ครั้นได้รับเทียบเชิญ คนทั้งตระกูลชีต่างรู้สึกประหลาดใจและไม่มั่นใจเล็กน้อย สาเหตุเพราะเกิดเหตุร้ายแรงขึ้นในสกุลโจว ดังนั้นระยะนี้ชีฟางอวิ๋นจึงต้องพำนักอยู่ที่เรือนมารดามาตลอด พอได้ยินข่าวนี้ก็เผลอมองชีหยวนหลายครั้งอย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็แอบกระซิบถามฮูหยินผู้เฒ่าชีว่า: “ท่านแม่ พี่หยวนนางเป็น…” เป็นใครมาจากไหนกันแน่? เรื่องที่ทำไมตอนนี้ทุกคนในตระกูลชีถึงยอมรับกลาย ๆ ว่านางเป็นผู้นำบังไม่เท่าไร ทว่าเหตุใดแม้กระทั่งบรรดาบุคคลผู้มีชื่อเสียงนอกเรือนยังพากันให้ความสำคัญกับนางมากถึงเพียงนี้อีก? งานแข่งตีคลีของจวนอ๋องโจว ใช่ว่าจวนหย่งผิงโหวจะไม่เคยได้รับเทียบเชิญมาก่อนเสียเมื่อไร ทว่าแต่ไหนแต่ไรมา ก็ไม่เคยระบุเจาะจงชัดเจนว่าเชิญผู้ใดอย่างเช่นตอนนี้ แบบนี้จะไม่แปลกเกินไปหน่อยหรือ? ชีหยวนเพิ่งจะกลับมาได้เพียงไม่นาน ตระกูลบุญหนักศักดิ์ใหญ่ในเมืองหลวงมีใครบ้างเกรงว่ายังรู้จักไม่ครบเสียด้วยซ้ำไป นับดูให้ดีแล้วที่ออกไปเยี่ยมเยียนเป็นแขกก็มีเพียงตระกูลเซี่ยงตระกูลเดียวเท่านั้น มิหนำซ้ำยังเป็นการไปที่มิใช่เรื่องน่ายินดี แวะไปเพียงครู่เดียวก็กลับแล้ว จวนอ๋องโจวมีเหตุผลใดถึงต้องเจาะจ
นางไม่พูดมากไปกว่านี้แล้ว เพียงแต่บอกให้พวกชีเจิ้นและท่านโหวผู้เฒ่าวางใจ มีลูกหลานที่มีความสามารถเก่งกาจเกินไปก็มิใช่เรื่องน่ายินดีอะไรนัก เพราะเมื่อใดที่เราอยากเป็นผู้ตัดสินใจบ้างก็เป็นเรื่องที่ยากมากเกินไปจริง ๆ ทั้งท่านโหวผู้เฒ่าและชีเจิ้นต่างไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกมาดี หนนี้กลับเป็นฮูหยินผู้เฒ่าที่รู้สึกยินดีอย่างถึงที่สุด: “ให้น้าสะใภ้รองของเจ้าพาเจ้าไปสิ! ข้าจะให้คนไปตัดอาภรณ์ชุดใหม่มาให้เจ้า เมื่อถึงยามนั้นเจ้าจงเที่ยวเล่นให้เบิกบานใจ” เที่ยวเล่นให้เบิกบานใจ… ชีเจิ้นคล้ายจะเอ่ยบางอย่างแต่ชะงักไป ชีหยวนกลับผุดยิ้มพลางกล่าวขอบคุณฮูหยินผู้เฒ่าชี จากนั้นก็หยัดกายขึ้นและกลับไปที่หอหมิงเยว่ ครั้นกลับมาถึงหอหมิงเยว่ เหลียนเฉียวมารออยู่หน้าประตูเรือนได้พักหนึ่งแล้ว เมื่อเห็นนางก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ก่อนจะสืบเท้าเดินเข้าไปหาอย่างรีบร้อน: “คุณหนู ท่านกลับมาแล้ว!” จากนั้นก็กดเสียงลงเอ่ยว่า: “ท่านอ๋องอยู่ด้านในเจ้าค่ะ” นางแทบจะตกใจตายให้ได้เลยจริง ๆ ก่อนหน้าตอนที่นางเข้าไปในห้อง ครั้นเห็นเซียวอวิ๋นถิงนั่งอยู่ข้างหน้าต่างในตอนนั้น ก็เกือบจะตกใจตายแล้ว ช่วงนี้มันอย่าง
แสงจันทร์ค่อย ๆ ลาลับขอบฟ้า ทันใดนั้น สวี่อินอินก็รู้สึกเหมือนกับว่ามีภูเขาลูกหนึ่งทับลงบนร่างกายของตนเองความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วอก นางรู้สึกราวกับปลาที่ขาดน้ำ พยายามอ้าปากเพื่อสูดอากาศหายใจ ก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงสิ่งที่ปรากฏแก่สายตาคือ ใบหน้าที่ดูดุร้าย ส่วนประกอบบนใบหน้าดูแข็งกระด้างเป็นติงเฉิงหย่ง!สวี่อินอินตกตะลึงอย่างยิ่ง ฉากนี้ช่างคุ้นเคยเสียจริงแต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร?นางยังไม่ทันได้ไตร่ตรอง เสียงเล็กแหลมของหลี่ซิ่วเหนียงก็ดังขึ้น “เจ้าจะเล่นก็เล่นไป แต่อย่าทำให้ตายเสียล่ะ!”เป็นหลี่ซิ่วเหนียง แม่บุญธรรมของนาง!สวี่อินอินโกรธจนดวงตาแทบถลนออกมา สั่นเทิ้มไปทั้งตัวนางกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง ย้อนเวลากลับมาเมื่อสิบสามปีก่อน!ตอนที่นางเพิ่งจะรู้ว่าตนเองเป็นคุณหนูใหญ่แห่งจวนหย่งผิงโหวในเมืองหลวงหลังจากที่จวนหย่งผิงโหวมาตรวจสอบแล้ว พวกเขาบอกว่าจะส่งคนมารับนางทว่า ในคืนนั้นเองนางก็เกิดเรื่องขึ้นแล้ว!หลี่ซิ่วเหนียงขังนางเอาไว้ในห้องเก็บฟืน แล้วพาติงเฉิงหย่งมา นางต่อสู้อย่างสุดกำลังจึงรอดพ้นจากการถูกข่มเหง แต่วันรุ่งขึ้น หลี่ซิ่วเหนียงก็พาคนมาจับนางในข้อ
หลี่ซิ่วเหนียงนำผู้คนกลุ่มหนึ่งรีบรุดฝ่าแสงจันทร์กลับไปที่นางหามา ล้วนขึ้นชื่อว่าเป็นผู้หญิงขี้นินทาประจำหมู่บ้าน สามารถพูดจาบิดเบือนความจริงได้เมื่อคนเหล่านี้เห็นสวี่อินอินและติงเฉิงหย่งนอนอยู่บนเตียงเดียวกัน คงจะถ่มน้ำลายรุมด่าทอสวี่อินอินจนไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดแน่!ฮึ คุณหนูสูงศักดิ์ที่ยังไม่ทันกลับบ้านก็เสียความบริสุทธิ์ไปเสียแล้ว ยังจะเรียกว่าคุณหนูสูงศักดิ์ได้อีกหรือ?นางเคยเป็นแม่นมอยู่ในจวนโหว ย่อมรู้ดีว่าพวกชนชั้นสูงเหล่านั้นทั้งเรื่องมากและจู้จี้จุกจิก มีหรือที่จะอยากได้หญิงสำส่อนที่เคยนอนกับคนอื่นแล้ว?เมื่อถึงตอนนั้น หญิงสำส่อนที่เสียตัวก่อนแต่งงาน กับคุณหนูผู้สูงศักดิ์ที่มีความรู้ความสามารถ ต่อให้จวนหย่งผิงโหวหลับตาเลือก ก็คงเลือกได้ไม่ยากคิดจะกลับไปขวางทางลูกสาวของนาง ฝันไปเถอะ!คิดได้ดังนั้น หลี่ซิ่วเหนียงก็แทบทนรอไม่ไหวแล้ว อยากจะรีบกลับถึงบ้านเสียเดี๋ยวนี้เลยใครจะไปรู้ว่า ห่างจากประตูบ้านประมาณหนึ่งร้อยเมตร หัวหน้าหมู่บ้านกลับพาคนกลุ่มใหญ่ถือคบเพลิงมาล้อมพวกนางเอาไว้หลี่ซิ่วเหนียงชะงักไปครู่หนึ่ง “หัวหน้าหมู่บ้าน? ท่านทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไร?”หัวหน้าหม
“ข้าก็คือสวี่อินอินน่ะสิ” นางแสยะยิ้มมุมปาก “เพียงแต่ไม่ใช่สวี่อินอินคนเดิมที่ยอมให้เจ้าข่มเหงรังแกอีกแล้ว”“แผนการของลูกสาวแท้ ๆ ของเจ้าล้มเหลว พวกเจ้าสองคนก็ตายแล้ว” สวี่อินอินโน้มตัวเข้าไปใกล้หลี่ซิ่วเหนียงน้ำเสียงของนางราวกับภูตผี “เจ้าเดาสิว่าหลังจากข้ากลับไป นางยังจะมีชีวิตที่ดีอีกหรือไม่?”หลี่ซิ่วเหนียงสติแตก ทันใดนั้นนางก็เริ่มคลุ้มคลั่ง ดิ้นรนอย่างรุนแรงอยู่ในกรง “นางสารเลว ข้าจะฆ่าเจ้า ข้าจะฆ่าเจ้า! เจ้าต้องไม่ตายดีแน่!”สวี่อินอินกลัวจนถอยหลังไปสองสามก้าว ล้มลงนั่งกับพื้นจากนั้นก็ร้องไห้ขอร้องด้วยความหวาดกลัว “ท่านแม่ อย่าฆ่าข้า อย่าฆ่าข้า!”หัวหน้าหมู่บ้านแค่นเสียง “จะตายอยู่แล้วยังไม่สำนึกผิด ชั่วร้ายที่สุด! ถ่วงน้ำเดี๋ยวนี้!”กรงถูกยกขึ้น สวี่อินอินมองหลี่ซิ่วเหนียงที่ยังคงดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งอยู่ในกรง จากนั้นค่อย ๆ ยิ้มอย่างชั่วร้ายทันใดนั้น เสียงตูมดังขึ้น กรงหมูก็ตกลงไปในทะเลสาบ เกิดคลื่นขนาดใหญ่ซัดกระเซ็นเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ก็มีคนจากจวนหย่งผิงโหวมาถึง เป็นแม่นมคนหนึ่งที่วางมาดใหญ่โตสวี่อินอินมองแวบเดียวก็จำได้ทันทีว่า คนที่วางมาดโอหังยิ่งกว่านายหญิงคนนี
อากาศบนผิวน้ำสดชื่นกว่าอากาศในน้ำมากแม่นมฮวาคิดจะฆ่านางให้จมน้ำตายจริง น่าขันสิ้นดีนางต้องรับผิดชอบเรื่องต่าง ๆ ภายในบ้านมาตั้งแต่ตอนที่เริ่มหัดกินข้าวเองได้เหล่าชาวนาต้องจ่ายค่าเช่าทำนาให้กับเจ้าของที่ดิน หลี่ซิ่วเหนียงและคนขายเนื้อสวี่ก็ใช้สารพัดวิธีกดขี่ขูดรีดเงินจากนางขึ้นเขาเก็บเห็ด ตัดฟืน เก็บเมล็ดชา ลงน้ำจับปลา จับเต่า สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นงานถนัดของนางสวี่อินอินเงยหน้าโผล่พ้นน้ำ รู้สึกได้ว่าแรงดิ้นรนของแม่นมฮวาค่อย ๆ น้อยลง จนกระทั่งไม่มีแรงเหลืออยู่สายลมอ่อน ๆ พัดมาจากริมฝั่ง นางอ้าปากจาม กำลังจะดำลงไปลากแม่นมฮวาขึ้นมา เพื่อให้ทุกคนได้เห็นภาพเหตุการณ์ ‘วีรกรรมช่วยชีวิต’ ของนางแต่ใครจะรู้ว่าขณะที่ยกมือขึ้น ข้อศอกของนางกลับไปกระแทกเข้ากับบางอย่างสัมผัสนี้ทำให้นางรู้สึกเย็นวาบไปถึงกระดูกสันหลัง สมองพลันว่างเปล่า จากนั้นก็ตระหนักได้ในทันทีว่า มีคนอื่นอยู่ในน้ำด้วย!หรือว่าแม่นมฮวาจะยังเตรียมคนไว้ในน้ำอีก?หากเป็นเช่นนั้น...ในชั่วพริบตา เลือดในร่างกายของนางก็เดือดพล่านขึ้น แต่สมองกลับสงบลงอย่างประหลาด นางค่อย ๆ ปล่อยแม่นมฮวา และพุ่งตัวไปด้านหลังอย่างรวดเร็วโดยอาศั
สวี่อินอินเป็นที่รักของผู้คนในหมู่บ้านต่างจากคนขายเนื้อสวี่และหลี่ซิ่วเหนียงที่ใจดำ สวี่อินอินเป็นเด็กที่เชื่อฟังและรู้ความ คนเราย่อมมีความรู้สึก เห็นสวี่อินอินอายุยังน้อยแต่ต้องลำบากเช่นนี้ คนในหมู่บ้านจึงดูแลนางเป็นพิเศษสวี่อินอินก็เป็นเด็กที่รู้จักบุญคุณ กินข้าวบ้านไหนก็ไปช่วยเขาเลี้ยงหมู ดื่มน้ำบ้านใครก็ไปช่วยเขาตัดฟืนดังนั้นตอนนี้หัวหน้าหมู่บ้านมองนาง ก็เหมือนกับมองลูกหลานของตัวเองยังไม่ทันได้กลับไป บ่าวไพร่ของจวนโหวก็คิดจะฆ่าสวี่อินอินแล้ว ถ้ากลับไป จะมีชีวิตที่ดีได้อย่างไร?อีกอย่าง อย่างน้อยในหมู่บ้าน สวี่อินอินก็เข้ากับทุกคนได้เป็นอย่างดี หากนางสามารถยืนหยัดอยู่ในจวนโหวได้ ในอนาคตก็จะเป็นผลดีต่อหมู่บ้านด้วยเขาตอบรับทันที “ได้! แม่หนูไม่ต้องกลัว ข้าจะไปแจ้งหน่วยปราบปรามเดี๋ยวนี้!”เห็นหัวหน้าหมู่บ้านกำลังจะไปแจ้งทางการจริง ๆ บ่าวไพร่ของจวนหย่งผิงโหวก็นั่งไม่ติดแล้วโดยเฉพาะสาวใช้ที่แต่งตัวงดงามคนนั้น นางรู้ดีแก่ใจว่าแม่นมฮวาตั้งใจนัดสวี่อินอินไปที่ริมทะเลสาบ เพื่อจะฆ่าสวี่อินอินให้จมน้ำตายจริง ๆ หากแจ้งทางการจริง ๆ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จวนโหวจะเสียหน้าตัวนางเอ
แม่นมจางควบอาชาเร็วกลับเมืองหลวงแล้วนางหวังฮูหยินหย่งผิงโหวอ่านบันทึกบัญชีที่หัวหน้าหมู่บ้านนำมามอบให้เรียบร้อยแล้ว ขณะที่กำลังจะจิบน้ำชา ก็ได้ยินเสียงของชีอวิ๋นถิงคุณชายใหญ่แว่วดังมาจากด้านนอกนางพลันวางน้ำชาในมือทันใด จ้องมองชีอวิ๋นถิงที่เพิ่งเข้ามา : “เห็นเจ้าดูร้อนรนกระวนกระวายนัก ไปทำอะไรมาหรือ? เพิ่งจะยามนี้เองเหตุใดจึงกลับมาแล้ว?”บุตรธิดาสกุลชีถูกแบ่งตามลำดับอาวุโส ชีอวิ๋นถิงเป็นบุตรคนแรกของนางหวัง และเป็นหลานชายสายหลักคนโตสุด คนทั้งตระกูลล้วนมองเขาประหนึ่งเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างไรอย่างนั้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อชีอวิ๋นถิงอยู่ต่อหน้ามารดา ครั้นหยิบขนมกุ้ยฮวาขึ้นชิ้นหนึ่งพลางผุดยิ้มอย่างดี ส่งเข้าปากแล้วคำหนึ่ง ค่อยเอ่ยขึ้นว่า : “วันนี้จะออกไปชมงิ้วร่วมกับสหายที่หอจิ่นซิ่ว”“น้องหญิงของเจ้ากลับมาถึงวันนี้ เจ้ายังมีจิตใจไปชมงิ้วอีกหรือ?” นางหวังขมวดหัวคิ้ว ท่าทางไม่สบอารมณ์เล็กน้อย “ในฐานะที่เจ้าเป็นพี่ชายแท้ ๆ ก็สมควรอยู่ต้อนรับคนกลับสู่เหย้าด้วยตนเองสิ!”ชีอวิ๋นถิงพ่นลมฮึออกจากจมูก เบะปากอย่างดูแคลน : “ท่านแม่ จะให้ข้าไปรับเด็กบ้านนอกกลับมา ท่านอยากทำให้เจ้าเด็กอ่อนต่อโลกน
นางไม่พูดมากไปกว่านี้แล้ว เพียงแต่บอกให้พวกชีเจิ้นและท่านโหวผู้เฒ่าวางใจ มีลูกหลานที่มีความสามารถเก่งกาจเกินไปก็มิใช่เรื่องน่ายินดีอะไรนัก เพราะเมื่อใดที่เราอยากเป็นผู้ตัดสินใจบ้างก็เป็นเรื่องที่ยากมากเกินไปจริง ๆ ทั้งท่านโหวผู้เฒ่าและชีเจิ้นต่างไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกมาดี หนนี้กลับเป็นฮูหยินผู้เฒ่าที่รู้สึกยินดีอย่างถึงที่สุด: “ให้น้าสะใภ้รองของเจ้าพาเจ้าไปสิ! ข้าจะให้คนไปตัดอาภรณ์ชุดใหม่มาให้เจ้า เมื่อถึงยามนั้นเจ้าจงเที่ยวเล่นให้เบิกบานใจ” เที่ยวเล่นให้เบิกบานใจ… ชีเจิ้นคล้ายจะเอ่ยบางอย่างแต่ชะงักไป ชีหยวนกลับผุดยิ้มพลางกล่าวขอบคุณฮูหยินผู้เฒ่าชี จากนั้นก็หยัดกายขึ้นและกลับไปที่หอหมิงเยว่ ครั้นกลับมาถึงหอหมิงเยว่ เหลียนเฉียวมารออยู่หน้าประตูเรือนได้พักหนึ่งแล้ว เมื่อเห็นนางก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ก่อนจะสืบเท้าเดินเข้าไปหาอย่างรีบร้อน: “คุณหนู ท่านกลับมาแล้ว!” จากนั้นก็กดเสียงลงเอ่ยว่า: “ท่านอ๋องอยู่ด้านในเจ้าค่ะ” นางแทบจะตกใจตายให้ได้เลยจริง ๆ ก่อนหน้าตอนที่นางเข้าไปในห้อง ครั้นเห็นเซียวอวิ๋นถิงนั่งอยู่ข้างหน้าต่างในตอนนั้น ก็เกือบจะตกใจตายแล้ว ช่วงนี้มันอย่าง
ครั้นได้รับเทียบเชิญ คนทั้งตระกูลชีต่างรู้สึกประหลาดใจและไม่มั่นใจเล็กน้อย สาเหตุเพราะเกิดเหตุร้ายแรงขึ้นในสกุลโจว ดังนั้นระยะนี้ชีฟางอวิ๋นจึงต้องพำนักอยู่ที่เรือนมารดามาตลอด พอได้ยินข่าวนี้ก็เผลอมองชีหยวนหลายครั้งอย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็แอบกระซิบถามฮูหยินผู้เฒ่าชีว่า: “ท่านแม่ พี่หยวนนางเป็น…” เป็นใครมาจากไหนกันแน่? เรื่องที่ทำไมตอนนี้ทุกคนในตระกูลชีถึงยอมรับกลาย ๆ ว่านางเป็นผู้นำบังไม่เท่าไร ทว่าเหตุใดแม้กระทั่งบรรดาบุคคลผู้มีชื่อเสียงนอกเรือนยังพากันให้ความสำคัญกับนางมากถึงเพียงนี้อีก? งานแข่งตีคลีของจวนอ๋องโจว ใช่ว่าจวนหย่งผิงโหวจะไม่เคยได้รับเทียบเชิญมาก่อนเสียเมื่อไร ทว่าแต่ไหนแต่ไรมา ก็ไม่เคยระบุเจาะจงชัดเจนว่าเชิญผู้ใดอย่างเช่นตอนนี้ แบบนี้จะไม่แปลกเกินไปหน่อยหรือ? ชีหยวนเพิ่งจะกลับมาได้เพียงไม่นาน ตระกูลบุญหนักศักดิ์ใหญ่ในเมืองหลวงมีใครบ้างเกรงว่ายังรู้จักไม่ครบเสียด้วยซ้ำไป นับดูให้ดีแล้วที่ออกไปเยี่ยมเยียนเป็นแขกก็มีเพียงตระกูลเซี่ยงตระกูลเดียวเท่านั้น มิหนำซ้ำยังเป็นการไปที่มิใช่เรื่องน่ายินดี แวะไปเพียงครู่เดียวก็กลับแล้ว จวนอ๋องโจวมีเหตุผลใดถึงต้องเจาะจ
เมื่อเห็นเช่นนี้ ฮูหยินใหญ่หลิ่วก็โกรธจัด: “งานแข่งตีคลีของจวนอ๋องโจว เจ้าไม่ต้องไป!”หลิ่วหมิงจูกังวลใจทันที: “ทำไมล่ะ?! ข้าเตรียมตัวมาครึ่งปีแล้ว ข้าต้องไปให้ได้!”ทุกปีในฤดูหนาว นอกจากงานชุมนุมดอกไม้ของบรรดาจวนขุนนางแล้ว งานแข่งตีคลีของจวนอ๋องโจว เป็นงานที่ผู้คนในเมืองหลวงเฝ้ารอมากที่สุดราชวงศ์นี้ยกย่องทักษะด้านการต่อสู้ ย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่ฮ่องเต้หย่งชางยังเป็นอ๋องอยู่ พระองค์ก็โปรดปรานการเล่นตีคลีอย่างมาก นายว่าขี้ข้าพลอย หลังจากขึ้นครองราชย์แล้ว บรรดาอ๋องทั้งหลายก็เล่นตีคลีคล้อยตามพระองค์ การแข่งตีคลีจึงกลายเป็นกระแสนิยมอย่างมาก โดยเฉพาะในหมู่ชนชั้นสูงหญิงชาย การได้แสดงฝีมือและโดดเด่นในสนามแข่งของจวนอ๋องโจวถือเป็นความภาคภูมิใจที่สุดหลิ่วหมิงจูเริ่มฝึกขี่ม้าตั้งแต่อายุสิบสองปี และฝึกฝนการเล่นตีคลีมาโดยตลอด ทว่าสองปีที่ผ่านมา นางยังอายุน้อย จึงได้เล่นอย่างไม่เต็มที่ เป็นแค่ตัวสำรอง ปีนี้นางรอคอยมานานจนกระทั่งอายุครบวัยปักปิ่น และนางยังได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้เล่นที่ยอดเยี่ยมในกลุ่มบุตรสาวขุนนาง นางจะพลาดงานนี้ไปได้อย่างไร?ฮูหยินใหญ่หลิ่วกำลังจะพูดต่อ แต่หลิ่วจิง
หลิ่วจิงหงพยักหน้า ยิ้มพร้อมกล่าวให้บิดาของตนวางใจ: “ลูกมีแผนการในใจแล้วขอรับ”ต่างจากลูกหลานขุนนางทั่วไป ส่วนใหญ่พอรุ่นที่สองก็มักอาศัยเกียรติยศของบรรพบุรุษกินสมบัติเก่า แต่สำหรับหลิ่วจิงหง เขายืนหยัดอยู่ในแวดวงขุนนางด้วยความสามารถของตนเองตระกูลหลิ่วของพวกเขาเป็นขุนนาง และยังเป็นพระญาติชั้นนอก เพราะเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยได้รับความโปรดปรานอย่างมาก สถานะของตระกูลหลิ่วจึงสูงส่งยิ่งขึ้นกล่าวโดยทั่วไปแล้ว ตำแหน่งขุนนางที่ได้มาจากพระมาหกรุณาธิคุณ ล้วนใช้คำว่าเฉิงเอิน (รับพระมหากรุณาธิคุณ) เป็นคำนำหน้าตำแหน่ง เช่น ตระกูลของฮองเฮาเฝิงก็มีตำแหน่ง “เฉิงเอินโหว”แต่ตระกูลหลิ่วกลับได้เป็นจวนฉู่กั๋วกง สาเหตุหนึ่งมาจากพระสนมหลิ่วได้รับความโปรดปรานอย่างมาก และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือเพราะความสามารถของหลิ่วจิงหงเอง หลิ่วจิงหงเป็นคนมีพรสวรรค์ เขาสามารถทำดินปืนได้ ในอดีตเมื่อครั้งอยู่ฝูเจี้ยน เขาเติบโตเข้าออกจวนอ๋อง เรียกอ๋องหมิ่น ซึ่งก็คือฮ่องเต้หย่งชางในปัจจุบันว่า “พี่เขย” ตั้งแต่เด็กเรียกได้ว่าหลิ่วจิงหงมีทั้งความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น กับฮ่องเต้หย่งชาง และความสามารถอันโดดเด่นดังนั้น ตอนนี้เขาจ
เมื่อเขาเดินออกไป คนเฝ้าประตูก็เข้าไปรายงานท่านผู้เฒ่าหลิ่วทำเสียงฮึดฮัด: “ไร้ประโยชน์สิ้นดี มีแต่ทำเรื่องเสียหาย! เจ้าเองก็เถอะ ไฉนถึงเลียนแบบสตรีไปได้?”คนที่เขาหมายถึงย่อมไม่พ้นบุตรชายของตน ผู้สืบทอดของจวนฉู่กั๋วก๋ง หลิ่วจิงหงหลิ่วจิงหงหัวเราะเบาๆ นั่งอยู่ตรงข้ามเขาอย่างสง่างาม: “ก็คิดว่าอย่างไรเสียก็เป็นคนเคยใช้งานมาก่อน อีกอย่างเขาก็เป็นญาติเกี่ยวดองกับจวนหย่งผิงโหว เลยช่วยพูดแทนสักสองสามคำ ใครจะไปรู้ว่าเขาจะไร้ความสามารถเพียงนี้?”ไม่เพียงแต่จะไม่สามารถสร้างปัญหาให้จวนหย่งผิงโหวได้ ยังทำอะไรตระกูลชีไม่ได้เลยสักนิด ซ้ำร้ายยังทำให้ตัวเองต้องเดือดร้อนเสียอีกท่านผู้เฒ่าหลิ่วสีหน้าไม่ค่อยสู้ดี: “เจ้าต้องระวังให้มาก คนประเภทนี้ พบเจอเรื่องราวมามากจึงไม่กลัวอะไรทั้งนั้น หากตระกูลโจวเกิดเรื่องขึ้นจริง ก็จะพูดอะไรไม่ควรพูดออกมา”นี่คือกำลังเตือนเขาถึงเรื่องราวในตอนนั้นหลิ่วจิงหงเข้าใจดี ยื่นมือรินน้ำชาให้ท่านผู้เฒ่า: “ท่านก็วางใจเถิด ลูกไม่ใช่คนโง่เยี่ยงนั้น เขาไม่มีโอกาสอีกแล้ว”กล่าวจบก็หัวเราะเยาะ: “พูดไปท่านอาจไม่เชื่อ ไอ้คนโง่นี่ ตอนเราปูทางให้เข้าไปทำงานในกรมทหารม้าในตอน
โจวผิงหนวดเครารุงรัง เห็นได้ชัดว่าช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้เขายุ่งจนแทบไม่มีเวลาดูแลตัวเองเมื่อได้ยินคำพูดของนายท่านรองโจว เขาจึงได้สติและหันมาถามด้วยความหวัง: “อารอง ท่านกลับมาแล้ว ทางนั้นว่าอย่างไรบ้าง?”ว่าอย่างไรงั้นหรือ?นายท่านรองโจวมองเขาแล้วก็ยิ่งขุ่นเคือง: “จะว่าอย่างไรได้อีก? เรื่องนี้พวกเจ้าทำเกินไปแล้ว!”บาดแผลบนหน้าผากของชีฟางอวิ๋นเขาเห็นมากับตา ตอนนี้ถึงแม้จะถูกพันแผลไว้อย่างเรียบร้อย แต่ก็ยังดูน่าสยดสยอง แสดงว่าตอนนั้นคงบาดเจ็บหนักไม่น้อยท่านหญิงโจวตอนสาวๆ ก็ชอบตีลูกหลานอยู่แล้ว ไม่คิดว่าพอแก่ตัวลงนิสัยก็ยังไม่เปลี่ยน ตีแรงเกินเหตุเช่นนี้อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็เป็นถึงคุณหนูจากจวนโหว นี่ไม่เท่ากับหาเรื่องเป็นศัตรูกับตระกูลโหวอย่างชัดเจนหรือ?สีหน้าของโจวผิงเคร่งขรึมลงทันทีเขาอดไม่ได้ที่โกรธเดือดดาล: “ทั้งหมดเป็นเพราะหญิงชั่วคนนั้น! ถ้าไม่ใช่เพราะนาง เรื่องคงไม่วุ่นวายถึงขนาดนี้!”……นายท่านรองโจวไม่อาจพูดอะไรได้มากกว่านี้ ได้แต่ถามกลับไปว่า: “ตอนนี้พูดเรื่องพวกนี้ไปก็ไร้ประโยชน์ แล้วเจ้าคิดจะทำอย่างไรต่อ? เรื่องนี้มันใหญ่โตเกินไปแล้ว…...”หากเป็นคนอื่นทำลายซุ้
ไฉนถึงกลายเป็นเยี่ยงนี้ไปได้?หญิงชั้นต่ำที่กลับมาจากบ้านนอกนั่น เดิมทีนางเป็นเพียงคนไร้ความสำคัญ เดิมทีนางควรจะอยู่อย่างเงียบๆ ในมุมหนึ่งของจวนโหว หรือไม่ก็ไปใช้ชีวิตอยู่ที่เรือนนอกเมืองจนหมดอายุขัยแต่ทำไมตอนนี้กลับกลายเป็นว่านางได้รับความโปรดปรานในจวนโหว?ชีอวิ๋นถิงจ้องมองไปทางหอหมิงเยว่ด้วยสายตาลึกล้ำ ก่อนจะหมุนตัวรีบเดินไปที่โรงม้าจูงม้าออกจากจวนอย่างรวดเร็วรุ่ยซงไม่กล้าที่จะหละหลวมติดตามเขาอยู่ด้านหลัง: “คุณชาย! คุณชายรอข้าด้วย! คุณชาย ท่านจะไปไหนกันแน่?”ไปไหนงั้นรึ?ชีอวิ๋นถิงลดเสียงลงต่ำ: “ข้าจะออกนอกเมือง!”ออกนอกเมือง?รุ่ยซงสับสนงงงวย: “คุณชาย! ท่าน ท่านเพิ่งจะหายจากอาการบาดเจ็บเองนะขอรับ! ฮูหยินก็ยังป่วยอยู่ ท่านอย่าไปทำให้ท่านโหวพวกท่านโกรธเลยนะขอรับ!”“ไร้สาระ!” ชีอวิ๋นถิงเตะเขา: “ที่นี่ไม่มีสิทธิ์ให้เจ้ามายุ่ง! ถ้าเจ้าไม่อยากตามไป ก็ไสหัวไป!”รุ่ยซงที่โดนเตะจนเหมือนกุ้งตัวงอ นอนกองอยู่กับพื้นเกือบสลบ แต่ชีอวิ๋นถิงกลับไม่สนใจ หมุนตัวก็กระโดดขึ้นหลังม้าทันทีเห็นเช่นนี้ รุ่ยซงฝืนความเจ็บรีบลุกขึ้นติดตามเขา และควบม้าตามหลังไปอย่างเร็วพลันในฐานะบ่าวรับใช้อย่าง
ท่านโหวผู้เฒ่ากุมมือของชีเจิ้นไว้ ไม่รอให้ชีเจิ้นตอบ ก็เอ่ยถามขึ้นเองก่อนว่า: “อาหยวน เจ้ามั่นใจมากน้อยเท่าไร?”เขาจ้องมองชีหยวนอย่างลึกซึ้ง คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเสริมขึ้นว่า: “ข้าหมายถึง หากต้องกำจัดอ๋องฉี เจ้ามั่นใจมากเท่าไร?”ชีเจิ้นมองชีหยวนด้วยความกังวลเขารู้สึกว่านี่เป็นคำถามที่ตอบยากยิ่ง ท้ายที่สุดแล้วการจะกำจัดอ๋องฉีนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แม้แต่สำหรับชีหยวนเอง ก็เกรงว่าจะต้องใช้วิธีวางหมากซ้อนหมาก สุดท้ายจะสามารถทำได้ถึงขั้นไหน ไม่ได้ขึ้นอยู่แค่ความสามารถของคน แต่ยังต้องอาศัยโอกาสและจังหวะเวลาที่เหมาะสมอีกด้วยทว่า ชีหยวนกลับตอบทันที สีหน้าที่เรียบนิ่ง: “มั่นใจที่สุด”มั่นใจที่สุด!ท่านโหวผู้เฒ่าไม่อาจควบคุมอารมณ์ตนเองได้อีกต่อไป เอ่ยถามต่อทันที:“เหตุใดเจ้าจึงมั่นใจถึงเพียงนี้?”“เพราะเขาต้องตาย” น้ำเสียงของชีหยวนสงบนิ่งอย่างมาก ปราศจากความรู้สึกใดๆ ด้วยซ้ำ นางเงยหน้าขึ้นมองชีเจิ้นและท่านโหวผู้เฒ่าอย่างตรงไปตรงมา: “ข้าจะเป็นคนลงมือสังหารเขาด้วยตัวเอง”ฆ่าเขา เพื่อล้างแค้นให้ตระกูลเซี่ยเพื่อล้างแค้นให้พระชายาหลิ่วสองแม่ลูก ล้างแค้นให้พ่อลูกตระกูลลู่ และชีวิตของผ
สีหน้าของชีเจิ้นเคร่งขรึม: “ตอนแรกข้าคิดว่าเป็นเพียงข่าวลืออีกเท่านั้น จนกระทั่งคนสนิทของข้าเดินทางไปตรวจสอบดู และนำสิ่งหนึ่งกลับมา”เขาพูดแล้วก็เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปเลื่อนตู้หนังสือออก เผยให้เห็นช่องลับด้านหลัง จากนั้นก็ยกกล่องใบหนึ่งมาวางบนโต๊ะ และค่อยๆ เปิดกล่องอย่างระมัดระวังภายในกล่องนั้นมีคันธนูเล็กๆ หนึ่งคันวางอยู่อย่างเงียบสงบ คันธนูเล็กนั้นขนาดประมาณว่าวหนึ่งตัว บนตัวธนูนั้นถูกประดับด้วยทับทิมสีแดงเม็ดโต เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ธนูสำหรับใช้งานจริง แต่เป็นของเล่นสำหรับความบันเทิงเท่านั้นสายตาของชีหยวนกวาดมองคันธนูนั้น ก่อนจะเอ่ยถามเสียงขรึมว่า: “นี่คือของของพระชายาหลิ่วหรือ?”ดังนั้นจึงทำให้ชีเจิ้นมั่นใจได้ว่า มีพระชายาหลิ่วอยู่ที่เมืองเล็กๆ ของเมืองซ่งในเจียงซีกระมัง?หัวใจของนางรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาเล็กน้อยชาติที่แล้ว ข่าวนี้ตกไปอยู่ในมือของอ๋องฉีอ๋องฉีสั่งให้คนไปสังหารพระชายาหลิ่วสองแม่ลูกหลังจากสังหารแล้ว ก็ใส่ร้ายป้ายสีว่าตระกูลเฝิงเป็นผู้ลงมือเซียวอวิ๋นถิงและตระกูลเฝิงจึงให้ตระกูลเซี่ยตรวจสอบเรื่องนี้ สุดท้ายทำให้อ๋องฉีเกิดความสนใจ อ๋องฉีจึงหาข้ออ้างและสัง