งานแข่งตีคลีของจวนอ๋องโจวมิได้จัดขึ้นที่จวนอ๋องโจวจริง ๆ ทว่าจัดที่เรือนพักนอกเมืองของจวนอ๋องโจว ซึ่งอยู่นอกเขตเมืองหลวง และต่อให้จวนในเมืองหลวงจะใหญ่โตกว้างขวางสักเพียงใด ทว่าจะสร้างสนามตีคลีขึ้นสักหนึ่งสนามนั้นก็ค่อนข้างลำบากเกินไปอยู่ดี แต่กับนอกเขตเมืองหลวงนั้นแตกต่างกัน สนามตีคลีของจวนอ๋องโจวใหญ่จนน่าอัศจรรย์ใจ อีกทั้งรอบข้างยังสร้างที่นั่งซึ่งมีลักษณะเป็นขั้นบันไดไล่ขึ้นไปจากต่ำไปสูง เพื่อให้ผู้ชมสามารถมองเห็นเหตุการณ์ในสนามแข่งขันได้จากทุกทิศทาง ตอนที่ฮูหยินรองชีพาชีหยวนไปถึง บรรยากาศในงานยังไม่เร่าร้อนคึกคัก นางพาชีหยวนไปกล่าวทักทายพระชายาโจวก่อน พระชายาโจวกำลังยุ่ง อันที่จริงเหตุผลที่ส่งเทียบเชิญให้ตระกูลชี พูดตามตรงแล้วก็เป็นเพราะว่าเห็นแก่หน้าฮูหยินซื่อจื่อฉู่กั๋วกงซึ่งเป็นพี่สาวผู้พี่ของนางต่างหาก และแน่นอนว่านางไม่มีความจำเป็นจะต้องลดเกียรติลงไปสนทนากับชีหยวนด้วยตนเอง ด้วยเหตุนี้เองกระทั่งฮูหยินรองชีทำความเคารพแล้ว นางไม่แม้แต่มองให้ชัดเจนด้วยซ้ำว่าชีหยวนรูปโฉมโนมพรรณเป็นอย่างไร เพียงแต่อมยิ้มพลางเอ่ยกับฮูหยินรองชีว่า: “พวกเด็ก ๆ ต่างอยู่ในตำหนักเถาฮวาอู้ที่ลาน
กลับกัน นางมีความเก่งกาจโดดเด่นมาโดยตลอดจนเรียกว่าแข่งกับองค์หญิงลั่วชวนในทุก ๆ เรื่อง แม้กระทั่งการเล่นตีคลีก็เช่นกัน งานแข่งตีคลีครั้งนี้ นับเป็นการลงสนามแข่งขันอย่างเป็นทางการหลังพิธีปักปิ่นของพวกนางสองคน ทั้งคู่ต่างแบ่งกลุ่มมาก่อนเรียบร้อยแล้ว บัดนี้หลิ่วหมิงจูกำเริบเสิบสานไร้ความยำเกรง ในสายตาขององค์หญิงลั่วชวนมองแล้วชัดเจนว่าจงใจยั่วโทสะอย่างไม่ต้องสงสัย หลิ่วหมิงจูกลั้วหัวเราะเสียงเบา: “ชนะข้า? องค์หญิง หากท่านคิดอยากจะชนะข้า…ชนะคนอื่นให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากันเถิด” สีหน้าของนางดูราบเรียบ เอ่ยด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม: “ได้ยินว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลชีแห่งจวนหย่งผิงโหว ได้รับการชี้แนะอบรมโดยตรงจากองค์หญิงใหญ่ ฝีมือการขี่อาชาเรียกว่าโดดเด่นไม่เป็นรอง หากองค์หญิงสามารถเอาชนะนางได้ ข้าก็จะยอมรับความพ่ายแพ้ โดยที่ไม่ต้องแข่งขัน เช่นนั้นเป็นอย่างไร?” แต่ไหนแต่ไรมาองค์หญิงใหญ่โปรดปรานการเล่นตีคลีเป็นที่สุด แม้แต่บรรดาพระเชษฐาอย่างอ๋องโจวและอ๋องอู๋ยังไม่สามารถเอาชนะนางได้ ดังนั้นได้ยินหลิ่วหมิงจูเอ่ยเช่นนี้ขึ้น องค์หญิงลั่วชวนก็ขมวดคิ้วขึ้นและโพล่งถามออกไปทันใด: “ใครกัน?
พวกนางสองคนเป็นลูกพี่ลูกน้องทางฝ่ายมารดา แต่กลับมิได้สนิทสนมกันเหมือนมารดาของพวกนาง ทว่าแข่งขันกันมาตลอดตั้งแต่เยาว์วัย แข่งกันว่าใครมีรูปโฉมงดงามกว่า ใครมีเนื้อผ้าตัดกระโปรงดูดีกว่า ใครโดดเด่นเลิศล้ำมากกว่า และใครเป็นที่ชื่นชอบของบรรดาลูกหลานขุนนางในเมืองหลวงมากกว่า จะเรื่องใดล้วนนำมาเปรียบเทียบกันและกันได้ทั้งสิ้น อันที่จริงหากพูดถึงฐานะแล้ว เดิมหลิ่วหมิงจูไม่มีทางจะเทียบเท่าองค์หญิงลั่วชวนได้เลย แต่เพราะว่า หลิ่วหมิงจูนางมีท่านป้าซึ่งเป็นกุ้ยเฟยที่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้มากที่สุด และหลิ่วกุ้ยเฟยก็ปฏิบัติกับนางไม่ต่างอะไรกับพระธิดาของพระองค์เอง ด้วยเหตุผลนี้เองทำให้หลิ่วหมิงจูมีสิทธิ์และมีความคิดแข่งขันเปรียบเทียบว่าใครเหนือกว่าใครกับองค์หญิงลั่วชวน ยามนี้ได้ยินชีหยวนกล่าวว่าต้องการประลองฝีมือกับหลิ่วหมิงจูก่อน ปลายหางตาขององค์หญิงลั่วชวนพลันฉายประกายดูแคลน: “เจ้ามิได้อยากแข่งกับข้าหรอกหรือ? เอาเถิด วันนี้เจ้าเอาชนะนางให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน” หลิ่วหมิงจูหันขวับมามองชีหยวนซึ่งอยู่ด้านข้างทันใด สายตาคมกริบดุจมีด นางสวะชั้นต่ำคนนี้! หากมิใช่เพราะมารดาตั้งใจกำชับเป็
น่าเสียดาย ชีหยวนกลับเป็นเหมือนก้อนหินแข็งแกร่ง หัวแข็ง ไม่สะทกสะท้านหวาดหวั่นแม้แต่น้อย ทว่า ก็มีคนส่งเสียงคัดค้านออกมาทันใด: “เช่นนี้ไม่เหมาะสม! จะแข่งขันก็แข่งขัน ทำแบบนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน?” ชีหยวนเอียงศีรษะเล็กน้อย ครั้นมองเห็นดรุณีที่เอ่ยวาจาออกมาเมื่อครู่สวมเสื้อคลุมตัวสั้นสีเหลืองอ่อน ท่อนล่างมัดกระโปรงร้อยจีบสีชาขาว ยามนี้กำลังมองมายังตนเองด้วยท่าทางเป็นกังวล หัวใจของนางสั่นไหวเล็กน้อย แม่นางท่านนี้ช่างดูคุ้นหน้าคุ้นตานัก และในขณะนั้นเอง แม่นางที่เมื่อครู่เสนอให้ตัดมือก็กล่าวแย้งด้วยสีหน้าดูถูกเหยียดหยาม: “หวังฉาน เจ้าจะเสแสร้งอะไรนักหนา? ที่ว่าใช้ได้ที่ไหนกันคืออะไร? เจ้าคงกลัวว่าลูกพี่ลูกน้องของตนเองจะแพ้การแข่งมากกว่ากระมัง? ใครไม่รู้บ้างว่าจวนติ้งหย่วนป๋อและจวนหย่งผิงโหวของพวกเจ้าเกี่ยวดองเป็นญาติกัน!” จวนติ้งหย่วนป๋อ เป็นบุตรีของนางหลู่ป้าสะใภ้เองหรือ ชีหยวนเข้าใจในทันที มิน่านางถึงได้รู้สึกคุ้นหน้าหวังฉานนัก ที่แท้ก็เพราะหวังฉานหน้าเหมือนนางหลู่ นางผงกศีรษะให้หวังฉานอย่างเป็นมิตร ก่อนจะดึงดูดสายตาของทุกคนกลับมาอย่างแนบเนียน : “มิใช่ว่าจะต้องประลองกันแล้วหรือ?
และในขณะเดียวกันนั้น เซียวอวิ๋นถิงซึ่งกำลังทักทายปราศรัยกับอ๋องโจวอยู่บนแท่นยกพื้นก็เห็นว่ามีคนเดินลงสนามแข่งแล้ว กระทั่งเห็นชัดว่าบุคคลผู้นั้นเป็นใคร แทบจะบีบถ้วยน้ำชาจนแตกละเอียด ถ้อยคำกำชับนับพันหมื่นของเขา ล้วนสูญเปล่าทั้งสิ้น! เด็กคนนี้ลงสนามแข่งไปแล้ว! นางคิดจะทำอะไรของนาง? ปลิดชีวิตใครสักคนสามารถอาศัยแรงดุดันป่าเถื่อน หรือความโหดเหี้ยมอำมหิต ทว่าการเล่นตีคลีแตกต่างจากสิ่งเหล่านั้นไปอย่างสิ้นเชิง และหากว่าพลาดพลั้งร่วงลงมา เป็นอันต้องจบชีวิตแล้ว! งานแข่งตีคลีในเมืองหลวงจะมีปีใดบ้างที่ไม่ต้องสูญเสียชีวิตของผู้ใดไปสักคน? อ๋องโจวกลั้วหัวเราะพลางส่งเสียงร้องแปลกใจ ก่อนจะกวักมือเรียกขันทีน้อยข้างกายเข้ามา: “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ? ยังไม่เริ่มรำเพลงอุ่นเครื่องเปิดสนามเลย ไฉนจึงมีคนจูงม้าลงสนามไปแล้ว?” ขันทีน้อยหมุนตัวออกไปด้วยท่าทางร้อนรน ผ่านไปครู่หนึ่งก็กลับมา พร้อมกระซิบรายงานต้นสายปลายเหตุของเรื่องดังกล่าวนี้ให้อ๋องโจวฟังด้วยเสียงเบาหวิว อ๋องโจวอุทานด้วยความประหลาดใจเล็กน้อยออกมา: “เฮอะ มีคนกล้าท้าแม่หนูหลิ่วประลองตัวต่อตัว ตีลูกตีคลีตัดสินในประตูเดียวด้วยหรือ?”
อ๋องโจวมองเซียวอวิ๋นถิงพลางกลั้วหัวเราะเช่นกัน: “ดูเหมือนอาชาเหงื่อโลหิตจะต้องเป็นของแม่หนูหลิ่วแล้ว” เซียวอวิ๋นถิงยังขมวดคิ้วเล็กน้อยในตอนแรก บัดนี้ได้ยินอ๋องโจวเอ่ยออกมาเช่นนี้ ก็พลันหัวเราะขึ้นมา: “ท่านปู่น้อย ชัยชนะจะตกอยู่ในมือใคร บัดนี้ยังไม่อาจรู้” อ๋องโจวหันกลับมา ก็เห็นชีหยวนตะบึงอาชา พุ่งไปตัดหน้าหลิ่วหมิงจูอย่างบ้าคลั่ง พลิกฝ่ามือสกัดลูกไว้ได้ก็หวดลูกกลับไปอีกฟากตรงข้ามแล้ว ลูกคลีถูกแย่งไปได้สำเร็จแล้วจริง ๆ! “เยี่ยม!” อ๋องโจวส่งเสียงร้องชมเชยออกมาอย่างอดไม่ไหว เสี้ยวขณะนั้นแอบรู้สึกตะลึงงันเล็กน้อย: “แม่หนูคนนี้เป็นใครกัน?” เซียวอวิ๋นถิงกระตุกมุมปาก ฮูหยินใหญ่หลิ่วเหยียดตัวตรงช้า ๆ ในแววตาฉายประกายอึ้งงันและไม่อยากเชื่อ เฝ้าดูบุตรีเล่นตีคลีซ้อมตีคลีมานานหลายปี นางย่อมรู้ดีว่าบุตรีมีความสามารถระดับใด และเพราะเหตุผลนี้ ตอนที่เห็นชีหยวนสามารถตะบึงอาชาเข้าไปตัดลูกคลีของหลิ่วหมิงจูมาได้ นางยิ่งรู้สึกตื่นตะลึงและงงงัน เป็นไปได้อย่างไร?! นางเด็กที่มาจากหุบเขาท้องทุ่งคนนี้ ไยจึงมีความสามารถได้ถึงเพียงนี้?! และในตอนนี้เสียงร้องเฮจากนอกสนามแข่งไม่มีทางจะส่งไปถึง
พระชายาอ๋องโจวตะลึงจนดวงตาเบิกกว้าง “หมิงจูพ่ายแพ้หรือ?”ฮูหยินใหญ่หลิ่วมีสีหน้าเขียวคล้ำ ไม่ได้เอ่ยตอบแพ้แล้ว!บุตรสาวของนางพ่ายแพ้แล้ว!ในปีที่ได้เข้าพิธีปักปิ่น ในวันที่ควรจะมีแต่เกียรติยศ กลับพ่ายแพ้ให้กับเด็กนอกคอกที่กลับมาจากชนบท!ฮูหยินรองตระกูลชีกลั้นลมหายใจ จากนั้นก็ตบมือด้วยใบหน้าแดงก่ำ!มันยากนัก นางเห็นอย่างชัดเจน ถ้าชีหยวนตอบสนองช้าไปเพียงชั่วขณะเดียว เช่นนั้นมือของชีหยวนคงถูกตัดจนขาดไปแล้วอ๋องโจวลูบเคราที่เพิ่งงอกบนใบหน้าและเป่าออกมาเบา ๆ “ในแผ่นดินย่อมมีคนมากความสามารถปรากฏโดยแท้! คุณหนูใหญ่ตระกูลชีผู้นี้ มาจากที่ใดกัน?”มาจากที่ใดกัน?เซียวอวิ๋นถิงนึกถึงสาวน้อยที่ฆ่าคนในทะเลสาบยามเช้า แล้วพลันยิ้มออกมา “ผุดขึ้นมาจากน้ำกระมัง”.....อ๋องโจวมองเซียวอวิ๋นถิงด้วยสายตาสับสน “เจ้ารู้จักนางหรือ?”เซียวอวิ๋นถิงรับคำ “นับว่ารู้จัก ดังนั้น ม้าเหงื่อโลหิตของท่านปู่น้อย อย่ามานึกเสียดายนะพ่ะย่ะค่ะ”นี่เป็นสิ่งที่นางแย่งชิงได้ด้วยตนเอง สมควรเป็นของนางอ๋องโจวเกิดความคิดบางอย่างในใจ “เจ้าเด็กนี่ หรือว่าเจ้า...”คำพูดยังไม่ทันจบ ก็ได้ยินเสียงเรียกขององค์หญิงลั่วชวน “ห
นี่คือความอับอายใหญ่หลวงที่สุดในชีวิต!เมื่อความอดทนหมดสิ้น ความโกรธและความอับอายก็เอาชนะเหตุผล ร่างของหลิ่วหมิงจูขยับไปเร็วกว่าสติสัมปชัญญะของตัวเอง นางฟาดแส้ลงไปบนหลังม้าอย่างแรง ม้าร้องด้วยความเจ็บ ก่อนจะยกขาหน้าขึ้นในทันที และด้วยการกระตุ้นจากหลิ่วหมิงจู ม้าตัวนั้นก็พุ่งตรงไปยังชีหยวนอย่างบ้าคลั่งหวังฉานที่กำลังปรบมือพลันหยุดชะงัก ใบหน้าแดงก่ำ รีบวิ่งลงมาจากอัฒจันทร์หวังจะลงสนามไปกอดชีหยวนแต่นางลงบันไดไปได้แค่สองขั้น ก็เห็นว่าหลิ่วหมิงจูก็ควบม้าพุ่งตรงไปหาชีหยวนอย่างรวดเร็ว ใจของนางก็เหมือนจะเด้งออกมานอกอกเนื่องจากนางตกใจสุดขีด จนแม้แต่เสียงก็ไม่สามารถเปล่งออกมา ได้แต่ยืนตัวแข็งมองหลิ่วหมิงจูพุ่งทะยานตรงไปอย่างรวดเร็ว นางง้างไม้ตีลูกคลีในมือสุดแรง ตีลงไปที่ขาหน้าของม้าที่ชีหยวนขี่อยู่!เหตุการณ์พลิกผันเกิดขึ้นในชั่วพริบตาทุกคนล้วนตะลึงงันอ๋องโจวมีสีหน้าเคร่งขรึม รีบก้าวไปข้างหน้าหลายก้าวแล้วตวาดลั่น “เหลวไหล!”การแข่งขันแพ้ชนะนั้นเป็นเรื่องธรรมดา เป็นแค่เด็กสาว ชนะหรือแพ้มันจะมีความสำคัญสักแค่ไหนกัน?คนที่มาดูก็แค่พูดคุยกันไปชั่วขณะ เดี๋ยวก็ลืมกันหมดนี่เป็นเพียงการแ
ชีเจิ้นกับท่านโหวผู้เฒ่าก็เข้าใจแล้ว!ชีหยวนจะพูดว่านางถูกองค์หญิงใหญ่รับตัวไป แต่ความจริงแล้วนางกลับเปลี่ยนเส้นทางกลางทางด้วยเหตุนี้ อ๋องฉีและตระกูลหลิ่วจึงอาจคิดว่านางมีเจตนาแอบแฝง สงสัยว่านางรู้เรื่องข่าวของพระชายาหลิ่วสองแม่ลูก จึงไปหาพระชายาหลิ่วสองแม่ลูกชีเจิ้นหัวใจเต้นรัว ลดเสียงลงแล้วถามว่า “ข้าต้องทำอะไร?”“ทูลรายงานฝ่าบาท แล้วออกจากเมืองหลวงในคืนนี้” ชีหยวนมองเขา “ท่านพ่อ นี่เป็นโอกาสเดียวของท่าน หาพระชายาหลิ่วสองแม่ลูกให้พบ แล้วพาพวกเขากลับมาเมืองหลวง มีแต่วิธีนี้เท่านั้น ท่านถึงจะหลุดพ้นจากอ๋องฉีและจวนฉู่กั๋วกงได้”จากที่ดูมา ชีหยวนมั่นใจจริงๆ ว่าการที่พระชายาหลิ่วกับลูกเกิดเรื่องในปีนั้นไม่ใช่ฝีมือตระกูลเฝิงไม่อย่างนั้นจากความสัมพันธ์ของชีหยวนกับเซียวอวิ๋นถิง ไม่มีทางทำเรื่องที่เป็นผลร้ายต่อฝ่ายองค์รัชทายาทชีเจิ้นสูดหายใจลึก “ได้! แต่ถ้าพระชายาหลิ่วเกลียดชังตระกูลเฝิงมากกว่าเดิม…...”ชีหยวนยิ้มเล็กน้อย “ไม่หรอกเจ้าค่ะ นางเป็นลูกของภรรยาเอก ตระกูลหลิ่วที่ใหญ่โตขนาดนี้ มีเพียงนางผู้เดียวที่เกิดเรื่องร้าย ส่วนคนอื่นๆ ล้วนแต่สุขสบายร่ำรวย นางไม่ใช่คนโง่ นางย่อมว่าจ
ชีเจิ้นจะไม่เสียใจได้อย่างไร?เขาแค่ไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจอะไรเลยเท่านั้น” ทำหน้าเคร่งขรึมพลางจิบชา เขาหันไปมองท่านโหวผู้เฒ่า “ท่านพ่อ เด็กคนนี้ออมมือไว้แล้ว”ไม่อย่างนั้น คงไม่ใช่แค่ทำให้หลิ่วหมิงจูล้มเจ็บจนเกือบตาย หากนางอยากทำจริงๆ คงสามารถเหวี่ยงหลิ่วหมิงจูให้ตายตรงนั้นได้เลยท่านโหวผู้เฒ่าลูบหนวดของตัวเอง “ไปกันเถอะ ไปถามนางให้รู้เรื่อง”ชีหยวนเปลี่ยนชุดเสร็จเรียบร้อยแล้วและไปยังเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าชีฮูหยินรองชีที่ตกใจจนเกินไป ถูกฮูหยินผู้เฒ่าชีสั่งให้กลับไปพักผ่อนแล้วทันทีที่นางเข้าประตูไป เห็นเพียงฮูหยินผู้เฒ่าชี ท่านโหวผู้เฒ่า และชีเจิ้นนั่งอยู่สามคนเมื่อเห็นนางเข้ามา ฮูหยินผู้เฒ่าชีก็กวักมือเรียก “หยวนหยวน มานั่งข้างย่านี่”ชีหยวนเดินไปนั่งข้างฮูหยินผู้เฒ่าชีเหลือบมองชีเจิ้นที่เอาแต่มองตนเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ก็ไม่พูด ก่อนจะเลิกคิ้วถาม “คนของตระกูลหลิ่วมาที่นี่แล้วหรือเจ้าคะ?”ชีเจิ้นมีสีหน้าซับซ้อนพร้อมตอบรับเสียงอืม “เรื่องคราวนี้ มันเกิดขึ้นอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมเจ้าถึงไปยุ่งกับตระกูลหลิ่ว?”“เป็นคนของตระกูลหลิ่วที่ให้จวนอ๋องโจวส่งเทียบเชิญมาให้ข้า” ชีหยวนพูดรวบรัด
คุณหนูใหญ่หลิ่วไม่เหมือนกับใครคนอื่นก่อนหน้า!นี่คือบุตรสาวแห่งจวนกั๋วกง และยังเป็นหลานสาวของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยด้วย!ฮูหยินรองตระกูลชีรีบส่ายหัวอย่างเร็วพลัน: “ไม่เจ้าค่ะ ไม่เจ้าค่ะ!”ฮูหยินผู้เฒ่าหลับตาลง ถอนหายใจยาว ทันใดนั้นก็อดรู้สึกแปลกไม่ได้ในใจ กระทำกับชีหยวนเช่นนี้ แต่ชีหยวนกลับไม่ทำอะไรคุณหนูหลิ่วเลยหรือ?เป็นไปได้อย่างไร!ยังดีที่ท่านโหวผู้เฒ่าตอบสนองค่อนข้างเร็ว เขาถามต่อ: “แล้วหลังจากนั้นเล่า?”“หลังจากนั้น หยวนหยวนขึ้นไปบนหลังม้าของคุณหนูใหญ่หลิ่ว ไม่รู้ทั้งสองทะเลาะกันอย่างไร คุณหนูใหญ่หลิ่วก็พลัดตกจากหลังม้า…...”จะว่าไป ความอัดอั้นในใจมานานของชีเจิ้นถึงกับคลายลงทันทีอ้อ ก็ดี เป็นนิสัยของชีหยวนจริงๆเขาว่าแล้ว ชีหยวนจะยอมปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ ได้อย่างไรฮูหยินผู้เฒ่ายกถ้วยชาขึ้นจิบ ยังไม่ทันได้วางถ้วยชา แม่บ้านหญิงที่อยู่ด้านนอกก็รายงานผ่านม่านว่า: “ท่านโหวผู้เฒ่า ท่านโหว ฮูหยินผู้เฒ่า คนจากจวนฉู่กั๋วกงมาถึงแล้วเจ้าค่ะ”มาในเวลานี้ คงไม่ต้องเดาก็รู้เลยว่าเพื่อเรื่องอะไรท่านโหวผู้เฒ่าและชีเจิ้นสบตากัน พร้อมใจลุกขึ้นยืนขึ้นแล้วเดินออกไปคนที่มาเป็นคุณชายรอ
เมื่อฮูหยินรองตระกูลชีกลับมาถึงจวนตระกูลชี ม้าเหงื่อโลหิตพร้อมกับของกำนัลไถ่โทษจำนวนมากจากจวนอ๋องโจว ก็ถูกส่งมาถึงก่อนหน้าแล้วเมื่อมองไปยังม้าเหงื่อโลหิตที่เปล่งประกายเป็นสีทองภายใต้แสงแดดนั้น ท่านโหวผู้เฒ่าและชีเจิ้นกลับไม่แสดงสีหน้าใดๆขันทีน้อยจากจวนอ๋องโจวมองพวกเขาแวบหนึ่ง อดไม่ได้ที่จะคิดในใจว่า ไม่น่าแปลกใจที่ตระกูลชีจะเลี้ยงดูคุณหนูที่เก่งกาจอย่างคุณหนูใหญ่ชีได้ ท่านโหวผู้เฒ่าและท่านโหวเองก็เป็นคนสุขุมและนิ่งมากของจำนวนมากถูกส่งมาขนาดนี้ แต่ทั้งสองท่านกลับไม่ถามหาเหตุผลแม้แต่คำเดียวชีเจิ้นรู้สึกชาไปหมด เขามีสีหน้าไร้อารมณ์ เมื่อเห็นหลิวจงเดินไปส่งขันทีน้อยออกไปด้วยท่าทางสุภาพเขาหันไปมองท่านโหวผู้เฒ่าแล้วพูดว่า: “ในบรรดาม้าเหงื่อโลหิตห้าตัวที่เขตตะวันตกส่งถวายมาให้ฮ่องเต้ ฝ่าบาทพระราชทานให้อ๋องเจิ้งหนึ่งตัว อ๋องฉีหนึ่งตัว และอ๋องโจวอีกหนึ่งตัว…...”แต่ตอนนี้เจ้าสิ่งนี้ถูกชีหยวนนำกลับมาที่จวนแล้วชีเจิ้นนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถามด้วยสีหน้าแปลกประหลาด: “นางไปทำอะไรอีกแล้ว?”ตอนนี้ต่อให้มีคนมาบอกเขาว่า ชีหยวนฆ่าอ๋องโจว คาดว่าเขาก็คงไม่ตกใจเกินไปเพราะถูกทำให้ตกใจมาม
ในที่สุดฮูหยินใหญ่หลิ่วก็ทนไม่ไหว: “เจ้าอย่าทำตัวไม่รู้จักอายนะ! เรื่องวันนี้......”“เรื่องวันนี้ได้ข้อสรุปแล้ว!” ชีหยวนขัดคำพูดของนาง: “มีสายตามากมายที่มองเห็น ไม่ใช่ว่าพวกท่านจะบอกว่าเด็กน้อยโมโหใส่อารมณ์ก็จะเป็นเรื่องที่ว่าเด็กน้อยโมโหใส่อารมณ์ได้ ไม่มีเด็กน้อยโมโหใส่อารมณ์แล้วต้องการปลิดชีพคน!”ช่างเป็นเด็กสาวที่ไม่ยอมเสียเปรียบแม้แต่นิดเดียว!แต่หลิ่วจิงหงยังคงยิ้มมองนาง: “คุณหนูใหญ่ชีช่างองอาจยิ่งนัก แต่หวังว่าจะองอาจแบบนี้ไปตลอดนะ”ช่างไม่รู้จักที่ตายจริงๆคิดว่าชนะการแข่งตีคลีหนึ่งครั้ง ชนะคุณหนูใหญ่แห่งจวนฉู่กั๋วกง แล้วจะเก่งมากหรือไงกลับไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรคืออำนาจที่แท้จริงแม้แต่ท่านโหวเฒ่าหรือชีเจิ้นแห่งจวนหย่งผิงโหว ยังต้องให้ความเคารพต่อหน้าเขาแต่หญิงบ้าคนนี้กลับคิดว่าตัวเองเป็นคนสำคัญจริงๆน่าขันและน่าสมเพชชีหยวนยังคงยิ้มมองเขา: “ขอรับคำอวยพรของซื่อจื่อ ข้าน้อยคิดว่าข้าน้อยจะองอาจแบบนี้ไปตลอดจริงๆ”ท่าทางของนางนี่ทำให้ฮูหยินใหญ่หลิ่วโมโหจนแทบจะบ้าคลั่งแม้แต่ตอนที่เดินออกไปไกลแล้ว ฮูหยินใหญ่หลิ่วยังรู้สึกเจ็บแน่นหน้าอก ไม่วายหันไปถามหลิ่วจิงหง: “เรื่องวั
“ไม่มีอะไร” ชีหยวนไม่ต้องการเอ่ยถึงอ๋องฉีท่าทางของเขาเมื่อครู่ที่ตั้งคำถามนางอย่างมั่นใจว่าทำไมต้องฆ่าเขาช่างน่าขันเหลือเกินนางเพียงตอบด้วยเสียงทุ้มลึกว่า “เกรงว่าคงต้องเปลี่ยนแผน ตอนนี้เขารู้แล้วว่าข้าก็เหมือนกับเขา เป็นคนที่สามารถมองเห็นอนาคตล่วงหน้าได้ ถ้าจะให้พ่อของข้าปล่อยข่าวของพระชายาหลิ่วสองแม่ลูกอีก เขาก็คงไม่เชื่อแล้ว”วันนี้อ๋องฉีต้องการฆ่านางเป็นเรื่องจริง ต้องการทดสอบนางก็เป็นเรื่องจริงแต่เมื่อคิดๆ ดูก็ไม่น่าแปลกใจเพราะตั้งแต่นางได้เกิดใหม่ นางก็เปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ไปมากมายอ๋องฉีในเมื่อเกิดใหม่เช่นกัน การที่จะรู้ว่านางมีบางอย่างผิดปกติก็เป็นเรื่องปกตินางไม่ได้กังวลกับเรื่องนี้มากนักเซียวอวิ๋นถิงก็เข้าใจความหมายของชีหยวนทันทีก่อนหน้านี้พวกเขาวางแผนว่าจะเผยข่าวของพระชายาหลิ่วล่วงหน้าให้อ๋องฉีรู้ เพื่อล่อให้อ๋องฉีลงมือ จากนั้นก็จับตัวเขาพร้อมหลักฐานแต่ตอนนี้ในเมื่ออ๋องฉีรู้ถึงไพ่ตายของพวกเขาแล้ว เขาก็คงจะไม่เชื่อถือพวกเขาหรือแม้แต่ชีเจิ้นอีกต่อไปแผนล่อนี้ใช้ไม่ได้ผลกับเขาเซียวอวิ๋นถิงเคาะนิ้วบนโต๊ะเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้นอย่างรวดเร็วว่า “เช่นนั้นก็ให้พ่อของเ
พูดไปแล้ว ชีหยวนคนนี้นับว่าเป็นผู้เล่นการเมืองที่เหมาะสมทีเดียวทั้งหน้าหนาและพลิกสถานการณ์เก่ง ขุนนางอาวุโสในราชสำนักอีกตั้งหลายคนก็ยังไม่หน้าหนาเท่านางแต่ถึงจะชื่นชมในจุดนี้ มันก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้อยู่ดีเขาพูดปลอบใจลูกสาวไม่กี่คำ แล้วหันไปพูดกับฮูหยินใหญ่หลิ่วว่า: “ไป ไปพบกับคุณหนูใหญ่ชีผู้นี้สักหน่อย”ชีหยวนกำลังพูดคุยอยู่กับเซียวอวิ๋นถิงอันที่จริงอาการบาดเจ็บของนางนั้นหนักมากตอนที่ตกจากหลังม้า นางกระแทกเข้าที่หลังเต็มๆ เมื่อครู่หมอหลวงหูเพิ่งตรวจดู อดเดาะปากไม่ได้ ไม่รู้ว่านางทนมาถึงตอนนี้ได้อย่างไรจนกระทั่งตอนนี้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามเซียวอวิ๋นถิง สีริมฝีปากของนางยังดูซีดขาวเล็กน้อยเซียวอวิ๋นถิงทำหน้าตึงมองดูนางที่ยังทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พร้อมดื่มชาหมดถ้วยรวดเดียว ในที่สุดก็อดถามไม่ได้: “เจ้าไม่มีอะไรอยากจะพูดกับข้าบ้างเลยหรือ?”ชีหยวนมองเขาอย่างแปลกใจ:“แน่นอนว่ามี ท่านอ๋อง เมื่อครู่นักฆ่าที่แอบซ่อนในห้องมิใช่คนของฮูหยินใหญ่หลิ่วพวกนาง ท่านทราบหรือไม่ว่าเป็นใคร?”......ช่างไม่ตรงประเด็นเลยจริงๆ!เซียวอวิ๋นถิงอดไม่ได้ที่จะลดเสียงลงด้วยถามความโกรธ: “ข้าไม่ได้ถ
น้ำตาของฮูหยินใหญ่หลิ่วยังเกาะอยู่บนใบหน้า นางกำหมัดแน่น กัดฟันพูดอย่างโกรธแค้นว่า: “ข้าไม่เคยเห็นคนที่ไร้ยางอายถึงขนาดนี้มาก่อน!”เสียงของนางสั่นเล็กน้อย: “นางเด็กคนนั้นมันช่างเป็นคนที่ดื้อด้าน ไม่มีความละอายใจเลยสักนิด! พูดจาเสียดแทงก็ไม่สะทกสะท้าน สาดน้ำใส่ก็ไม่ขยับ!”หนาหน้าเหมือนกำแพงเมืองก็ไม่ปาน!ถ้าเป็นเด็กสาวที่ยังไม่ได้แต่งงานคนอื่น แม้คำพูดรุนแรงแค่คำเดียวก็แทบรับไม่ไหวแล้วแต่ชีหยวนนั้นกลับไม่ใช่เช่นนั้น ใครด่านางคำหนึ่ง นางก็สวนกลับไปอีกคำ ไม่ว่าจะพูดอย่างมีหลักการหรือด่าอย่างไม่เลือกถ้อยคำ นางก็ตอบโต้ได้แบบเจ็บแสบฮูหยินใหญ่หลิ่วไม่เคยได้รับความอัปยศอดสูเช่นนี้มาก่อน!หลิ่วจิงหงมองดูภรรยา เห็นนางที่เอ่ยถึงเรื่องนี้ก็ยังตัวสั่นเล็กน้อย ก็รู้ทันทีว่านางโกรธจนทนไม่ไหวแล้วเขาหรี่ตาลงเล็กน้อย: “ยากรับมือขนาดนั้นเชียวหรือ?”ฮูหยินใหญ่หลิ่วสะอื้น: “ยากกว่าทุกคนที่ข้าเคยเจอ! จะว่าอย่างไรดี…... อย่างไรเสียนางไม่มีความละอายใจเลย และไม่ยอมอยู่ในกฎเกณฑ์…...”กล้าพูดทุกสิ่ง กล้าทำทุกอย่างในใจฮูหยินใหญ่หลิ่วเริ่มเสียใจ ทำไมต้องช่วยองค์หญิงระบายความโกรธจนทำให้ลูกสาวต้องมาเผช
ฮูหยินใหญ่หลิ่วหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา: “คนอย่างเจ้าที่เป็นตัวก่อภัย ผู้ที่อยากฆ่าเจ้าก็คงมีมากมายเหมือนปลาไนที่ข้ามแม่น้ำ ใครจะไปรู้ว่าใครเป็นผู้ลงมือ!”คิดแล้วนางก็กล่าวเย้ยหยัน: “หรือว่า ต่อไปถ้าเจ้ามีเคราะห์ร้ายอะไร ก็จะโทษว่าเป็นพวกเราทั้งหมดให้ได้?!”“ใช่แล้วเจ้าค่ะ!” ชีหยวนตอบกลับอย่างหน้าตาเฉย: “เช่นนั้น ฮูหยินใหญ่หลิ่วควรภาวนาให้ข้ารอดชีวิตไปจนแก่เฒ่า มิอย่างนั้น ข้าเคยมีปัญหากับพวกท่านเท่านั้น คนที่อยากฆ่าข้าก็มีแต่พวกท่าน ถ้าข้าตายขึ้นมา ผู้ต้องสงสัยที่สุดก็ต้องเป็นพวกท่านนั่นแหละเจ้าค่ะ!”……นางชั้นต่ำ! ช่างชั้นต่ำเสียจริง!เซียวอวิ๋นถิงที่ไม่ได้พูดอะไร กระแอมออกมาเบาๆ ทำให้ทุกคนสนใจเขาสำหรับพระราชนัดดาองค์โตที่กำลังเริ่มโดดเด่นในสายพระเนตรของฮ่องเต้หย่งชาง ทุกคนย่อมไม่กล้าล่วงเกินเขาอ๋องโจวหันมองเซียวอวิ๋นถิง น้ำเสียงอ่อนลงเล็กน้อย: “เรื่องนี้ ข้าจะให้คนตรวจสอบให้ชัดเจน ถึงเวลานั้นก็จะให้คำตอบที่เหมาะสมแก่คุณหนูใหญ่ชี”เซียวอวิ๋นถิงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ: “ท่านปู่น้อย การแข่งตีคลีที่ดีๆ ซึ่งเป็นงานสำคัญประจำปีในเมืองหลวง ควรจะตรวจสอบอย่างจริงจัง มิฉะนั้น หากเกิด