิดสังเกต จึงหัวเราะเบา ๆ “ไม่มากหรอก ไม่มากเกินไปเลยสักนิด”อาวุธทุกชิ้นล้วนสามารถใช้รักษาชีวิตในช่วงเวลาคับขันได้ นางไม่เคยออกศึกที่ไม่มีความมั่นใจครานี้ผู้ติดตามออกไปพร้อมชีหยวนไม่ใช่ฮูหยินรองชี แต่เป็นนางหวังเดิมทีนางหวังถูกส่งให้ไปพักรักษาตัวที่เรือนนอกเมือง แต่ใครจะคาดคิดว่านางจะหมดสติในรถม้าระหว่างเดินทางออกจากเมือง และนอนป่วยเรื้อรังจนไม่อาจออกเดินทางได้บัดนี้ เป็นวันเกิดครบหกสิบปีของมารดานาง ในฐานะบุตรสาวแท้ ๆ ย่อมต้องไปร่วมงานภายในรถม้า ทั้งสองนั่งประจันหน้า นางหวังมองพิจารณาชีหยวนด้วยแววตาซับซ้อนเดิมนางคิดว่าเด็กที่เติบโตขึ้นในเรือนนอกเมืองและลิ้มรสความทุกข์ยากมาทุกรูปแบบ เมื่อกลับมาคงเป็นเพียงคนที่ค้อมตัวเจียมเนื้อเจียมตัว หวาดกลัวทุกสิ่งทว่า ชีหยวนกลับแตกต่างจากที่นางคาดคิดไปโดยสิ้นเชิงนางนึกถึงคำเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่าของชีเจิ้น นึกถึงถ้อยคำกำชับของท่านโหวผู้เฒ่าและฮูหยินผู้เฒ่าก่อนออกจากจวน จึงพยายามปรับสีหน้าให้อ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย “เรื่องในอดีต อวิ๋นถิงผ
ชีหยวนมองฮูหยินผู้เฒ่าด้วยความฉงน “ข้าดูเหมือนจะไปฆ่าคนหรือเจ้าคะ?”......ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธจนหัวเราะออกมาหรือว่ามิใช่เล่า?ออกไปคราใด มีหรือจะไม่คร่าชีวิตคนกลับมา?นางสูดลมหายใจลึก กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่ได้บอกว่าเจ้าเหมือนจะไปฆ่าคนเสียหน่อย ข้าหมายความว่าหากเลี่ยงได้ก็อย่าฆ่าเลยจะดีกว่า”แม้ว่าทุกครั้งที่ฆ่าคนชีหยวนจะมีวิธีเก็บกวาดร่องรอยอย่างไร้ที่ติ แต่ว่าเดินริมฝั่งแม่น้ำเป็นประจำ มีหรือรองเท้าจะไม่เปียกน้ำ?สุดท้ายแล้ว ก็ไม่อาจฆ่าทุกคนที่คิดต่อต้านนางได้หมดกระมังการฆ่าฟัน หาใช่วิธีแก้ปัญหาไม่ชีหยวนไม่มีทีท่าว่าจะเห็นด้วยหรือคัดค้าน นางเลิกคิ้วเล็กน้อย “ท่านย่า ท่านกล่าวเช่นนี้ไม่สมกับเป็นฮูหยินผู้เฒ่าแห่งตระกูลแม่ทัพเลยนะเจ้าคะ”ฮูหยินผู้เฒ่ามองนางด้วยความคลางแคลงใจเพียงเห็นชีหยวนยิ้มบาง ๆ มองนางมาด้วยดวงตาส่องประกาย “ในปีนั้นฉู่กั๋วกงนำทัพเผชิญหน้ากับฮ่องเต้ที่ถูกโค่นบัลลังก์ ครั้นตีเมืองเจียงอินอยู่นานแต่ไม่สำเร็จ จึงมีความแค้นสุมอก สุดท้ายจึงสั่งให้สังหารชาวเมืองสามวันติด สุดท้ายเมืองเจียงอินถูกกวาดล้างจนสิ้น เหลือรอดเพียงคนชราและเด็กไม่ถึงสามร้อยคน...”ช
ชีจิ่นตะลึงงันไปโดยพลัน ครานี้จึงเพิ่งตระหนักว่าขาของอ๋องฉีดูเหมือนจะบาดเจ็บ เขาถึงกับไม่อาจลุกขึ้นได้ในฉับพลัน!เกิดอะไรขึ้นกันแน่?!ในความทรงจำของนาง อ๋องฉีเองก็เชี่ยวชาญวรยุทธ์ อีกทั้งยังเป็นเชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์ มีองครักษ์ล้อมหน้าล้อมหลังไม่น้อย ไฉนถึงได้รับบาดเจ็บสาหัสเพียงนี้?ทว่าเมื่อเห็นอ๋องฉีในสภาพนี้ นางก็ไม่กล้าซักถามสักคำ รีบรับคำก่อนวิ่งออกจากห้องไปทันทีอ๋องฉีตะโกนจากด้านในว่า “จินเป่า ยังไม่รีบเข้ามาอีก?!”จินเป่าก้าวเข้าห้องไปด้วยท่าทีหวาดหวั่น ไม่นานนักภายในห้องก็มีเสียงข้าวของแตกกระจายขันทีสวีก็เดินเข้าไป แล้วกลับออกมา พลางขมวดคิ้วแน่น ครั้นเห็นชีจิ่นก็ได้แต่ข่มความหวาดหวั่นในใจ ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “เจ้าตามข้ามา”ชีจิ่นนึกถึงท่าทางของอ๋องฉีเมื่อครู่ ในใจพลันปั่นป่วนไม่อาจสงบลงได้ผู้ใดกันที่ทำให้อ๋องฉีได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้?นางเติบโตอยู่ในเมืองหลวงมาแต่เยาว์วัย ชีวิตสิบกว่าปีแรกล้วนถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี อีกทั้งเคยเข้าวังหลวงเพื่อเป็นสหายร่วมศึกษาขององค์หญิงมาก่อน ย่อมรู้จักอ๋องฉีอยู่บ้างสาวน้อยคนใดเล่าไม่ใฝ่ฝันจะได้แต่งกับคนมีฐานะสูงศักดิ์ ได้เ
ปลายนิ้วของเขาที่ลูบไล้ผ่านใบหน้า ทั้งร่างของชีจิ่นคล้ายถูกฟ้าผ่า สั่นเทาอย่างไม่อาจห้ามได้นางไม่มีวันลืมท่าทางตอนที่อ๋องฉีจ่อคมกริชเข้าที่ลำคอของนางและรู้ดีว่าคนตรงหน้าผู้นี้สามารถปลิดชีพคนได้ทุกเมื่อเมื่อเกือบผ่านความเป็นความตายมาแล้ว ก็ยิ่งรู้ถึงคุณค่าของชีวิตนางไม่อยากตายนางยังมีเรื่องมากมายต้องทำ ยังมีความแค้นอีกมากที่ต้องสะสางดังนั้นนางจึงโขกศีรษะกระแทกพื้นเสียงดังต่อหน้าอ๋องฉีเพื่อร้องขอชีวิตมือข้างหนึ่งของอ๋องฉีกลับบีบปลายคางของนางเพื่อหยุดการเคลื่อนไหว ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความเย็นชาอำมหิต “ข้าให้เจ้าก้มหัวแล้วหรือ? ไร้ประโยชน์สิ้นดี เทียบไม่ได้แม้แต่ปลายเล็บของนาง ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าจะพ่ายแพ้ต่อนาง!”เขามองสภาพของชีจิ่นในเวลานี้ ในใจยิ่งคุกรุ่นไปด้วยโทสะต่างก็คลานออกมาจากกองซากศพเหมือนกัน แต่ชีหยวนไม่ว่ายามใดนางก็ยังมีความดุดันแม้ว่าจะยอมค้อมกายหมอบกราบเยี่ยงข้าทาส นั่นก็เป็นเพียงวิธีการของนางเท่านั้น นางยังเต็มไปด้วยไอสังหารพร้อมฆ่าคนอยู่เสมอ บนร่างหาได้มีความเป็นทาสไม่แต่ชีจิ่นต่างออกไป ฝึกมาหลายเดือนแล้ว กลับยังไม่ได้เรื่องเช่นนี้!‘นาง’ ที่เขาหมายถึงเป็น
อ๋องฉีนิ่งเงียบไม่กล่าวคำ ดวงตาฉายอารมณ์ซับซ้อนฉู่กั๋วกงยกมือวางลงบนบ่าของเขา “ท่านอ๋อง ผู้สำเร็จการใหญ่ มิอาจติดอยู่กับความลังเล สตรีผู้นี้อัปมงคลแปลกประหลาดนัก มิควรค่าให้ฝ่าบาทเมตตาปล่อยผ่านไปอีกครั้ง!”เมื่อตัดสินใจไม่เด็ดขาด ย่อมได้รับเคราะห์ในภายหลังอ๋องฉีสูดหายใจเข้าลึก เมื่อนึกถึงตอนที่ชีหยวนปล่อยศรหมายสังหารเขาโดยไร้ซึ่งความปรานี นึกถึงยามนางกระโดดขึ้นหลังม้า คมกริชเกือบปาดผ่านลำคอเขาไป ก็ตัดสินใจแน่วแน่ใช่แล้ว ชีหยวนไม่เคยเมตตาต่อเขา แล้วเขาจะปรานีไปเพื่ออันใด!เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบรับ “ท่านตาคิดจะทำอย่างไรเล่า?”ฉู่กั๋วกงได้ยินก็รู้ว่าเขาตอบตกลงแล้ว จึงถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะเลิกคิ้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “อีกไม่กี่วันก็เป็นวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลหวัง”ฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลหวัง...อ๋องฉีนึกไม่ออกว่าเป็นใคร จนกระทั่งฉู่กั๋วกงเอ่ยบอก เขาถึงเพิ่งนึกได้ว่านางเป็นยายแท้ ๆ ของชีหยวนเขาหัวเราะขึ้นเบา ๆ “นางเป็นคนไร้หัวใจเช่นนั้น วันเกิดของยายแล้วอย่างไร? นางไม่มีทางไป”ชีหยวนไม่เป็นที่ชื่นชอบของมารดาแท้ ๆ อีกทั้งตัวนางเองก็เป็นคนเย็นชาไร้หัวใจ ไม่เห
ลิ่วจินเกาหัวแล้วเดินจากไปเหลียนเฉียวที่คอยรับใช้ข้างกาย มองชีหยวนด้วยสีหน้าเป็นกังวล “คุณหนูใหญ่ นี่ท่าน...”พูดจาแข็งกระด้างเกินไปแล้วกระมัง?แท้จริงแล้วพระราชนัดดาองค์โตเป็นผู้มีอุปนิสัยดีนัก อีกทั้งยังคอยช่วยเหลือคุณหนูใหญ่ทุกทางแต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ทุกครั้งที่คุณหนูใหญ่ต้องเผชิญหน้ากับพระราชนัดดาองค์โต นางกลับคอยต่อต้านและป้องกันราวกับแผ่หนามทั่วร่างอยู่เสมอชีหยวนไม่ได้ตอบคำใดนางย่อมรู้ดีว่าเซียวอวิ๋นถิงไม่ได้มาด้วยตนเอง เป็นเพราะกำลังขุ่นเคืองแต่แล้วอย่างไรเล่า?การสูญเสียเป็นเรื่องปกติของชีวิตไม่คาดหวังเสียแต่แรก ก็ไม่มีทางผิดหวังยิ่งไปกว่านั้น หากคนผู้หนึ่งรู้ว่าตนมีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งใด เช่นนั้นก็สามารถแบกรับความทุกข์ทุกรูปแบบได้นางทำได้ ไม่ว่าจะชาติก่อนหรือชาตินี้ นางก็ไม่ต้องการความสงสารใด ๆ จากใครทั้งสิ้น เดินไปให้ไกลที่สุดด้วยกำลังของตนเองอย่างองอาจคนที่ไม่กลัวการสูญเสีย ย่อมไม่มีสิ่งใดต้องหวาดหวั่นเมื่อลิ่วจินกลับถึงตำหนักตะวันออก เซียวอวิ๋นถิงเสด็จกลับจากการเยี่ยมเยียนองค์รัชทายาทที่ประชวร เพิ่งกลับถึงตำหนักบรรทมทุกครั้งที่ไปเยือนตำหนักองค์รัชทายา
ไม่ได้หรอกดังนั้นเกียรติยศอันยิ่งใหญ่หลังความตายเหล่านั้นจึงเป็นเพียงเครื่องปลอบประโลมคนเป็นเท่านั้นแต่เกี่ยวข้องอันใดกับนางเล่า?ท่านโหวผู้เฒ่ามองนางอย่างไม่เข้าใจ “หลิ่วจิงหงตายไปอย่างมีเกียรติเพียงนี้ เจ้ามิร้อนใจบ้างหรือ?”“ไยต้องร้อนใจเจ้าคะ?” ชีหยวนพลันแย้มยิ้ม “หากพวกเขาชอบเกียรติยศเช่นนี้นัก ข้าส่งให้พวกเขาได้อีกหลายครั้ง”......ท่านโหวผู้เฒ่าพูดไม่ออกก่อนหน้านี้เมื่อมองดูพิธีอันยิ่งใหญ่ เขายังรู้สึกกังวลกระวนกระวายใจแต่ตอนนี้ เมื่อได้ยินถ้อยคำของชีหยวน เขากลับรู้สึกว่าความเกรียงไกรเช่นนั้นอย่าได้มีเลย หากมีอีกหลายครั้ง บรรดาเจ้านายของจวนฉู่กั๋วกงคงสิ้นชีพเกือบหมดจวนเป็นแน่เขาสูดลมหายใจเข้าลึก สงบสติอารมณ์ “เรื่องของบิดาเจ้า ไม่รู้ว่าราบรื่นหรือไม่”หากราบรื่นและสามารถพาตัวพระชายาหลิ่วกลับมาได้ เช่นนั้นย่อมเป็นการโจมตีครั้งใหญ่ต่อตระกูลหลิ่วถึงเวลานั้น ตระกูลหลิ่วคงไม่มีเวลามาจับจ้องตระกูลชีและชีหยวนอีกต่อไปชีหยวนยังไม่ทันกล่าวต่อ หลิวจงก็วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อนเสียก่อน “ท่านโหวผู้เฒ่า คุณหนูใหญ่ ฮูหยินผู้เฒ่าให้มาเชิญท่านทั้งสอง บอกว่า... บอกว่าได้รับเทียบเช