ลั่วชิงยวนรู้สึกตื่นตกใจอยู่บ้าง ฮูหยินของใต้เท้าหลิว ก่อนหน้านี้นางเคยได้ยินซิ่งอวี่เล่าให้ฟังว่าฮูหยินของใต้เท้าหลิวเป็นคนเข้มงวดยิ่งนัก เขาจึงมิกล้าไปที่หอนางโลมอย่างโจ่งแจ้ง เขามักจะสั่งให้ผู้ใดสักคนส่งตัวแม่นางมาที่จวนอยู่เสมอ วันนี้ใต้เท้าหลิวจัดงานเลี้ยงใหญ่ขึ้นในจวนและเชิญฝูเสวี่ยมาร่ายรำเป็นพิเศษ ฮูหยินผู้นี้น่าจะมาคิดบัญชีกับนางเป็นแน่ ชั่วครู่ต่อมา ประตูก็โดนถีบให้เปิดออก ฮูหยินหลิวบุกเข้ามาในห้องด้วยท่าทีคุกคาม สายตาของอีกฝ่ายที่คมกริบราวกับมีดจับจ้องมาที่นาง “เจ้าคือนังจิ้งจอกน้อยจากหอฝูเสวี่ยใช่หรือไม่?!” ฮูหยินหลิวมีโหนกแก้มสูง ใบหน้าเรียวเล็ก และสายตามุ่งร้ายอันเด่นชัดก็แฝงไปด้วยแววอำมหิต อีกฝ่ายมิใช่ผู้ที่จะรับมือได้ง่าย ๆ เลย ฮูหยินหลิวก้าวเดินเข้ามาคว้าไหล่ของลั่วชิงยวน อีกฝ่ายพยายามออกแรงกระชากหน้ากากบนใบหน้าของนาง เพราะหมายจะกรีดหน้านางโดยแท้จริง “นางสารเลว! เจ้าหารู้ไม่ว่าจวนตระกูลหลิวของข้าเป็นสถานที่ใด กล้าดีอย่างไรถึงได้เข้ามาที่นี่?” ลั่วชิงยวนคว้าข้อมือของฮูหยินหลิวเอาไว้แน่น ทำให้ฮูหยินหลิวเจ็บเสียจนต้องร้องออกมา “หยุดนะนางสารเลว! ปล่อยข้
“เจ้าค่ะ” ฮูหยินหลิวเหลือบมองลั่วชิงยวนที่อยู่บนพื้นแล้วหันหลังจากไป เมื่อฮูหยินหลิวออกไปพร้อมปิดประตูทิ้งท้าย แสงสว่างที่เหลืออยู่ในดวงตาของลั่วชิงยวนก็ค่อย ๆ หายไป จากนั้นนางก็ถูกปกคลุมไปด้วยความรู้สึกบีบคั้น เงาร่างของใต้เท้าหลิวค่อย ๆ ใกล้เข้ามาแล้วโน้มใบหน้าใหญ่โตลงมามองนาง รอยยิ้มเยาะโฉดชั่วบนใบหน้าของเขาชวนให้รู้สึกกระดูกสันหลังสั่นสะท้าน ความหวาดกลัวเกาะกุมจิตใจของนางขึ้นมาทันที “ไม่ว่าเขาจะหยิ่งยโสเพียงใด สุดท้ายเจ้าก็ตกอยู่ในเงื้อมมือของข้ามิใช่หรือไร? หามีสตรีนางใดในเมืองหลวงที่ข้าจะมิได้มาไม่" หลิวหม่านยิ้มพลางเอื้อมมือออกมาสัมผัสหน้ากากบนใบหน้าของนาง ลั่วชิงยวนพยายามกระถดถอยเพราะคิดจะหลบเลี่ยงเขา สิ่งนี้ทำให้หลิวหม่านแหงนหน้าแล้วหัวเราะ “อย่าห่วงไปเลย ข้ามิถอดหน้ากากของเจ้าหรอก หน้ากากนี้ออกจะงดงามถึงเพียงนั้น!” ลั่วชิงยวนพยายามขยับตัวเพื่อลุกขึ้น แต่นางกลับมิอาจควบคุมอาการเวียนศีรษะได้ นางสัมผัสได้ถึงความเย็นตรงท้ายทอยและเกรงว่าเลือดจะไหลมิหยุด หลิวหม่านลุกขึ้นจุดเทียนพลางนั่งยอง ๆ ข้างลั่วชิงยวนอีกครั้ง จากนั้นก็เขย่าแท่งเทียนให้น้ำตาเทียนหยดใส่ลั่วชิงย
ประตูโดนถีบให้เปิดออก แสงสว่างจ้าสาดส่องเข้ามาในห้องมืดสลัวอีกครั้ง หลิวหม่านผงะอึ้ง “ผู้ใดกัน?” ยามที่ลั่วชิงยวนที่แสนกะปลกกะเปลี้ยหันหน้าไปมอง ก็เห็นเงาร่างเย็นชารีบเดินเข้ามาท่ามกลางแสงสว่าง เมื่อฟู่เฉินหวนเห็นเหตุการณ์ฉากนี้ เส้นโลหิตบนหน้าผากก็ปูดโปนขึ้นมา จากนั้นเจตนาสังหารก็ปะทุขึ้นในแววตาแล้วเขาก็เตะหลิวหม่านอย่างแรง เมื่อเห็นรอยเลือดบนพื้น เสื้อคลุมที่ขาดวิ่นและรอยแดงเป็นจำนวนมากบนหลังมือของนาง โทสะของฟู่เฉินหวนก็ปะทุราวกับภูเขาไฟที่จวนจะระเบิด เขารีบถอดเสื้อคลุมของตนมาห่มคลุมบนร่างของนาง เขาห่อตัวนางเอาไว้แล้วรีบอุ้มนางออกไป ลั่วชิงยวนเอนซบอกของเขาอย่างอ่อนแรงพลางมองเขาด้วยสายตาอันพร่าเลือน จากนั้นเสียงแผ่วเบาทว่าคมกริบราวกับดาบน้ำแข็งของนางก็เอ่ยขึ้นมาว่า "ไยท่านต้องช่วยหม่อมฉันด้วย? นี่มิใช่สิ่งที่ท่านอยากจะเห็นหรอกรึ?" ไม่มีทางที่เขาจะมิโทษตนเองเลย น้ำเสียงเย็นชาไร้อารมณ์ใด ๆ เช่นนั้น กลับกลายเป็นมีดคมกริบนับไม่ถ้วนที่แทงทะลุหัวใจของฟู่เฉินหวนขึ้นมาทันที คิ้วตาเปี่ยมไปด้วยความเกลียดชัง ดวงตาแดงก่ำไปด้วยเจตนาสังหาร พร้อมโทสะที่กลืนกินตัวเขาราวกับไฟลามท
ซ่งเชียนฉู่ทอดถอนใจอย่างอับจนหนทาง “พวกท่านทั้งสองช่างถูกลิขิตให้พัวพันกันเช่นนี้โดยแท้” …… ฟู่เฉินหวนรีบเดินออกมาจากเรือน โดยที่ซูโหยวกำลังรอคอยอยู่ข้างนอก “ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ” “ไปที่จวนตระกูลหลิว” ฟู่เฉินหวนเดินออกจากประตู จากนั้นกระโดดขึ้นบนอาชาแล้วไปที่จวนตระกูลหลิวอีกครั้ง แขกเหรื่อทุกคนในงานเลี้ยงของตระกูลหลิวถูกควบคุมตัวเอาไว้เป็นการชั่วคราว เนื่องจากพวกเขาต่างสนิทสนมกับหลิวหม่านจึงจำเป็นต้องไต่สวนว่าพวกเขาเกี่ยวข้องกับคดีที่หลิวหม่านลอบซุกซ่อนเงินบรรเทาทุกข์หรือไม่ แต่ยังเหลืออยู่อีกคนหนึ่ง นั่นก็คือแม่ทัพสวี่ “ไยพวกท่านต้องจับข้าไว้ด้วยเล่า! ข้าหาได้เกี่ยวข้องอันใดกับเรื่องนี้ไม่! หากพวกท่านมิเชื่อก็ไปตรวจสอบดูได้เลย!" “ข้าเป็นเพียงแขกผู้มาเยือนเท่านั้น ข้ามิทราบเรื่องที่หลิวหม่านกระทำจริง ๆ!” แม่ทัพสวี่คุกเข่าลงกับพื้นแล้วขอร้ององครักษ์ที่ควบคุมตัวเขาไว้ ในยามนี้เอง ฟู่เฉินหวนก็เดินเข้ามาด้วยย่างก้าวอันหนักหน่วง พร้อมกับแผ่กลิ่นอายแห่งเจตนาสังหารออกมาด้วย ความน่าเกรงขามที่เต็มเปี่ยมไปทั่วทั้งร่างทำให้คนมิกล้าแหงนหน้ามอง แม่ทัพสวี่คุกเข่าอยู่กับพื้น เห็น
ทันทีที่เอ่ยวาจาเหล่านี้ออกมา ทุกคนในลานต่างตกตะลึง หลิวหม่านตกใจเสียจนเนื้อตัวสั่นสะท้าน “ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการช่างสมกับการเป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการจริง ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายถึงกับใช้สตรีของตน ช่างอำมหิตนัก!” มือของฟู่เฉินหวนที่ไพล่หลังเอาไว้กำเป็นหมัดแน่น ภายนอกยังคงสงบนิ่งไร้ซึ่งคลื่นอารมณ์ความรู้สึกใด ๆ ในวันนี้เอง เสียงแผดร้องที่ดังขึ้นมาจากจวนตระกูลหลิวสร้างความตกตะลึงให้แก่ทุกคนบนท้องถนน ข่าวที่ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการเปิดโปงเรื่องการยักยอกเงินบรรเทาทุกข์ครั้งใหญ่แพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวง สิ่งที่ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการกระทำในจวนตระกูลหลิวเพื่อนางรำผู้นั้นเองก็แพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวงเช่นกัน ข่าวที่ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการกล่าวว่านางรำผู้นั้นเป็นสตรีของตนจึงแพร่สะพัดไปด้วย …… ลั่วชิงยวนนอนอยู่บนเตียงตลอดสามวัน ช่วงนี้นางฟื้นตื่นขึ้นมาด้วยความมึนงงอยู่หลายครั้ง ทว่าสติกลับมิแจ่มชัดและมิได้ฟื้นสติเต็มที่นัก สิ่งที่นางรู้ก็คือมีคนเฝ้านางอยู่ข้างเตียงตลอดทั้งคืนและคอยป้อนโอสถให้นาง เมื่อนางฟื้นตื่นขึ้นมาก็เห็นซ่งเชียนฉู่อย่างที่คาดคิดเอาไว้ “ท่านฟื้
เมื่อฟู่เฉินหวนที่อยู่นอกประตูได้ยินวาจาเหล่านี้ก็อดมิได้ที่จะขมวดคิ้ว จากนั้นเขาก็เดินเข้ามาในห้อง ลั่วเยวี่ยอิงรู้สึกตื่นตกใจอยู่บ้างจึงรีบลุกขึ้น “ท่านอ๋อง” ฟู่เฉินหวนเหลือบมองผู้ที่อยู่บนเตียงด้วยสายตาเฉยชาพลางกล่าวกับลั่วเยวี่ยอิงว่า “แม่นางฝูเสวี่ยได้รับบาดเจ็บ ให้นางพักผ่อนเถอะ” “เพคะ คราวนี้แม่นางฝูเสวี่ยได้รับบาดเจ็บสาหัส หม่อมฉันจักลงครัวไปตุ๋นน้ำแกงไก่มาให้นาง” ลั่วเยวี่ยอิงกล่าวด้วยสีหน้าเข้าอกเข้าใจ เมื่อมองจากภายนอกจึงทำให้แลดูใจดีมีเมตตายิ่งนัก ทว่ากลับมิอาจซุกซ่อนแววตาคับข้องใจได้ ชวนให้คนยิ่งรู้สึกเศร้าใจแทนนางมากขึ้น เมื่อลั่วเยวี่ยอิงออกจากห้องไป ฟู่เฉินหวนเฝ้ามองนางเดินจากไปแล้วกำหมัดแน่นโดยมิรู้ตัว ภาพเหตุการณ์ฉากนี้ปรากฏแก่สายตาของลั่วชิงยวนเข้าพอดี นางจึงยิ้มเยาะขึ้นมา “เลิกมองได้แล้วน่า ท่านมิเห็นหรือไรว่าคุณหนูรองของท่านต้องเจ็บปวดมากเพียงใด” “นางคงน้ำตาตกในอยู่เป็นแน่ ทว่านางก็ยังต้องแสร้งทำเป็นใจกว้างและเข้าอกเข้าใจถึงขั้นยอมตุ๋นน้ำแกงไก่ให้ศัตรูหัวใจอีกต่างหาก” “ท่านอ๋อง ไยท่านมิรีบหย่ากับหม่อมฉันแล้วคืนตำแหน่งพระชายาให้แก่นางเพื่อชดเ
“ทั้งตระกูลถูกจับกุมตัวไปหมดแล้ว คุณชายฟ่านเองก็ชี้บอกว่าเป็นคนของตระกูลหลิว ของมีค่าในจวนก็เลยถูกยึดไปด้วย” “จดหมายกับของแทนใจระหว่างคุณชายฟ่านกับฮูหยินหลิวเองก็ถูกเอาไปเช่นกัน ตอนนี้ตระกูลหลิวว่างเปล่าหามีสิ่งใดเหลือไม่!”เมื่อท่านอาฉินได้ยินเช่นนี้เข้า นางก็ตบโต๊ะด้วยท่าทีเกรี้ยวกราด “ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการผู้นี้ช่างไร้ปรานีจริง ๆ! แม้แต่ของเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนั้นก็ยังเอาไปอีก!” น้ำเสียงของท่านอาฉินกลับฟังดูหนักหน่วง “ในที่สุดข้าก็จัดแจงให้คุณชายฟ่านเข้าหาฮูหยินหลิว เพื่อที่ข้าจักได้ตักตวงผลประโยชน์จากฮูหยินหลิวและเอาชนะใต้เท้าหลิวได้แล้วแท้ ๆ” “แต่ข้ากลับมิคาดคิดเลยว่าจะถูกฟู่เฉินหวนทำลายแผนเอาเสียได้!” “ทุกอย่างที่ก่อนหน้านี้สู้อุตส่าห์วางแผนและคิดคำนวณมาล้วนสูญเปล่า!” ท่านอาฉินโกรธจัด เมื่อลั่วชิงยวนได้ยินเช่นนี้เข้าก็ตกตะลึง มิน่าแปลกใจเลยที่ซิ่งอวี่เคยเล่าให้นางฟังว่า ฮูหยินหลิวเป็นคนเข้มงวดมาก และใต้เท้าหลิวก็มักจะสั่งให้หอนางโลมส่งตัวแม่นางทั้งหลายมาที่จวนอยู่เสมอ วันนั้นหลังจากถูกฟาดจนหมดสติแล้ว นางจึงได้เห็นฮูหยินหลิวคุกเข่าขอร้องใต้เท้าหลิวให้ปล่อยเขาไปด้ว
โลกใบนี้มักจะเปิดกว้างให้แก่บุรุษเสมอมา อย่างมากบุรุษที่แสวงหาความสำราญนอกบ้านก็ลงเอยด้วยชื่อเสียงฉาวโฉ่ ทว่าหากฮูหยินที่บ้านโดนผู้ใดสักคนล่อลวงและคบชู้กับคนนอก กลับเป็นความผิดอันมิอาจอภัยได้และจำต้องถูกฝังทั้งเป็นโดยมิสนวิธีการ กิจการหอนางโลมหามีอันใดมากไปกว่าการให้แม่นางทั้งหลายพยายามหว่านเสน่ห์ แต่หากพวกเขาส่งบุรุษมาล่อลวงฮูหยินของผู้ใดสักคนและเจตนาใช้เป็นข้ออ้างในการคบชู้ ก็เท่ากับว่าพวกเขากำลังตั้งใจสังหารคน! ท่ามกลางบุรุษที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ จะมีผู้ใดทนรับความอัปยศอดสูจากการถูกภรรยานอกใจได้เล่า? ทันทีทีลั่วชิงยวนเอ่ยวาจาออกมา ทั่วทั้งหอนางโลมต่างระเบิดอารมณ์ออกมาทันที “ว่ากระไรนะ? มีวิธีน่ารังเกียจเช่นนั้นด้วยรึ?!” “ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี! ดำเนินกิจการเช่นนี้ช่างไร้ศีลธรรมอย่างถึงที่สุดจริง ๆ!” บุรุษทุกคนที่มีครอบครัวต่างโกรธจัด ท่านอาฉินที่ยืนอยู่บนชั้นสอง สีหน้าซีดเผือดพลางร้องตะโกนเสียงเคร่งว่า “อย่าได้ฟังนางพูดเหลวไหล! รีบจับตัวนางไว้สิ!” วันนี้คงมิอาจปล่อยนังแพศยาผู้นี้ไปง่าย ๆ เสียแล้ว! เหล่าผู้คุ้มกันต่างพุ่งเข้ามาหาอีกครั้ง ลั่วชิงยวนถูกล้อมจากทั่วทุก
อวี๋โหรวก็ประหลาดใจ นางมิคาดคิดว่าลั่วชิงยวนจะล่วงรู้ความคิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของนาง อีกทั้งยังไปเอาเรื่องจั๋วฉ่างตงเพื่อนางและทำร้ายจั๋วฉ่างตงจนอยู่ในสภาพเช่นนั้นการกระทำของนางคล้ายคลึงกับลั่วเหลาในสมัยก่อนยิ่งนักนางชอบใจมาก“กินยาเสีย” ลั่วชิงยวนรินยาให้อวี๋โหรวเดินเข้าไปดมแล้วก็รู้สึกประหลาดใจ “ในนี้มีบัวถวายผสมด้วยหรือ?”“เจ้ากินไปเถิด”“อาการบาดเจ็บของเจ้าน่าจะทุเลาลงเพราะยานี้”ลั่วชิงยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “อาการบาดเจ็บภายในของเจ้าก็มิได้ดีไปกว่าข้าหรอก รีบกินเสีย”อวี๋โหรวจำต้องยอมดื่มยานั้นลั่วชิงยวนนั่งลงข้าง ๆ รินน้ำชาหนึ่งถ้วย แล้วกล่าวว่า “ต่อไปจั๋วฉ่างตงจะต้องหาเรื่องเจ้าอีกเป็นแน่ เจ้าจะปิดบังตนเองอีกมิได้”“ในเมื่อฝีมือของเจ้าทำให้จั๋วฉ่างตงริษยาได้ เช่นนั้นก็อย่าได้เกรงใจนาง!”“ส่วนทางด้านนักบวชระดับสูง ข้าคิดว่านางคงจะให้ความสำคัญกับผู้ที่มีความสามารถ มิใช่ผู้ที่ประจบสอพลอ”นี่คือความเข้าใจที่ลั่วชิงยวนมีต่อเวินซินถงจั๋วฉ่างตงสามารถเป็นคนสนิทข้างกายของนางได้ ย่อมเป็นเพราะจั๋วฉ่างตงมีฝีมือที่แข็งแกร่งในสำนักนักบวช มิใช่เพราะจั๋วฉ่างตงประจบสอพลอเก่
ลั่วชิงยวนคว้าตัวจั๋วฉ่างตง “คุกเข่าลง! ขอโทษ! รับปากด้วยว่าจะมิรังแกนางอีก!”เมื่อเสียงอันดุดันดังขึ้น ทุกคนต่างตกตะลึงจั๋วฉ่างตงมีหรือจะยินยอม ดวงตาแดงก่ำของนางจ้องมองลั่วชิงยวนอย่างเดือดดาล “สารเลว!”เพียะ!ลั่วชิงยวนตบหน้านางอย่างมิปรานี“ข้ามิรังเกียจที่จะตบเจ้าจนกว่าจะยอม”“ยามนี้ตบหน้ายังทนได้ หากบีบให้ข้าใช้ท่วงท่าอื่น ระวังวรยุทธ์ของเจ้าจะไร้ค่า!”ลั่วชิงยวนข่มขู่ด้วยน้ำเสียงเย็นชาจั๋วฉ่างตงกัดริมฝีปากล่างด้วยความโกรธแค้นและอัปยศอดสูเดิมทีนางเป็นหญิงสาวที่หน้าตางดงาม ทว่ายามนี้กลับถูกลั่วชิงยวนทำร้ายจนยับเยิน แทบจะจำเค้าเดิมมิได้“ข้ามิได้มีความอดทนมากนัก เร็วเข้า!”ยามนี้มีผู้คนมากมายได้ยินเสียงอึกทึกจึงมามุงดูเหตุการณ์น่าตื่นเต้นรวมตัวกันอยู่หน้าประตูเรือนพลางกระซิบกระซาบกัน“ลั่วชิงยวนผู้นี้ช่างกล้าหาญนัก”“จั๋วฉ่างตงไปยั่วโมโหนางอีกแล้วหรือ?”เมื่อได้ยินเสียงจากภายนอก จั๋วฉ่างตงก็แทบจะหลั่งน้ำตา มีผู้คนมากมายมองดูอยู่ นางกลับต้องคุกเข่าขอโทษอวี๋โหรว!ขณะที่ลั่วชิงยวนหมดความอดทนและกำลังจะลงมือจั๋วฉ่างตงก็กลั้นน้ำตาไว้พลางคุกเข่าลง ตรงหน้าอวี๋โหรวอว
จั๋วฉ่างตงเดินออกมาจากห้องนัยน์ตาของลั่วชิงยวนฉายแววมุ่งสังหาร “ที่แท้เจ้าก็มิใช่เต่าหดหัวในกระดองนี่”จั๋วฉ่างตงจ้องมองนางด้วยสีหน้าดุดัน แล้วเดินลงมาอย่างช้า ๆ “ลั่วชิงยวน ข้าขอเตือนให้เจ้าสำรวมตนเสียบ้าง!”กล่าวพลางกวาดสายตามองไปยังคนที่นอนกองอยู่บนพื้น แล้วตวาดเสียงดัง “ปล่อยพวกเขา!”ลั่วชิงยวนบุกเข้ามาทำร้ายคนถึงเรือนของนาง นี่มิใช่การตบหน้านางต่อหน้าธารกำนัลหรอกหรือ!แม้จะพ่ายแพ้ให้แก่ลั่วชิงยวนที่หอรักษ์ดารา แต่ก็มิได้หมายความว่านางจะต้องหวาดกลัวลั่วชิงยวน!ลั่วชิงยวนเตะไปที่คนเหล่านั้น แล้วยอมปล่อยพวกเขาให้เป็นอิสระคนเหล่านั้นกลิ้งตัวลงบนพื้นทีละคนก่อนจะรีบลุกขึ้นยืนอย่างลนลาน หมายจะหลบไปอยู่ด้านหลังจั๋วฉ่างตงทว่าในเวลานี้เอง ริมฝีปากของลั่วชิงยวนก็ยกยิ้มเย็นเยียบ กระโจนเข้าหาจั๋วฉ่างตงอย่างรวดเร็วแล้วใช้มือคว้าจับที่คอเสื้อของนางจั๋วฉ่างตงขัดขืนโดยสัญชาตญาณ แต่นางได้รับบาดเจ็บ จะเป็นสู้ลั่วชิงยวนได้อย่างไรทันใดนั้นก็ถูกลั่วชิงยวนเหวี่ยงลงกับพื้น แล้วตบหน้าอย่างแรงจนผมเผ้าของจั๋วฉ่างตงยุ่งเหยิงขณะที่ตั้งตัวมิทันเสียงฝ่ามือกระทบใบหน้านั้นหนักแน่น เสียงดังสนั
“ดังนั้น...”“เรื่องเช่นนี้มิได้เกิดขึ้นเพียงครั้งหรือสองครั้ง”“นักบวชระดับสูงไว้วางใจนาง ข้าก็ทำได้เพียงทนรับมือ เมื่อก่อนยังพอขัดขืนได้บ้าง แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าก็เลิกขัดขืนเพราะเสียแรงเปล่า”น้ำเสียงของอวี๋โหรวราบเรียบ ทว่าลั่วชิงยวนได้ฟังแล้วกลับรู้สึกหดหู่ใจ“เป็นเช่นนี้มานานแล้วหรือ? กี่ปีแล้ว?”หรือว่าในตอนที่นางยังอยู่ อวี๋โหรวต้องทนทุกข์ทรมานกับเรื่องเหล่านี้?อวี๋โหรวกลับส่ายหน้า “ข้าก็จำมิได้แล้วว่ากี่ปี”“อาจารย์ของข้าจากไปเสียนานแล้ว ไม่มีผู้ใดคอยช่วยเหลือข้า”“ดังนั้นข้าจึงต้องใช้บัวถวายรักษาอาการบาดเจ็บมาตลอด เพียงแต่ช่วงนี้หาซื้อมิได้แล้ว ข้าจึงเหลือเพียงดอกสุดท้าย”เมื่อลั่วชิงยวนได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกปวดร้าวใจหลายปีมานี้ นางมิเคยสังเกตเห็นความทุกข์ทรมานของอวี๋โหรวเลยเพราะอวี๋โหรวมิเคยปริปากบอกผู้ใด ในสถานที่ที่คนอ่อนแอต้องพ่ายแพ้แก่ผู้แข็งแกร่งเช่นนี้ ดูเหมือนนางจะรู้ดีว่าบอกผู้ใดไปก็ไร้ประโยชน์หลายปีมานี้นางอดทนมาได้อย่างไรก็มิอาจรู้ได้“จั๋วฉ่างตงบาดเจ็บอยู่แท้ ๆ ยังอุตส่าห์มาหาเรื่องเจ้าอีก ข้าว่านางคงเบื่อหน่ายการมีชีวิตเต็มทีแล้ว”แววตาของลั่
ชายหลายคนก้าวเข้ามารุมทำร้ายอวี๋โหรวในทันทีจั๋วฉ่างตงเปิดกล่องใบหนึ่งออก หมอกดำทมิฬพลันลอยออกมาแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “เจ้ายังกล้าสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องของลั่วชิงยวนอีก เห็นทีจะยังมีเรี่ยวแรงอยู่ ข้าคงทรมานเจ้ายังมิพอ”“วันนี้เจ้าจงลิ้มรสภูตผีร้ายแห่งหุบเขาฝังศพให้สาสม”จั๋วฉ่างตงใช้ยันต์แผ่นหนึ่งควบคุมหมอกดำทมิฬให้รวมตัวกันกลางอากาศ แล้วพุ่งเข้าโจมตีอวี๋โหรวอย่างรุนแรงอวี๋โหรวกำลังต้านทานการโจมตีของบุรุษเหล่านั้นอยู่ในชั่วขณะต่อมา หมอกดำทมิฬก็พุ่งเข้าใส่ กระแทกเข้าที่ท้องของนางราวกับจะฉีกร่างนางออกเป็นชิ้น ๆ ความเจ็บปวดรุนแรงแล่นปราดเข้าจู่โจมหมอกดำทมิฬนั้นทะลุผ่านร่างของนางไปอวี๋โหรวร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ล้มลงกระแทกพื้นอย่างแรง เจ็บปวดจนร่างกายสั่นเทา มิอาจลุกขึ้นได้บุรุษเหล่านั้นจับแขนของนางแล้วกระชากให้นางลุกขึ้นหมอกดำทมิฬนั้นพุ่งเข้ากระแทกท้องของนางอีกครั้ง แล้วทะลุผ่านไปอย่างรุนแรงอวัยวะภายในสั่นสะท้านก่อให้เกิดความเจ็บปวดรุนแรง ทำให้อวี๋โหรวสั่นไปทั้งร่าง เจ็บปวดจนริมฝีปากสั่นระริก ใบหน้าซีดเผือดนางไม่มีเรี่ยวแรงที่จะตอบโต้ได้เลยเป็นเช่นนี้ซ้
นางมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความมิพอใจนางเป็นถึงองค์หญิง ความรักของนางนั้นสูงส่งยิ่งนัก เฉินชีควรจะคุกเข่ารับมันไว้ แต่น่าเสียดายที่เขาปฏิเสธนางอย่างเย็นชา! มิหนำซ้ำยังทำให้นางอับอายขายหน้าอีกด้วย!นางมิพอใจและมิเต็มใจอย่างยิ่งเฉินชียิ่งเป็นแบบนี้ นางก็ยิ่งอยากเอาชนะเขาให้ได้!เฉินชีมองนางด้วยความประหลาดใจ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความรังเกียจแต่เขาก็ยังคงแย่งกระบี่ในมือเกาเหมียวเหมี่ยวมา แล้วกดศีรษะของนางลง ก่อนจะจุมพิตลงบนริมฝีปากของนางอย่างมิลังเลหัวใจของเกาเหมียวเหมี่ยวเต้นแรงราวกับจะกระโดดออกมาจากอกของนางจูบของเฉินชีนั้นเร่าร้อนและรุนแรงอย่างมิอาจต้านทานได้เกาเหมียวเหมี่ยวถูกจูบจนหมดแรง แทบจะทรุดตัวลงแต่ในขณะที่นางคิดว่าเฉินชีจะทำอะไรต่อไป เฉินชีกลับผลักนางออกอย่างแรงไร้ซึ่งความปรานีก่อนเดินจากไปอย่างสง่างามโดยมิแม้แต่จะหันมามองนางด้วยซ้ำเกาเหมียวเหมี่ยวล้มลงนั่งกับพื้นพลางมองแผ่นหลังของเฉินชีด้วยความตกตะลึงเสียงเย็นชาของเฉินชีดังขึ้นว่า “สิ่งที่ท่านให้ข้าทำ ข้าทำแล้ว เรื่องนี้จบแค่นี้”“หากท่านยังคงใช้เรื่องนี้มาขู่ข้าอีก ข้าจะมิเกรงใจท่านแน่”เฉินชีเดิ
ลั่วชิงยวนมองอวี๋โหรวด้วยความประหลาดใจ อวี๋โหรวกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “คราวก่อนเจ้ามิได้ถามข้าหรอกหรือว่ามีสิ่งนี้หรือไม่ นี่เป็นดอกสุดท้ายที่ข้าเหลืออยู่”“คราวนี้เจ้าถูกฮองเฮาทำร้ายบาดเจ็บสาหัส ข้าคิดว่าเจ้าย่อมต้องการสิ่งนี้เป็นแน่ จึงได้นำมาให้”ลั่วชิงยวนได้ฟังก็รู้สึกตื้นตันใจยิ่งนัก นางมิคาดคิดว่าอวี๋โหรวจะมอบสิ่งนี้แก่นางด้วยว่ายามนี้ ต่อให้หาทั่วทั้งเมืองหลวงก็หาสิ่งนี้มิได้แล้ว“ขอบคุณ” ลั่วชิงยวนกล่าวอย่างซาบซึ้งใจยามนี้นางต้องการสิ่งนี้ยิ่งนัก“มิต้องเกรงใจ” อวี๋โหรวแย้มยิ้มจากนั้นทั้งสองก็เข้าวังไปด้วยกัน กลับไปยังที่พำนักของสำนักนักบวชของพวกนางการใช้บัวถวายนั้นจำต้องใช้สมุนไพรอื่นร่วมด้วย อวี๋โหรวจึงไปยังคลังโอสถเพื่อนำสมุนไพรมามากมายลั่วชิงยวนจึงก่อไฟต้มยาในลานหลังจากกินยาเข้าไป ลั่วชิงยวนก็รู้สึกถึงกระแสความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วร่างสิ่งนี้มีสรรพคุณหลักในการรักษาบาดแผลภายในและฟื้นฟูลมปราณ แต่เมื่อบาดแผลภายในหายดีแล้วย่อมส่งผลดีต่อบาดแผลภายนอกด้วยเช่นกันอวี๋โหรวเห็นว่าหลังจากนางกินยาแล้วสีหน้าของนางก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด“ดูเหมือนว่ายานี้จะได้ผลดีกับเจ้าย
นางจ้องมองไปยังเฉินชีพลางเอ่ยว่า “โอสถนี้ก็แค่บำรุงรักษาร่างกายทั่วไป มิได้มีผลอะไรต่อข้าในยามนี้”เฉินชีกลับกล่าวตอบ “ร่างกายของเจ้าในยามนี้มิอาจกินยาแรงได้ ตำรับยานี้สามารถรักษาบาดแผลภายนอกของเจ้าได้”ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วมุ่นมองเขา “แต่ยามนี้ข้าต้องการโอสถรักษาบาดแผลภายใน”“โอสถของเจ้าเพียงรักษาที่ปลายเหตุ มิได้รักษาที่ต้นเหตุ!” เฉินชียังคงยืนกรานในความคิดของตน “วางใจเถิดอาเหลา โอสถที่ข้าให้เจ้ากินนั้นย่อมเหมาะสมแก่เจ้าที่สุด”“เจ้าพักผ่อนให้ดี ข้ายังต้องเข้าวังไปอีกครั้ง”“เรื่องของเกาเหมียวเหมี่ยวยังมิได้สะสาง”“เจ้าพักอยู่ที่นี่ให้สบายใจ ไม่มีผู้ใดกล้าทำร้ายเจ้าหรอก”กล่าวจบ เฉินชีก็จากไปอีกทั้งยังจัดแจงให้คนมาส่งโอสถแก่ลั่วชิงยวนด้วยลั่วชิงยวนพักรักษาตัวอยู่ที่เรือนของเฉินชีสองวันแล้ว ทุกวันจะมีนางรับใช้มาเปลี่ยนผ้าพันแผลและเสื้อผ้าให้ตรงเวลาโอสถที่นำมาให้ก็ล้วนเป็นไปตามตำรับของเฉินชีทว่าลั่วชิงยวนรู้ซึ้งถึงอาการของตนดีว่า ร่างกายของตนนั้นจำต้องได้รับการรักษาด้วยโอสถใดตำรับยาของเฉินชีนั้นเป็นเพียงยาบำรุงร่างกายและให้สารอาหารแก่ร่างกายนี้ แต่การบำรุงเพียงอย่างเดีย
ขณะพูด เฉินชีก็รีบหยิบขวดโอสถขวดหนึ่งออกมา พลางเทโอสถลูกกลอนหนึ่งเม็ดส่งให้ลั่วชิงยวนกินมันสามารถปกป้องหัวใจของนางได้รถม้าโคลงเคลงไปตลอดทาง เร่งมุ่งหน้าไปยังจวนของเฉินซีอย่างรวดเร็วหลานจีได้ยินเสียงจึงเดินมาที่ลาน นางสงสัยมากว่ามีเรื่องอะไรที่ทำให้ท่านแม่ทัพต้องรีบร้อนออกไปอย่างกะทันหันทว่านางกลับเห็นเฉินชีลงจากรถม้าพร้อมกับอุ้มลั่วชิงยวนที่ได้รับบาดเจ็บ“ท่านแม่ทัพ… นางคือ...” หลานจีรีบสาวเท้าเข้ามาแต่นางกลับถูกเฉินชีผลักออกไปอย่างไร้ความเมตตา “อย่ามาขวางข้า!”หลานจีต้องถอยหลังไปสองก้าวถึงจะทรงตัวไว้ได้เมื่อได้สติ เฉินชีก็เดินไปไกลพร้อมกับสตรีในอ้อมแขนแล้วหลานจีตกตะลึงเหตุใดท่านแม่ทัพถึงต้องเป็นห่วงสตรีนางนั้นถึงเพียงนี้?นางเป็นใครกัน?หลานจีเกิดอาการตื่นตระหนกขึ้นมาอย่างกะทันหันนางตามไปดูด้วยความมิพอใจเฉินชีอุ้มลั่วชิงยวนเข้ามาที่ห้องของตน เขาวางนางลงบนเตียงแล้วเรียกนางรับใช้มาเปลี่ยนอาภรณ์ให้ลั่วชิงยวนนางรับใช้พากันสาละวนเข้า ๆ ออก ๆ เรือนกันยกใหญ่ยามนี้หลั่วชิงยวนหลับไปแล้วจากนั้นเฉินชีก็ออกจากห้องไป และมิรู้ว่าเขาไปที่ใดหลังจากที่นางรับใช้เปลี่ยนอา