บนพื้นมีศพถูกจัดวางเอาไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย คนของทางการยังคงหามศพแล้ววางลงไปทีละศพ พวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นคนรับใช้ของจวนมหาราชครู เมื่อลั่วอวิ๋นสี่เดินออกมาเห็นภาพนี้เข้า นางก็พลันยกมือปิดปากพลางพิงกับกรอบประตูแล้วทรุดลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง น้ำตาไหลอาบหน้าด้วยความเศร้าโศก นักการในศาลาว่าการรายงานต่อใต้เท้าเหอ หลังจากฟังเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ใต้เท้าเหอก็เดินเข้ามาบอกพวกนางทั้งสองคนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “มิพบผู้รอดชีวิตในจวนมหาราชครู” แม้แต่ลั่วหรงก็ถูกสังหาร เรียกได้ว่าเป็นการสังหารล้างตระกูลก็ว่าได้ “ศพที่อยู่ข้างนอกเป็นศพของมือสังหารใช่หรือไม่?” ลั่วชิงยวนพยักหน้า “เจ้าค่ะ” “ทุกคนในจวนมหาราชครูล้วนตายตกด้วยน้ำมือของมัน” เมื่อใต้เท้าเหอได้ยินเช่นนี้ สายตาของเขาก็ทอดมองลั่วอวิ๋นสี่ที่อยู่ข้างกายนาง “วันนี้เกิดเรื่องอันใดขึ้นในจวนมหาราชครูกันแน่? แม่นางลั่ว เจ้าตามข้าไปที่ศาลาว่าการแล้วเล่าเรื่องทั้งหมดให้ข้าฟังได้หรือไม่?” อย่างไรเสียจวนมหาราชครูก็เกือบที่จะถูกสังหารล้างตระกูล เกิดเรื่องใหญ่ถึงเพียงนั้นขึ้นในเมืองหลวง หากเขามิทราบว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น ก็คงมิสาม
ลั่วชิงยวนรู้สึกตื่นตกใจอยู่บ้าง ลั่วอวิ๋นสี่กล่าวว่า “ลำพังด้วยน้ำเสียงของข้าในยามนี้ หากข้าสวมหน้ากาก ก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าข้าเป็นใครแล้ว” “ข้าต้องแน่ใจว่าตัวข้าเองจะปลอดภัยเพื่อแก้แค้นให้ตระกูลของตัวข้าเองได้!” “พี่สาวข้าทำเรื่องพวกนี้มิได้หรอก” เมื่อนึกถึงลั่วหลางหลาง ลั่วชิงยวนเองก็รู้สึกเป็นกังวล หากลั่วหลางหลางรู้เรื่องนี้เข้า มิทราบว่านางจะเสียใจสักเพียงใด “ได้” นางตอบรับคำขอร้องของลั่วอวิ๋นสี่ จากนั้นนางก็ลอบออกไปจากจวนมหาราชครูพร้อมกับลั่วอวิ๋นสี่ ลั่วอวิ๋นสี่พกเงินเหรียญติดตัวมาเพียงจำนวนหนึ่งเท่านั้น มิได้นำสิ่งใดไปอีก ลั่วชิงยวนพาอีกฝ่ายไปที่หอฝูเสวี่ย หลังจากชำระร่างกายและผลัดเปลี่ยนอาภรณ์แล้ว อีกฝ่ายก็สวมหน้ากาก ลั่วอวิ๋นสี่สวมชุดผ้าไหมสีเรียบอันสะอาดสะอ้าน ผมเกล้าเป็นทรงสูงและสวมหน้ากากเอาไว้ เพียงแค่ราตรีเดียว ท่าทางของอีกฝ่ายก็แปรเปลี่ยนไปชนิดสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ยามนี้อีกฝ่ายดูเหมือนบุรุษหนุ่มผู้มีท่าทีสุขุมมากกว่า… เมื่อยืนอยู่หน้ากระจกสำริด ลั่วอวิ๋นสี่ก็ได้ยินเสียงแหบแห้งของตนเองค่อย ๆ เอ่ยขึ้นมาว่า “นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ไม่มีลั่วอวิ๋นสี่อีกแล้ว
ลั่วชิงยวนตอบแม่เล้าเฉินว่า “บอกว่าข้ากำลังพักผ่อนอยู่ ให้คุณชายฝูกลับมาวันหน้าเถอะ” “เจ้าค่ะ” แม่เล้าเฉินเดินออกไป ลั่วอวิ๋นสี่มองนางด้วยสีหน้าตกตะลึงสุดขีด “ข้าได้ยินว่าคุณชายฝูลุ่มหลงในตัวเจ้าถึงขั้นทุ่มเงินมหาศาลให้แก่เจ้า ตัวเจ้ารู้ว่าตระกูลฝูมีอันใดน่าสงสัยมานานแล้ว ถึงได้เจตนาเข้าหาเขาใช่หรือไม่?” ลั่วชิงยวนตอบว่า “เดิมทีเรื่องพวกนี้หาได้เกี่ยวข้องกันไม่ ทว่ายามนี้พบว่าล้วนเชื่อมโยงกับขุมกำลังเดียวกัน” “เรื่องมันยาวนัก ข้าจะค่อย ๆ เล่าให้เจ้าฟังก็แล้วกัน” ลั่วชิงยวนครุ่นคิดแล้วเริ่มต้นจากหอสมุทรมรกต ทั้งสองคนนั่งอยู่ในห้อง ส่วนลั่วอวิ๋นสี่ก็ตั้งใจฟังอยู่ตลอดทั้งคืน หลังจากลั่วอวิ๋นสี่ได้ยินเช่นนี้เข้า ก็ให้รู้สึกตกตะลึง “เจ้าสามารถหาเงื่อนงำได้ตั้งมากมายถึงเพียงนั้น ถึงเจ้าจะอยู่ในหอนางโลม แต่กลับลงมือกระทำเรื่องราวได้มากปานนั้นเชียว” “ส่วนข้ากลับเหมือนคนโง่งมที่ถูกหลอกใช้ครั้งแล้วครั้งเล่า...” ตอนนี้นางตระหนักแล้วว่าเมื่อก่อนได้กระทำเรื่องไร้ประโยชน์เอาไว้มากมายเพียงใด เมื่อก่อนมีท่านตากับมารดาของนางคอยปกป้องคุ้มครอง นางจึงสามารถกระทำเรื่องอันใดก็ได้ตามที่ต้
ฟ่านซานเหอตะลึงงันไปชั่วขณะ จากนั้นก็หันหลังเดินตามฟู่เฉินหวนไป เดิมทีลั่วชิงยวนรู้สึกหวาดระแวง แต่เมื่อนางเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ก็ค่อยถอนหายใจด้วยความโล่งอก พวกเขาต่างก้าวเดินเข้ามาในจวนมหาราชครู ทันทีที่นางเดินเข้ามาในจวนมหาราชครู นางก็ได้ยินลั่วเยวี่ยอิงเอ่ยกับลั่วหลางหลางว่า “ข้าเองก็รู้สึกเสียใจเรื่องการตายของอวิ๋นสี่ยิ่งนัก ถึงแม้ว่ายามนี้จะจับตัวมือสังหารได้แล้วก็ตามที แต่ข้ารู้สึกว่าเรื่องราวหาได้ง่ายดายเช่นนั้นไม่” “อวิ๋นสี่อาจล่วงเกินผู้ใดสักคนเข้าก็ได้” เมื่อลั่วหลางหลางได้ยินเช่นนี้เข้า นางก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอันมาก “ผู้ใดหรือ?” น้ำเสียงของลั่วเยวี่ยอิงฟังดูหนักหน่วง “ฝูเสวี่ยจากหอฝูเสวี่ยน่ะสิ อวิ๋นสี่บังเอิญเห็นนางคิดสังหารข้า ต่อมานางให้การเป็นพยานแทนข้าในศาลาว่าการ ข้าคิดว่านี่เป็นวิธีสังหารคนของนาง” “ครั้งที่สองพอนางถูกขอร้องเพื่อมาให้การเป็นพยานแทนข้าที่ศาลาว่าการ ก็เกิดเรื่องขึ้นในจวนมหาราชครู” ลั่วเยวี่ยอิงเริ่มร้องไห้ “ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของข้าเอง หากข้ามิได้ขอร้องให้นางให้การเป็นพยานแทนข้า นางก็คงมิต้องตาย” สีหน้าเศร้าโศกช่างแลดูสมจริงนัก
“หมู่นี้มีคนแปลกหน้าอยู่ในซีหยางบ้างหรือไม่? ที่เรือนมีกระไรน่าสงสัยหรือไม่?” “ตรัสให้ข้าดูแลหลางหลางให้ดี มิฉะนั้นพระองค์จะสังหารข้าทิ้งเสีย” เมื่อฟ่านซานเหอเอ่ยเช่นนี้ เขาก็กลืนน้ำลายด้วยความหวาดกลัวและเป็นกังวล ลั่วชิงยวนสัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวของเขาผ่านทางสีหน้า ดูเหมือนว่าเขาจะถูกคำขู่ของฟู่เฉินหวนทำเอาหวาดกลัวแล้วจริง ๆ แต่นางก็มิคาดคิดว่าฟู่เฉินหวนจะเอ่ยเรื่องนี้กับฟ่านซานเหอขึ้นมาจริง ๆ “หมู่นี้ซีหยางสงบสุขดีหรือไม่เจ้าคะ?” ลั่วชิงยวนไถ่ถามด้วยความเป็นห่วง ฟ่านซานเหอผงกศีรษะ “ทุกอย่างเรียบร้อยดี ตระกูลของข้าเองก็มั่นคงยิ่งนัก ไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นหรอก” “เช่นนั้นก็ดี ถึงแม้ว่าหลางหลางจะเป็นคนตระกูลลั่วเพียงผู้เดียวที่เหลืออยู่ แต่ก็ใช่ว่านางจะไร้ผู้หนุนหลัง หากตระกูลของท่านบังอาจรังแกนาง ตำหนักอ๋องย่อมไม่ละเว้นท่านแน่!” ฟ่านซานเหอผงกศีรษะด้วยสายตาหวาดกลัว หลังจากนั้นสักพัก ลั่วหลางหลางก็เดินออกมา เห็นอยู่ชัด ๆ ว่ากำลังร้องไห้ “ท่านแม่ของข้าฝังไปแล้ว ข้าจะไปเยี่ยมท่าน” ฟ่านซานเหอรีบเข้าไปประคองนางแล้วกล่าวว่า “ข้าจักไปกับเจ้าด้วย” ลั่วหลางหลางมองมาที่ลั่
ยามนี้นางหาได้คิดจะมีบุตรกับฟ่านซานเหอแต่อย่างใดไม่ หรือบางทีวันหน้าก็อาจจะไม่ด้วย ฟ่านซานเหอถึงกับจิตใจสั่นสะท้านแล้วลดเสียงลง “หลางหลาง ข้าเองมิอยากทำเช่นนั้นเหมือนกัน ในใจข้ามีเพียงเจ้าและเจ้าก็จะเป็นเพียงผู้เดียวเสมอไป” “ข้าเองก็เกรงว่าสิ่งที่พวกเขาพูดจะฟังดูแสลงหูเกินไปและอาจทำให้เจ้าเสื่อมเสียชื่อเสียงเอาได้ ข้ามิอยากให้เจ้าได้รับความอยุติธรรม” ลั่วหลางหลางขมวดคิ้ว “ยามนี้ข้ามิอยากเอ่ยถึงเรื่องนี้ ตกลงหรือไม่?” ฟ่านซานเหอผงกศีรษะแล้วมิได้เอ่ยถึงเรื่องนั้นอีก …… เมื่อตกเย็น อู๋อิ่งก็ส่งข่าวมาบอกว่าวันนี้เซี่ยหว่านอยู่ที่เรือนตามลำพัง ส่วนสามีผู้นั้นของนางออกไปข้างนอกและยังไม่กลับมาที่เรือน ฉะนั้นค่ำคืนนี้ ลั่วชิงยวนจึงเปลี่ยนเป็นชุดที่เหมาะสมพลางสวมหน้ากากอันแสนอัปลักษณ์ของลั่วชิงยวนแล้วไปที่ถนนฝูลู่ ลั่วอวิ๋นสี่เองก็เปลี่ยนเป็นชุดดำแล้วสวมหมวกคลุมหน้าสีดำสนิท เมื่อมาถึงนอกเรือน นางก็ได้ยินเสียงไอของเด็กหญิงตัวน้อยดังขึ้นทางด้านใน เซี่ยหว่านร้อนใจเสียจนเอ่ยขึ้นมาว่า “อิงอิง อยู่บ้านดี ๆ นะ แม่จักออกไปซื้อยามาให้เจ้า” จากนั้นก็มีเสียงรื้อค้นหีบและตู้ในห้อง คงจะเ
“หากเจ้ากล้าลงมือก็ลองดูสิ” ลั่วชิงยวนใช้มือข้างหนึ่งจับตัวหวังอิง ส่วนมืออีกข้างถือเข็มเงินเอาไว้ เซี่ยหว่านมิทราบว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น แต่นางจวนจะร้องไห้อยู่แล้ว “ได้โปรดเถอะ หากเจ้าประสงค์สิ่งใดก็บอกข้ามา! แต่อย่าทำร้ายบุตรสาวของข้าเลย!” ลั่วเยวี่ยอิงก็เอ่ยข่มขู่ด้วยน้ำเสียงที่ฉายแววแค้นเคืองว่า “ลั่วชิงยวน เจ้ามันต่ำช้านัก! รีบปล่อยหวังอิงเสีย มิฉะนั้นวันนี้เจ้าไม่มีทางก้าวออกจากประตูบานนี้ไปได้แน่!” เมื่อทาสใบ้ได้ยินเสียง เขาก็รีบชักมีดสั้นออกมาแล้วมองพวกนางด้วยสายตาคุกคาม ราวกับว่าพร้อมจะสังหารพวกนางได้ทุกเมื่อ ลั่วชิงยวนยิ้มเยาะ “ข้ามาวันนี้ก็เพราะอยากจะล่วงรู้สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างมารดาของข้ากับหยวนซื่อ ข้าอยากทราบสาเหตุการตายของพวกนาง!” “เซี่ยหว่าน บุตรสาวของเจ้าเกิดมาทั้งอ่อนแอและติดพิษ เจ้ามีสามีเช่นนั้น ไม่เพียงแต่เจ้าจะโดนทรมาทรกรรม ทว่าบุตรสาวของเจ้าเองก็รู้สึกหวาดกลัวไปด้วย นางมิอาจใช้ชีวิตตามปกติได้เลย” “ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป นางคงอยู่รอดได้ไม่เกินสามปี” “หากเจ้าบอกความจริงกับข้าล่ะก็ ข้าสามารถช่วยนางได้! ให้พวกเจ้าแม่ลูกได้หลุดพ้นจากบุรุษผู้นั้นไปตลอดกาล
“เซี่ยหว่าน สิ่งที่ข้าอยากจะรู้คือความจริงของเรื่องราว หาใช่ผู้ใดสังหารผู้ใดไม่” “เจ้าควรจะคิดให้ดี ๆ ก่อนพูด” เซี่ยหว่านคุกเข่าลงกับพื้นพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนใจว่า “สิ่งที่ข้ากล่าวมาเป็นความจริง พวกนางสองคนผู้หนึ่งเป็นฮูหยิน ส่วนอีกผู้หนึ่งเป็นอนุ พวกนางย่อมเข้ากันมิได้อยู่แล้ว” “เดิมทีนายท่านรักใคร่ฮูหยินใหญ่ ทว่าต่อมาเนื่องจากความสัมพันธ์ร้าวฉาน ต่อมานายท่านก็หลงรักหยวนซื่อแล้วรับหยวนซื่อเข้ามาเป็นอนุ” “ฮูหยินใหญ่มิอาจทนหยวนซื่อได้ นางจึงพาลเกลียดชังนายท่านไปด้วย” “ครั้งหนึ่งเกือบทำให้นายท่านต้องสังเวยชีวิตแล้ว” “เมื่อหยวนซื่อทราบเรื่องนี้เข้า นางกลับคุมแค้นและวางยาพิษฮูหยินใหญ่” “ถึงแม้ว่าพวกนางมิได้ต่อสู้กันอย่างดุเดือด แต่พวกนางก็หมายจะให้ตายกันไปข้างหนึ่ง” “ข้าก็มิทราบรายละเอียดมากไปกว่านี้แล้ว ที่ข้ารู้ก็มีเพียงเท่านี้!” หลังจากเซี่ยหว่านพูดจบ อีกฝ่ายก็ร่ำไห้วิงวอน “ได้โปรดอย่าทำร้ายบุตรสาวของข้า! ได้โปรดเถอะ!” เซี่ยหว่านมองไม่เห็นและมิทราบว่าลั่วชิงยวนปฏิบัติกับหวังอิงอย่างไร นางเป็นห่วงความปลอดภัยของบุตรสาวทั้งยังรู้สึกหวาดกลัวสุดขีดอีกด้วย เมื่อลั่วเย